สายลมโชยปัดผ่านใบหน้าที่ยังดูซีดเซียว เรือนผมมันเงาพลิ้วไหว ชายอาภรณ์สีขาวปักลายดอกโบตั๋นอันประณีตสะบัดเบา ๆ จ้าวกุ้ยอินหลับตาพริ้ม สูดกลิ่นหอมสดชื่นของบุปผาที่ลอยคละเคล้ามาอยู่เงียบ ๆ ทำให้นางในยามนี้ทั้งงดงามและดูเปราะบางยิ่ง
สตรีร่างอรชรเอนกายลงนอนบนเก้าอี้กุ้ยเฟยในบรรยากาศอันเงียบสงบ ดูงามพิลาสอ่อนหวานราวกับภาพในจินตนาการของเหล่ากวี หากบุรุษใดได้ยลย่อมตกอยู่ในบ่วงเสน่หา
บนต้นไม้ แววตาล้ำลึกคู่หนึ่งจดจ้องสตรีที่กำลังม่อยหลับโดยไม่รู้ตัว
ครั้นเห็นสีหน้าของจ้าวกุ้ยอินดีขึ้นแล้วผู้มาก็แอบโล่งใจ เพราะก่อนหน้านางเอาแต่เก็บตัวอยู่ในเรือน ไม่ยอมพบหน้าผู้ใด ยามนี้ยอมออกมารับสายลมแสงแดด ดูท่าคงทำใจกับเรื่องของฉินอ๋องได้บ้างแล้วกระมัง
เดิมทีที่ได้ยินข่าวลือว่าธิดาจ้าวอ๋องเคยกระโดดสระบัว เพราะไม่ยอมแต่งงานกับหานอ๋อง สร้างความกังวลให้เขาอย่างมาก กลัวว่านางจะทำอะไรไม่คิดอีก แต่ดูเหมือนว่าตนเองจะประเมินสตรีผู้นี้ผิดไป ครานี้จ้าวกุ้ยอินไม่ได้พยายามฆ่าตัวตาย ไม่แม้จะร้องไห้โวยวาย หรือทำตัวน่าสมเพช
ในเมื่อนางรู้จักรักตนเองเช่นนี้ เขาก็ควรเลิกห่วงและจากไปเสียที
แม้ว่าจะคิดเช่นนั้น แต่นัยน์ตาเหยี่ยวกลับจดจ้องใบหน้ายามหลับของเจ้ากุ้ยอินนิ่งนาน สองเท้าไม่อาจขยับ ยิ่งได้พินิจคนงามอย่างละเอียดก็พบความจริงข้อหนึ่ง หากเจ้าตัวมิได้แต่งแต้มด้วยแป้งหนาเตอะและชาดสีเข้มตามปกติ ช่างดูอ่อนหวานและนุ่มนวลยิ่ง ความจริงผิวพรรณของนางขาวกระจ่างดั่งหิมะแรกฤดู ถึงไร้การปรุงแต่งก็งดงามเปล่งประกาย ยากที่สตรีอื่นจะเทียบเคียงได้
ชั่วขณะนั้น หัวใจที่เคยเต้นเพียงจังหวะสม่ำเสมอกลับเร่งเร้าขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เขาไม่อยากเชื่อจริง ๆ ว่าฉินอ๋องไม่เคยรู้สึกอันใดกับนาง
พอคิดถึงตรงนี้ริมฝีปากหยักพลันยกยิ้ม นัยน์ตาสีนิลฉายแววล้ำลึกจากก้นบึ้ง
เขามองสาวเจ้าจนพอใจเป็นครั้งสุดท้าย แล้วผู้มาเยือนก็เร้นกายจากไปอย่างเงียบเชียบ โดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่ามีบุรุษผู้หนึ่งแอบเข้ามาถึงเรือนชั้นในของจวนจ้าวอ๋อง...
เนื่องจากอยู่ริมน้ำไอแดดจึงไม่รบกวนสตรีที่กำลังอยู่ในห้วงนิทรา ทำให้จ้าวกุ้ยอินหลับยาวไปจนตะวันเกือบจะตรงศีรษะ ทว่าความสงบก็ต้องมีอันถูกทำลาย เมื่อเสียงหัวเราะสดใสของสตรีสองนางดังลอยมาแต่ไกล
แพขนตาขยับไหว จ้าวกุ้ยอินลืมตาตื่น นางยกมือขึ้นคลึงขมับเบา ๆ ก่อนจะหยัดกายขึ้นนั่งอย่างเกียจคร้าน แต่เมื่อมองเห็นสตรีสองคนที่กำลังก้าวเข้ามาก็เหยียดหลังตรง ปรับท่วงท่าให้สง่างามราวนางหงส์ ทั้งที่ใจจริงเพียงอยากจะกลับเข้าไปภายในเรือน
นางยังไม่พร้อมจะพบหน้าผู้ใด แต่ดูท่าคงไม่ทันการณ์เสียแล้ว
จ้าวกุ้ยหลินกับจ้าวกุ้ยชิงเดินนำนางกำนัลคนสนิทเข้ามาพลางคลี่ยิ้ม พอมาถึงก็เอ่ยทักทายจ้าวกุ้ยอินเสียงใสอย่างพร้อมเพรียง
แม้พวกนางจะมีท่าทีเคารพเชื่อฟัง แต่ความจริงกลับอิจฉาริษยาพี่สาวผู้นี้หนักหนา ก็ใครใช้ให้อีกฝ่ายเกิดมาเป็นท่านหญิงกันเล่า ทั้งที่เป็นธิดาของจ้าวอ๋องเหมือนกัน แต่สถานะกลับแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน หนำซ้ำยังเป็นคู่หมายของบุรุษหล่อเหลา องอาจ มากความสามารถอย่างฉินอ๋องอีก
สวรรค์จะลำเอียงเกินไปแล้ว!
