ตลอดการแสดงหัวใจและสายตาของคนสองคนในที่นั้นไม่ได้อยู่กับตัว
จ้าวกุ้ยอินลอบมองไปทางที่นั่งประธานอยู่บ่อยครั้ง และทุกทีที่เห็นมู่เลี่ยงหรงมองเยี่ยนเยว่ฉีอย่างอ่อนโยนก็เจ็บในอกจนแทบกระอักเลือด ต้องปลอบตนเองด้วยเรื่องของถางซือเซียนที่ตกกระป๋องเหมือนกัน จึงพอจะทำให้ความร้าวรานทุเลาเบาบางลงบ้าง
หนักเข้าจ้าวกุ้ยอินก็ยุจ้าวเฟิงเหลยให้ไปสู่ขอถางซือเซียนเสียเลย สำหรับนางแล้วหากให้ยอมรับนังปีศาจตัวหอมนั่นเป็นพี่สะใภ้ ยังง่ายกว่าทนมองให้นางขึ้นเกี้ยวเข้าจวนฉินอ๋องเป็นไหน ๆ
ส่วนเยี่ยนหยางจงก็เฝ้ามองจ้าวกุ้ยอินพลางครุ่นคิดบางอย่างอยู่เงียบ ๆ ผ่านไปครู่หนึ่ง รองแม่ทัพหนุ่มถึงเบนสายตากลับมาหาเยี่ยนจิ้นหลิงอีกครั้ง
น้องชายของเขามีความสามารถในการทำนายอย่างหาตัวจับได้ยาก นอกจากนั้นยังมีญาณวิเศษ ทว่าทุกสิ่งที่เห็นนั้นเจ้าตัวจะไม่มีวันเอ่ยออกมาตรง ๆ เป็นอันขาด โดยให้เหตุผลว่าการเผยลิขิตสวรรค์นำมาซึ่งผลลัพธ์อันน่ากลัว ดังนั้นที่ผ่านมาหากเป็นเรื่องเกี่ยวกับการศึก บิดาและเขาจะปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ที่มีฉายาว่า ‘จิ้งจอกสีเงินแห่งแคว้น’ โดยเคร่งครัด
แต่พอเป็นเรื่องส่วนตัว น้องชายของเขามักจะเอ่ยเตือนเป็นนัย ๆ แล้วให้พินิจพิจารณาเอาเองว่าจะหลีกเลี่ยงเหตุไม่คาดฝันได้อย่างไร
แต่ครานี้ ไม่รู้เคราะห์กรรมอันใด เยี่ยนจิ้นหลิงถึงได้อำมหิตนัก เพื่อเปลี่ยนชะตากรรมอันน่าเศร้าให้เยี่ยนเยว่ฉี หากไม่กำจัดสตรีอีกผู้หนึ่ง ต่อไปในภายภาคหน้าน้องสาวสุดที่รักของพวกเขาจะประสบเคราะห์กรรมหนักจนถึงชีวิต
เขาจึงต้องอาศัยเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นทำให้สตรีที่อาจจะเป็นภัยกับเยี่ยนเยว่ฉีสิ้นบุญในชาตินี้... ที่นี่!
คิดแล้วก็ลอบทอดถอนใจ สตรีทั่วแคว้นต่างกล่าวขวัญถึงรูปลักษณ์ราวเทพจุติของเยี่ยนจิ้นหลิง ชายผู้นี้เพียงปรายสายตาก็สามารถทำให้แม่นางน้อยทั้งหลายเป็นลมล้มพับไปได้
แต่ผู้ใดจะล่วงรู้...ภายใต้ใบหน้าหล่อเหลาซึ่งประดับไว้ด้วยรอยยิ้มที่ล่อลวงให้ผู้คนจ้องมองจนลืมหายใจนั้น กลับซุกซ่อนใบหน้าของปีศาจจิ้งจอกที่ทั้งเลือดเย็นและกระหายเลือดเอาไว้ตนหนึ่ง
ที่ผ่านมา เพื่อให้แผนการเป็นไปตามใจตนเอง เยี่ยนจิ้นหลิงไม่เคยเลือกวิธีการ เขามีความสุขที่ได้บงการเหล่าแม่ทัพนายกองให้โลดแล่นไปบนสนามรบตามกลยุทธ์ที่วางไว้ นี่ยังดีที่สวรรค์ทำให้เจ้าตัวไม่สามารถให้โลหิตหลั่งไหลเปื้อนมือได้ หาไม่แล้วจิ้งจอกสีเงินตัวนี้คงอยู่ในสนามรบแล้วฆ่าฟันข้าศึกด้วยใบหน้าอิ่มเอมเป็นแน่
ปกติแล้ว เมื่อเยี่ยนจิ้นหลิงเอ่ยเตือนหรือเสนอวิถีการ บิดามักปรับแผนการรบต่าง ๆ ให้สอดคล้อง แต่บางครั้งคำสั่งของกุนซือหนุ่มก็สุดโต่งและพิลึกพิลั่นยิ่ง ทว่าใคร่ครวญแล้วไม่อาจฝืนใจกระทำตามได้ น้องชายของเขามักมีแผนที่สองไว้ให้เลือกเสมอ ซึ่งรองแม่ทัพหนุ่มมักจะขอใช้เป็นประจำ แม้ต้องเผชิญกับผลข้างเคียงจากการเลือกเส้นทางใหม่ก็ตาม
เยี่ยนหยางจงจดจ้องนัยน์ตาหงส์ที่งดงามกว่าสตรีของคนข้าง ๆ ด้วยอารามจริงจัง ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่กดต่ำ “ข้าไม่สามารถกระทำเช่นนั้นกับผู้บริสุทธิ์ได้ ไม่ทราบว่าครานี้มีทางเลือกที่สองหรือไม่เล่า...ท่านกุนซือ”
ทันทีที่ได้ฟังเยี่ยนจิ้นหลิงก็นิ่งงัน ทั้งที่เหมือนกำลังมองการแสดงเบื้องหน้า ทว่านัยน์ตาทั้งสองข้างไร้แวว ที่แท้เขากำลังหลุดสู่ภวังค์อันเร้นลับ
