“ว่าแต่...ว่าแต่ หลังของพี่หญิงใหญ่... แบบนี้ จะไม่เป็นปัญหาหรือเจ้าค่ะ” จ้าวกุ้ยหลินยกชายแขนเสื้อขึ้นบังริมฝีปาก ทำราวกับกำลังพูดเรื่องที่ไม่น่าฟังอยู่กระนั้น
“นั่นสิ ปกติสตรีที่มีรอยแผลเป็น บุรุษที่ไหนจะกล้ามาสู่ขอกันเล่า” จ้าวกุ้ยชิงเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าราวกับเด็กสาวใสซื่อ แต่นัยน์ตาสีอ่อนเจือแววเย้ยหยันบาง ๆ
“ดูพูดเข้า พี่หญิงใหญ่ช่วยชีวิตฉินอ๋องเอาไว้เชียวนะ อีกไม่นานคงมีข่าวดีเป็นแน่”
“ข้าก็หวังว่าฉินอ๋องจะไม่ถือสาเรื่องแผลเป็นของพี่หญิงใหญ่ แล้วรีบส่งเกี้ยวเจ้าสาวมาในเร็ววัน หาไม่แล้ว...” จ้าวกุ้ยชิงสงวนวาจาไม่กล่าวต่อจนจบ แสดงทีท่าคล้ายห่วงใย แต่แววตาเต็มไปด้วยการเยาะหยัน
“เจ้าจะห่วงเรื่องนั้นไปไย พี่หญิงใหญ่เป็นถึงธิดาจ้าวอ๋อง ต่อให้ฉินอ๋องถือสาและบ่ายเบี่ยง ก็คงมีขุนนางขั้นสองขั้นสามที่ไม่ถือสาส่งแม่สื่อมาทาบทามบ้างกระมัง”
“หากไม่มีเล่า พี่หญิงใหญ่จะทำเช่นไร”
สองพี่น้องธิดาชายารองคนหนึ่งร้องคนหนึ่งรับ ได้มาเห็นจ้าวกุ้ยอินนั่งนิ่งเถียงไม่ออก ก็แทบจะเก็บรอยยิ้มสาแก่ใจเอาไว้ไม่อยู่ ยิ่งพูดเท่าไหร่ ยิ่งไม่น่าฟังเท่านั้น ลืมสถานะของตนเองไปเสียสนิท
ดี... ดีมาก ที่แท้พวกนางก็ต้องการมาเยาะเย้ยถากถางข้านี่เอง
ในที่สุดน้องสาวผู้น่ารักก็หลุดสิ่งที่อยากพูดออกมา ความอดทนของจ้าวกุ้ยอินใกล้หมดลงแล้ว
ริมฝีปากอิ่มยกยิ้มแต่ไม่คล้ายว่าใช่ นัยน์ตาหวานล้ำแปรเปลี่ยนเป็นนิ่งลึกดุจสระเหมันต์ กลิ่นอายสูงส่งแผ่กำจาย จ้าวกุ้ยอินพลันขึ้นยืน เชิดหน้า มองลงต่ำ ทำราวกับว่ากำลังจดจ้องสิ่งมีชีวิตที่ไร้ค่าอยู่อย่างไรอย่างนั้น จ้าวกุ้ยหลินกับจ้าวกุ้ยชิงรู้สึกเย็นเยียบไปทั้งกาย พึงตระหนักว่าที่แท้ตนเองเป็นเพียงเศษธุลี ไม่อาจเทียบเคียงสตรีตรงหน้าได้ ที่สำคัญพวกนางได้แตะถูกเส้นความอดทนของจ้าวกุ้ยอินแล้ว
“น้องสาม น้องสี่ ดูเจ้าจะเป็นห่วงข้าผู้เป็นท่านหญิงเสียเหลือเกิน”
“จะ...เจ้าค่ะ หากไม่ให้เป็นห่วงพี่หญิงใหญ่ แล้วจะให้ห่วงผู้ใดเล่า อย่างไรเสียพวกเราก็เป็นน้องสาวของท่าน” จ้าวกุ้ยชิงรีบละล่ำละลักแก้ตัว หวังว่าเจ้ากุ้ยอินจะเลิกถือสา แล้วปล่อยพวกนางไป
