คนได้รับบาดเจ็บ แต่หนักที่สุดเห็นจะเป็นท่านหญิงกุ้ยอินที่ใช้กายต่างโล่บังธนูอาบยาพิษให้ฉินอ๋อง
แต่สวรรค์ยังมีเมตตา รองแม่ทัพหนุ่มเยี่ยนหยางจงช่วยถอนพิษได้ทันการณ์ หาไม่แล้วแคว้นหานคงสูญเสียยอดพธูผู้งามล้ำไปหนึ่งนาง
พิษที่อาบอยู่บนธนูนั้นร้ายแรงยิ่งนัก ทำจ้าวกุ้ยอินสลบไสลอยู่นาน แต่พอจะมีสติขึ้นมาบ้างก็ต้องทรมานกับบาดแผลจากคมธนู หมอหลวงจำต้องจ่ายยาระงับความเจ็บปวดอย่างแรง จึงเป็นเหตุให้นางได้แต่หลับ ๆ ตื่น ๆ กินเวลาเป็นแรมเดือน ซึ่งช่วงเวลานี้จวนฉินอ๋องจัดงานสมรสพระราชทานอย่างยิ่งใหญ่อลังการ
เยี่ยนเยว่ฉีกลายเป็นฉินหวางเฟย ส่วนสตรีที่เอาชีวิตเข้าแลกเพื่อปกป้องคนผู้หนึ่งกลับต้องนอนซมอยู่บนเตียงไร้การเหลียวแลจากอีกฝ่าย
จ้าวอ๋องทั้งเดือดดาลและผิดหวัง ธิดาของเขาบาดเจ็บสาหัสจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด แล้วไหนจะรอยแผลเป็นน่าเกลียดบนแผ่นหลังนั่นอีก สตรีที่เรือนร่างมีตำหนิจะมีบุรุษใดต้องการแต่งงานด้วยเล่า และที่จ้าวกุ้ยอินต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ก็เพราะช่วยชีวิตฉินอ๋อง เช่นนั้นเขาก็ควรรับผิดชอบโดยการรับนางเป็นชายารองไม่ใช่หรือ นี่เวลาก็ล่วงเลยจนบุรุษหน้าตายผู้นั้นตบแต่งชายาเอกเรียบร้อยแล้ว ไฉนจึงยังนิ่งเฉยเรื่องธิดาของตนเองอยู่อีก
ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห ในที่สุดจ้าวอ๋องก็ต้องบากหน้าไปขอเข้าเฝ้าไทเฮาเป็นการด่วน แต่พอออกมาจากตำหนัก สีหน้าซึ่งแต่เดิมก็ไม่ค่อยแช่มชื่นอยู่แล้วยิ่งดำทะมึนหนักกว่าเก่า เหล่านางกำนัลขันทีต่างลอบมองอยู่ห่าง ๆ ไม่กล้าเข้าใกล้
จวนจ้าวอ๋อง
พอลงจากรถม้าได้จ้าวอ๋องก็ก้าวเท้าฉับ ๆ ไปยังเรือนหลักด้วยใบหน้าดำทะมึน สองมือกำแน่น รังสีกดดันแผ่กำจายไปรอบตัว บ่าวรับใช้ต่างตัวสั่นงันงกไปตาม ๆ กัน
เมื่อหญิงรับใช้แจ้งว่าบิดากลับมาแล้ว จ้าวเฟิงเหลยก็รีบรุดมาที่เรือนหลัก ทันทีที่เขาเปิดประตูเข้าไปก็ได้รับเสียงตวาดดังสนั่นเป็นการทักทาย
“ออกไปให้หมด!” จ้าวอ๋องแผดเสียงทั้งที่ไม่ได้มองว่าผู้มาเป็นใคร
“ท่านพ่อ... นี่ลูกเอง” จ้าวเฟิงเหลยตอบกลับไปอย่างนุ่มนวลกว่าปกติ เพราะไม่ต้องการกระตุ้นโทสะที่ยังไม่มอดดับของผู้เป็นบิดา
“เหลยเอ๋อร์ เองรึ” จ้าวอ๋องพยายามกลืนความโกรธขึ้งลงท้อง แต่คิ้วที่ขมวดจนเป็นปมแน่นมิอาจคลายออกได้ ราศีบนใบหน้าไม่ผุดผ่องดั่งที่เคยเป็น
จ้าวเฟิงเหลยเห็นเช่นนั้นก็พอจะเดาได้ว่าไทเฮาคงให้คำตอบอันไม่น่าอภิรมย์นัก เห็นทีมู่เลี่ยงหรงคงหาเรื่องปฏิเสธที่จะรับจ้าวกุ้ยอินเข้าจวนเป็นแน่ จึงเค้นเสียงเย็น “เกรงว่าฉินอ๋องคงหาเหตุปฏิเสธอินเอ๋อร์กระมัง”
“หึ! เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ฉินอ๋องก็ยังยืนกรานว่าจะไม่รับอินเอ๋อร์ของเราเข้าจวน หนำซ้ำยังตั้งข้อสงสัยว่านี่อาจจะเป็น ‘แผนทุกข์กาย’ เสียอีก ไม่คิดเลยว่าคนอย่างเขานอกจากจะเย็นชาแล้ว ยังใจดำอำมหิต เนรคุณเป็นที่สุด”
“เกินไปแล้ว ที่อินเอ๋อร์ต้องเป็นเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะเขาหรืออย่างไร”
“เสียแรงที่น้องสาวเจ้าทุ่มเททุกอย่าง กระทั่งชีวิตก็มิได้นำพา ช่างสูญเปล่าโดยแท้”
“ลูกเองก็สงสารน้องหญิงจับใจ ไม่อาจทนเห็นนางเฝ้ารอคอยบุรุษผู้นั้นได้อีกแล้ว ท่านพ่อ... ไม่สู้เราขอพระราชทานสมรสให้อินเอ๋อร์แต่งกับเชื้อพระวงศ์ หรือคุณชายตระกูลใหญ่สักคนเป็นอย่างไร ไม่เห็นต้องไปง้องอนจวนฉิน”