พอหลุดจากภวังค์ บุรุษผมสีเงินก็อดเบ้ปากไม่ได้ เขาไม่มีทางให้ชะตาดอกท้อของฉินอ๋องชักนำให้จ้าวกุ้ยอินแต่งเข้าจวนฉินเป็นอันขาด และในเมื่อพี่ชายที่แสนดีอยากให้นางมีลมหายใจต่อไป โดยไม่คำนึงว่าน้องสาวของพวกเขาอาจจะต้องพบเภทภัยจากสตรีผู้นี้
แม้ข้าจะไม่ชอบนางเท่าไร แต่แบบนี้ย่อมดีกว่าให้น้องสาวของพวกเราตาย พี่ใหญ่ เช่นนั้นท่านก็จงใช้ทั้งชีวิตรับผิดชอบกับสิ่งที่ตนเองเลือกเสียเถอะ
“ก็เพียง ใช้สิ่งนี้...” เยี่ยนจิ้นหลิงพูดพลางส่งขวดหยกใบหนึ่งให้พี่ชาย แต่ในขณะที่อีกฝ่ายกำลังจะเอื้อมเข้ามาหยิบ บุรุษผมสีเงินก็เอ่ยเตือนอีกประโยค “ชะตาดอกท้อของฉินอ๋องแรงนัก หากท่านพลาด น้องสาวของพวกเราย่อมเป็นผู้รับเคราะห์กรรมทั้งหมด”
มือคร้ามแดดจากสงครามตวัดขวดหยกใบนั้นมา แล้วเอาเก็บเข้าไปในอกเสื้ออย่างระมัดระวัง เยี่ยนหยางจงสงวนวาจาไม่เอ่ยตอบอะไรน้องชาย
“พี่ใหญ่ทุกสิ่งบนโลกล้วนมีค่าตอบแทนที่ต้องจ่าย ท่านแน่ใจหรือว่าจะเลือกทางนี้จริง ๆ”
“...” เยี่ยนหยางจงทำเป็นไม่ได้ยิน
“พี่ใหญ่ แน่ใจหรือว่าจะทำให้สตรีโง่งมในรักผู้นั้นหลุดพ้น แล้วหันไปสนใจบุรุษอื่นได้” เยี่ยนจิ้นหลิงหัวเราะเบา ๆ ราวกับได้ยินสิ่งที่อยู่ในหัวใจพี่ชายอย่างไรอย่างนั้น
“ทำเป็นรู้มาก...” เยี่ยนหยางจงกระดากเล็กน้อย น้องชายตัวดีคงคิดว่ามองทะลุจิตใจของเขาไปถึงไหน ๆ แล้วกระมัง นี่จะเป็นอะไรได้นอกจากความเมตตา ถึงอย่างไรตนเองก็เป็นชายอกสามศอก แม้จะรบพุ่งอยู่ในสนามรบมานาน ฆ่าฟันศัตรูไปแล้วนับหมื่นนับแสน แต่ไม่อาจปล่อยให้ผู้บริสุทธิ์ตายไปต่อหน้าต่อตาโดยไม่ช่วยก็เท่านั้น...เท่านั้นจริง ๆ
“วางใจเถิด ชีวิตสตรีเจ้าปัญหาผู้นั้นอยู่ในมือท่านแล้ว จิ้นหลิงไม่หาทางฆ่านางทีหลังแน่”สิ้นคำของน้องชาย เยี่ยนหยางจงจึงรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาเล็กน้อย นับจากนาทีนี้ไป เขาแค่ประกบจ้าวกุ้ยอินเอาไว้ไม่ให้คลาดสายตาเท่านั้นก็พอเมื่อม่านบนเวทีถูกปิดลง เสียงปรบมือโห่ร้องชื่นชมดังไม่ขาดสาย แม้แต่ฉินอ๋องก็ร้องว่าดีติดกันถึงสามครั้งตามธรรมเนียมปฏิบัติฮ่องเต้จะต้องเป็นผู้ให้รางวัลกับนักแสดงทั้งหลาย ในเมื่อโอรสสวรรค์ไม่เสด็จมาก็เป็นหน้าที่ของผู้แทนพระองค์ นักแสดงทั้งหมดออกมาทำความเคารพฉินอ๋อง จากนั้นก็เดินเข้าไปรับรางวัลทีละคนขณะผู้เป็นประธานกำลังจะมอบรางวัล พลันเกิดเสียงดังเอะอะเกิดขึ้นภายในโรงละคร คนร้ายในชุดสีดำสนิทราวสามสิบคนตรงเข้าทำร้ายแขกเหรื่อ“ฆ่าขุนนางชั่วพวกนี้ให้หมด!” เสียงตะโกนดังลั่น นักฆ่าทั้งหลายแยกย้ายกันจู่โจมเพียงชั่วพริบตาสามารถเปลี่ยนงานรื่นเริงให้กลายเป็นทะเลโลหิต เสียงกรีดร้องท่ามกลางความโกลาหล ดาบและกระบี่กระทบกันอย่างแรงจนเกิดสะเก็ดไฟ องครักษ์เงาของเชื้อพระวงศ์เผยตัว ต่างรุมล้อมผู้เป็นนายของตนเอาไว้จ้าวอ๋องหน้าซีดเผือด งานแสดงงิ้วประจำปีที่เพียรจัดขึ้นกลับมีคนร้ายแฝงตัว