“มีน้องสาวกตัญญูอย่างพวกเจ้า ข้าช่างโชคดีเสียจริง ๆ เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ ในเมื่อธิดาสายตรงเช่นข้าจะมิได้ออกเรือน พวกเจ้าก็ไม่ต้องตบแต่งให้ผู้ใด ต่อไปเราสามคนเก็บตัวสวดมนต์ในหอบรรพชนจนกว่าจะสิ้นชีวิตกันเถิด”
เหมือนถูกน้ำเย็นสาดทั้งร่าง จ้าวกุ้ยหลินกับจ้าวกุ้ยชิงหน้าซีดเป็นไก่ต้ม พวกนางเป็นลูกสาวที่เกิดจากเจียงอิ่งซื่อ[1] ก็ถือว่าเป็นเพียงบุตรอนุ หากธิดาสายตรงไม่ได้ออกเรือน พวกนางหรือจะมีหวัง ยิ่งถ้าอีกฝ่ายมีความประสงค์จะให้พวกนางติดตามไปสวดมนต์ในหอบรรพชน สุดท้ายก็ต้องกลายเป็นบุปผาโรยรา รอวันตายไร้คู่ชีวิตไปด้วย
เมื่อตระหนักได้ถึงความจริงข้อนี้ สองพี่น้องก็พากันคุกเข่าลงกับพื้น ครั้นเห็นคุณหนูทั้งสองทรุดกายลง สาวใช้คนสนิทที่ติดตามมาด้วยก็พากันหมอบราบกับพื้นตามเจ้านายของตนเอง ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้า
“น้องสาวพูดผิดไปแล้ว พี่หญิงใหญ่อภัยให้ด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
“พี่หญิงใหญ่งดงามถึงเพียงนี้ ท่านจะต้องได้ออกเรือนกับยอดบุรุษแน่นอนเจ้าค่ะ”
ยิ่งพูดจ้าวกุ้ยอินก็ยิ่งมองนางสองคนด้วยแววตาน่ากลัวมากขึ้นไปอีก
รังสีกดดันจากสตรีที่ยืนอยู่เบื้องหน้าทำให้สองพี่น้องแทบหายใจไม่ออก ร่างทั้งร่างสั่นเทา เพียงแต่โขกศีรษะ กล่าวขออภัยเสียงดังระงม
จ้าวกุ้ยอินเหลือบมองลงต่ำ เห็นน้องสาวต่างมารดาร้องไห้คร่ำครวญพลางโขกศีรษะก็ไม่ได้นึกเห็นใจ ตัวเกิดมาเป็นธิดาของอิ่งซื่อเท่านั้น ต่างอะไรกับลูกอนุ แต่ไม่รู้ไปกินดีหมีใจเสือมาจากที่ใด จึงมีหน้ามาพูดจาเสียดสีธิดาที่เกิดจากหวางเฟยเช่นนาง ไม่ให้คนตบปากสั่งสอนก็นับว่าปรานีแล้ว
“เด็ก ๆ พาคุณหนูรองกับคุณหนูสามไปห้องบูชาบรรพชน ให้พวกนางคุกเข่าสำนึกผิดสองชั่วยาม จากนั้นให้คัดบัญญัติสตรีอีกคนละห้าสิบจบ หากทำไม่เสร็จ ก็ไม่ต้องออกมา”
เสียงใสกังวาน ทว่าทรงอำนาจถูกส่งออกไป บ่าวอาวุโสกับสาวใช้ของเรือนอิงฮวาสามสี่คนเข้ามาลากตัวจ้าวกุ้ยหลิงกับจ้าวกุ้ยชิงออกไปตามคำสั่งทันที สาวใช้ที่ติดตามพวกนางมาล้วนพากันวิ่งตามนายของตนไปด้วยใบหน้าซีดเผือด
ความวุ่นวายจบลงแล้ว จ้าวกุ้ยอินรู้สึกเหนื่อยล้า พลันทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้กุ้ยเฟย
ดวงตาที่แข็งกร้าวค่อย ๆ อ่อนแสงลง เหลือเพียงความอ้างว้างในเบื้องลึก ตนเองมีน้องสาวหน้าตางดงามถึงสองคน แต่กลับไม่อาจสนิทสนมได้ เพียงเพราะนางคือท่านหญิงกุ้ยอิน ธิดาสายตรงเพียงหนึ่งเดียวของจ้าวอ๋อง จึงต้องรับความอิจฉาริษยาของพี่น้องไปโดยปริยาย