แม้จะเห็นด้วยกับบุตรชาย แต่พอคิดถึงเรื่องในอดีตจ้าวอ๋องพลันส่ายศีรษะ พูดอย่างจนใจ “หากยังจำตอนหานอ๋องมาสู่ขอนางได้ เจ้าคงพอจะเดาออกกระมัง ขนาดข้ายังไม่ทันตกปากรับคำอินเอ๋อร์ก็กระโดดลงสระบัวไปแล้ว หากครานี้เคลื่อนไหวโดยพลการ เกรงว่านางจะทำอะไรไม่คิดอีก”
“แต่อีกไม่กี่เดือนอินเอ๋อร์จะอายุครบสิบเก้าปีแล้ว หากปล่อยเอาไว้เยี่ยงนี้ เกรงว่าสุดท้ายจะแต่งได้เพียงขุนนางธรรมดาที่ไร้ซึ่งความโดดเด่นเท่านั้น”
พอได้ยินความจริงตอกย้ำหัวใจจ้าวอ๋องก็รู้สึกผิดขึ้นมา สาเหตุที่ธิดาผู้เกิดจากชายาเอกเพียงคนเดียวต้องเป็นเช่นนี้ ความผิดส่วนหนึ่งก็มาจากการตัดสินใจของเขา
ครั้งยังยาว์วัย พวกผู้ใหญ่ต่างเห็นดีเห็นงามคิดจับคู่มู่เลี่ยงหรงกับจ้าวกุ้ยอิน ใคร ๆ ก็ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าท่านหญิงน้อยเหมาะสมกับองค์ชายเก้าในเวลานั้นยิ่งนัก ทำให้บุตรสาวปักใจเชื่อเช่นนั้นเสมอมา ต่อให้มู่เลี่ยงหรงมีทีท่าเย็นชาห่างเหิน เพราะธิดาของเขาดันไปมีเรื่องกับบุตรสาวของเซวียนผิงโหวก็ตาม แต่นอกจากจะไม่ได้ถือสาแล้ว นางกลับพยายามเรียนรู้การเป็นชายาเอกที่ดีมาโดยตลอด
สุดท้ายตำแหน่งฉินหวางเฟยก็หลุดลอย กระทั่งชีวิตของตนเองยังเกือบรักษาเอาไว้ไม่ได้
จ้าวอ๋องก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ รู้สึกทั้งเสียใจและเสียดายที่สตรีงดงามผู้หนึ่งกลับกลายเป็นตุ๊กตากระเบื้องมีตำหนิ
“เอาเถิด ตอนนี้อินเอ๋อร์ก็อายุมากแล้ว อีกอย่าง แผลเป็นที่กลางหลัง...”
“แต่ด้วยฐานะของน้องหญิงย่อมได้แต่งเป็นภรรยาเอกอย่างแน่นอน แต่หากมีผู้ใดใจกล้ามาขอนางไปเป็นบ้านรองล่ะก็ ลูกนี่แหละจะจัดการสับมันเป็นหมื่นชิ้น” จ้าวเฟิงเหลยกล่าวอย่างหนักแน่น นัยน์ตาสีน้ำหมึกเข้มลึกขึ้นในฉับพลัน
“เอาเถอะ หากอธิบายดี ๆ อินเอ๋อร์คงเข้าใจและยินยอมกระมัง” น้ำเสียงแผ่วเบาจนแทบขาดห้วง ธิดาผู้งดงามกำลังจะกลายเป็นสาวเทื้อ บิดาย่อมสะเทือนใจเมื่อเห็นผู้เป็นบิดาคล้อยตามจ้าวเฟิงเหลยจึงไม่คิดสนทนาหัวข้อนี้อีก เพราะมั่นใจว่าต่อให้น้องสาวคนงามของตนเองมีตำหนิเป็นรอยแผลเป็นที่แผ่นหลัง บุรุษที่ต้องการเกี่ยวดองกับตระกูลจ้าวก็ยังมีมากมายก่ายกองอยู่ดี ถึงแม้ไม่อาจเข้าคัดเลือกเป็นพระสนม หรือชายารัชทายาทได้อีกแล้ว แต่หากขอพระราชทานสมรสให้เชื้อพระวงศ์ หรือขุนนางน้ำดีสักคนย่อมไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรง เพียงแต่ต้องเพิ่มสินเดิมให้มากหน่อยก็เท่านั้นเมื่อคิดตกเรื่องหนึ่ง จ้าวเฟิงเหลยก็ต้องมากังวลเรื่องที่สองแทนมู่เลี่ยงหรงตั้งข้อสงสัยในน้ำใจของจ้าวกุ้ยอิน หากจะมองเป็นเพียงข้ออ้างปัดความรับผิดชอบก็ย่อมได้ แต่ด้วยอุปนิสัยตรงไปตรงมา อีกฝ่ายไม่มีทางกล่าวลอย ๆ เป็นแน่แล้วอะไรคือสาเหตุที่ทำให้คนผู้นั้นมีความคิดเหลวไหลพรรณ์นี้กันเล่า?แม้น้องสาวของเขาเคยกระทำตนไม่เหมาะสม แต่นั่นเป็นเรื่องในวัยเยาว์ ไฉนอีกฝ่ายถึงได้คลางแคลงในความดีงามของนางถึงขนาดนี้ คิดแล้วก็ให้ขุ่นเคืองใบหน้าหล่อเหลาปรากฏร่องรอยของความก