เยี่ยนหยางจงมองภาพตรงหน้าอย่างสงบนิ่ง บางจังหวะก็หัวเราะเบา ๆ ออกมา หากไม่เห็นศพกองอยู่ตรงหน้า ผู้อื่นย่อมนึกว่าเขากำลังชมงิ้วด้วยความเบิกบานใจอยู่เป็นแน่จ้าวกุ้ยอินก็เช่นกัน นางจำได้ดี บิดาเคยเปรยให้ฟังว่าแม่ทัพใหญ่และบุตรชายเก่งกล้าสามารถ แต่ตอนนี้เห็นเพียงบุรุษเอื่อยเฉื่อยที่มองคนสู้กันอย่างหน้าตาเฉยผู้หนึ่งเท่านั้น ทำให้นางนึกเดียดฉันท์เยี่ยนหยางจงอย่างยิ่ง“นี่หรือ ผู้ที่เคยสังหารแม่ทัพแคว้นเป่ย เกรงว่าจะเป็นแค่ราคาคุยเสียมากกว่า”ครั้นน้ำเสียงกระจ่างใสเจือความเย้ยหยันลอยมาจากด้านหลัง เยี่ยนหยางจงหรี่ตา กำแส้ในมือแน่นขึ้นเล็กน้อย แต่ยังรักษาความสงบนิ่งเอาไว้ได้ หน้าที่ของเขามีเพียงกันจ้าวกุ้ยอินให้ห่างจากฉินอ๋องเท่านั้น ส่วนเรื่องจัดการนักฆ่าเหล่านี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้อื่นจากการประเมิน หากเยี่ยนจิ้นหลิงไม่ติดเล่นจนเกินไป เพียงหนึ่งก้านธูปก็กำจัดได้หมดแล้ว ไม่ต้องถึงมือเขาหรอก“ที่แท้ รองแม่ทัพเยี่ยนก็แค่คนขี้ขลาดตาขาว ไร้ประโยชน์สิ้นดี”“...” ประโยคเชือดเฉือนลอยเข้ามากระทบโสตอีกระลอก ตนเองเป็นคนเช่นไรเยี่ยนหยางจงย่อมรู้ดีแต่...คนงามไม่รู้นี่!ครั้นหันกายกลับไปเผชิญหน้ากั
เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อย มู่เลี่ยงหรงปรับสีหน้าเป็นปกติดุจเดิม พลันสาวเท้าตรงไปหาเยี่ยนเยว่ฉีแล้วดึงมือของนางมากอบกุมเอาไว้ เขาปลอบประโลมคู่หมั้นสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ไม่หลงเหลือความดุดันแม้แต่น้อย อากัปกิริยาที่แสดงออกบ่งบอกถึงความห่วงหาอาทร ทั้งหมดนี้สร้างความเจ็บปวดและริษยาให้สตรีอีกผู้ที่มองมาจากอีกมุมหนึ่งอย่างช่วยไม่ได้จ้าวกุ้ยอินเม้มริมฝีปากแน่น เล็บแหลมคมจิกเข้าที่ฝ่ามือเพราะเผลอกำหมัดอย่างแรง แต่ความเจ็บเพียงเท่านี้ก็ไม่เท่าที่ดวงใจถูกบีบรัด นางเองก็เป็นห่วงมู่เลี่ยงหรงไม่แพ้สตรีผู้นั้น เพียงแต่ไม่อาจทำสิ่งใดได้สุดท้ายก็ปลอบใจตนเองว่าอีกไม่นานไทเฮาจะทรงพระราชทานสมรสให้พวกเขา เมื่อถึงเวลานั้นนางไม่เชื่อว่าชายในดวงใจจะไม่แลเห็นคุณธรรม ความสามารถ และส่วนที่ดีงามภายในจิตใจของตนเองแม้เยี่ยนเยว่ฉีมีรูปโฉมสะคราญตา แต่ตนเองก็เป็นหนึ่งในยอดพธู หนำซ้ำศักดิ์ฐานะก็เหนือกว่าหลายขุม อีกทั้งเรื่องเล่ห์กลในเรือนหลังนางล้วนเห็นมาจนชินตา ย่อมไม่มีทางเพลี่ยงพล้ำให้อีกฝ่ายโดยง่าย ขอเพียงนางช่วงชิงความโปรดปรานจากมู่เลี่ยงหรงมาได้ ก็ไม่มีสิ่งใดที่จะต้องกลัวอีกต่อไปเหตุการณ์สงบลงแล้ว คนร้า
คนได้รับบาดเจ็บ แต่หนักที่สุดเห็นจะเป็นท่านหญิงกุ้ยอินที่ใช้กายต่างโล่บังธนูอาบยาพิษให้ฉินอ๋องแต่สวรรค์ยังมีเมตตา รองแม่ทัพหนุ่มเยี่ยนหยางจงช่วยถอนพิษได้ทันการณ์ หาไม่แล้วแคว้นหานคงสูญเสียยอดพธูผู้งามล้ำไปหนึ่งนางพิษที่อาบอยู่บนธนูนั้นร้ายแรงยิ่งนัก ทำจ้าวกุ้ยอินสลบไสลอยู่นาน แต่พอจะมีสติขึ้นมาบ้างก็ต้องทรมานกับบาดแผลจากคมธนู หมอหลวงจำต้องจ่ายยาระงับความเจ็บปวดอย่างแรง จึงเป็นเหตุให้นางได้แต่หลับ ๆ ตื่น ๆ กินเวลาเป็นแรมเดือน ซึ่งช่วงเวลานี้จวนฉินอ๋องจัดงานสมรสพระราชทานอย่างยิ่งใหญ่อลังการเยี่ยนเยว่ฉีกลายเป็นฉินหวางเฟย ส่วนสตรีที่เอาชีวิตเข้าแลกเพื่อปกป้องคนผู้หนึ่งกลับต้องนอนซมอยู่บนเตียงไร้การเหลียวแลจากอีกฝ่ายจ้าวอ๋องทั้งเดือดดาลและผิดหวัง ธิดาของเขาบาดเจ็บสาหัสจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด แล้วไหนจะรอยแผลเป็นน่าเกลียดบนแผ่นหลังนั่นอีก สตรีที่เรือนร่างมีตำหนิจะมีบุรุษใดต้องการแต่งงานด้วยเล่า และที่จ้าวกุ้ยอินต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ก็เพราะช่วยชีวิตฉินอ๋อง เช่นนั้นเขาก็ควรรับผิดชอบโดยการรับนางเป็นชายารองไม่ใช่หรือ นี่เวลาก็ล่วงเลยจนบุรุษหน้าตายผู้นั้นตบแต่งชายาเอกเรียบร้อยแล้ว ไฉนจึงยังนิ