ผู้ใดจะล่วงรู้เล่า ว่าหลังกำแพงสูงที่ตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงของเรือนชั้นใน ล้วนแล้วแต่เป็นที่อาศัยของสตรีอ่อนหวาน ทว่าในจิตใจเจือไปด้วยยาพิษ
พวกนางต้องคอยช่วงชิงความโปรดปรานจากเจ้าของจวน งัดสารพัดวิธีออกมาเพื่อเป้าหมายของตนเอง แต่หากผู้ใดเพลี่ยงพล้ำหรือใจอ่อน ก็อาจต้องสังเวยด้วยชีวิต มีเพียงผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะสามารถยืนหยัดอยู่ได้
นี่คือความจริงที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้ภาพอันสวยงามของจวนอ๋อง
เนื่องจากเติบโตมาในครอบครัวที่บิดามีภรรยามากมาย จ้าวกุ้ยอินจึงพร้อมรับเรื่องเหล่านี้โดยไม่ได้ประหวั่นพรั่นพรึงอยู่แล้ว ต่อให้มู่เลี่ยงหรงจะมีสตรีรายล้อม แต่นางมั่นใจว่าตนเองจะช่วงชิงความโปรดปรานจากเขามาได้ในที่สุด แตกต่างจากเยี่ยนเยว่ฉีที่เกิดในครอบครัวที่บิดามีภรรยาเอกเพียงผู้เดียว สตรีเช่นนั้น ไม่นานย่อมถูกความโหดร้ายของเรือนหลังกลืนกิน โดยที่นางไม่ต้องเปลืองสมองวางแผนโค่นอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ
แต่ตอนนี้ตนเองถูกตั้งข้อสงสัย ไทเฮาจึงไม่อาจออกพระเสาวนีย์พระราชทานสมรสได้ กอปรกับอีกไม่นานนางก็จะอายุสิบเก้าปีเต็มแล้ว หากฉินอ๋องประวิงเวลาแล้วอ้างเรื่องอายุที่มากเกินไปขึ้นมาอีก สุดท้ายแล้วนางก็คงไม่ได้ขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวอยู่ดี
เสียงถอนหายใจลอยไปกับสายลม เป็นอันแน่นอนแล้วว่า...ประตูจวนฉินอ๋องปิดตายสำหรับนาง
ใบหน้างามสะคราญแขวนรอยยิ้มขื่น ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายที่นางไม่ต้องลดศักดิ์ศรีแต่งเป็นชายารองให้เขา และไม่ต้องพยายามแย่งชิงความรักจากบุรุษที่มีภรรยาอยู่ในเรือนหลังนับสิบคน
ถึงแม้จะเจ็บปวดและเสียดาย แต่ความรู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายกลับแทรกผ่านเข้ามาในหัวใจวูบหนึ่ง
บางที...นี่อาจเป็นโชคชะตา ในวันข้างหน้านางอาจจะได้ใช้ชีวิตกับบุรุษที่รักตนเองเพียงหนึ่งเดียวก็ได้
แต่จะเป็นเช่นนั้นแน่หรือ คงมีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้คำตอบ...
