(หลงจ่านเหยียน มู่หรงฉิงเทียน ไทเฮางามล่มเมือง ฉบับใหม่ล่าสุด) ข้ามเวลามาก็ต้องแต่งงานกับฮ่องเต้ที่ประชวรหนักหรือ? ใครจะรู้ว่าวันต่อมาหลงจ่านเหยียนจะได้เลื่อนขั้นเป็นไทเฮา แม้แต่บิดาเลวทรามมารดาชั่วร้ายยังต้องคุกเข่าโขกศีรษะ ฮ่องเต้ยังต้องโค้งกายน้อมคารวะ บอกได้คำเดียวว่า...สะใจ! เพียงแต่ สายตาคู่นั้นของท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ที่จ้องมองนางกลับดูค่อนข้างประหลาด… “เจ้าผ่านบุรุษมาแล้วกี่คน” “ครึ่งคนกระมัง ต่อมาก็สิ้นใจตายเสียแล้ว” “ตายได้ก็ดี! หากเขาไม่ตาย ไว้ข้าเจอตัวเขาเมื่อใด จะต้องตายอนาถยิ่งกว่าเดิม”
ดูเพิ่มเติมสีหน้าของฮ่องเต้แปรเปลี่ยนในฉับพลันทันใด “มีคำอธิบายเพียงแค่นี้?”หลงจ่านเหยียนพยายามอธิบายอย่างเต็มที่ “ยังมีอีกคำกล่าวหนึ่ง ฝ่าบาทเคยเห็นหนอนจิ้นฉานเพคะ? หนอนจิ้นฉานคือหนอนพิษที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในใต้หล้านี้ หากใช้ขวดใบหนึ่งใส่สิ่งมีชีวิตที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลกนี้ ทั้งหนอนพิษ ตะขาบพิษ รวมถึงพิษทั้งหลายที่ผ่าบาททรงนึกถึง ล้วนไม่มีพิษไหนที่ร้ายแรงได้ถึงหนึ่งในหมื่นของหนอนจิ้นฉานเลย หากในแคว้นแคว้นหนึ่ง มีหนอนพิษบรรจุอยู่มากมายเช่นนี้ ผลที่ตามมาจะเป็นเช่นไร มิต้องให้หม่อมฉันพูด ฝ่าบาทก็น่าจะนึกออกนะเพคะ!”ฮ่องเต้ร่างกายซวนเซไปเล็กน้อย ความผิดหวังแผ่ซ่านอยู่เต็มดวงหน้าขาวซีดเขารู้ดีว่าสิ่งที่หลงจ่านเหยียนพูดออกมาทั้งหมดนั้นล้วนเป็นความจริง หนอนที่มีพิษร้ายเหล่านั้นก็คือตระกูลถง พวกเขาค่อย ๆ กลืนกินแคว้นต้าโจวทีละน้อย กระทั่งผลัดเปลี่ยนราชวงศ์ เปลี่ยนเจ้าของแผ่นดินรัชทายาทคือหุ่นเชิดของพวกเขา แม้ว่าองค์รัชทายาทจะมีความสามารถอยู่บ้าง ทว่าท้ายที่สุดแล้วก็ไร้ซึ่งโอกาสก้าวหน้า วันข้างหน้าหลังจากได้ดูแลราชกิจด้วยตนเองแล้ว คงเลี่ยงที่จะไม่พึ่งพาตระกูลถงไม่ได้ วันเวลาที่ตระกูลถงจะควบคุ
หลงจ่านเหยียนหัวเราะ “ฝ่าบาท เรื่องราวบนโลกใบนี้นั้นมีเหตุจึงมีผล วันนี้ตระกูลถงครองตนเป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียว ล้วนเป็นพระองค์ที่ทำขึ้นมาด้วยมือของพระองค์เอง ตระกูลถงเป็นนายของแคว้นต้าโจวไปกว่าครึ่งแล้ว ต่อให้ยามนี้ปลดรัชทายาท แล้วจะมีประโยชน์อันใดเพคะ?” อีกอย่าง ตระกูลถงจะยอมให้เขาปลดรัชทายาทลงง่าย ๆ ได้อย่างไร?จากข่าวที่นางรู้มา ฮองเฮาที่ฮ่องเต้ไว้พระทัยเป็นอย่างยิ่งก็คือถงกุ้ยเฟยในยามนี้ นางให้กำเนิดพระโอรสและพระธิดาอย่างละหนึ่งพระองค์ พระโอรสถูกแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาท ส่วนพระธิดาทรงได้รับการพระราชทานให้เป็นองค์หญิงเจิ้นกั๋วอาหญิงของถงกุ้ยเฟยก็คือองค์ไทเฮาองค์ปัจจุบัน เป็นพระมารดาแท้ ๆ ของฮ่องเต้ ถงไท่ซือประจำราชสำนักคือบิดาของถงกุ้ยเฟย พี่ชายน้องชายหลายคนของถงกุ้ยเฟยเองก็ดำรงตำแหน่งสำคัญอยู่ในราชสำนัก เพียงแค่มีสายสัมพันธ์ทางเครือญาติกับตระกูลถง ทุกคนล้วนได้รับการเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งขึ้นมา กระทั่งหมูหมาหรือสัตว์เลี้ยงของตระกูลถงล้วนน่าเกรงขามกว่าคนที่อยู่ข้าง ๆ นี้เสียอีกแม้ว่าฮ่องเต้จะมิใช่คนโง่เขลา ทว่าก็ถูกหลอกลวงมาตลอด หลงเข้าใจว่าตระกูลถงนั้นจงรักภักดีต่อชาติบ้านเมื
“เจ้าอายุเท่าใด?” ฮ่องเต้มองนางด้วยสายตาเย็นเยียบ ส่งเสียงฮึดฮัดออกทางจมูกดูแคลนคำพูดของนางหลงจ่านเหยียนถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง “นับตั้งแต่ที่หม่อมฉันผู้สูงวัยมีอายุได้สามร้อยห้าสิบปี ก็มิจดจำอายุของตนเองแล้วเพคะ ด้วยกลัวมันทำให้รู้สึกสลดใจ”“เจ้าคงรู้ว่าโทษฐานหลอกลวงเบื้องสูงมีจุดจบเช่นไรใช่ไหม?” ฮ่องเต้หรี่ตาจับจ้องนาง ความเดือดดาลบ้าคลั่งแผ่ซ่านอยู่ในดวงตาของเขาหลงจ่านเหยียนทอดถอนใจด้วยความปลงอนิจจัง มนุษย์ล้วนไม่ชอบฟังความจริงมาแต่ไหนแต่ไร กระทั่งฮ่องเต้ก็เป็นเฉกเช่นเดียวกัน อีกอย่าง หากเขาเชื่อว่าหญิงสาวที่มองดูแล้วมีอายุเพียงสิบหกปีซึ่งอยู่ตรงหน้านี้มีอายุมากกว่าเขา ก็ถือว่าเป็นการทำให้เขาขายหน้าอย่างแท้จริงแล้วนางทำได้เพียงเตือนสติเขาเท่านั้น “ฝ่าบาท หากหม่อมฉันผู้สูงวัยทำให้เพราะองค์ฟื้นขึ้นมาได้ แน่นอนว่าสามารถให้พระองค์หลับใหลไม่ฟื้นตื่นชั่วกาลได้เช่นกัน ฝ่าบาททรงเอาแต่จับผิดเรื่องอายุของหม่อมฉันผู้สูงวัยเช่นนี้ เกรงว่าอาจเป็นการเนรคุณต่อเจตนาดีที่หม่อมฉันผู้สูงวัยทำให้พระองค์ฟื้นคืนสตินะเพคะ” เขาเอาแต่จับจ้องนางไม่ยอมพูดจาใด ๆ อีกครั้งหลงจ่านเหยียนทำได้เพียงมองเขา
