ท่านหญิงอย่าง จ้าวกุ้ยอิน นอกจากสถานะสูงส่งกับรูปโฉมงดงามปานเทพธิดาแล้ว ยังมีสิ่งใดให้ยินดีบ้าง... เริ่มจากวัยเยาว์ นางเปิดโปงธิดาท่านโหวที่มีกลิ่นกายล่อลวงบุรุษดุจนางปีศาจ จึงถูก ฉินอ๋อง ผู้เป็นคู่หมายรังเกียจว่าเป็นสตรีใจคับแคบ แม้ต่อมานางจะใช้ร่างกายต่างโล่กันธนูปกป้องเขา ก็ยังถูกกล่าวหาว่าเป็นแผนทุกข์กาย เพื่อจะได้แต่งเข้าจวนอ๋อง นอกจากเขาจะไม่สนใจไยดีสตรีที่บาดเจ็บสาหัส ยังแต่ง เยี่ยนเยว่ฉี บุตรีแม่ทัพใหญ่เป็นหวางเฟยหน้าตาเฉย อาจเป็นเพราะฉินอ๋องไม่ต้องการรับผิดชอบหญิงผู้มีแผลเป็นจากคมธนู จึงเป็นตัวตั้งตัวตีให้ฮ่องเต้พระราชทานสมรสให้ เยี่ยนหยางจง พี่ชายของสตรีที่แย่งชิงทุกสิ่งจากนางไป โดยตนเองมีค่าเป็นเพียงรางวัลในงานล่าสัตว์เท่านั้น เมื่อต้องแต่งงานกับบุรุษที่ไม่ได้รัก จึงตั้งใจว่าต่อให้ต้องตายก็จะไม่มีวันร่วมหอกับเขาเป็นอันขาด ทว่าคืนแต่งงานนางกลับถูกวางยาปลุกกำหนัด ครั้นนางตั้งใจจะใช้ชีวิตอย่างสงบ แต่เรื่องยังคงประดังประเด เมื่อนางกำนัลคนสนิทต้องถูกโบยจนตาย ซ้ำร้ายน้องสามี หรือจิ้งจอกสีเงินแห่งแคว้นอย่าง เยี่ยนจิ้นหลิง กล่าวกับแม่สามีว่านางไม่อาจตั้งครรภ์ นอกจากจะทำให้ไม่เป็นที่โปรดปรานแล้ว ยังบังคับกลายๆ ให้นางรับอนุ สวรรค์! ข้ายังต้องเจอเรื่องยุ่งยากอะไรอีก...
Lihat lebih banyakในห้องโถง ตอนเขาออกหน้าให้ นางเกือบจะชื่ออยู่แล้วว่าเขายังเป็นคนดีอยู่บ้าง แต่ยามนี้ รู้สึกเพียงอยากหาบางสิ่งไปกระแทกหน้าเยี่ยนหยางจงสักทีสองทีให้หายโมโหหลังจากหาของที่ต้องการจนพบ เยี่ยนหยางจงหันกายกลับมาเผชิญกับสตรีหน้างอง้ำ เนตรหงส์ที่แทบลุกเป็นไฟถลึงมองเขาอย่างเข่นเคี่ยว แต่ชายหนุ่มแกล้งตีหน้าซื่อ ทำเป็นมองไม่เห็นเสียอย่างนั้นขณะที่สตรีข้างกายสูดลมหายใจส่งเสียงฟึดฟัดไม่ต่างอะไรจากแม่ม้า มือคร้ามแดดค่อย ๆ เปิดตลับยา ใช้นิ้วหนึ่งควักลงไป พอวางตลับยาลงข้างกาย ก็คว้ามือขาวเนียนจากคนที่ยังกระฟัดกระเฟียดมากอบกุมไว้ แล้วป้ายเนื้อยาลงไปบนปลายนิ้วที่พองแดงจากการสัมผัสจอกหยกร้อน ๆแม้จะเป็นบุรุษกำยำล่ำสัน มือไม้ผ่านการจับอาวุธประหัตประหารผู้คนมานับแสน ทว่าสัมผัสที่ไล้ผ่านปลายนิ้วของนางกลับนุ่มนวลยิ่งตอนแรกจ้าวกุ้ยอินตั้งใจจะสะบัดมือเขาออก แต่พอเนื้อยาที่มีฤทธิ์เย็นถูกป้ายลงมา ทำให้ความรู้สึกแสบร้อนในคราแรกทุเลาเบาบาง จึงสลัดความคิดนั้นทิ้งไปถึงจะโมโหแค่ไหนที่ถูกอุ้มกลับมาก็ควรเก็บอาการเอาไว้ก่อนถือเสียว่าเยี่ยนหยางจงยังรู้ดีชั่ว ทำคุณไถ่โทษนางไม่ทุบหัวเขาแล้วก็ได้...“ตอนนี้รู้สึกดีขึ