จ้าวกุ้ยอินนับว่าเป็นกุลสตรีเพียบพร้อม ดูสูงส่งสง่างามไม่ต่างจากหงส์ขาว ผู้คนล้วนยกให้นางเป็นยอดพธูแห่งแคว้น แต่วันนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว นางไม่ต่างอะไรกับหงส์ปีกหัก ร่างกายบาดเจ็บสาหัส หนำซ้ำยังมีแผลเป็นน่าเกลียดบนแผ่นหลัง ฉินอ๋องย่อมไม่ยอมรับตุ๊กตากระเบื้องมีตำหนิ
สมน้ำหน้า!
ปกติพวกนางต้องอยู่ภายใต้เงาอันเจิดจรัสของพี่สาวคนโต ไม่อาจเฉิดฉายได้ ทั้งที่ก็เป็นดรุณีแรกแย้มงดงามไม่แพ้กัน ในเมื่อวันนี้พี่สาวผู้เย่อหยิ่งต้องมาอยู่ในสภาพอ่อนแอไร้หนทาง เช่นนี้จะไม่ให้พวกนางยินดีได้อย่างไร
“พี่หญิงใหญ่ ข้ากับน้องหญิงสี่มาเยี่ยมเจ้าค่ะ”
“ก่อนหน้าท่านพ่อไม่ให้พวกข้าเข้าไปรบกวนที่เรือนอิงฮวา พอมีคนมาแจ้งว่าวันนี้พี่หญิงใหญ่ออกมารับลมนอกเรือนได้แล้ว พวกเราถึงได้รีบมาเยี่ยมเยียนนี่แหละเจ้าค่ะ”
จ้าวกุ้ยหลินเปิดบทสนทนา จ้าวกุ้ยชิงก็รีบร้องรับกันเป็นปี่เป็นขลุ่ย
“ขอบใจหลินเอ๋อร์กับชิงเอ๋อร์ที่อุตส่าห์รีบมาเยี่ยมเยียนพี่สาว” จ้าวกุ้ยอินกล่าวพลางยิ้มน้อย ๆ แล้วผายมือเป็นเชิงอนุญาตให้น้องสาวทั้งสองนั่งลงบนเก้าอี้กลมที่บ่าวในเรือนรีบไปยกออกมาตั้งให้
“พี่หญิงใหญ่เป็นอย่างไรบ้าง ชิงเอ๋อร์เป็นห่วงจึงสวดมนต์ขอพรจากพระโพธิสัตว์ ขอให้ท่านหายวันหายคืน”
จ้าวกุ้ยชิงสวดมนต์?
จ้าวกุ้ยอินได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะเยาะหยันในใจ น้องสาวคนเล็กช่างกล้าพูดออกมาได้ หากบอกว่านางแช่งชักให้ตนเองตายไปเสียพ้นๆ ยังจะน่าเชื่อถือเสียกว่า
แต่ก็เอาเถอะ ในเมื่ออีกฝ่ายพยายามพูดเอาหน้าขนาดนี้ นางก็จะไม่ทำให้เสียเรื่อง
“ขอบใจชิงเอ๋อร์ คงเป็นเพราะเจ้าพี่สาวถึงได้อาการดีขึ้นมาก” จ้าวกุ้ยอินยิ้มเอ่ย
แม้พี่สาวผู้สูงส่งมีท่าทางอ่อนเพลีย สีหน้าซีดเซียวกว่าปกติ แต่ก็ไม่ได้ดูมีความทุกข์อย่างที่พวกนางอยากจะเห็น สองพี่น้องธิดาชายารองจึงรู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง เพราะนึกว่าวันนี้ตนเองจะได้ยลโฉมหน้ายามท่านหญิงผู้แสนยโสพ่ายแพ้ และสิ้นหวัง
โดนฉินอ๋องเขี่ยทิ้งอย่างไม่ไยดี สตรีผู้โง่งมในรักอย่างพี่สาวผู้นี้ไม่มีทางที่จะไม่รู้สึกอะไร ดูท่าคงกำลังปั้นหน้าหลอกผู้อื่นอยู่มากกว่า ไหน ๆ พวกนางก็ตั้งใจมาทุ่มหินลงน้ำ[1]อยู่แล้ว จะละความพยายามได้อย่างไร
จ้าวกุ้ยหลินเหลือบมองจ้าวกุ้ยอิน พออีกฝ่ายหันมาหาก็แสร้งหลุบตาลง ทำอึกอักอยากจะพูดแต่ไม่ยอมพูด จนผู้ถูกมองอดรำคาญใจไม่ได้ จึงเอ่ยถามออกมาเองในที่สุด
“น้องสาม ทำไมจึงมองเช่นนั้นเล่า หรือว่าหน้าพี่สาวมีสิ่งใดผิดปกติ”
“ว่าแต่...ว่าแต่ หลังของพี่หญิงใหญ่... แบบนี้ จะไม่เป็นปัญหาหรือเจ้าค่ะ” จ้าวกุ้ยหลินยกชายแขนเสื้อขึ้นบังริมฝีปาก ทำราวกับกำลังพูดเรื่องที่ไม่น่าฟังอยู่กระนั้น“นั่นสิ ปกติสตรีที่มีรอยแผลเป็น บุรุษที่ไหนจะกล้ามาสู่ขอกันเล่า” จ้าวกุ้ยชิงเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าราวกับเด็กสาวใสซื่อ แต่นัยน์ตาสีอ่อนเจือแววเย้ยหยันบาง ๆ“ดูพูดเข้า พี่หญิงใหญ่ช่วยชีวิตฉินอ๋องเอาไว้เชียวนะ อีกไม่นานคงมีข่าวดีเป็นแน่”“ข้าก็หวังว่าฉินอ๋องจะไม่ถือสาเรื่องแผลเป็นของพี่หญิงใหญ่ แล้วรีบส่งเกี้ยวเจ้าสาวมาในเร็ววัน หาไม่แล้ว...” จ้าวกุ้ยชิงสงวนวาจาไม่กล่าวต่อจนจบ แสดงทีท่าคล้ายห่วงใย แต่แววตาเต็มไปด้วยการเยาะหยัน“เจ้าจะห่วงเรื่องนั้นไปไย พี่หญิงใหญ่เป็นถึงธิดาจ้าวอ๋อง ต่อให้ฉินอ๋องถือสาและบ่ายเบี่ยง ก็คงมีขุนนางขั้นสองขั้นสามที่ไม่ถือสาส่งแม่สื่อมาทาบทามบ้างกระมัง”“หากไม่มีเล่า พี่หญิงใหญ่จะทำเช่นไร”สองพี่น้องธิดาชายารองคนหนึ่งร้องคนหนึ่งรับ ได้มาเห็นจ้าวกุ้ยอินนั่งนิ่งเถียงไม่ออก ก็แทบจะเก็บรอยยิ้มสาแก่ใจเอาไว้ไม่อยู่ ยิ่งพูดเท่าไหร่ ยิ่งไม่น่าฟังเท่านั้น ลืมสถานะของตนเองไปเสียสนิทดี... ดีมาก ที่แท้พวกนางก็ต้องการ