นางตกตะลึงพรึงเพริด คิดอยากพุ่งเข้าไปดูให้เห็นกับตา ทว่าทันใดนั้นนางพลันรู้สึกว่าแสงสว่างสีเหลืองกลางท้องนภากำลังเลื่อนลอยลงมาปกคลุมเป็นวง แสงสว่างนั้นมัดมือมัดเท้าของนางไว้ราวกับเชือก แขนขาทั้งสี่ของนางพลันไร้ความรู้สึก สติก็เริ่มพร่าเลือน เงาเลือนรางแลคร่ำคร่าปรากฏขึ้นด้านหน้า เกิดเสียงดังหึ่ง ๆ อยู่ในหู นางยกมือขึ้นมือปิดใบหูทั้งสองข้างตามสัญชาตญาณ แต่ปิดกั้นได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แล้วทันใดนั้นภาพเบื้องหน้าพลันดำมืดไป...หลงจ่านเหยียนพอใจยิ่งที่เห็นจิ้นหรูกูกูกับนางกำนัลทั้งหลายล้มพับไปบนพื้น นางคืออวตารแห่งความรักแลความงาม ไม่เป็นฝ่ายทำร้ายผู้ใดก่อน ดังนั้น พวกจิ้นหรูกูกูจึงได้แต่หลับฝันดีเท่านั้นหลงจ่านเหยียนค่อย ๆ นั่งลงข้างกายฮ่องเต้ สำรวจใบหน้าของเขาที่ป่วยไข้จนไร้ทางเยียวยา เวลาชีวิตของเขาเหลือไม่มากแล้วจริง รอยยับย่นบริเวณหางตามีรอเขียวคล้ำจาง ๆ นางประคองมือของเขาขึ้นมา เส้นชีวิตกลางฝ่ามือของเขาดำเนินมาถึงปลายทางแล้วบงกชดอกหนึ่งผุดออกมาจากหว่างคิ้วของหลงจ่านเหยียน มันค่อย ๆ ประทับลงบนหัวใจของฮ่องเต้แคว้นต้าโจวคนบนเตียงผู้นั้นขยับคิ้วเล็กน้อย แล้วลืมตาโพลงขึ้นมาในฉับพ
สตรีวัยกลางคนผู้นั้นปล่อยพระหัตถ์ของฮ่องเต้ แล้วเดินเข้ามายอบกาย “บ่าวจิ้นหรู เป็นนางข้าหลวงที่ดูแลตำหนักเฉียนคุน ถวายบังคมฮองเฮาเพคะ!”ดวงตาของหลงจ่านเหยียนมองไปยังคนที่อยู่บนเตียง ดวงหน้าเหี่ยวย่น ดวงตาดำคล้ำ ริมฝีปากขาวสีไร้สี ปากลอกเป็นแผ่น ที่มุมปากเปรอะฟองน้ำลายเล็กน้อย หลงเหลือเพียงแค่โครงคิ้วและตาเท่านั้นที่ยังพอมองเห็นถึงความสง่างามในวันวานคนผู้นี้คงจะเป็นฮ่องเต้เฒ่าผู้นั้นกระมัง? หลงจ่านเหยียนคิดในใจ แม้จากอายุของนางแล้วการที่จะเรียกคนผู้หนึ่งว่าฮ่องเต้ผู้เฒ่านั้น ก็ดูจะไม่ค่อยมั่นใจเท่าไรนักนางเองก็หน้าแดงเล็กน้อย ทว่า สตรีตระกูลหลงพอมีอายุตั้งแต่ยี่สิบห้าปีขึ้นไป ใบหน้าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก ดังนั้นนางจึงหลอกตนเองและผู้อื่นว่าปีนี้ตนเองมีอายุสิบหกปีกูกูผู้ดูแลที่ชื่อจิ้นหรูผู้นั้นกล่าว “ฮองเฮาทรงอย่างกลัวไปเพคะ ฝ่าบาทเพียงแค่หลับไปเท่านั้น คืนนี้ฮองเฮาทรงประทับอยู่ข้างพระวรกายของฝ่าบาทเถิดเพคะ!”หลงจ่านเหยียนอืม “พวกเจ้าออกไปเถิด!”นัยน์ตาของจิ้นหรูเปี่ยมล้นไปด้วยความสงสาร นางกล่าวว่า “ฮองเฮา ตามธรรมเนียนมแล้ว บ่าวจะต้องอยู่ปรนนิบัติอยู่ที่นี่เพคะ!”นางมองไปร