เมื่อเห็นว่าอาการของธิดาสุดที่รักดีขึ้นจริง ๆ ตามคำรายงาน จ้าวอ๋องก็กล่าวขอบคุณสวรรค์ เขารีบรุดมานั่งลงที่ขอบเตียง จดจ้องใบหน้าของจ้าวกุ้ยอินพลางยกยิ้ม แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอันเต็มไปด้วยความห่วงใย “อินเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง ยังเจ็บมากหรือไม่”“ยังเจ็บแผลอยู่บ้างเจ้าค่ะ นอกนั้นก็รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว คาดว่าอีกไม่นานคงจะลุกขึ้นมาร่ายรำให้ท่านพ่อชมได้” นางตอบบิดาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ดี... ดียิ่ง” จ้าวอ๋องหัวเราะเบา ๆ แล้วยื่นมือไปลูบศีรษะของธิดาอย่างทะนุถนอมแต่แล้วรอยยิ้มของจ้าวอ๋องมีอันต้องจืดจาง เมื่อจ้าวกุ้ยอินไต่ถามถึงฉินอ๋อง แม้ไม่ต้องการให้ธิดาของตนเองเสียใจ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา ไม่แน่ว่าสตรีที่โง่งมในรักตรงหน้าจะหูตาสว่างแล้วยอมรับความจริง“อินเอ๋อร์ ในระหว่างที่เจ้าบาดเจ็บสาหัส มู่เลี่ยงหรงก็ตบแต่งกับบุตรสาวไคกั๋วกงไปเรียบร้อยแล้ว”“เรื่องนั้นลูกเข้าใจ แม้ต้องแต่งเข้าไปเป็นชายารองก่อนก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ไว้ลูกมีบุตรชายให้เขาเมื่อไหร่ ด้วยศักดิ์ฐานะย่อมต้องได้เลื่อนขั้นเป็นผิงซี[1]”“อินเอ๋อร์ พ่อรู้ว่าเจ้าอดทนได้ แต่เจ้าควรได้เป็นชายาเอก” จ้าวอ๋องเห็นอากัปกิริยาเ
“เจ้าค่ะ อินเอ๋อร์จะไม่ทำให้ท่านพ่อต้องเป็นห่วง” นางตอบพลางยกยิ้ม ทว่าไม่ถึงดวงตาจ้าวอ๋องตบหลังมือบุตรสาวเบาๆ สองสามครั้ง แล้วค่อยลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปปกติจ้าวกุ้ยอินเป็นคนที่มีความอดทน ดื้อดึง และใจแข็งยิ่งนัก แม้จะเจ็บปวดหัวใจปานใดก็จะพยายามข่มกลั้นอย่างถึงที่สุดแต่ยามนี้ร่างกายไม่แข็งแรง หนำซ้ำยังต้องฟังเรื่องที่บีบรัดหัวใจ ความทรมานทางกายผสานกับความรู้สึกทำให้เกินทนรับไหว สุดท้ายก็กระอักโลหิต หมดสติไปอีกครั้งขณะนั้น อวี้หรูเหรินนำน้ำแกงบำรุงมาให้จ้าวกุ้ยอินพอดี ทันทีที่นางกำนัลคนสนิทวิ่งหน้าตาตื่นออกมาจากห้องนอน เอ่ยละล่ำละลักว่าท่านหญิงกระอักโลหิตหมดสติไปอีกแล้ว นางก็ตกใจเป็นลมล้มไปอีกคน ทำให้เรือนอิงฮวาวุ่นวายโกลาหลขึ้นในบัดดลโชคดีที่หมอหลวงยังไม่ทันก้าวออกจากจวนจ้าวอ๋อง ชิวสุ่ยจึงวิ่งไปรั้งตัวเขากับหมอหญิงกลับมาได้ทันหมอหลวงชราเร่งฝีเท้าตามชิวสุ่ยกลับไปเรือนอิงฮวาอย่างว่องไว พอเข้าไปถึงก็พบว่ามีคนป่วยอยู่ถึงสองคน เขาไม่รอช้า สั่งให้หมอหญิงไปดูแลอวี้หรูเหรินที่ตกใจเป็นลม ส่วนตนก็ตามชิวสุ่ยเข้าไปยังห้องนอนด้านในชิวอิงกับชิวเยวี่ยกำลังใช้ผ้าสะอาดเช็ดคราบเลือดที่เปรอะเปื้อ
เวลาไหลไปราวสายน้ำ จากวสันต์สู่คิมหันตฤดู แม้ดวงอาทิตย์จะสาดแสงให้ความอบอุ่นไปทั่วแคว้น ทว่าภายในใจของจ้าวกุ้ยอินยังคงหนาวเหน็บไม่ต่างจากฤดูเหมันต์ แม้ว่ายามนี้บาดแผลของนางจะดีขึ้นมาก แต่ก็ยังรู้สึกเจ็บแปลบในบางครั้งแต่เจ็บกาย หรือจะสู้เจ็บในทรวงจ้าวกุ้ยอินทอดถอนหายใจอย่างไร้สุ้มเสียง ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมดยามนี้สตรีที่ผู้ใหญ่เคยสนับสนุนให้แต่งงานกับฉินอ๋องเช่นนางกำลังนอนป่วยอยู่ในห้องอันอ้างว้าง ในขณะที่บุตรีแม่ทัพใหญ่กลายเป็นฉินหวางเฟยนี่กระมังที่โบราณกล่าวไว้ว่า ความแน่นอน คือความไม่แน่นอนไม่ว่าจะเป็นความงดงาม เสียงชื่นชม และสถานะสูงส่งเหนือสตรีคนอื่น ๆ ไม่ได้ช่วยให้นางได้ร่วมชีวิตกับมู่เลี่ยงหรงจ้าวกุ้ยอินไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าหากไม่ได้แต่งเข้าจวนฉินตนเองจะเป็นเช่นไร และเมื่อหนทางชีวิตได้เปลี่ยนไปแล้ว นางคงมีแต่ต้องยอมรับใช่หรือไม่ภายในห้องเงียบงัน ไม่มีเสียงตอบจากสวรรค์ หรือนรก...มีเพียงร่างบอบบางที่หัวเราะเยาะหยันในความโง่งมของตนเองในขณะที่จ้าวกุ้ยอินกำลังจมจ่อมกับความรู้สึกเศร้าสร้อย บ่าวอาวุโสผู้หนึ่งก็ก้าวเข้ามาภายในห้องแล้วเดินไปเปิดหน้าต่างทุกบาน เสร็จแล้วก็จัดการ