จวนจ้าวอ๋อง เรือนเหลียนฮวาหลังจากจ้าวกุ้ยอินสั่งลงโทษจ้าวกุ้ยหลินกับจ้าวกุ้ยชิงให้คุกเข่าและคัดบัญญัติสตรีในห้องบูชาบรรพชน ทันทีที่ได้ข่าวเจียงอิ้งซื่อก็รีบแล่นไปขอร้องอวี้หรูเหรินให้ช่วยเหลือ“หลินเอ๋อร์กับชิงเอ๋อร์มีน้ำใจไปเยี่ยมเยียนพี่สาวที่ได้รับบาดเจ็บแท้ ๆ แต่กลับต้องถูกลงโทษ พี่สาวจะต้องช่วยพวกนางนะเจ้าค่ะ” เจียงอิ้งซื้อสะอึกสะอื้น สีหน้าแววตาดั่งผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมอวี้หรูเหรินถอนหายใจเบา ๆ ในส่วนลึกมิได้เห็นใจสตรีที่ทำท่าอ่อนแอตรงหน้าแม้แต่น้อย เพราะรู้นิสัยใจคอของสามแม่ลูกนี้ดี พอเห็นอินเอ๋อร์ของนางกำลังย่ำแย่ จึงคิดเข้าไปซ้ำเติมโดยลืมสถานะของตนเอง เช่นนี้ก็สมควรถูกสั่งสอนแล้วมิใช่หรือ“หากหลินเอ๋อร์กับชิงเอ๋อร์รู้สถานะและวางตัวเหมาะสม ไหนเลยจะถูกลงโทษ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาท่านหญิงก็ไม่เคยรังแกบุตรอนุภรรยาในจวน”“พวกนางยังเด็กไม่รู้ความ คงไม่ได้ตั้งใจทำให้ท่านหญิงขุ่นเคือง”“ตั้งใจหรือไม่ไม่สำคัญ ตอนนี้คนก็ถูกสั่งลงโทษไปแล้ว ถึงแม้ท่านอ๋องจะให้อำนาจการจัดการเรือนหลังแก่ข้า แต่ว่าสถานะก็เป็นเพียงหรูเหริน ไหนเลยจะหาญกล้ายับยั้งคำสั่งของท่านหญิง”“พวกนางสองคนเคยได้รับควา
เมื่อได้เห็นรอยยิ้มจาง ๆ กับน้ำเสียงใสกระจ่างไร้ความขุ่นเคือง อวี้หรูเหรินจึงคว้ามือขาวผ่องของจ้าวกุ้ยอินมากอบกุมเอาไว้ แล้วตบเบา ๆ จากนั้นจึงชวนสนทนาเข้าเรื่องที่ตนรับปากผู้อื่นมาเป็นธุระจัดการ“มิน่าอินเอ๋อร์ถึงได้ดูอารมณ์ดีเยี่ยงนี้ ที่แท้ก็ออกไปรับอากาศบริสุทธิ์มานี่เอง แต่...เหตุไฉนจึงมีคำสั่งลงโทษคนออกไปได้เล่า?”“เจียงอิ่งซื่อไปรบกวนท่าน?” จ้าวกุ้ยอินเลิกคิ้ว เค้นเสียงหึออกมาทีหนึ่งแล้วกล่าวต่อ “เป็นนางไม่รู้จักอบรมบุตรสาวของตนเองให้ดี จนหลินเอ๋อร์กับชิงเอ๋อร์กลายเป็นคนไม่รู้ความเยี่ยงนี้ ยังมีหน้าไปขอให้ท่านช่วยอีก”“อย่างไรนางก็เป็นมารดาผู้ให้กำเนิด ย่อมต้องห่วงใยบุตรสาวของตนเป็นธรรมดา เจ้าก็อย่าโมโหไปเลย”จ้าวกุ้ยอินหรี่ตา ใบหน้าพลันบูดบึ้ง “หรูเหรินคิดว่าข้าทำเกินไป?”“มิได้ พวกนางเหิมเกริมถึงเพียงนั้น แค่ให้นั่งคุกเข่ากับคัดบัญญัติสตรีก็นับว่าเป็นโทษสถานเบา แต่...” อวี้หรูเหรินหยุดคำพูดไว้เพียงเท่านั้น แล้วก้มหน้าลงประหนึ่งว่าไม่กล้าเอ่ยจ้าวกุ้ยอินเห็นเช่นนั้นก็อดถามออกไปไม่ได้ “แต่อะไร?”อวี้หรูเหรินเงยหน้าขึ้นพลางบีบมือจ้าวกุ้ยอิน แล้วกล่าวเสียงเบา “ห้องนั้นทั้งมืดทึบ อ
มู่เลี่ยงหรงโหดร้ายถึงเพียงนี้ เหตุใดจ้าวกุ้ยอินจะไม่คับแค้นเล่า แต่รู้ทั้งรู้ก็ยังเกลียดเขาไม่ลง เพราะที่ทุกอย่างออกมาในรูปนี้ ส่วนหนึ่งก็มาจากความหุนหันพลันแล่นของนางในอดีตฉินอ๋องเป็นบุคคลที่มีความสำคัญอันดับต้น ๆ ของแคว้นหาน เปรียบเสมือนพระเนตรพระกรรณของฮ่องเต้ บุรุษผู้นั้นย่อมต้องพิจารณาสตรีที่จะรับเข้ามาอยู่ข้างกายอย่างละเอียดถี่ถ้วน และสตรีขี้หึงก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีจ้าวกุ้ยอินถอนหายใจแผ่วเบาราวกับไร้เรี่ยวแรงหากในวันวานนางรักษากิริยา ไม่อาละวาดทำร้ายถางซือเซียน ตนเองย่อมเป็นสตรีที่งดงามและเพียบพร้อมในสายตาของบุรุษผู้นั้น หาใช่คนปากคอเราะราย นิสัยร้ายกาจ ไม่เหมาะเป็นพระชายาของจวนฉินอย่างทุกวันนี้“ญาติผู้พี่ต้องการให้อินเอ๋อร์...” รอยยิ้มขมขื่นปรากฏบนดวงหน้า นัยน์ตาประกายหยดน้ำสั่นระริก พยายามยามข่มกลั้นความรู้สึกอัดอั้นอันจุกแน่นอยู่ที่ลำคอ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแทบไม่ได้ยิน “ตัด...ตัดใจ”ครั้นเห็นนัยน์ตาพราวระยับไหววูบ ความผิดหวังฉายชัดจนพาให้ปวดใจตาม อวี้หรูเหรินรีบดึงจ้าวกุ้ยอินมากอดปลอบประโลม นึกเกลียดตนเองที่ยามนั้นเห็นดีเห็นงามไปกับไทเฮาและจ้าวอ๋อง ในอดีตหากทุกคน