“เอาเถอะ หากอธิบายดี ๆ อินเอ๋อร์คงเข้าใจและยินยอมกระมัง” น้ำเสียงแผ่วเบาจนแทบขาดห้วง ธิดาผู้งดงามกำลังจะกลายเป็นสาวเทื้อ บิดาย่อมสะเทือนใจเมื่อเห็นผู้เป็นบิดาคล้อยตามจ้าวเฟิงเหลยจึงไม่คิดสนทนาหัวข้อนี้อีก เพราะมั่นใจว่าต่อให้น้องสาวคนงามของตนเองมีตำหนิเป็นรอยแผลเป็นที่แผ่นหลัง บุรุษที่ต้องการเกี่ยวดองกับตระกูลจ้าวก็ยังมีมากมายก่ายกองอยู่ดี ถึงแม้ไม่อาจเข้าคัดเลือกเป็นพระสนม หรือชายารัชทายาทได้อีกแล้ว แต่หากขอพระราชทานสมรสให้เชื้อพระวงศ์ หรือขุนนางน้ำดีสักคนย่อมไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรง เพียงแต่ต้องเพิ่มสินเดิมให้มากหน่อยก็เท่านั้นเมื่อคิดตกเรื่องหนึ่ง จ้าวเฟิงเหลยก็ต้องมากังวลเรื่องที่สองแทนมู่เลี่ยงหรงตั้งข้อสงสัยในน้ำใจของจ้าวกุ้ยอิน หากจะมองเป็นเพียงข้ออ้างปัดความรับผิดชอบก็ย่อมได้ แต่ด้วยอุปนิสัยตรงไปตรงมา อีกฝ่ายไม่มีทางกล่าวลอย ๆ เป็นแน่แล้วอะไรคือสาเหตุที่ทำให้คนผู้นั้นมีความคิดเหลวไหลพรรณ์นี้กันเล่า?แม้น้องสาวของเขาเคยกระทำตนไม่เหมาะสม แต่นั่นเป็นเรื่องในวัยเยาว์ ไฉนอีกฝ่ายถึงได้คลางแคลงในความดีงามของนางถึงขนาดนี้ คิดแล้วก็ให้ขุ่นเคืองใบหน้าหล่อเหลาปรากฏร่องรอยของความก
เมื่อเห็นว่าอาการของธิดาสุดที่รักดีขึ้นจริง ๆ ตามคำรายงาน จ้าวอ๋องก็กล่าวขอบคุณสวรรค์ เขารีบรุดมานั่งลงที่ขอบเตียง จดจ้องใบหน้าของจ้าวกุ้ยอินพลางยกยิ้ม แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอันเต็มไปด้วยความห่วงใย “อินเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง ยังเจ็บมากหรือไม่”“ยังเจ็บแผลอยู่บ้างเจ้าค่ะ นอกนั้นก็รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว คาดว่าอีกไม่นานคงจะลุกขึ้นมาร่ายรำให้ท่านพ่อชมได้” นางตอบบิดาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ดี... ดียิ่ง” จ้าวอ๋องหัวเราะเบา ๆ แล้วยื่นมือไปลูบศีรษะของธิดาอย่างทะนุถนอมแต่แล้วรอยยิ้มของจ้าวอ๋องมีอันต้องจืดจาง เมื่อจ้าวกุ้ยอินไต่ถามถึงฉินอ๋อง แม้ไม่ต้องการให้ธิดาของตนเองเสียใจ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา ไม่แน่ว่าสตรีที่โง่งมในรักตรงหน้าจะหูตาสว่างแล้วยอมรับความจริง“อินเอ๋อร์ ในระหว่างที่เจ้าบาดเจ็บสาหัส มู่เลี่ยงหรงก็ตบแต่งกับบุตรสาวไคกั๋วกงไปเรียบร้อยแล้ว”“เรื่องนั้นลูกเข้าใจ แม้ต้องแต่งเข้าไปเป็นชายารองก่อนก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ไว้ลูกมีบุตรชายให้เขาเมื่อไหร่ ด้วยศักดิ์ฐานะย่อมต้องได้เลื่อนขั้นเป็นผิงซี[1]”“อินเอ๋อร์ พ่อรู้ว่าเจ้าอดทนได้ แต่เจ้าควรได้เป็นชายาเอก” จ้าวอ๋องเห็นอากัปกิริยาเ
“เจ้าค่ะ อินเอ๋อร์จะไม่ทำให้ท่านพ่อต้องเป็นห่วง” นางตอบพลางยกยิ้ม ทว่าไม่ถึงดวงตาจ้าวอ๋องตบหลังมือบุตรสาวเบาๆ สองสามครั้ง แล้วค่อยลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปปกติจ้าวกุ้ยอินเป็นคนที่มีความอดทน ดื้อดึง และใจแข็งยิ่งนัก แม้จะเจ็บปวดหัวใจปานใดก็จะพยายามข่มกลั้นอย่างถึงที่สุดแต่ยามนี้ร่างกายไม่แข็งแรง หนำซ้ำยังต้องฟังเรื่องที่บีบรัดหัวใจ ความทรมานทางกายผสานกับความรู้สึกทำให้เกินทนรับไหว สุดท้ายก็กระอักโลหิต หมดสติไปอีกครั้งขณะนั้น