สายลมโชยปัดผ่านใบหน้าที่ยังดูซีดเซียว เรือนผมมันเงาพลิ้วไหว ชายอาภรณ์สีขาวปักลายดอกโบตั๋นอันประณีตสะบัดเบา ๆ จ้าวกุ้ยอินหลับตาพริ้ม สูดกลิ่นหอมสดชื่นของบุปผาที่ลอยคละเคล้ามาอยู่เงียบ ๆ ทำให้นางในยามนี้ทั้งงดงามและดูเปราะบางยิ่งสตรีร่างอรชรเอนกายลงนอนบนเก้าอี้กุ้ยเฟยในบรรยากาศอันเงียบสงบ ดูงามพิลาสอ่อนหวานราวกับภาพในจินตนาการของเหล่ากวี หากบุรุษใดได้ยลย่อมตกอยู่ในบ่วงเสน่หาบนต้นไม้ แววตาล้ำลึกคู่หนึ่งจดจ้องสตรีที่กำลังม่อยหลับโดยไม่รู้ตัวครั้นเห็นสีหน้าของจ้าวกุ้ยอินดีขึ้นแล้วผู้มาก็แอบโล่งใจ เพราะก่อนหน้านางเอาแต่เก็บตัวอยู่ในเรือน ไม่ยอมพบหน้าผู้ใด ยามนี้ยอมออกมารับสายลมแสงแดด ดูท่าคงทำใจกับเรื่องของฉินอ๋องได้บ้างแล้วกระมังเดิมทีที่ได้ยินข่าวลือว่าธิดาจ้าวอ๋องเคยกระโดดสระบัว เพราะไม่ยอมแต่งงานกับหานอ๋อง สร้างความกังวลให้เขาอย่างมาก กลัวว่านางจะทำอะไรไม่คิดอีก แต่ดูเหมือนว่าตนเองจะประเมินสตรีผู้นี้ผิดไป ครานี้จ้าวกุ้ยอินไม่ได้พยายามฆ่าตัวตาย ไม่แม้จะร้องไห้โวยวาย หรือทำตัวน่าสมเพชในเมื่อนางรู้จักรักตนเองเช่นนี้ เขาก็ควรเลิกห่วงและจากไปเสียทีแม้ว่าจะคิดเช่นนั้น แต่นัยน์ตาเหยี่ยวก
“ว่าแต่...ว่าแต่ หลังของพี่หญิงใหญ่... แบบนี้ จะไม่เป็นปัญหาหรือเจ้าค่ะ” จ้าวกุ้ยหลินยกชายแขนเสื้อขึ้นบังริมฝีปาก ทำราวกับกำลังพูดเรื่องที่ไม่น่าฟังอยู่กระนั้น“นั่นสิ ปกติสตรีที่มีรอยแผลเป็น บุรุษที่ไหนจะกล้ามาสู่ขอกันเล่า” จ้าวกุ้ยชิงเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าราวกับเด็กสาวใสซื่อ แต่นัยน์ตาสีอ่อนเจือแววเย้ยหยันบาง ๆ“ดูพูดเข้า พี่หญิงใหญ่ช่วยชีวิตฉินอ๋องเอาไว้เชียวนะ อีกไม่นานคงมีข่าวดีเป็นแน่”“ข้าก็หวังว่าฉินอ๋องจะไม่ถือสาเรื่องแผลเป็นของพี่หญิงใหญ่ แล้วรีบส่งเกี้ยวเจ้าสาวมาในเร็ววัน หาไม่แล้ว...” จ้าวกุ้ยชิงสงวนวาจาไม่กล่าวต่อจนจบ แสดงทีท่าคล้ายห่วงใย แต่แววตาเต็มไปด้วยการเยาะหยัน“เจ้าจะห่วงเรื่องนั้นไปไย พี่หญิงใหญ่เป็นถึงธิดาจ้าวอ๋อง ต่อให้ฉินอ๋องถือสาและบ่ายเบี่ยง ก็คงมีขุนนางขั้นสองขั้นสามที่ไม่ถือสาส่งแม่สื่อมาทาบทามบ้างกระมัง”“หากไม่มีเล่า พี่หญิงใหญ่จะทำเช่นไร”สองพี่น้องธิดาชายารองคนหนึ่งร้องคนหนึ่งรับ ได้มาเห็นจ้าวกุ้ยอินนั่งนิ่งเถียงไม่ออก ก็แทบจะเก็บรอยยิ้มสาแก่ใจเอาไว้ไม่อยู่ ยิ่งพูดเท่าไหร่ ยิ่งไม่น่าฟังเท่านั้น ลืมสถานะของตนเองไปเสียสนิทดี... ดีมาก ที่แท้พวกนางก็ต้องการ
จวนจ้าวอ๋อง เรือนเหลียนฮวาหลังจากจ้าวกุ้ยอินสั่งลงโทษจ้าวกุ้ยหลินกับจ้าวกุ้ยชิงให้คุกเข่าและคัดบัญญัติสตรีในห้องบูชาบรรพชน ทันทีที่ได้ข่าวเจียงอิ้งซื่อก็รีบแล่นไปขอร้องอวี้หรูเหรินให้ช่วยเหลือ“หลินเอ๋อร์กับชิงเอ๋อร์มีน้ำใจไปเยี่ยมเยียนพี่สาวที่ได้รับบาดเจ็บแท้ ๆ แต่กลับต้องถูกลงโทษ พี่สาวจะต้องช่วยพวกนางนะเจ้าค่ะ” เจียงอิ้งซื้อสะอึกสะอื้น สีหน้าแววตาดั่งผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมอวี้หรูเหรินถอนหายใจเบา ๆ ในส่วนลึกมิได้เห็นใจสตรีที่ทำท่าอ่อนแอตรงหน้าแม้แต่น้อย เพราะรู้นิสัยใจคอของสามแม่ลูกนี้ดี พอเห็นอินเอ๋อร์ของนางกำลังย่ำแย่ จึงคิดเข้าไปซ้ำเติมโดยลืมสถานะของตนเอง เช่นนี้ก็สมควรถูกสั่งสอนแล้วมิใช่หรือ“หากหลินเอ๋อร์กับชิงเอ๋อร์รู้สถานะและวางตัวเหมาะสม ไหนเลยจะถูกลงโทษ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาท่านหญิงก็ไม่เคยรังแกบุตรอนุภรรยาในจวน”“พวกนางยังเด็กไม่รู้ความ คงไม่ได้ตั้งใจทำให้ท่านหญิงขุ่นเคือง”“ตั้งใจหรือไม่ไม่สำคัญ ตอนนี้คนก็ถูกสั่งลงโทษไปแล้ว ถึงแม้ท่านอ๋องจะให้อำนาจการจัดการเรือนหลังแก่ข้า แต่ว่าสถานะก็เป็นเพียงหรูเหริน ไหนเลยจะหาญกล้ายับยั้งคำสั่งของท่านหญิง”“พวกนางสองคนเคยได้รับควา
เมื่อได้เห็นรอยยิ้มจาง ๆ กับน้ำเสียงใสกระจ่างไร้ความขุ่นเคือง อวี้หรูเหรินจึงคว้ามือขาวผ่องของจ้าวกุ้ยอินมากอบกุมเอาไว้ แล้วตบเบา ๆ จากนั้นจึงชวนสนทนาเข้าเรื่องที่ตนรับปากผู้อื่นมาเป็นธุระจัดการ“มิน่าอินเอ๋อร์ถึงได้ดูอารมณ์ดีเยี่ยงนี้ ที่แท้ก็ออกไปรับอากาศบริสุทธิ์มานี่เอง แต่...เหตุไฉนจึงมีคำสั่งลงโทษคนออกไปได้เล่า?”“เจียงอิ่งซื่อไปรบกวนท่าน?” จ้าวกุ้ยอินเลิกคิ้ว เค้นเสียงหึออกมาทีหนึ่งแล้วกล่าวต่อ “เป็นนางไม่รู้จักอบรมบุตรสาวของตนเองให้ดี จนหลินเอ๋อร์กับชิงเอ๋อร์กลายเป็นคนไม่รู้ความเยี่ยงนี้ ยังมีหน้าไปขอให้ท่านช่วยอีก”“อย่างไรนางก็เป็นมารดาผู้ให้กำเนิด ย่อมต้องห่วงใยบุตรสาวของตนเป็นธรรมดา เจ้าก็อย่าโมโหไปเลย”จ้าวกุ้ยอินหรี่ตา ใบหน้าพลันบูดบึ้ง “หรูเหรินคิดว่าข้าทำเกินไป?”“มิได้ พวกนางเหิมเกริมถึงเพียงนั้น แค่ให้นั่งคุกเข่ากับคัดบัญญัติสตรีก็นับว่าเป็นโทษสถานเบา แต่...” อวี้หรูเหรินหยุดคำพูดไว้เพียงเท่านั้น แล้วก้มหน้าลงประหนึ่งว่าไม่กล้าเอ่ยจ้าวกุ้ยอินเห็นเช่นนั้นก็อดถามออกไปไม่ได้ “แต่อะไร?”อวี้หรูเหรินเงยหน้าขึ้นพลางบีบมือจ้าวกุ้ยอิน แล้วกล่าวเสียงเบา “ห้องนั้นทั้งมืดทึบ อ
“แน่นอนว่าท่านหญิงจะต้องรู้สึกชื่นชมในตัวท่าน ที่สรรหาของหมั้นล้ำค่าเช่นนี้มาเพื่อนางโดยเฉพาะ ซื่อจื่อไม่คิดหรือว่าข้อเสนอของอี้หวายนั้นเทียบไม่ได้กับหนึ่งรอยยิ้มของว่าที่ฮูหยิน” มู่หรงอี้หวายกล่าวต่อด้วยวาจาไหลลื่นดุจวารี ริมฝีปากยกยิ้ม น้ำเสียงนุ่มนวลน่าฟัง“ที่คุณชายพูดมาก็ถูก แต่ว่า...” เยี่ยนหยางจงยังมีท่าทีลังเลเล็กน้อย ถึงแม้จะคล้อยตามไปแล้วถึงเก้าส่วน“ชื่อจื่ออย่าลังเลอีกเลย ไม่มีสตรีใดจะต้านทานความเอาใจใส่ของบุรุษได้ การลงทุนครั้งนี้คุ้มค่าแน่นอน ท่านหญิงจะต้องซาบซึ้งใจ ต่อให้ที่ผ่านมาท่านทำสิ่งใดผิด นางล้วนอภัยได้ทั้งสิ้น”อภัยให้ทุกอย่าง?หากปิ่นชิ้นนี้จะทำให้จ้าวกุ้ยอินที่กำลังโกรธเคืองเขาอยู่รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง นั่นก็คุ้มค่ามิใช่หรือเยี่ยนหยางจงครุ่นคิดครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งใดเสียหาย ตระกูลมู่หรงสืบทอดตำแหน่งวาณิชหลวงมายาวนาน ขึ้นชื่อเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต หากเขาจะกล่าวสนับสนุนชายผู้นี้ต่อสามีของน้องสาวและว่าที่พ่อภรรยาก็ไม่ผิดอันใด ในที่สุดจึงตกปากรับคำ “ได้ ข้ายินดีสนับสนุนคุณชายมู่หรง”“หยงคัง นำเครื่องประดับเข้าชุดกันให้ซื่อจื่อไปด้วย” มู่หรงอี้หวายหันไปส