ส่วนเรื่องน้ำชาถ้วยนั้น ก็เพื่อให้อีกฝ่ายเรียนรู้ว่าถึงเกิดมาเป็นท่านหญิง แต่หากไม่ได้รับความโปรดปรานจากแม่สามีจะส่งผลเช่นไร นางเพียงถือโอกาสประกาศความเป็นใหญ่ ต้องการให้สะใภ้รู้จักเจียมตน ไม่ทำตัวเหิมเกริม หรือออกคำสั่งอย่างเอาแต่ใจกับคนของตนเองอีก แต่พอเห็นความผิดหวังในสายตาของบุตรชาย ก็เริ่มลังเลกับการกระทำของตนเองเล็กน้อย จึงเสมองไปทางอื่นเสียเยี่ยนหยางจงยื่นจอกออกไปทางสาวใช้ที่ทำหน้าที่รินน้ำชา แม้จะหวาดหวั่นแต่สาวใช้ผู้นั้นก็รีบเข้าไปรับจอกชาคืน แต่ทันทีที่สบดวงตาสีนิลเข้มลึก กระแสเย็นเยียบชวนหนาวเหน็บก็แทรกลึกถึงกระดูก ความหวาดกลัวสายหนึ่งแล่นลามตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ขาทั้งสองไร้เรี่ยวแรงจนไม่อาจฝืนยืนได้อีก ทรุดกายลงกับพื้น นั่งตัวสั่นงันงกอย่างหวาดกลัวแม่ทัพหนุ่มหันไปมองมารดาอีกครั้ง พอเห็นว่าอีกฝ่ายทำไม่รู้ไม่ชี้ ก็ออกคำสั่งเสียงเย็น “เด็ก ๆ เอาตัวสาวใช้ผู้นี้ออกไปโบยสิบไม้ แล้วขายออกไปเสีย”“บ่าว...บ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่ะ ซื่อจื่อไว้ชีวิตด้วย บ่าวไม่กล้าแล้ว” สำหรับสตรีตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง แค่ถูกโบยก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด ยังต้องโดนขายออกไปอีก นับเป็นโทษทัณฑ์ที่หนักหนาเกินกว่าจ
แม้ไม่กระจ่างว่ามารดาไม่พอใจสิ่งใด แต่เมื่อเห็นสีหน้าสงบเยือกเย็นของสตรีข้างกาย เยี่ยนหยางจงก็รู้สึกเบาใจลงหลายส่วน“ท่านหญิงไม่สบายอาการเป็นอย่างไรบ้าง” เยี่ยนหยางเจวี๋ยเอ่ยถาม ในน้ำเสียงเจือความเป็นห่วงอย่างจริงใจ“สะใภ้ไม่เป็นอะไรมาก ทำให้พวกท่านเป็นห่วงแล้ว” จ้าวกุ้ยอินกล่าวตอบอย่างนุ่มนวล“จงเอ๋อร์ เจ้าก็ดูแลท่านหญิงให้ดีเล่า อย่าให้จ้าวอ๋องตำหนิเอาได้” เยี่ยนหยางเจวี๋ยสังเกตสีหน้าของลูกสะใภ้ ก่อนหันไปกำชับบุตรชายด้วยอารามเคร่งครึมจริงจัง“ท่านพ่อโปรดวางใจเถิดขอรับ ลูกจะดูแลนางอย่างดี” เยี่ยนหยางจงรับคำอย่างหนักแน่น“เอาล่ะ เริ่มพิธีกันได้แล้ว