อวี้หรูเหรินนำน้ำแกงบำรุงมาให้จ้าวกุ้ยอินพอดี ทันทีที่นางกำนัลคนสนิทวิ่งหน้าตาตื่นออกมาจากห้องนอน เอ่ยละล่ำละลักว่าท่านหญิงกระอักโลหิตหมดสติไปอีกแล้ว นางก็ตกใจเป็นลมล้มไปอีกคน ทำให้เรือนอิงฮวาวุ่นวายโกลาหลขึ้นในบัดดลโชคดีที่หมอหลวงยังไม่ทันก้าวออกจากจวนจ้าวอ๋อง ชิวสุ่ยจึงวิ่งไปรั้งตัวเขากับหมอหญิงกลับมาได้ทันหมอหลวงชราเร่งฝีเท้าตามชิวสุ่ยกลับไปเรือนอิงฮวาอย่างว่องไว พอเข้าไปถึงก็พบว่ามีคนป่วยอยู่ถึงสองคน เขาไม่รอช้า สั่งให้หมอหญิงไปดูแลอวี้หรูเหรินที่ตกใจเป็นลม ส่วนตนก็ตามชิวสุ่ยเข้าไปยังห้องนอนด้านในชิวอิงกับชิวเยวี่ยกำลังใช้ผ้าสะอาดเช็ดคราบเลือดที่เปรอะเปื้อ
เวลาไหลไปราวสายน้ำ จากวสันต์สู่คิมหันตฤดู แม้ดวงอาทิตย์จะสาดแสงให้ความอบอุ่นไปทั่วแคว้น ทว่าภายในใจของจ้าวกุ้ยอินยังคงหนาวเหน็บไม่ต่างจากฤดูเหมันต์ แม้ว่ายามนี้บาดแผลของนางจะดีขึ้นมาก แต่ก็ยังรู้สึกเจ็บแปลบในบางครั้งแต่เจ็บกาย หรือจะสู้เจ็บในทรวงจ้าวกุ้ยอินทอดถอนหายใจอย่างไร้สุ้มเสียง ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมดยามนี้สตรีที่ผู้ใหญ่เคยสนับสนุนให้แต่งงานกับฉินอ๋องเช่นนางกำลังนอนป่วยอยู่ในห้องอันอ้างว้าง ในขณะที่บุตรีแม่ทัพใหญ่กลายเป็นฉินหวางเฟยนี่กระมังที่โบราณกล่าวไว้ว่า ความแน่นอน คือความไม่แน่นอนไม่ว่าจะเป็นความงดงาม เสียงชื่นชม และสถานะสูงส่งเหนือสตรีคนอื่น ๆ ไม่ได้ช่วยให้นางได้ร่วมชีวิตกับมู่เลี่ยงหรงจ้าวกุ้ยอินไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าหากไม่ได้แต่งเข้าจวนฉินตนเองจะเป็นเช่นไร และเมื่อหนทางชีวิตได้เปลี่ยนไปแล้ว นางคงมีแต่ต้องยอมรับใช่หรือไม่ภายในห้องเงียบงัน ไม่มีเสียงตอบจากสวรรค์ หรือนรก...มีเพียงร่างบอบบางที่หัวเราะเยาะหยันในความโง่งมของตนเองในขณะที่จ้าวกุ้ยอินกำลังจมจ่อมกับความรู้สึกเศร้าสร้อย บ่าวอาวุโสผู้หนึ่งก็ก้าวเข้ามาภายในห้องแล้วเดินไปเปิดหน้าต่างทุกบาน เสร็จแล้วก็จัดการ
หลังจากได้ชื่ออย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว จิงจิงก็ก้มหน้าลงแทะเปลือกเหอเถาต่อ โดยมีจ้าวกุ้ยอินนั่งเท้าคางมองมันด้วยความเอ็นดูอยู่เงียบ ๆดวงหน้างามพิสุทธิ์อาบย้อมด้วยรอยยิ้ม นัยน์ตาหงส์ฉายแววอบอุ่นอ่อนโยนดังสายน้ำฤดูสารท สีหน้าเปี่ยมสุขราวบุปผาบานสะพรั่ง ดูงดงามเปล่งประกายจนผู้มองตาพร่ามัวภาพสตรีสะคราญโฉมเริงรื่นดุจความฝัน ทำให้เรือนเจาหยางมีชีวิตชีวาขึ้นในบัดดลยามแสงทองบนท้องนภาถูกแทนที่ด้วยม่านราตรีสีดำ ทั่วทั้งจวนก็เริ่มจุดโคมไฟ ไม่เว้นแม้กระทั่งเรือนเจาหยาง แสงสีนวลจากโคมเหนือประตูสว่างไสวเสมือนดวงดาวนำทางให้ใครสักคน หลังจากอาบน้ำจนหอมกรุ่นไปทั้งกาย ชิวอิงกับชิวเยวี่ยก็ช่วยกันสวมชุดนอนให้นายหญิง ทั้งบรรจงสางผมจนเรียบลื่น กระทั่งเส้นไหมสีดำมันวาวแผ่สยายเต็มแผ่นหลังเอี้ยมสีชมพูปักลายดอกโบ๋ตั๋นถูกสวมทับด้วยอาภรณ์แพรโปร่งบางสีเดียวกัน ขับเน้นผิวขาวราวหิมะให้กระจ่างสดใส อวดเรือนร่างอรชรภายใต้แสงเทียน ดูเย้ายวนใจอย่างยิ่งจ้าวกุ้ยอินอดขมวดคิ้วมิได้ เมื่อเห็นคนสนิททั้งสองกระตือรือร้นในการแต่งกายให้นางเป็นพิเศษ ราวกับจะเตรียมส่งพระสนมไปยังห้องบรรทมของจักรพรรดิ“พวกเจ้าแน่ใจนะว่ากำลัง