“คุณชายต้องการใช้ปิ่นชิ้นนี้ทดแทนบุญคุณเท่านั้นหรือ แต่ที่ข้าทำลงไปทั้งหมดเป็นเพราะมโนธรรมทั้งสิ้น มิได้ต้องการเรียกร้องสิ่งใดตอบแทน” แม้เหตุผลจะดูฟังขึ้น แต่เยี่ยนหยางจงมิได้โง่เขลา บุรุษตรงหน้าไม่ใช่คนที่จะยอมยกอะไรให้ผู้อื่นโดยไม่คิดถึงส่วนได้ส่วนเสียอย่างแน่นอน จึงบอกปัดอย่างไม่ลังเล“ซื่อจื่อคิดมากไปแล้ว คนตระกูลมู่หรงล้วนยึดถือคติ บุญคุณต้องทดแทน ไหนเลยจะมีจุดประสงค์อื่น” ดวงตาสีนิลฉายแววคล้ายเจ็บปวดใจที่ถูกมองในแง่ร้าย ใบหน้าหล่อเหลาดูสลดหดหู่ ชวนให้เยี่ยนหยางจงรู้สึกผิดเล็กน้อย“แม้ข้าจะไม่สันทัดเรื่องเครื่องประดับของสตรี แต่มั่นใจว่าปิ่นชิ้นนี้เป็นสมบัติล้ำค่า ไหนเลยจะรับไว้เปล่า ๆ ได้”“ซื่อจื่อเป็นคนตรงไปตรงมายิ่งนัก อี้หวายก็คร้านจะอ้อมค้อมแล้ว” บุตรชายคหบดียิ้มกล่าว พลางหัวเราะเบา ๆ “...” เยี่ยนหยางจงจ้องมู่หรงอี้หวายเขม็ง เขารู้สึกว่าไม่อาจประมาทคนตรงหน้าได้อีก ท่าทางสุภาพเรียบร้อย ท่าทีเป็นมิตร ล้วนเป็นหน้ากากที่ถูกสร้างขึ้นมาปกปิดตัวตนอันแท้จริง การกระทำเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับน้องชายเขาเลยสักนิดพวกเจ้าเล่ห์!“ซื่อจื่อคงจะไม่ทราบว่าตระกูลของท่านยายข้าเป็นช่างทองหลวง ปิ่
เรือนเจาหยาง จวนไคกั๋วกงภายในห้องหนังสือ เยี่ยนหยางจงในอาภรณ์สีดำสนิทนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้มาเกือบสองชั่วยามแล้ว แม้ใบหน้าคมสันจะไร้คลื่นอารมณ์ แต่นัยน์ตาเหยี่ยวกลับนิ่งลึกและเยียบเย็น เล่นเอาทหารคนสนิทอย่างหลิวหยงเสียวสันหลังวาบ ไม่รู้ว่าผู้ใดไปยั่วโทสะท่านแม่ทัพเข้าแต่ที่แน่ ๆ ไม่ใช่เขา“หลิวหยง...”“ขะ...ขอรับ” ผู้ถูกขานชื่อพลันสะดุ้งเฮือก“คุณชายมู่หรงยังไม่มาอีกหรือ”“ยังขอรับ”“เขาจะหาของแบบที่ข้าต้องการได้หรือไม่” เยี่ยนหยางจงผินหน้าไปทางหน้าต่าง แล้วพึมพำเมื่อได้ยินคำถามหลิวหยงก็กระจ่างใจทันที ที่แท้ผู้เป็นนายกำลังกังวลเรื่องนี้นี่เอง เช่นนั้นเขาควรจะสร้างบรรยากาศที่ดีสักหน่อย“ย่อมได้อยู่แล้วขอรับ ผู้คนในแคว้นต่างรู้เรื่องนี้ดี ดังคำกล่าวที่ว่า หากต้องการของดีที่สุดในใต้หล้า จงไปร้านรับฝากสินค้าตระกูลมู่หรง” พูดไปก็ยกมือยกไม้ทำท่าทางประกอบ แววตา น้ำเสียงเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจระหว่างนั้นเสียงบ่าวรับใช้ก็ดังมาจากหน้าประตู“ซื่อจื่อ คุณชายมู่หรงมาแล้วขอรับ”“เชิญเข้ามาได้” เยี่ยนหยางจงเอ่ยอนุญาต เขาละสายตาจากหลิวหยงมองไปยังประตูทางเข้าประตูห้องหนังสือถูกเปิดออก บุรุษในอา
“ท่านพ่อ พี่ชายใหญ่ นี่หมายความว่าอย่างไร อย่าบอกนะว่าเยี่ยนหยางจงคือบุรุษที่พวกท่านเห็นว่าเหมาะสมคู่ควรกับข้า”“อินเอ๋อร์ใจเย็น ๆ ก่อน เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของท่านพ่อ เวลานั้นพวกเราพยายามทัดทานแล้ว แต่ไม่สามารถขัดพระราชประสงค์ได้” จ้าวเฟิงเหลยรู้ว่าน้องสาวของตนเองรู้สึกเช่นไร จะไม่ให้นางโกรธแค้นคงไม่ได้ แต่งกับผู้ใดไม่แต่ง ดันต้องตกเป็นเจ้าสาวพี่ชายของสตรีที่เปรียบเสมือนศัตรูหัวใจเยี่ยงนี้ เป็นตนเองก็คงเดือดดาลไม่แพ้กัน“เวลานั้น?” คิ้วเรียวพลันขมวดเป็นปม จากคำพูดของพี่ชายแสดงว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น“พ่อ... พ่อ...” จ้าวอ๋องรู้สึกละอายและเป็นทุกข์ใจอย่างยิ่ง ที่ตนเองไร้สามารถ จนไม่อาจเอ่ยคำใดออกมาได้อีก“ไหน ๆ ราชโองการถูกประกาศออกมาแล้ว พวกท่านก็เล่าความจริงออกมาเถิด อย่างน้อยข้าจะได้รู้ว่าตนเองต้องตกมาอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร” ใบหน้างามสะคราญแดงก่ำ ดวงตาฉายแววโทสะเต็มที่ ริมฝีปากเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง นางมองพี่ชายสลับกับผู้เป็นบิดา แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบจ้าวเฟิงเหลยมองหน้าบิดาพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นจึงก้าวเข้าไปเบื้องหน้าผู้เป็นน้องสาว“งานล่าสัตว์ปีที่ผ่านม
“ลูกไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ นอกเสียจากตอนอากาศเย็นจะรู้สึกปวดแผลเล็กน้อย นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงแล้ว”“ดี ในเมื่อแข็งแรงแล้วก็ดี” จ้าวอ๋องฝืนยิ้มกล่าว ขณะวางจอกชาลงบนโต๊ะตัวเล็ก“ท่านพ่อ มีสิ่งใดก็เอ่ยกับลูกมาตามตรงเถิดเจ้าค่ะ” จ้าวกุ้ยอินเอ่ยอย่างรู้ทันจ้าวอ๋องถอนหายใจเฮือกใหญ่ และกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเป็นที่สุด “ผลจากการสอบสวน ตระกูลจ้าวพ้นทุกข้อกล่าวหา พวกเรามิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีลอบสังหารผู้แทนพระองค์” พอถึงตรงนี้จ้าวอ๋องแลเห็นประกายความหวังบนดวงตาคู่สวยของธิดา แม้ไม่อยากทำร้ายใจ ก็ต้องพูดความจริงส่วนที่เหลือออกไป “แต่เนื่องจากเหตุวุ่นวายในจวนฉินอ๋อง เขาจึงประกาศไม่รับพระชายารอง หรืออนุเพิ่มอีกแล้ว”ประกายแสงในดวงตาคู่งามดับวูบ เหลือเพียงความอ้างว้างว่างเปล่า “หมายความว่า...”“ฉินอ๋องไม่มีวาสนาได้ครองคู่กับลูกสาวที่แสนดีของพ่ออย่างไรเล่า” สีหน้าของผู้เป็นบิดาไม่ได้ดีไปกว่าธิดาของตนเองเลยจ้าวกุ้ยอินค้นพบว่าถึงจะรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มากเท่าก่อนหน้านี้เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามที่ตนเองคาดการณ์ไว้ตั้งแต่แรก จ้าวกุ้ยอินที่ไม่อยากเห็นบิดาทุกข์ใจกับเรื่องของนา
ภายในจวนจ้าวอ๋องสงบเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีเรื่องใดให้จ้าวกุ้ยอินเคืองใจอีก ยกเว้นเพียงร่างกายที่ไม่แข็งแรงดุจเดิมพิษร้ายส่งผลให้ท่านหญิงป่วยกระเสาะกระแสะ ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้ย่างเท้าออกจากจวนไปร่วมสังสรรค์กับตระกูลไหนทั้งสิ้น รวมไปถึงงานล่าสัตว์ประจำปีของวังหลวงด้วยก่อนเดินทางไปร่วมงานล่าสัตว์ จ้าวเฟิงเหลยสัญญาว่าจะล่าจิ้งจอกสำหรับทำผ้าพันคอมาให้ จ้าวกุ้ยอินยิ้มแย้มประจบประแจง รู้สึกสดชื่นขึ้นทันที เพียงนึกเสียดายที่ปีนี้ไม่มีโอกาสได้ชื่นชมฝีมือการล่าสัตว์ของฉินอ๋อง และเหล่าขุนนางผู้มีฝีมือคนอื่น ๆ ทำได้เพียงยืนส่งบิดากับพี่ชายจากไปตรงหน้าประตูจวนยามนี้จ้าวกุ้ยอินใช้ชีวิตอย่างสงบ ไม่ได้รับรู้ถึงคลื่นลมที่เกิดขึ้นภายนอกแม้แต่น้อยจนกระทั่งจ้าวอ๋องกับจ้าวจวิ้นอ๋องกลับมาจากลานล่าสัตว์ คล้ายกับว่าทุกอย่างรอบกายพวกเขาดูตึงเครียดยิ่งนักทั้งบิดาและพี่ชายทำเหมือนมีเรื่องอยากจะพูดกับจ้าวกุ้ยอิน แต่ก็ไม่เอ่ยออกมา สีหน้าท่าทางราวกับคนที่กำลังกังวลใจแต่แล้วความสงสัยก็ถูกคลี่คลาย เมื่อชิวเยวี่ยสืบข่าวได้ว่าพี่ชายใหญ่ของนางทะเลาะเบาะแว้งกับเยี่ยนจิ้นหลิงเรื่องถางซือเซียน เป็นเหตุให้ฮ่องเต้ทรงไม่พอ