กัวกูกูลังเลอยู่ชั่วครู่แล้วจึงกล่าวว่า “บ่าวจะไปกราบทูลฉีอ๋องให้เพคะ!”จ่านเหยียนปลดม่านลง มิพูดอันใดอีกกัวกูกูก้าวฉับ ๆ ไปหาฉีอ๋องที่ควบม้าอยู่ด้านหน้า บอกกล่าวความประสงค์ของหลงจ่านเหยียน ฉีอ๋องขมวดคิ้ว “ไม่มีสาวใช้ติดตามไปด้วยเช่นนี้นับว่าไม่ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ แม้จะกล่าวว่ายามนี้ก็ไม่ได้มีอะไรตามกฎเกณฑ์นัก แต่อันใดที่ทำได้ก็ทำเถิด!”พูดจบ เขาก็เรียกองครักษ์ที่อยู่ใกล้ ๆ มาหาแล้วสั่งให้เขารีบกลับไปที่จวนตระกูลหลงรับตัวจี๋เสียงกับหรูเข้าวังและสิ่งที่จ่านเหยียนคิดไว้ก็เป็นจริง หลังจากนางออกจากจวนมาแล้ว เย่เต๋อโหรวก็เอาไฟโทสะและความอัปยศทั้งปวงไปลงกับจี๋เสียและหรูอี้ เพียงเพราะว่าจี๋เสียงกับหรูอี้ขัดความตั้งใจของนางในวันนั้นถ้าองครักษ์ของฉีอ๋องกลับไปได้ทันเวลา ชีวิตของพวกนางทั้งสองคงต้องทนทรมานอยู่ในเงื้อมมือของหลงฮูหยินเป็นแน่เกี้ยวหงส์ของจ่านเหยียนหยุดอยู่ด้านหน้าประตูหลักของวังหลวงประตูหลัก ซึ่งถูกเรียกในอีกชื่อว่าประตูเที่ยงวัน เป็นประตูใหญ่ที่เหล่าองค์ชายแลขุนนางต้องผ่านเพื่อประชุมขุนนางยามเช้าทุกวัน เหล่าขุนนางจักต้องเข้าแถวแยกกันเป็นแถวขุนนางฝ่ายบู๊และขุนนางฝ่ายบุ๋นสอง
พูดจบ ก็เอื้อมมือออกไปประคองให้เย่เต๋อโหรวลุกขึ้น เย่เต๋อโหรวตามกัวกูกูมาถึงด้านหน้าเกี้ยวของหลงจ่านเหยียน แล้วก้มหน้ารอหลงจ่านเหยียนยื่นมือขาวนวลออกมารั้งมือของเย่เต๋อโหรวไว้ ผ้าคลุมหน้าสีแดงราวกับม่านหมอกที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือดปรกลงมา ทำให้เย่เต๋อโหรวถึงกับตื่นตระหนกขึ้นมาในฉับพลันทันใด จนต้องก้าวถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัวหลงจ่านเหยียนยิ้มขึ้นมาจาง ๆ “ท่านแม่ไม่ต้องกลัวเจ้าค่ะ ลูกจะกลับมาเยี่ยมท่านแน่เจ้าค่ะ มาแน่นอน!”