“ขอบคุณฮูหยินชื่อจื่อมากขอรับ หากไม่มีอะไรแล้ว ผู้น้อยขอตัวก่อน” ชิงอวี้รับถุงแพรมาด้วยหน้าตายิ้มแย้ม แล้วกล่าวคำอำลา หลังจากได้รับอนุญาตเขาก็รีบจากไปทันทีจ้าวกุ้ยอินมองไปยังตะกร้าที่เจ้ากระรอกน้อยนอนอยู่แล้วหัวเราะเบา ๆ ที่แท้ท่าทางจะเป็นจะตายของมันเมื่อครู่เกิดจากความตะกละ แต่ถึงกระนั้นนางก็รู้สึกยินดีที่เจ้าก้อนกลมสีน้ำตาลนี้จะไม่เป็นอะไร เพราะถ้ามันตายขึ้นมา คงเพิ่มความหดหู่ให้ชีวิตนางมากขึ้นไปอีก“ถ้าเป็นตามที่ท่านหมอบอก อีกไม่นานเจ้านี่คงจะถ่ายออกมา บ่าวว่าเอามันออกไปดูแลที่อื่นดีกว่าเจ้าค่ะ” ชิวอิงยังคงจดจำกลิ่นราวกับมีอะไรตายเมื่อครู่ได้ดี จึงไม่คิดเสี่ยงให้มันถ่ายของเสียออกมาในห้องอีกแต่ว่าสายเกินไป...ปู๊ด! ปรื๊ด...ปรี๊ด! จ้าวกุ้ยอินเอามือปิดจมูก ลุกขึ้นในฉับพลัน แล้วสาวเท้าถี่ ๆ ออกไปจากห้อง แต่ก่อนที่ร่างอรชรจะพ้นประตู ยังไม่วายหันมากำชับนางกำนับคนสนิท “ชิวอิง เรื่องนี้ให้เจ้าไปจัดการก็แล้วกัน พอทำความสะอาดเรียบร้อยค่อยไปตามข้า”ชิวอิงรับคำสั่งแล้วร้องไห้อยู่ในใจ พลางมองตะกร้าใบเล็กอย่างผู้ไม่ได้รับความเป็นธรรมฮือ...ท่านหญิง ทำไมเป็นข้าที่ต้องเช็ดอึกระรอกด้วยเล่า?เมื่
“ลำบากท่านหมอแล้ว แต่ ‘คน’ ที่เป็นอะไรนั้นไม่ใช่ข้า” จ้าวกุ้ยอินยิ้มน้อย ๆ กล่าวตอบอย่างนุ่มนวล“ฮูหยินซื่อจื่อเกรงใจไปแล้ว ไม่ว่าผู้ใดในจวนเจ็บไข้ล้วนเป็นหน้าที่ของผู้น้อยทั้งสิ้น ไม่ทราบว่าจะให้ตรวจนางกำนัล หรือสาวใช้คนใดของท่านขอรับ”“รบกวนท่านหมอแล้ว” กล่าวจบ จ้าวกุ้ยอินก็ผายมือไปด้านข้างซึ่งไม่มีใครอยู่ทั้งสิ้น“...” ชงอวี้นิ่งอึ้ง“ในตะกร้า” พอเห็นสีหน้างุนงงของผู้เป็นหมอ จ้าวกุ้ยอินจึงเปิดปากอีกประโยคชงอวี้สาวเท้าไปยังโต๊ะข้างตั่งที่มีตะกร้าวางอยู่ใบหนึ่ง พอถึงที่หมายก็ชำเลืองมองลงไป เมื่อเห็นกระรอกน้อยนอนตัวสั่นอยู่ในนั้น พลันรู้สึกเหมือนกำลังถูกทดสอบความอดทนแม้อยากจะตะโกนใส่หน้าสวย ๆ ของฮูหยินซื่อจื่อว่า ท่านเล่นบ้าอะไรอยู่? แต่ก็พยายามตั้งสติ รวมไปถึงทำความเข้าใจสตรีงดงามที่กำลังยกยิ้มน้อย ๆ แล้วมองมาทางนี้อย่างมีความหวัง จึงยังรักษาความสุขุมเอาไว้ได้หากสัตว์เลี้ยงแสนรักเจ็บป่วย ไม่ว่าผู้ใดย่อมรู้สึกไม่สบายใจ ดังนั้นนางจึงส่งคนเชิญตนเองมารักษามันกระมังแต่ว่าเขาเป็นหมอรักษาคน!“ท่านหมอรออะไรอยู่หรือ ยังไม่รีบตรวจอีก” จ้าวกุ้ยอินที่รอฟังอาการของกระรอกน้อยเจ้าปัญหาอยู่เอ่ยเ
พอจ้าวกุ้ยอินคิดมาถึงตรงนี้ คิ้วที่เดิมขมวดแน่นพลันคลายออก ริมฝีปากเผยรอยยิ้มงดงามปานบุปผา ดวงตาฉายแววเจ้าเล่ห์แสนกล ก่อนจะปรับอารมณ์ให้กลับมาเป็นปกติ แล้วยกจอกชาขึ้นจิบ หยิบขนมไป่เหอขึ้นมากัดคำเล็ก ๆ ด้วยความพึงพอใจ ประหนึ่งว่าคนที่ทำหน้าบูดเมื่อครู่มิใช่นาง“ชิวเยวี่ย”“บ่าวอยู่นี่เจ้าค่ะ” ชิวเยวี่ยรีบเดินเข้าไปยืนด้านข้าง รอรับคำสั่งด้วยท่าทีนอบน้อม จ้าวกุ้ยอินส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายเข้ามาใกล้อีก นางก็ขยับเข้าไป แล้วตั้งใจฟังคำสั่งของผู้เป็นนาย“บ่าวจะไปจัดการเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” นางยิ้มจนแก้มบุ๋ม จากนั้นก็ลุกขึ้นหมุนตัวเดินจากไป แม้ชิวเยวี่ยจะเป็นนางกำนัลที่ไทเฮาส่งมาให้จ้าวกุ้ยอินได้เพียงปีเดียว แต่ด้วยอายุยังน้อย รูปร่างหน้าตาดูสดใสน่ารัก ทั้งยังช่างเจรจาเป็นที่สุด คุณสมบัติเหล่านี้ทำให้นางเข้ากับคนได้อย่างรวดเร็วเนื่องจากแทบไม่มีผู้ใดหวาดระแวงเด็กสาวที่เพิ่งโตคนหนึ่ง คนที่นางไปตีสนิทด้วยจึงมักเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ฟังโดยง่าย ด้วยเหตุนี้จ้าวกุ้ยอินจึงให้ชิวเยวี่ยออกไปสืบข่าวทั้งภายในและภายนอกจวนอยู่บ่อยครั้งพอนางกำนัลคนสนิทเดินลับตาไปแล้ว จ้าวกุ้ยอินก็นั่งชมนกชมไม้ไปตามเรื่องเช่นเดิม