พวกเจ้าจะได้กลับไปพักผ่อน”เยี่ยนหยางจงได้ยินเช่นนั้นจึงประคองภรรยาไปยังเบาะกลมตรงหน้าบิดาก่อนรอจนสะใภ้ใหญ่คุกเข่าลงเรียบร้อย สาวใช้ผู้หนึ่งก็รินน้ำชาส่งให้ จ้าวกุ้ยอินรับมาแล้วยกขึ้นพลางกล่าว “ท่านพ่อ รับน้ำชาเจ้าค่ะ”เยี่ยนหยางเจวี๋ยมิได้สร้างความลำบากให้สะใภ้แม้แต่น้อย ยื่นมือไปรับน้ำชามาดื่มจนหมด แล้วกล่าวอวยพร “ขอให้พวกเจ้าทั้งสองครองรักกันยั่งยืนดังกระเรียนคู่ ที่สำคัญต้องมีหลานให้ข้าอุ้มหลาย ๆ คนเล่า” พูดจบก็หัวเราะออกมา พลางโบกมือใ
หลังจากแม่นมสวีออกจากห้องหอไปแล้ว เยี่ยนหยางจงยังพยายามชักจูงให้จ้าวกุ้ยอินเปลี่ยนใจ แต่นางดึงดันจะไปคารวะน้ำชาพ่อกับแม่สามีให้ได้ ครั้นเห็นสายตามุ่งมั่นที่ส่งมาเขาจึงพยักหน้าตกลงในที่สุด“ตอนนี้ยังมีเวลา พวกบ่าวจะรีบแต่งกายให้ท่านหญิง รับรองว่าต้องงดงามแน่นอน ซื่อจื่อออกไปรอข้างนอกก่อนนะเจ้าค่ะ” นางกำนัลชิวเยวี่ยกล่าวกับท่านเขยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ฝากพวกเจ้าด้วย” กล่าวจบเยี่ยนหยางจงก็ลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องพอท่านเขยจากไป นางกำนัลทั้งสามที่รอท่าอยู่แล้วรีบกุลีกุจอพาจ้าวกุ้ยอินไปยังหลังฉากกั้น จัดการสวมอาภรณ์ผ้าไหมอันงดงามที่เตรียมเอาไว้อย่างรวดเร็ว เสร็จแล้วจึงประคองนายหญิงไปที่โต๊ะเครื่องแป้งชิวสุ่ยบรรจงเกล้ามวยตกหลังอาชา โดยเลือกชุดปิ่นทับทิมซึ่งเป็นของหมั้นประดับบนเรือนผม ส่วนชิวอิงเปิดตลับเครื่องประทินโฉมแล้วทาแป้งลงบนใบหน้าสวยได้รูป จบด้วยการกระตวัดปลายพู่กันวาดคิ้วโก่งสมบูรณ์แบบเพียงไม่นานภาพสตรีงดงามเฉิดฉันก็สะท้อนบนคันฉ่องสำริดความเคลื่อนไหวทำให้เยี่ยนหยางจงผินหน้าไปยังต้นเสียง เห็นชิวเยวี่ยประคองจ้าวกุ้ยอินออกมาจากห้องด้านในวันนี้นางสวมกระโปรงหรูฉวินรัดใต้อกสีแดงปักลายดอก
ไอน้ำลอยฟุ่งคล้ายม่านหมอก กลิ่นน้ำมันหอมชวนสดชื่น น้ำร้อนช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ แต่จ้าวกุ้ยอินกลับนั่งเกร็ง ถลึงตาจ้องเขม็งเสียทุกครั้งที่คนตรงหน้าขยับกาย เพราะไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรกับตนเองอีกเยี่ยนหยางจงเห็นท่าทางตื่นตระหนกของนางก็อดอมยิ้มไม่ได้ ท่านหญิงกุ้ยอินที่ปกติมักวางตัวสูงส่งยากเอื้อมถึง ครานี้กลับทำอันใดไม่ถูก แววตาที่เคยพยศดังนางม้าป่า บัดนี้ไม่ต่างอะไรกับกวางน้อยที่กำลังแตกตื่น