จวนจ้าวอ๋อง เรือนเหลียนฮวาหลังจากจ้าวกุ้ยอินสั่งลงโทษจ้าวกุ้ยหลินกับจ้าวกุ้ยชิงให้คุกเข่าและคัดบัญญัติสตรีในห้องบูชาบรรพชน ทันทีที่ได้ข่าวเจียงอิ้งซื่อก็รีบแล่นไปขอร้องอวี้หรูเหรินให้ช่วยเหลือ“หลินเอ๋อร์กับชิงเอ๋อร์มีน้ำใจไปเยี่ยมเยียนพี่สาวที่ได้รับบาดเจ็บแท้ ๆ แต่กลับต้องถูกลงโทษ พี่สาวจะต้องช่วยพวกนางนะเจ้าค่ะ” เจียงอิ้งซื้อสะอึกสะอื้น สีหน้าแววตาดั่งผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมอวี้หรูเหรินถอนหายใจเบา ๆ ในส่วนลึกมิได้เห็นใจสตรีที่ทำท่าอ่อนแอตรงหน้าแม้แต่น้อย เพราะรู้นิสัยใจคอของสามแม่ลูกนี้ดี พอเห็นอินเอ๋อร์ของนางกำลังย่ำแย่ จึงคิดเข้าไปซ้ำเติมโดยลืมสถานะของตนเอง เช่นนี้ก็สมควรถูกสั่งสอนแล้วมิใช่หรือ“หากหลินเอ๋อร์กับชิงเอ๋อร์รู้สถานะและวางตัวเหมาะสม ไหนเลยจะถูกลงโทษ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาท่านหญิงก็ไม่เคยรังแกบุตรอนุภรรยาในจวน”“พวกนางยังเด็กไม่รู้ความ คงไม่ได้ตั้งใจทำให้ท่านหญิงขุ่นเคือง”“ตั้งใจหรือไม่ไม่สำคัญ ตอนนี้คนก็ถูกสั่งลงโทษไปแล้ว ถึงแม้ท่านอ๋องจะให้อำนาจการจัดการเรือนหลังแก่ข้า แต่ว่าสถานะก็เป็นเพียงหรูเหริน ไหนเลยจะหาญกล้ายับยั้งคำสั่งของท่านหญิง”“พวกนางสองคนเคยได้รับควา
เมื่อได้เห็นรอยยิ้มจาง ๆ กับน้ำเสียงใสกระจ่างไร้ความขุ่นเคือง อวี้หรูเหรินจึงคว้ามือขาวผ่องของจ้าวกุ้ยอินมากอบกุมเอาไว้ แล้วตบเบา ๆ จากนั้นจึงชวนสนทนาเข้าเรื่องที่ตนรับปากผู้อื่นมาเป็นธุระจัดการ“มิน่าอินเอ๋อร์ถึงได้ดูอารมณ์ดีเยี่ยงนี้ ที่แท้ก็ออกไปรับอากาศบริสุทธิ์มานี่เอง แต่...เหตุไฉนจึงมีคำสั่งลงโทษคนออกไปได้เล่า?”“เจียงอิ่งซื่อไปรบกวนท่าน?” จ้าวกุ้ยอินเลิกคิ้ว เค้นเสียงหึออกมาทีหนึ่งแล้วกล่าวต่อ “เป็นนางไม่รู้จักอบรมบุตรสาวของตนเองให้ดี จนหลินเอ๋อร์กับชิงเอ๋อร์กลายเป็นคนไม่รู้ความเยี่ยงนี้ ยังมีหน้าไปขอให้ท่านช่วยอีก”“อย่างไรนางก็เป็นมารดาผู้ให้กำเนิด ย่อมต้องห่วงใยบุตรสาวของตนเป็นธรรมดา เจ้าก็อย่าโมโหไปเลย”จ้าวกุ้ยอินหรี่ตา ใบหน้าพลันบูดบึ้ง “หรูเหรินคิดว่าข้าทำเกินไป?”“มิได้ พวกนางเหิมเกริมถึงเพียงนั้น แค่ให้นั่งคุกเข่ากับคัดบัญญัติสตรีก็นับว่าเป็นโทษสถานเบา แต่...” อวี้หรูเหรินหยุดคำพูดไว้เพียงเท่านั้น แล้วก้มหน้าลงประหนึ่งว่าไม่กล้าเอ่ยจ้าวกุ้ยอินเห็นเช่นนั้นก็อดถามออกไปไม่ได้ “แต่อะไร?”อวี้หรูเหรินเงยหน้าขึ้นพลางบีบมือจ้าวกุ้ยอิน แล้วกล่าวเสียงเบา “ห้องนั้นทั้งมืดทึบ อ