“แสดงว่า...” จ้าวกุ้ยอินหันหน้ากลับมา หลุบสายตาซ่อนความรู้สึกไว้ภายใต้แพขนตา พลางเอ่ยพึมพำเสียงเบา“ใช่เจ้าค่ะ ชิวสุ่ย...ถูกส่งออกไปจากจวนเรียบร้อยแล้ว”จ้าวกุ้ยอินผินหน้าไปทางหน้าต่าง ทอดสายตาไปยังทิวทัศน์ภายนอก แต่มิได้เพลิดเพลินกับบรรยากาศแม้แต่น้อย อดไม่ได้ที่จะคำนึงถึงเรื่องเมื่อวาน หากยามนั้นนางกำชับให้ชิวสุ่ยระมัดระวังอีกสักนิดคงไม่เกิดเรื่องหากเป็นสาวใช้คนอื่น ไม่ใช่นางกำนัลที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกันอย่างชิวสุ่ย จ้าวกุ้ยอินคงไม่รู้สึกอะไรนัก ครั้นคิดว่าตนเองเป็นสาเหตุให้นางกำนัลคนสนิทต้องมาตายอย่างอนาจ หัวใจของนางพลันบีบรัด แม้ไม่ได้ร้องไห้ออกมา ทว่าน้ำตากลับหลั่งรินอยู่ในใจถึงจะเสียใจที่นางกำนัลรุ่นใหญ่อย่างชิวสุ่ยต้องมาด่วนจากไป แต่ชิวเยวี่ยไม่อยากให้จ้าวกุ้ยอินเอาแต่นั่งหงอยเหงาเศร้าซึม เดิมทีร่างกายท่านหญิงก็ไม่แข็งแรง หากมัวแต่จมจ่อมกับความโศกเศร้า สุขภาพอาจย่ำแย่มากกว่าเดิม จึงเดินเข้าไปแล้วแสร้งยิ้มกล่าวอย่างกระตือรือร้น“วันนี้อากาศดี ท่านหญิงอยากออกไปนั่งเล่นในสวนสักหน่อยหรือไม่” แม้จ้าวกุ้ยอินส่ายหน้าเบา ๆ ชิวเยวี่ยก็ไม่ละความพยายาม ยังคงเอ่ยโน้มน้าวต่อไป “วันนี้
“ซื่อจื่อให้คนไปแจ้งทีเรือนใหญ่แต่เช้า ว่าท่านหญิงไม่ค่อยสบาย ฮูหยินจึงสั่งว่ารอท่านหายดีก่อนค่อยไปเยี่ยมคารวะยามเช้าเจ้าค่ะ” แม่นมจางรีบรายงานทันทีจ้าวกุ้ยอินได้ยินก็เค้นเสียงหึคำหนึ่ง ไม่ได้ซาบซึ้งในน้ำใจของเยี่ยนหยางจงแม้แต่นิดเดียว บุรุษผู้นั้นคิดว่าการทำดีเล็ก ๆ น้อย ๆ เพียงเท่านี้ จะสามารถทำให้นางลืมเลือนว่าเขาเป็นคนส่งชิวสุ่ยไปแดนน้ำพุเหลือง[1]หรือไร ไหนจะเล่ห์กลทั้งหลายที่เขานำมาใช้กับตนเองอีกช่างน่าขันสิ้นดี!แม้ไม่ต้องไปคารวะแม่สามีแล้ว แต่จ้าวกุ้ยอินไม่คิดจะนอนต่อ จึงตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียง พอเห็นดังนั้นนางกำนัลคนนสนิทก็พากันปรนนิบัตินายหญิงล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนอาภรณ์ เนื่องจากเยี่ยนหยางจงแจ้งมารดาว่าภรรยายังป่วยอยู่ จ้าวกุ้ยอินเองก็ไม่อยากทำตัวผิดสังเกต จึงเลือกอาภรณ์สีขาวสะอาด จากนั้นสั่งชิวอิงให้เกล้าผมและแต่งหน้านางเพียงบาง ๆ เท่านั้นเมื่อได้รับคำสั่ง ชิวอิงก็อมยิ้มน้อย ๆ พลางคิดในใจ เพื่อให้ดูสูงส่งสง่างาม ปกติท่านหญิงมักเลือกเสื้อผ้าสีสด และแต่งหน้าเข้ม ๆ ทำให้แลดูเป็นผู้ใหญ่เกินตัวอยู่บ้าง ทั้งที่ความจริงแล้วรูปโฉมของเจ้านายงดงามสดใสราวกับสตรีแรกแย้ม ใบหน้ารูปแตง
ยังไม่ทันที่เยี่ยนหยางจงจะมีปฏิกิริยาตอบกลับ จ้าวกุ้ยอินก็วิ่งถลาออกไปจากห้อง แล้วร้องตะโกนอย่างไม่กลัวตาย “ข้าเป็นคนสั่งให้ชิวสุ่ยโยนมีดสั้นพระราชทานเล่มนั้นลงมาเอง ได้ยินไหมว่าข้าเป็นคนสั่ง...”“อินเอ๋อร์ หุบปากเดี๋ยวนี้นะ!” เยี่ยนหยาจงได้สติคืนมา รีบหมุนกายวิ่งตามจ้าวกุ้ยอินที่กำลังจะออกพ้นประตูเรือนอยู่รอมร่อ การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วยิ่ง คว้าข้อมือของนางเอาไว้ได้ทันท่วงที ครั้นเห็นคนพยายามดิ้นรนจึงยกร่างบางประหนึ่งว่าไร้น้ำหนักขึ้นพาดบ่า เดินกลับเข้าไปในห้องนอน“เจ้าหมียักษ์สารเลว ปล่อยข้า...