จากการถูกพยัคฆ์เช่นเขาจดจ้องยามนี้ฤทธิ์กำยานปลุกกำหนัดถูกถอนจนหมดไม่มีเหลือ ดูท่าคนงามคงกำลังสับสนว้าวุ่นใจกับการกระทำของตนเองเมื่อคืนอยู่เป็นแน่ เช่นนั้นเขาควรให้นางได้ผ่อนคลายบ้าง“อินเอ๋อร์แสดงความรักอย่างร้อนแรงทั้งคืนคงจะเหนื่อยมาก เช่นนั้นก็แช่น้ำสักครู่ให้สบายตัวเถิด ไม่ต้องปรนนิบัติสามีทำธุระเช้าก็ได้”ถ้อยคำหยอกเย้าแสนระคายหู จ้าวกุ้ยอินเหลือบตาขึ้นมองคนหลงตัวเอง แม้รู้สึกว่าอีกฝ่ายช่างหน้าหนา แต่ก็ฝืนข่มอารมณ์เอาไว้ เพราะหากต้องเลือกระหว่างทนอายคนแค่ผู้เดียว กับการถูกบ่าวไพร่ซุบซิบนินทา นางขอเลือกอย่างแรกทว่าในเมื่อไล่คนออกไปหมดแล้ว นางคงมีแต่ต้องรับผิดชอบคำพูดของตนเอง“หา
หากผู้ใดมาเห็นเข้า…ตนเองจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนครั้นคนตัวโตกำลังจะลุกไปยังขอบเตียง หัวใจนางพลันหล่นวูบ หากปล่อยให้เหล่าสาวใช้เห็นร่องรอยที่ตนเองเพียรฝากไว้บนกายเขาเมื่อคืน นางคงต้องวิ่งเอาศีรษะโขกกำแพงหนีความอายเป็นแน่ไม่ได้...ไม่ได้ ข้าจะให้ใครเห็นสภาพของเขาไม่ได้ทั้งสิ้น!แต่ทันใดนั้นมีเสียงขออนุญาตดังเข้ามา แล้วบุรุษปากไวก็รีบตอบรับ โดยไม่สนใจว่ายามนี้เขากับนางอยู่ในสภาพน่าอายขนาดไหน จ้าวกุ้ยอินกัดฟัน ข่มความปวดแปลบที่แล่นลามอยู่ตามเนื้อตัว กระโจนใส่เยี่ยนหยางจงสุดแรง จนทั้งสองล้มลงบนฟูกอีกครั้ง นางรีบคว้าผ้าห่มมาคลุมกายของพวกเขาไว้ทันทีคิ้วกระบี่ขมวดเล็กน้อย แต่คลายออกอย่างรวดเร็ว เยี่ยนหยางจงรู้สึกอารมณ์ดีอย่างประหลาด ริมฝีปากบางเผยรอยยิ้มกรุ่มกริ่ม ผู้เป็นภรรยาช่างขยันสร้างความครึกครื้นเสียจริง เช่นนั้นเขาก็จะเล่นกับนางด้วยทั้งที่นอนนิ่งเหมือนให้ความร่วมมือ ทว่าสองมืออุ่นร้อนกลับเคลื่อนไหวไปตามเรือนร่างนุ่มลื่นราวแพรไหมอย่างย่ามใจ ทั้งยังลอบแตะจูบบนริมฝีปากและแก้มของนางซ้ำ ๆ จนจ้าวกุ้ยอินต้องถลึงตาใส่บุรุษที่ตนเองทาบทับอยู่ เป็นเชิงว่าหากไม่ยอมอยู่เฉย ๆ นางจะฉีกเขาให้เป็นชิ้น ๆ
“อะ...อื้อ” นางตกใจจึงตอบออกไปโดยไม่ได้คิดใบหน้าคมสันยามประดับด้วยรอยยิ้มบาง ๆ กลับแลดูอบอุ่นอ่อนโยนยิ่ง จ้าวกุ้นอินถึงกับเหม่อไปชั่วครู่แต่แล้วภาพใบหน้าเย้ายวนยามเขาครวญครางเรียกชื่อนางก็ลอยเข้ามาในห้วงจำ พาให้ใบหน้างามร้อนผ่าว โลหิตสูบฉีดจนแดงก่ำด้วยความอุทธัจผ่านไปชั่วครู่ พอได้สติคืนมา จ้าวกุ้ยอินพยายามทำเสียงจริงจัง แล้วใช้มือข้างที่เหลือผลักเขาออกไป“นี่...