มู่เลี่ยงหรงโหดร้ายถึงเพียงนี้ เหตุใดจ้าวกุ้ยอินจะไม่คับแค้นเล่า แต่รู้ทั้งรู้ก็ยังเกลียดเขาไม่ลง เพราะที่ทุกอย่างออกมาในรูปนี้ ส่วนหนึ่งก็มาจากความหุนหันพลันแล่นของนางในอดีตฉินอ๋องเป็นบุคคลที่มีความสำคัญอันดับต้น ๆ ของแคว้นหาน เปรียบเสมือนพระเนตรพระกรรณของฮ่องเต้ บุรุษผู้นั้นย่อมต้องพิจารณาสตรีที่จะรับเข้ามาอยู่ข้างกายอย่างละเอียดถี่ถ้วน และสตรีขี้หึงก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีจ้าวกุ้ยอินถอนหายใจแผ่วเบาราวกับไร้เรี่ยวแรงหากในวันวานนางรักษากิริยา ไม่อาละวาดทำร้ายถางซือเซียน ตนเองย่อมเป็นสตรีที่งดงามและเพียบพร้อมในสายตาของบุรุษผู้นั้น หาใช่คนปากคอเราะราย นิสัยร้ายกาจ ไม่เหมาะเป็นพระชายาของจวนฉินอย่างทุกวันนี้“ญาติผู้พี่ต้องการให้อินเอ๋อร์...” รอยยิ้มขมขื่นปรากฏบนดวงหน้า นัยน์ตาประกายหยดน้ำสั่นระริก พยายามยามข่มกลั้นความรู้สึกอัดอั้นอันจุกแน่นอยู่ที่ลำคอ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแทบไม่ได้ยิน “ตัด...ตัดใจ”ครั้นเห็นนัยน์ตาพราวระยับไหววูบ ความผิดหวังฉายชัดจนพาให้ปวดใจตาม อวี้หรูเหรินรีบดึงจ้าวกุ้ยอินมากอดปลอบประโลม นึกเกลียดตนเองที่ยามนั้นเห็นดีเห็นงามไปกับไทเฮาและจ้าวอ๋อง ในอดีตหากทุกคน
ภายในจวนจ้าวอ๋องสงบเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีเรื่องใดให้จ้าวกุ้ยอินเคืองใจอีก ยกเว้นเพียงร่างกายที่ไม่แข็งแรงดุจเดิมพิษร้ายส่งผลให้ท่านหญิงป่วยกระเสาะกระแสะ ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้ย่างเท้าออกจากจวนไปร่วมสังสรรค์กับตระกูลไหนทั้งสิ้น รวมไปถึงงานล่าสัตว์ประจำปีของวังหลวงด้วยก่อนเดินทางไปร่วมงานล่าสัตว์ จ้าวเฟิงเหลยสัญญาว่าจะล่าจิ้งจอกสำหรับทำผ้าพันคอมาให้ จ้าวกุ้ยอินยิ้มแย้มประจบประแจง รู้สึกสดชื่นขึ้นทันที เพียงนึกเสียดายที่ปีนี้ไม่มีโอกาสได้ชื่นชมฝีมือการล่าสัตว์ของฉินอ๋อง และเหล่าขุนนางผู้มีฝีมือคนอื่น ๆ ทำได้เพียงยืนส่งบิดากับพี่ชายจากไปตรงหน้าประตูจวนยามนี้จ้าวกุ้ยอินใช้ชีวิตอย่างสงบ ไม่ได้รับรู้ถึงคลื่นลมที่เกิดขึ้นภายนอกแม้แต่น้อยจนกระทั่งจ้าวอ๋องกับจ้าวจวิ้นอ๋องกลับมาจากลานล่าสัตว์ คล้ายกับว่าทุกอย่างรอบกายพวกเขาดูตึงเครียดยิ่งนักทั้งบิดาและพี่ชายทำเหมือนมีเรื่องอยากจะพูดกับจ้าวกุ้ยอิน แต่ก็ไม่เอ่ยออกมา สีหน้าท่าทางราวกับคนที่กำลังกังวลใจแต่แล้วความสงสัยก็ถูกคลี่คลาย เมื่อชิวเยวี่ยสืบข่าวได้ว่าพี่ชายใหญ่ของนางทะเลาะเบาะแว้งกับเยี่ยนจิ้นหลิงเรื่องถางซือเซียน เป็นเหตุให้ฮ่องเต้ทรงไม่พอ
“ลูกไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ นอกเสียจากตอนอากาศเย็นจะรู้สึกปวดแผลเล็กน้อย นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงแล้ว”“ดี ในเมื่อแข็งแรงแล้วก็ดี” จ้าวอ๋องฝืนยิ้มกล่าว ขณะวางจอกชาลงบนโต๊ะตัวเล็ก“ท่านพ่อ มีสิ่งใดก็เอ่ยกับลูกมาตามตรงเถิดเจ้าค่ะ” จ้าวกุ้ยอินเอ่ยอย่างรู้ทันจ้าวอ๋องถอนหายใจเฮือกใหญ่ และกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเป็นที่สุด “ผลจากการสอบสวน ตระกูลจ้าวพ้นทุกข้อกล่าวหา พวกเรามิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีลอบสังหารผู้แทนพระองค์” พอถึงตรงนี้จ้าวอ๋องแลเห็นประกายความหวังบนดวงตาคู่สวยของธิดา แม้ไม่อยากทำร้ายใจ ก็ต้องพูดความจริงส่วนที่เหลือออกไป “แต่เนื่องจากเหตุวุ่นวายในจวนฉินอ๋อง เขาจึงประกาศไม่รับพระชายารอง หรืออนุเพิ่มอีกแล้ว”ประกายแสงในดวงตาคู่งามดับวูบ เหลือเพียงความอ้างว้างว่างเปล่า “หมายความว่า...”“ฉินอ๋องไม่มีวาสนาได้ครองคู่กับลูกสาวที่แสนดีของพ่ออย่างไรเล่า” สีหน้าของผู้เป็นบิดาไม่ได้ดีไปกว่าธิดาของตนเองเลยจ้าวกุ้ยอินค้นพบว่าถึงจะรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มากเท่าก่อนหน้านี้เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามที่ตนเองคาดการณ์ไว้ตั้งแต่แรก จ้าวกุ้ยอินที่ไม่อยากเห็นบิดาทุกข์ใจกับเรื่องของนา
“ท่านพ่อ พี่ชายใหญ่ นี่หมายความว่าอย่างไร อย่าบอกนะว่าเยี่ยนหยางจงคือบุรุษที่พวกท่านเห็นว่าเหมาะสมคู่ควรกับข้า”“อินเอ๋อร์ใจเย็น ๆ ก่อน เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของท่านพ่อ เวลานั้นพวกเราพยายามทัดทานแล้ว แต่ไม่สามารถขัดพระราชประสงค์ได้” จ้าวเฟิงเหลยรู้ว่าน้องสาวของตนเองรู้สึกเช่นไร จะไม่ให้นางโกรธแค้นคงไม่ได้ แต่งกับผู้ใดไม่แต่ง