มู่เลี่ยงหรงโหดร้ายถึงเพียงนี้ เหตุใดจ้าวกุ้ยอินจะไม่คับแค้นเล่า แต่รู้ทั้งรู้ก็ยังเกลียดเขาไม่ลง เพราะที่ทุกอย่างออกมาในรูปนี้ ส่วนหนึ่งก็มาจากความหุนหันพลันแล่นของนางในอดีตฉินอ๋องเป็นบุคคลที่มีความสำคัญอันดับต้น ๆ ของแคว้นหาน เปรียบเสมือนพระเนตรพระกรรณของฮ่องเต้ บุรุษผู้นั้นย่อมต้องพิจารณาสตรีที่จะรับเข้ามาอยู่ข้างกายอย่างละเอียดถี่ถ้วน และสตรีขี้หึงก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีจ้าวกุ้ยอินถอนหายใจแผ่วเบาราวกับไร้เรี่ยวแรงหากในวันวานนางรักษากิริยา ไม่อาละวาดทำร้ายถางซือเซียน ตนเองย่อมเป็นสตรีที่งดงามและเพียบพร้อมในสายตาของบุรุษผู้นั้น หาใช่คนปากคอเราะราย นิสัยร้ายกาจ ไม่เหมาะเป็นพระชายาของจวนฉินอย่างทุกวันนี้“ญาติผู้พี่ต้องการให้อินเอ๋อร์...” รอยยิ้มขมขื่นปรากฏบนดวงหน้า นัยน์ตาประกายหยดน้ำสั่นระริก พยายามยามข่มกลั้นความรู้สึกอัดอั้นอันจุกแน่นอยู่ที่ลำคอ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแทบไม่ได้ยิน “ตัด...ตัดใจ”ครั้นเห็นนัยน์ตาพราวระยับไหววูบ ความผิดหวังฉายชัดจนพาให้ปวดใจตาม อวี้หรูเหรินรีบดึงจ้าวกุ้ยอินมากอดปลอบประโลม นึกเกลียดตนเองที่ยามนั้นเห็นดีเห็นงามไปกับไทเฮาและจ้าวอ๋อง ในอดีตหากทุกคน
เมื่อได้เห็นรอยยิ้มจาง ๆ กับน้ำเสียงใสกระจ่างไร้ความขุ่นเคือง อวี้หรูเหรินจึงคว้ามือขาวผ่องของจ้าวกุ้ยอินมากอบกุมเอาไว้ แล้วตบเบา ๆ จากนั้นจึงชวนสนทนาเข้าเรื่องที่ตนรับปากผู้อื่นมาเป็นธุระจัดการ“มิน่าอินเอ๋อร์ถึงได้ดูอารมณ์ดีเยี่ยงนี้ ที่แท้ก็ออกไปรับอากาศบริสุทธิ์มานี่เอง แต่...เหตุไฉนจึงมีคำสั่งลงโทษคนออกไปได้เล่า?”“เจียงอิ่งซื่อไปรบกวนท่าน?” จ้าวกุ้ยอินเลิกคิ้ว เค้นเสียงหึออกมาทีหนึ่งแล้วกล่าวต่อ “เป็นนางไม่รู้จักอบรมบุตรสาวของตนเองให้ดี จนหลินเอ๋อร์กับชิงเอ๋อร์กลายเป็นคนไม่รู้ความเยี่ยงนี้ ยังมีหน้าไปขอให้ท่านช่วยอีก”“อย่างไรนางก็เป็นมารดาผู้ให้กำเนิด ย่อมต้องห่วงใยบุตรสาวของตนเป็นธรรมดา เจ้าก็อย่าโมโหไปเลย”จ้าวกุ้ยอินหรี่ตา ใบหน้าพลันบูดบึ้ง “หรูเหรินคิดว่าข้าทำเกินไป?”“มิได้ พวกนางเหิมเกริมถึงเพียงนั้น แค่ให้นั่งคุกเข่ากับคัดบัญญัติสตรีก็นับว่าเป็นโทษสถานเบา แต่...” อวี้หรูเหรินหยุดคำพูดไว้เพียงเท่านั้น แล้วก้มหน้าลงประหนึ่งว่าไม่กล้าเอ่ยจ้าวกุ้ยอินเห็นเช่นนั้นก็อดถามออกไปไม่ได้ “แต่อะไร?”อวี้หรูเหรินเงยหน้าขึ้นพลางบีบมือจ้าวกุ้ยอิน แล้วกล่าวเสียงเบา “ห้องนั้นทั้งมืดทึบ อ
จวนจ้าวอ๋อง เรือนเหลียนฮวาหลังจากจ้าวกุ้ยอินสั่งลงโทษจ้าวกุ้ยหลินกับจ้าวกุ้ยชิงให้คุกเข่าและคัดบัญญัติสตรีในห้องบูชาบรรพชน ทันทีที่ได้ข่าวเจียงอิ้งซื่อก็รีบแล่นไปขอร้องอวี้หรูเหรินให้ช่วยเหลือ“หลินเอ๋อร์กับชิงเอ๋อร์มีน้ำใจไปเยี่ยมเยียนพี่สาวที่ได้รับบาดเจ็บแท้ ๆ แต่กลับต้องถูกลงโทษ พี่สาวจะต้องช่วยพวกนางนะเจ้าค่ะ” เจียงอิ้งซื้อสะอึกสะอื้น สีหน้าแววตาดั่งผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมอวี้หรูเหรินถอนหายใจเบา ๆ ในส่วนลึกมิได้เห็นใจสตรีที่ทำท่าอ่อนแอตรงหน้าแม้แต่น้อย เพราะรู้นิสัยใจคอของสามแม่ลูกนี้ดี พอเห็นอินเอ๋อร์ของนางกำลังย่ำแย่ จึงคิดเข้าไปซ้ำเติมโดยลืมสถานะของตนเอง เช่นนี้ก็สมควรถูกสั่งสอนแล้วมิใช่หรือ“หากหลินเอ๋อร์กับชิงเอ๋อร์รู้สถานะและวางตัวเหมาะสม ไหนเลยจะถูกลงโทษ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาท่านหญิงก็ไม่เคยรังแกบุตรอนุภรรยาในจวน”“พวกนางยังเด็กไม่รู้ความ คงไม่ได้ตั้งใจทำให้ท่านหญิงขุ่นเคือง”“ตั้งใจหรือไม่ไม่สำคัญ ตอนนี้คนก็ถูกสั่งลงโทษไปแล้ว ถึงแม้ท่านอ๋องจะให้อำนาจการจัดการเรือนหลังแก่ข้า แต่ว่าสถานะก็เป็นเพียงหรูเหริน ไหนเลยจะหาญกล้ายับยั้งคำสั่งของท่านหญิง”“พวกนางสองคนเคยได้รับควา