ปล่อยข้านะ” นางทั้งทุบทั้งตี แต่ก็เหมือนเอาไข่ไปกระทบหินไม่มีผิด“เป็นถึงฮูหยินแม่ทัพ ห้ามเอ่ยวาจาส่งเดช”“ถ้าเลือกได้ ใครอยากเป็นฮูหยินของคนป่าเถื่อน ใจคอโหดเหี้ยม โลภโมโทสันอย่างเจ้ากัน”“...” เขาสังหารศัตรูไปเรือนแสน หากจะบอกว่าเป็นคนป่าเถื่อนและโหดเหี้ยมยังนับว่าเข้าใจได้ แต่เรื่องโลภโมโทสันเห็นได้ชัดว่าห่างไกลความจริง และการต่อปากต่อคำกับสตรีที่กำลังกระฟัดกระเฟียดก็ไม่ใช่วิสัยของตน“หากชิวสุ่ยเป็นอะไรไป ข้าจะไม่ให้อภัยเจ้าเด็ดขาด”เยี่ยนหยางจงเดินอาด ๆ ไปยังเตียงนอนแล้วโยนคนตัวเล็กลงไป
ทั้งที่หลังจากไม้กลายเป็นเรือ ท่าทีของนางที่มีต่อเขาก็โอนอ่อนยิ่งนัก ตั้งแต่เช้าก็พยายามรักษากิริยาอย่างสตรีสูงศักดิ์ตลอดเวลา แต่ไฉนจู่ ๆ ภรรยาที่เหมือนจะสิ้นพยศถึงได้ลุกขึ้นมารื้อเรือนโดยไม่ถามความเห็นกันสักคำภาพอาวุธแสนรักหลายชิ้นที่ถูกวางกองเอาไว้ตรงหน้าเรือนวาบผ่านเข้ามาไม่ได้! จะต้องพูดกับนางให้รู้เรื่องครั้นได้ยินเสียงฝีเท้าหนัก ๆ กับเสียงประตูห้องนอนที่ถูกเปิดออก จ้าวกุ้ยอินรู้ทันทีว่าเจ้าของเรือนเจาหยางมาถึงแล้ว แต่ก็มิได้หันไปหาบุรุษทียืนมองมองมาจากหน้าประตู ยังคงชี้นิ้วสั่งให้คนทำงานต่อไปราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นนางกำนัลคนสนิททั้งสามทำงานจนหัวหมุน คนหนึ่งกำกับการเปลี่ยนผ้าม่าน คนหนึ่งจัดหาพื้นที่วางแจกันทรงสูง ส่วนอีกคนโผล่หน้าออกมาจากเตียงแล้วโยนมีดสั้นที่พบลงบนพื้นเสียงดัง เคร๊ง!เยี่ยนหยางจงเบิกตามอง “มีดสั้นพยัคฆ์คำราม” ที่เพิ่งถูกขว้างทิ้ง ตอนนี้รู้สึกเดือดดาลขึ้นมาจริง ๆ แล้ว เขาถลาเข้าไปหยิบมีดสั้นขึ้นมา แล้วตวาดชิวสุ่ยเสียงดังสนั่น “บังอาจ มีดสั้นพระราชทานใช่ของที่คนอย่างเจ้าสามารถโยนลงพื้นส่งเดชหรือ ไม่รักชีวิตแล้วใช่หรือไม่”พอได้ยินว่าของที่ตนเองโยนลงมาอย่างไม
“ท่านพี่ อินเอ๋อร์เหนื่อยแล้ว” นางกล่าวพลางชักมือของตนเองกลับมาอย่างไม่กระโตกกระตาก ก่อนยกขึ้นป้องปากแล้วหาวเสียทีหนึ่งเห็นท่าทางอ่อนเปลี้ยเพลียแรงของจ้าวกุ้ยอินทำเยี่ยนหยางจงนึกได้ว่ายามนี้สุขภาพของนางไม่สู้ดี และด้วยอุปนิสัยดื้อรั้น นางคงฝืนกำลังตั้งแต่เมื่อคืนมาจนถึงตอนนี้ เช่นนั้นเขาควรปล่อยให้นางพักผ่อนได้แล้ว“เช่นนั้นก็นอนกลางวันเสียหน่อย ตื่นมาค่อยดื่มยา”จ้าวกุ้ยอินพยักหน้า รีบส่งเสียงเรียกนางกำนัลที่น่าจะกลับมาถึงแล้วทันที ไม่นานชิวอิงก็เดินเข้ามาภายในห้อง ปรนนิบัติถอดรองเท้าและเสื้อคลุมตัวนอกให้นายหญิง เสร็จแล้วก็ถอยออกไปจ้าวกุ้ยอินไม่รอช้า กระเถิบเข้าไปยังเตียงด้านใน แล้วหันหลังล้มตัวลงนอนทันทีเยี่ยนหยางจงห่มผ้าให้นางอย่างใส่ใจ หลังจากนั้นจึงลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องนอนจ้าวกุ้ยอินถอนหายใจเฮือกใหญ่ รู้สึกโล่งอกที่ได้อยู่เพียงลำพังเสียที ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้นางยังไม่มีเวลาตรึกตรองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลยภายในห้องอันเงียบสงบ จ้าวกุ้ยอินตั้งสติ ย้อนนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเองทีละอย่างคิดอย่างไรก็มีปัญหา นางมิได้มีใจปฏิพัทธ์ต่อเยี่ยนหยางจง ส่วนเขาก็คงแต่งงานเพื่อผลปร