ปล่อยข้าได้แล้ว” “อะไรกัน พอสมใจแล้วก็ผลักไสสามีเลยหรือ ช่างใจร้ายเสียจริง” คิ้วเข้มมุ่นขมวด ดวงตาสีดำราวน้ำหมึกฉายแววตัดพ้อ หากเหล่าแม่นางน้อยได้มองคงเห็นใจเขาสุดประมาณ“เหลวไหล!” นางตวาดแหว แต่ความเป็นจริงก็รู้อยู่แก่ใจ ว่าเมื่อคืนตนเองทำอะไรต่อมิไรกับเขาตั้งมากมาย“พูดแบบนี้ อย่าบอกนะว่าจะไม่รับผิดชอบ?” เขาจดจ้องนางเขม็ง ทำประหนึ่งว่าจะไม่ยอมถูกเอาเปรียบอย่างเด็ดขาด“รับผิดชอบอะไร เพ้อเจ้อ” จ้าวกุ้ยอินถลึงตาใส่คนตัวโตที่ทำท่าราวกับไม่ได้รับความเป็นธรรม คิดว่าอย่างไรจะไม่ยอมรับเด็ดขาด ต่อให้เรื่องทุกอย่างจริงยิ่งกว่าจริง ก็นางไม่ได้รักชอบเขาเสียหน่อย มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่“เช่นนั้นจงดูที่อินเอ๋อร์ทำกับสามีเอาเองก็แล้วก
เมื่อรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายผ่อนคลายลงแล้ว เยี่ยนหยางจงจึงขยับสะโพกเบา ๆ ในขณะที่มือทั้งสองข้างออกแรงช้อนร่างแบบบางขึ้นลงช้า ๆ แม้จะไม่เคยผ่านเรื่องเช่นนี้มาก่อน แต่ธรรมชาติย่อมนำพาให้ทุกอย่างเป็นไป จ้าวกุ้ยอินเริ่มขยับกายตามจังหวะที่เขานำพา จากเนิบช้า กลายเป็นเร่งเร้า ในที่สุดต้องส่ายสะโพกบดเบียดแท่งเพลิงร้อนลวกที่ฝังอยู่ในกายนาง จึงค่อยคลายทรมานจากความหิวโหยอันไม่รู้ที่มาก่อนหน้านี้ทว่าการกระทำแสนเงอะงะไม่เพียงพอให้บุรุษตรงหน้าอิ่มเอม“อินเอ๋อร์คงไม่ไหว เช่นนั้นจงนอนลงแล้วให้สามีช่วยเถิดนะ” เขาออดอ้อนเสียงสั่น หวังว่านางจะเลิกดื้อ แล้วยินยอมถูกควบขี่อย่างที่ควรจะเป็น“มะ... ไม่ ไม่เอานะ”“เช่นนั้นก็ทำอะไรสักอย่างสิ หาไม่แล้วสามีคงต้องลงมือรังแกอินเอ๋อร์จริง ๆ แน่” เสียงกระซิบทุ่มนุ่มยั่วเย้า เขากล่าวที่เล่นทีจริง พลางยกสะโพกกลมมนขึ้นลงรวดเร็วขึ้น บอกใบ้ให้นางกระทำตามบทเรียนอันวาบหวามนี้จ้าวกุ้ยอินสับสนไปหมด ไม่รู้จะทำอย่างไร แต่พอร่างกายเคลื่อนไหวตามการนำพาของเขา ความรู้สึกปลาบแปลบพลันแล่นลามไปทั้งกาย บังเกิดความหวามไหวซ่านเสียวสุขสมอย่างไม่เคยเป็นนางจับบ่าทั้งสองของเขาเป็นหลักยึด แล