ภายในจวนจ้าวอ๋องสงบเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีเรื่องใดให้จ้าวกุ้ยอินเคืองใจอีก ยกเว้นเพียงร่างกายที่ไม่แข็งแรงดุจเดิมพิษร้ายส่งผลให้ท่านหญิงป่วยกระเสาะกระแสะ ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้ย่างเท้าออกจากจวนไปร่วมสังสรรค์กับตระกูลไหนทั้งสิ้น รวมไปถึงงานล่าสัตว์ประจำปีของวังหลวงด้วยก่อนเดินทางไปร่วมงานล่าสัตว์ จ้าวเฟิงเหลยสัญญาว่าจะล่าจิ้งจอกสำหรับทำผ้าพันคอมาให้ จ้าวกุ้ยอินยิ้มแย้มประจบประแจง รู้สึกสดชื่นขึ้นทันที เพียงนึกเสียดายที่ปีนี้ไม่มีโอกาสได้ชื่นชมฝีมือการล่าสัตว์ของฉินอ๋อง และเหล่าขุนนางผู้มีฝีมือคนอื่น ๆ ทำได้เพียงยืนส่งบิดากับพี่ชายจากไปตรงหน้าประตูจวนยามนี้จ้าวกุ้ยอินใช้ชีวิตอย่างสงบ ไม่ได้รับรู้ถึงคลื่นลมที่เกิดขึ้นภายนอกแม้แต่น้อยจนกระทั่งจ้าวอ๋องกับจ้าวจวิ้นอ๋องกลับมาจากลานล่าสัตว์ คล้ายกับว่าทุกอย่างรอบกายพวกเขาดูตึงเครียดยิ่งนักทั้งบิดาและพี่ชายทำเหมือนมีเรื่องอยากจะพูดกับจ้าวกุ้ยอิน แต่ก็ไม่เอ่ยออกมา สีหน้าท่าทางราวกับคนที่กำลังกังวลใจแต่แล้วความสงสัยก็ถูกคลี่คลาย เมื่อชิวเยวี่ยสืบข่าวได้ว่าพี่ชายใหญ่ของนางทะเลาะเบาะแว้งกับเยี่ยนจิ้นหลิงเรื่องถางซือเซียน เป็นเหตุให้ฮ่องเต้ทรงไม่พอ
“ลูกไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ นอกเสียจากตอนอากาศเย็นจะรู้สึกปวดแผลเล็กน้อย นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงแล้ว”“ดี ในเมื่อแข็งแรงแล้วก็ดี” จ้าวอ๋องฝืนยิ้มกล่าว ขณะวางจอกชาลงบนโต๊ะตัวเล็ก“ท่านพ่อ มีสิ่งใดก็เอ่ยกับลูกมาตามตรงเถิดเจ้าค่ะ” จ้าวกุ้ยอินเอ่ยอย่างรู้ทันจ้าวอ๋องถอนหายใจเฮือกใหญ่ และกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเป็นที่สุด “ผลจากการสอบสวน ตระกูลจ้าวพ้นทุกข้อกล่าวหา พวกเรามิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีลอบสังหารผู้แทนพระองค์” พอถึงตรงนี้จ้าวอ๋องแลเห็นประกายความหวังบนดวงตาคู่สวยของธิดา แม้ไม่อยากทำร้ายใจ ก็ต้องพูดความจริงส่วนที่เหลือออกไป “แต่เนื่องจากเหตุวุ่นวายในจวนฉินอ๋อง เขาจึงประกาศไม่รับพระชายารอง หรืออนุเพิ่มอีกแล้ว”ประกายแสงในดวงตาคู่งามดับวูบ เหลือเพียงความอ้างว้างว่างเปล่า “หมายความว่า...”“ฉินอ๋องไม่มีวาสนาได้ครองคู่กับลูกสาวที่แสนดีของพ่ออย่างไรเล่า” สีหน้าของผู้เป็นบิดาไม่ได้ดีไปกว่าธิดาของตนเองเลยจ้าวกุ้ยอินค้นพบว่าถึงจะรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มากเท่าก่อนหน้านี้เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามที่ตนเองคาดการณ์ไว้ตั้งแต่แรก จ้าวกุ้ยอินที่ไม่อยากเห็นบิดาทุกข์ใจกับเรื่องของนา