นางพูดสามพยางค์สุดท้ายออกมาเบาหวิวราวกับขนนอกที่ปัดผ่านใบหูของเย่เต๋อโหรวอย่างไรอย่างนั้น เย่เต๋อโหรวรู้สึกราวกับว่าเลือดในตัวนางจับตัวแข็งไปทั้งกาย จนกายสั่นเทิ้มขึ้นมาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงได้รู้สึกว่าคำพูดนี้ของหลงจ่านเหยียนจะกลายเป็นจริงในที่สุดม่านปักลายหงส์สีทองหล่นลงมา บดบังเงาร่างสีแดงนั้นขันทีฝ่ายพิธีการตะโกนเสียงสูง “ขึ้นเกี้ยว!”เกี้ยวหงส์ถูกคนสิบหกคนยกขึ้น เดินออกไปจากหอเฟิ่งอี๋ตามหลังเสียงดนตรีรื่นเริงและเสียงประทัด จากนั้นขันทีฝ่ายพิธีการถึงได้เชิญให้คนของจวนตระกูลหลงลุกขึ้นฮูหยินผู้เฒ่าโมโหจนสั่นไปทั้งตัว แล้วกระอักเลือด
หมัวมัวที่อยู่ข้าง ๆ เกลี้ยกล่อม “จะอย่างไรนางก็เหมือนคนที่ตายไปแล้วกึ่งหนึ่ง คุณหนูอย่าไปคิดเล็กคิดน้อยกับนางเลย เลือกรักษาชื่อเสียงและหน้าตาของจวนตระกูลหลงไว้เป็นสำคัญดีกว่านะเจ้าคะ!”คนพูดนี้ทำให้ในของนางสงบลงไปได้มาก นางครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วกล่าว “ใช้เกี้ยวหามข้าออกไป!”แม้ว่าจะโกรธจนยากที่จะสงบใจได้ ทว่านางก็เข้าใจว่าต้องเห็นแก่ส่วนรวมเป็นหลักคนทั้งกลุ่มเดินมาอยู่หน้าประตูหอเฟิ่งอี๋ นางลงจากเกี้ยว โดยมีสาวใช้ประคองไปทำความเคารพฉีอ๋อง“คารวะท่านอ๋อง!”ฉีอ๋องยื่นมือออกไปประคองเบา ๆ “ฮูหยินผู้เฒ่ามากพิธีแล้ว วันนี้เป็นวันมงคลของจวนตระกูลหลง ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ควรพลาดถึงจะถูก!”ความหมายก็คือ นางทำตัวหยิ่งทะนงจนทำให้เรื่องราวเข้าสู่สถานการณ์ตึงเครียดเช่นนี้ ทำให้ล่าช้าไปหลายชั่วยามฮูหยินผู้เฒ่าสีหน้าไม่ดีนัก “แม้ว่าหม่อมฉันจะมาช้าไป แต่สุดท้ายก็มาแล้ว เรียนเชิญเสนาบดีโจวเชิญฮองเฮาขึ้นเกี้ยวหงส์เถิดเพคะ!”เสนาบดีโจวสั่งขันทีฝ่ายพิธีการ ขันทีฝ่ายพิธีการจึงยืนตะโกนอยู่ด้านหน้าหอเฟิ่งอี๋ “ทูลเชิญฮองเฮาเสด็จขึ้นเกี้ยวพ่ะย่ะค่ะ!” เสียงดนตรีสนุกสนานดังขึ้นตามเสียงประทัด สี่เหนียงแบกหล
เย่เต๋อโหรวเองก็หวั่นใจ หันหน้าไปสั่งจวีชุน “ไปเชิญท่านแม่ทัพมา!”ขณะที่จวีชุนกำลังจะไป ก็เห็นหลงฉางเทียนเดินนำคนสองสามคนเข้ามา ครั้นเขาเห็นเย่เต๋อโหรวยังยืนอยู่ที่เดิม จึงอดขมวดคิ้วแล้วกล่าวอย่างโมโหเล็กน้อย “ไยยังยืนนิ่งอยู่อีก?”เย่เต๋อโหรวกระซิบบอก “ดื่มยาไปแล้ว แต่คนยังไม่หลับ!”