คลายความกังวลและหวาดระแวงในใจลงได้ เช่นนั้นถือว่าสวรรค์เป็นใจให้พวกเขาได้ร่วมหอ เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงไวขึ้นอีกหน่อยก็แล้วกันครั้นคิดตกแล้ว ความรู้สึกก็ผ่อนคลายลงเยี่ยนหยางจงผละริมฝีปากออกอย่างเชื่องช้า พลางสบนัยน์ตาหวานหยาดเยิ้ม ก่อนก้มลงประทับจุมพิตที่ลำคอขาวผ่อง ยามริมฝีปากและลมหายใจร้อนลวกผิวที่ลำคอ ความรู้สึกหวิวซ่านพลันแล่นพล่าน จ้าวกุ้ยอินสั่นสะท้าน แหงนหงายศีรษะ หลับตาพริ้ม ปล่อยให้ลิ้นอุ่นชื้นโลมเลียขยายอณาเขตไปเรื่อย ๆ ยามนี้รู้เพียงว่าสัมผัสจากบุรุษตรงหน้าทำให้นางคลายทรมานจากความร้อนที่สุมอยู่ภายในแต่ส่วนลึกยังคงพยายามต้านทานการกระทำอุกอาจนี้ไม่หยุด“จะ... เจ้าจะทำอะไร” จ้าวกุ้ยอินถามด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า“ก็คลายร้อนให้ภรรยาตามคำสั่งอย่างไรเล่า” เยี่ยนหยางจงกระซิบตอบ ขณะประทับรอยจูบบนไหปลาร้าขาวเนียน พลางหัวเราะเบา ๆ ในลำคอมือทั้งสองเริ่มเคลื่อนไหวไปตามแผ่นหลังและสาบเสื้อของนาง ครั้นค้นพบสายรัดเอวก็ใช้แรงเพียงไม่มากกระชากออกไป อาภรณ์ที่แต่เดิมรุ่ยร่ายไหลหล่นจากลาดไหล่ ไม่ทันไรร่างอรชรก็เหลือเพียงเอี๊ยมสีแดงสดกับกางเกงชั้นในตัวบางเท่านั้นครั้นความเย็นกระทบผิว สติก็เหม
เมืองหลวง แคว้นหาน โรงละครเป่าชางนับว่าเป็นสถานเริงรมย์อันใหญ่โตโอ่อ่าที่สุดในแคว้นหาน ทุก ๆ ปี ตระกูลจ้าวซึ่งมีฐานะเป็นพระญาติใกล้ชิดที่สุดของราชวงศ์จะจัดแสดงงิ้วเรื่องพิเศษขึ้น มีเพียงเชื้อพระวงศ์ ขุนนาง และคหบดีผู้มีชื่อเสียงเท่านั้นจึงจะได้รับเชิญ แต่ในปีนี้ฮ่องเต้รับสั่งให้ฉินอ๋องผู้เป็นพระอนุชาทำหน้าที่ประธานแทนพระองค์ฉินอ๋องในชุดคลุมชินอ๋องสีดำปักลายพยัคฆ์ยืนเป็นสง่าอยู่ที่กลางโถงใหญ่แม้ใบหน้าราวหยกนั้นจะราบเรียบและเย็นชา ทว่ากลับมีเสน่ห์ดึงดูดสตรีให้ไม่อาจละสายตา รัศมีรอบกายที่แผ่กำจายออกมาเจือไอเย็นบาง ๆ จนไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้แต่แล้วน้ำแข็งที่ฉาบในดวงตาพลันละลาย ริมฝีปากที่มักเม้มเป็นเส้นตรงกลับค่อย ๆ หยักโค้งเป็นรอยยิ้ม กลิ่นอายที่รายล้อมแปรเปลี่ยนจากเหมันตฤดูอันหนาวเหน็บเป็นแสงแรกจากตะวันของวสันต์ ทำให้สตรีทั้งหลายต่างเหม่อมองเขาราวกับถูกกระชากวิญญาณออกไปอีกมุมหนึ่ง จ้าวกุ้ยอินผู้เป็นธิดาจ้าวอ๋องกำลังเฝ้ามองเขาอยู่ พอเห็นรอยยิ้มนั้นใบหน้างามสะคราญพลันแดงระเรื่อ นัยน์ตาฉาบด้วยน้ำผึ้งหวานหยด น้อยครั้งนักที่นางจะได้เห็นรอยยิ้มของบุรุษที่สิงในหทัย ทว่าเมื่อเ...
Komen