“ท่านพ่อ พี่ชายใหญ่ นี่หมายความว่าอย่างไร อย่าบอกนะว่าเยี่ยนหยางจงคือบุรุษที่พวกท่านเห็นว่าเหมาะสมคู่ควรกับข้า”“อินเอ๋อร์ใจเย็น ๆ ก่อน เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของท่านพ่อ เวลานั้นพวกเราพยายามทัดทานแล้ว แต่ไม่สามารถขัดพระราชประสงค์ได้” จ้าวเฟิงเหลยรู้ว่าน้องสาวของตนเองรู้สึกเช่นไร จะไม่ให้นางโกรธแค้นคงไม่ได้ แต่งกับผู้ใดไม่แต่ง ดันต้องตกเป็นเจ้าสาวพี่ชายของสตรีที่เปรียบเสมือนศัตรูหัวใจเยี่ยงนี้ เป็นตนเองก็คงเดือดดาลไม่แพ้กัน“เวลานั้น?” คิ้วเรียวพลันขมวดเป็นปม จากคำพูดของพี่ชายแสดงว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น“พ่อ... พ่อ...” จ้าวอ๋องรู้สึกละอายและเป็นทุกข์ใจอย่างยิ่ง ที่ตนเองไร้สามารถ จนไม่อาจเอ่ยคำใดออกมาได้อีก“ไหน ๆ ราชโองการถูกประกาศออกมาแล้ว พวกท่านก็เล่าความจริงออกมาเถิด อย่างน้อยข้าจะได้รู้ว่าตนเองต้องตกมาอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร” ใบหน้างามสะคราญแดงก่ำ ดวงตาฉายแววโทสะเต็มที่ ริมฝีปากเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง นางมองพี่ชายสลับกับผู้เป็นบิดา แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบจ้าวเฟิงเหลยมองหน้าบิดาพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นจึงก้าวเข้าไปเบื้องหน้าผู้เป็นน้องสาว“งานล่าสัตว์ปีที่ผ่านม
เรือนเจาหยาง จวนไคกั๋วกงภายในห้องหนังสือ เยี่ยนหยางจงในอาภรณ์สีดำสนิทนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้มาเกือบสองชั่วยามแล้ว แม้ใบหน้าคมสันจะไร้คลื่นอารมณ์ แต่นัยน์ตาเหยี่ยวกลับนิ่งลึกและเยียบเย็น เล่นเอาทหารคนสนิทอย่างหลิวหยงเสียวสันหลังวาบ ไม่รู้ว่าผู้ใดไปยั่วโทสะท่านแม่ทัพเข้าแต่ที่แน่ ๆ ไม่ใช่เขา“หลิวหยง...”“ขะ...ขอรับ” ผู้ถูกขานชื่อพลันสะดุ้งเฮือก“คุณชายมู่หรงยังไม่มาอีกหรือ”“ยังขอรับ”“เขาจะหาของแบบที่ข้าต้องการได้หรือไม่” เยี่ยนหยางจงผินหน้าไปทางหน้าต่าง แล้วพึมพำเมื่อได้ยินคำถามหลิวหยงก็กระจ่างใจทันที ที่แท้ผู้เป็นนายกำลังกังวลเรื่องนี้นี่เอง เช่นนั้นเขาควรจะสร้างบรรยากาศที่ดีสักหน่อย“ย่อมได้อยู่แล้วขอรับ ผู้คนในแคว้นต่างรู้เรื่องนี้ดี ดังคำกล่าวที่ว่า หากต้องการของดีที่สุดในใต้หล้า จงไปร้านรับฝากสินค้าตระกูลมู่หรง” พูดไปก็ยกมือยกไม้ทำท่าทางประกอบ แววตา น้ำเสียงเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจระหว่างนั้นเสียงบ่าวรับใช้ก็ดังมาจากหน้าประตู“ซื่อจื่อ คุณชายมู่หรงมาแล้วขอรับ”“เชิญเข้ามาได้” เยี่ยนหยางจงเอ่ยอนุญาต เขาละสายตาจากหลิวหยงมองไปยังประตูทางเข้าประตูห้องหนังสือถูกเปิดออก บุรุษในอา
“แน่นอนว่าท่านหญิงจะต้องรู้สึกชื่นชมในตัวท่าน ที่สรรหาของหมั้นล้ำค่าเช่นนี้มาเพื่อนางโดยเฉพาะ ซื่อจื่อไม่คิดหรือว่าข้อเสนอของอี้หวายนั้นเทียบไม่ได้กับหนึ่งรอยยิ้มของว่าที่ฮูหยิน” มู่หรงอี้หวายกล่าวต่อด้วยวาจาไหลลื่นดุจวารี ริมฝีปากยกยิ้ม น้ำเสียงนุ่มนวลน่าฟัง“ที่คุณชายพูดมาก็ถูก แต่ว่า...” เยี่ยนหยางจงยังมีท่าทีลังเลเล็กน้อย ถึงแม้จะคล้อยตามไปแล้วถึงเก้าส่วน“ชื่อจื่ออย่าลังเลอีกเลย ไม่มีสตรีใดจะต้านทานความเอาใจใส่ของบุรุษได้ การลงทุนครั้งนี้คุ้มค่าแน่นอน ท่านหญิงจะต้องซาบซึ้งใจ ต่อให้ที่ผ่านมาท่านทำสิ่งใดผิด นางล้วนอภัยได้ทั้งสิ้น”อภัยให้ทุกอย่าง?หากปิ่นชิ้นนี้จะทำให้จ้าวกุ้ยอินที่กำลังโกรธเคืองเขาอยู่รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง นั่นก็คุ้มค่ามิใช่หรือเยี่ยนหยางจงครุ่นคิดครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งใดเสียหาย ตระกูลมู่หรงสืบทอดตำแหน่งวาณิชหลวงมายาวนาน ขึ้นชื่อเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต หากเขาจะกล่าวสนับสนุนชายผู้นี้ต่อสามีของน้องสาวและว่าที่พ่อภรรยาก็ไม่ผิดอันใด ในที่สุดจึงตกปากรับคำ “ได้ ข้ายินดีสนับสนุนคุณชายมู่หรง”“หยงคัง นำเครื่องประดับเข้าชุดกันให้ซื่อจื่อไปด้วย” มู่หรงอี้หวายหันไปส