หลงฉางเทียนกล่าวอย่างประหลาดใจ “นี่มันจะเป็นไปได้อย่างไร? ดื่มเข้าไปนานเท่าไรแล้ว?”“ได้ครู่ใหญ่แล้วเจ้าค่ะ ตามหลักก็น่าจะสลบไปแล้ว!” เย่เต๋อโหรวกล่าวหลงฉางเทียนกล่าวพลางขมวดคิ้วมุ่น “ฉีอ๋องมีนิสัยใจร้อน ตอนนี้ก็เร่งรัดมาแล้ว!”“บอกไปว่ายังแต่งตัวอยู่ หรือไม่เจ้าคะ?”หลงฉางเทียนเงียบไปครู่หนึ่ง “รออีกหน่อย!”เป็นเช่นนี้อยู่อีกครึ่งชั่วยาม ฉีอ๋องเริ่มมีโทสะอยู่ที่โถงฝั่งหน้าแล้ว หลงฉางอี้พยายามปลอบประโลมแต่ก็ไม่เป็นผล ฉีอ๋องจึงพาเสนาบดีโจวพร้อมกับเหล่ากลุ่มองครักษ์ที่มารับเกี้ยวเจ้าสาวตรงบุกเข้าหอเฟิ่งอี๋หลงฉางเทียนเห็นฉีอ๋องขมวดคิ้วด้วยความโมโห ในใจพลันเกิดความหวาดกลัว รีบเข้าไปรับหน้าพร้อมกล่าว “ทำให้ท่านอ๋องต้องรอนานแล้ว ถือเป็นความผิดของกระหม่อมเอง!”“เกิดเรื่องอันใดขึ้น? ยามนี้มันยามใดแล้ว?
“ลูกไม่ยอม!” ณ โถงประชุมภายในจวนแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่มีผู้คนจำนวนมากนั่งอยู่อย่างพร้อมหน้า แม่ทัพหลงซึ่งสวมเสื้อคลุมยาวผ้าไหมปักลายเหยี่ยวเหินฟ้ากำลังนั่งอย่างสง่าผ่าเผยอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือ ท่าทางทรงพลังอำนาจน่าเกรงขาม ที่นั่งข้างกายของเขาคือหลงฮูหยิน ภรรยาโฉมงามซึ่งสวมชุดคลุมผ้าแพรต่วนสีเขียวปักลายบุปผาสีสันแพรวพราว ทว่าดวงหน้าและแววตาของหลงฮูหยินกลับเจือด้วยความกังวล และกำลังจ้องมองหลงจ่านเหยียนผู้ซึ่งกำลังคุกเข่าตัวสั่นเทิ้มอยู่บนพื้นด้วยสายตาเดียวกับแม่ทัพหลง ภายในโถงประชุม ยังมีผู้อาวุโสที่อายุมากแล้วอีกสองท่านและดรุณีซึ่งสวมอาภรณ์หรูหราด้วยอีกหลายท่าน ไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียงออกมา สีหน้าแววตามีแต่ความมืดครึ้มและขุ่นเคืองอย่างถึงที่สุด ทว่าภายใต้ความกดดันของทุกคน คำว่า ‘ลูกไม่ยอม’ ของหลงจ่านเหยียน ช่างดูอ่อนแอไร้พลังเสียนี่กระไร? หลงฮูหยินละสายตา ก่อนจะผุดยิ้มบาง ๆ ตรงมุมปากและกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอบอุ่นนุ่มนวลอย่างถึงที่สุด “จ่านเหยียน ฝ่าบาทมีพระราชโองการแต่งตั้งเจ้าเป็นฮองเฮา นี่เป็นพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นของฝ่าบาท เจ้ามีหน้าที่แค่ซาบซึ้งในน้ำพระทัยของฝ่าบาทและน้อมนำคำสั่ง...
ความคิดเห็น