“คุณชายต้องการใช้ปิ่นชิ้นนี้ทดแทนบุญคุณเท่านั้นหรือ แต่ที่ข้าทำลงไปทั้งหมดเป็นเพราะมโนธรรมทั้งสิ้น มิได้ต้องการเรียกร้องสิ่งใดตอบแทน” แม้เหตุผลจะดูฟังขึ้น แต่เยี่ยนหยางจงมิได้โง่เขลา บุรุษตรงหน้าไม่ใช่คนที่จะยอมยกอะไรให้ผู้อื่นโดยไม่คิดถึงส่วนได้ส่วนเสียอย่างแน่นอน จึงบอกปัดอย่างไม่ลังเล“ซื่อจื่อคิดมากไปแล้ว คนตระกูลมู่หรงล้วนยึดถือคติ บุญคุณต้องทดแทน ไหนเลยจะมีจุดประสงค์อื่น” ดวงตาสีนิลฉายแววคล้ายเจ็บปวดใจที่ถูกมองในแง่ร้าย ใบหน้าหล่อเหลาดูสลดหดหู่ ชวนให้เยี่ยนหยางจงรู้สึกผิดเล็กน้อย“แม้ข้าจะไม่สันทัดเรื่องเครื่องประดับของสตรี แต่มั่นใจว่าปิ่นชิ้นนี้เป็นสมบัติล้ำค่า ไหนเลยจะรับไว้เปล่า ๆ ได้”“ซื่อจื่อเป็นคนตรงไปตรงมายิ่งนัก อี้หวายก็คร้านจะอ้อมค้อมแล้ว” บุตรชายคหบดียิ้มกล่าว พลางหัวเราะเบา ๆ “...” เยี่ยนหยางจงจ้องมู่หรงอี้หวายเขม็ง เขารู้สึกว่าไม่อาจประมาทคนตรงหน้าได้อีก ท่าทางสุภาพเรียบร้อย ท่าทีเป็นมิตร ล้วนเป็นหน้ากากที่ถูกสร้างขึ้นมาปกปิดตัวตนอันแท้จริง การกระทำเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับน้องชายเขาเลยสักนิดพวกเจ้าเล่ห์!“ซื่อจื่อคงจะไม่ทราบว่าตระกูลของท่านยายข้าเป็นช่างทองหลวง ปิ่
เรือนเจาหยาง จวนไคกั๋วกงภายในห้องหนังสือ เยี่ยนหยางจงในอาภรณ์สีดำสนิทนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้มาเกือบสองชั่วยามแล้ว แม้ใบหน้าคมสันจะไร้คลื่นอารมณ์ แต่นัยน์ตาเหยี่ยวกลับนิ่งลึกและเยียบเย็น เล่นเอาทหารคนสนิทอย่างหลิวหยงเสียวสันหลังวาบ ไม่รู้ว่าผู้ใดไปยั่วโทสะท่านแม่ทัพเข้าแต่ที่แน่ ๆ ไม่ใช่เขา“หลิวหยง...”“ขะ...ขอรับ” ผู้ถูกขานชื่อพลันสะดุ้งเฮือก“คุณชายมู่หรงยังไม่มาอีกหรือ”“ยังขอรับ”“เขาจะหาของแบบที่ข้าต้องการได้หรือไม่” เยี่ยนหยางจงผินหน้าไปทางหน้าต่าง แล้วพึมพำเมื่อได้ยินคำถามหลิวหยงก็กระจ่างใจทันที ที่แท้ผู้เป็นนายกำลังกังวลเรื่องนี้นี่เอง เช่นนั้นเขาควรจะสร้างบรรยากาศที่ดีสักหน่อย“ย่อมได้อยู่แล้วขอรับ ผู้คนในแคว้นต่างรู้เรื่องนี้ดี ดังคำกล่าวที่ว่า หากต้องการของดีที่สุดในใต้หล้า จงไปร้านรับฝากสินค้าตระกูลมู่หรง” พูดไปก็ยกมือยกไม้ทำท่าทางประกอบ แววตา น้ำเสียงเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจระหว่างนั้นเสียงบ่าวรับใช้ก็ดังมาจากหน้าประตู“ซื่อจื่อ คุณชายมู่หรงมาแล้วขอรับ”“เชิญเข้ามาได้” เยี่ยนหยางจงเอ่ยอนุญาต เขาละสายตาจากหลิวหยงมองไปยังประตูทางเข้าประตูห้องหนังสือถูกเปิดออก บุรุษในอา
“ท่านพ่อ พี่ชายใหญ่ นี่หมายความว่าอย่างไร อย่าบอกนะว่าเยี่ยนหยางจงคือบุรุษที่พวกท่านเห็นว่าเหมาะสมคู่ควรกับข้า”“อินเอ๋อร์ใจเย็น ๆ ก่อน เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของท่านพ่อ เวลานั้นพวกเราพยายามทัดทานแล้ว แต่ไม่สามารถขัดพระราชประสงค์ได้” จ้าวเฟิงเหลยรู้ว่าน้องสาวของตนเองรู้สึกเช่นไร จะไม่ให้นางโกรธแค้นคงไม่ได้ แต่งกับผู้ใดไม่แต่ง ดันต้องตกเป็นเจ้าสาวพี่ชายของสตรีที่เปรียบเสมือนศัตรูหัวใจเยี่ยงนี้ เป็นตนเองก็คงเดือดดาลไม่แพ้กัน“เวลานั้น?” คิ้วเรียวพลันขมวดเป็นปม จากคำพูดของพี่ชายแสดงว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น“พ่อ... พ่อ...” จ้าวอ๋องรู้สึกละอายและเป็นทุกข์ใจอย่างยิ่ง ที่ตนเองไร้สามารถ จนไม่อาจเอ่ยคำใดออกมาได้อีก“ไหน ๆ ราชโองการถูกประกาศออกมาแล้ว พวกท่านก็เล่าความจริงออกมาเถิด อย่างน้อยข้าจะได้รู้ว่าตนเองต้องตกมาอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร” ใบหน้างามสะคราญแดงก่ำ ดวงตาฉายแววโทสะเต็มที่ ริมฝีปากเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง นางมองพี่ชายสลับกับผู้เป็นบิดา แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบจ้าวเฟิงเหลยมองหน้าบิดาพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นจึงก้าวเข้าไปเบื้องหน้าผู้เป็นน้องสาว“งานล่าสัตว์ปีที่ผ่านม
“ลูกไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ นอกเสียจากตอนอากาศเย็นจะรู้สึกปวดแผลเล็กน้อย นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงแล้ว”“ดี ในเมื่อแข็งแรงแล้วก็ดี” จ้าวอ๋องฝืนยิ้มกล่าว ขณะวางจอกชาลงบนโต๊ะตัวเล็ก“ท่านพ่อ มีสิ่งใดก็เอ่ยกับลูกมาตามตรงเถิดเจ้าค่ะ” จ้าวกุ้ยอินเอ่ยอย่างรู้ทันจ้าวอ๋องถอนหายใจเฮือกใหญ่ และกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเป็นที่สุด “ผลจากการสอบสวน ตระกูลจ้าวพ้นทุกข้อกล่าวหา พวกเรามิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีลอบสังหารผู้แทนพระองค์” พอถึงตรงนี้จ้าวอ๋องแลเห็นประกายความหวังบนดวงตาคู่สวยของธิดา แม้ไม่อยากทำร้ายใจ ก็ต้องพูดความจริงส่วนที่เหลือออกไป “แต่เนื่องจากเหตุวุ่นวายในจวนฉินอ๋อง เขาจึงประกาศไม่รับพระชายารอง หรืออนุเพิ่มอีกแล้ว”ประกายแสงในดวงตาคู่งามดับวูบ เหลือเพียงความอ้างว้างว่างเปล่า “หมายความว่า...”“ฉินอ๋องไม่มีวาสนาได้ครองคู่กับลูกสาวที่แสนดีของพ่ออย่างไรเล่า” สีหน้าของผู้เป็นบิดาไม่ได้ดีไปกว่าธิดาของตนเองเลยจ้าวกุ้ยอินค้นพบว่าถึงจะรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มากเท่าก่อนหน้านี้เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามที่ตนเองคาดการณ์ไว้ตั้งแต่แรก จ้าวกุ้ยอินที่ไม่อยากเห็นบิดาทุกข์ใจกับเรื่องของนา
ภายในจวนจ้าวอ๋องสงบเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีเรื่องใดให้จ้าวกุ้ยอินเคืองใจอีก ยกเว้นเพียงร่างกายที่ไม่แข็งแรงดุจเดิมพิษร้ายส่งผลให้ท่านหญิงป่วยกระเสาะกระแสะ ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้ย่างเท้าออกจากจวนไปร่วมสังสรรค์กับตระกูลไหนทั้งสิ้น รวมไปถึงงานล่าสัตว์ประจำปีของวังหลวงด้วยก่อนเดินทางไปร่วมงานล่าสัตว์ จ้าวเฟิงเหลยสัญญาว่าจะล่าจิ้งจอกสำหรับทำผ้าพันคอมาให้ จ้าวกุ้ยอินยิ้มแย้มประจบประแจง รู้สึกสดชื่นขึ้นทันที เพียงนึกเสียดายที่ปีนี้ไม่มีโอกาสได้ชื่นชมฝีมือการล่าสัตว์ของฉินอ๋อง และเหล่าขุนนางผู้มีฝีมือคนอื่น ๆ ทำได้เพียงยืนส่งบิดากับพี่ชายจากไปตรงหน้าประตูจวนยามนี้จ้าวกุ้ยอินใช้ชีวิตอย่างสงบ ไม่ได้รับรู้ถึงคลื่นลมที่เกิดขึ้นภายนอกแม้แต่น้อยจนกระทั่งจ้าวอ๋องกับจ้าวจวิ้นอ๋องกลับมาจากลานล่าสัตว์ คล้ายกับว่าทุกอย่างรอบกายพวกเขาดูตึงเครียดยิ่งนักทั้งบิดาและพี่ชายทำเหมือนมีเรื่องอยากจะพูดกับจ้าวกุ้ยอิน แต่ก็ไม่เอ่ยออกมา สีหน้าท่าทางราวกับคนที่กำลังกังวลใจแต่แล้วความสงสัยก็ถูกคลี่คลาย เมื่อชิวเยวี่ยสืบข่าวได้ว่าพี่ชายใหญ่ของนางทะเลาะเบาะแว้งกับเยี่ยนจิ้นหลิงเรื่องถางซือเซียน เป็นเหตุให้ฮ่องเต้ทรงไม่พอ
มู่เลี่ยงหรงโหดร้ายถึงเพียงนี้ เหตุใดจ้าวกุ้ยอินจะไม่คับแค้นเล่า แต่รู้ทั้งรู้ก็ยังเกลียดเขาไม่ลง เพราะที่ทุกอย่างออกมาในรูปนี้ ส่วนหนึ่งก็มาจากความหุนหันพลันแล่นของนางในอดีตฉินอ๋องเป็นบุคคลที่มีความสำคัญอันดับต้น ๆ ของแคว้นหาน เปรียบเสมือนพระเนตรพระกรรณของฮ่องเต้ บุรุษผู้นั้นย่อมต้องพิจารณาสตรีที่จะรับเข้ามาอยู่ข้างกายอย่างละเอียดถี่ถ้วน และสตรีขี้หึงก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีจ้าวกุ้ยอินถอนหายใจแผ่วเบาราวกับไร้เรี่ยวแรงหากในวันวานนางรักษากิริยา ไม่อาละวาดทำร้ายถางซือเซียน ตนเองย่อมเป็นสตรีที่งดงามและเพียบพร้อมในสายตาของบุรุษผู้นั้น หาใช่คนปากคอเราะราย นิสัยร้ายกาจ ไม่เหมาะเป็นพระชายาของจวนฉินอย่างทุกวันนี้“ญาติผู้พี่ต้องการให้อินเอ๋อร์...” รอยยิ้มขมขื่นปรากฏบนดวงหน้า นัยน์ตาประกายหยดน้ำสั่นระริก พยายามยามข่มกลั้นความรู้สึกอัดอั้นอันจุกแน่นอยู่ที่ลำคอ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแทบไม่ได้ยิน “ตัด...ตัดใจ”ครั้นเห็นนัยน์ตาพราวระยับไหววูบ ความผิดหวังฉายชัดจนพาให้ปวดใจตาม อวี้หรูเหรินรีบดึงจ้าวกุ้ยอินมากอดปลอบประโลม นึกเกลียดตนเองที่ยามนั้นเห็นดีเห็นงามไปกับไทเฮาและจ้าวอ๋อง ในอดีตหากทุกคน
เมื่อได้เห็นรอยยิ้มจาง ๆ กับน้ำเสียงใสกระจ่างไร้ความขุ่นเคือง อวี้หรูเหรินจึงคว้ามือขาวผ่องของจ้าวกุ้ยอินมากอบกุมเอาไว้ แล้วตบเบา ๆ จากนั้นจึงชวนสนทนาเข้าเรื่องที่ตนรับปากผู้อื่นมาเป็นธุระจัดการ“มิน่าอินเอ๋อร์ถึงได้ดูอารมณ์ดีเยี่ยงนี้ ที่แท้ก็ออกไปรับอากาศบริสุทธิ์มานี่เอง แต่...เหตุไฉนจึงมีคำสั่งลงโทษคนออกไปได้เล่า?”“เจียงอิ่งซื่อไปรบกวนท่าน?” จ้าวกุ้ยอินเลิกคิ้ว เค้นเสียงหึออกมาทีหนึ่งแล้วกล่าวต่อ “เป็นนางไม่รู้จักอบรมบุตรสาวของตนเองให้ดี จนหลินเอ๋อร์กับชิงเอ๋อร์กลายเป็นคนไม่รู้ความเยี่ยงนี้ ยังมีหน้าไปขอให้ท่านช่วยอีก”“อย่างไรนางก็เป็นมารดาผู้ให้กำเนิด ย่อมต้องห่วงใยบุตรสาวของตนเป็นธรรมดา เจ้าก็อย่าโมโหไปเลย”จ้าวกุ้ยอินหรี่ตา ใบหน้าพลันบูดบึ้ง “หรูเหรินคิดว่าข้าทำเกินไป?”“มิได้ พวกนางเหิมเกริมถึงเพียงนั้น แค่ให้นั่งคุกเข่ากับคัดบัญญัติสตรีก็นับว่าเป็นโทษสถานเบา แต่...” อวี้หรูเหรินหยุดคำพูดไว้เพียงเท่านั้น แล้วก้มหน้าลงประหนึ่งว่าไม่กล้าเอ่ยจ้าวกุ้ยอินเห็นเช่นนั้นก็อดถามออกไปไม่ได้ “แต่อะไร?”อวี้หรูเหรินเงยหน้าขึ้นพลางบีบมือจ้าวกุ้ยอิน แล้วกล่าวเสียงเบา “ห้องนั้นทั้งมืดทึบ อ
จวนจ้าวอ๋อง เรือนเหลียนฮวาหลังจากจ้าวกุ้ยอินสั่งลงโทษจ้าวกุ้ยหลินกับจ้าวกุ้ยชิงให้คุกเข่าและคัดบัญญัติสตรีในห้องบูชาบรรพชน ทันทีที่ได้ข่าวเจียงอิ้งซื่อก็รีบแล่นไปขอร้องอวี้หรูเหรินให้ช่วยเหลือ“หลินเอ๋อร์กับชิงเอ๋อร์มีน้ำใจไปเยี่ยมเยียนพี่สาวที่ได้รับบาดเจ็บแท้ ๆ แต่กลับต้องถูกลงโทษ พี่สาวจะต้องช่วยพวกนางนะเจ้าค่ะ” เจียงอิ้งซื้อสะอึกสะอื้น สีหน้าแววตาดั่งผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมอวี้หรูเหรินถอนหายใจเบา ๆ ในส่วนลึกมิได้เห็นใจสตรีที่ทำท่าอ่อนแอตรงหน้าแม้แต่น้อย เพราะรู้นิสัยใจคอของสามแม่ลูกนี้ดี พอเห็นอินเอ๋อร์ของนางกำลังย่ำแย่ จึงคิดเข้าไปซ้ำเติมโดยลืมสถานะของตนเอง เช่นนี้ก็สมควรถูกสั่งสอนแล้วมิใช่หรือ“หากหลินเอ๋อร์กับชิงเอ๋อร์รู้สถานะและวางตัวเหมาะสม ไหนเลยจะถูกลงโทษ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาท่านหญิงก็ไม่เคยรังแกบุตรอนุภรรยาในจวน”“พวกนางยังเด็กไม่รู้ความ คงไม่ได้ตั้งใจทำให้ท่านหญิงขุ่นเคือง”“ตั้งใจหรือไม่ไม่สำคัญ ตอนนี้คนก็ถูกสั่งลงโทษไปแล้ว ถึงแม้ท่านอ๋องจะให้อำนาจการจัดการเรือนหลังแก่ข้า แต่ว่าสถานะก็เป็นเพียงหรูเหริน ไหนเลยจะหาญกล้ายับยั้งคำสั่งของท่านหญิง”“พวกนางสองคนเคยได้รับควา