ดันต้องตกเป็นเจ้าสาวพี่ชายของสตรีที่เปรียบเสมือนศัตรูหัวใจเยี่ยงนี้ เป็นตนเองก็คงเดือดดาลไม่แพ้กัน“เวลานั้น?” คิ้วเรียวพลันขมวดเป็นปม จากคำพูดของพี่ชายแสดงว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น“พ่อ... พ่อ...” จ้าวอ๋องรู้สึกละอายและเป็นทุกข์ใจอย่างยิ่ง ที่ตนเองไร้สามารถ จนไม่อาจเอ่ยคำใดออกมาได้อีก“ไหน ๆ ราชโองการถูกประกาศออกมาแล้ว พวกท่านก็เล่าความจริงออกมาเถิด อย่างน้อยข้าจะได้รู้ว่าตนเองต้องตกมาอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร” ใบหน้างามสะคราญแดงก่ำ ดวงตาฉายแววโทสะเต็มที่ ริมฝีปากเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง นางมองพี่ชายสลับกับผู้เป็นบิดา แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบจ้าวเฟิงเหลยมองหน้าบิดาพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นจึงก้าวเข้าไปเบื้องหน้าผู้เป็นน้องสาว“งานล่าสัตว์ปีที่ผ่านม
เรือนเจาหยาง จวนไคกั๋วกงภายในห้องหนังสือ เยี่ยนหยางจงในอาภรณ์สีดำสนิทนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้มาเกือบสองชั่วยามแล้ว แม้ใบหน้าคมสันจะไร้คลื่นอารมณ์ แต่นัยน์ตาเหยี่ยวกลับนิ่งลึกและเยียบเย็น เล่นเอาทหารคนสนิทอย่างหลิวหยงเสียวสันหลังวาบ ไม่รู้ว่าผู้ใดไปยั่วโทสะท่านแม่ทัพเข้าแต่ที่แน่ ๆ ไม่ใช่เขา“หลิวหยง...”“ขะ...ขอรับ” ผู้ถูกขานชื่อพลันสะดุ้งเฮือก“คุณชายมู่หรงยังไม่มาอีกหรือ”“ยังขอรับ”“เขาจะหาของแบบที่ข้าต้องการได้หรือไม่” เยี่ยนหยางจงผินหน้าไปทางหน้าต่าง แล้วพึมพำเมื่อได้ยินคำถามหลิวหยงก็กระจ่างใจทันที ที่แท้ผู้เป็นนายกำลังกังวลเรื่องนี้นี่เอง เช่นนั้นเขาควรจะสร้างบรรยากาศที่ดีสักหน่อย“ย่อมได้อยู่แล้วขอรับ ผู้คนในแคว้นต่างรู้เรื่องนี้ดี ดังคำกล่าวที่ว่า หากต้องการของดีที่สุดในใต้หล้า จงไปร้านรับฝากสินค้าตระกูลมู่หรง” พูดไปก็ยกมือยกไม้ทำท่าทางประกอบ แววตา น้ำเสียงเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจระหว่างนั้นเสียงบ่าวรับใช้ก็ดังมาจากหน้าประตู“ซื่อจื่อ คุณชายมู่หรงมาแล้วขอรับ”“เชิญเข้ามาได้” เยี่ยนหยางจงเอ่ยอนุญาต เขาละสายตาจากหลิวหยงมองไปยังประตูทางเข้าประตูห้องหนังสือถูกเปิดออก บุรุษในอา
“คุณชายต้องการใช้ปิ่นชิ้นนี้ทดแทนบุญคุณเท่านั้นหรือ แต่ที่ข้าทำลงไปทั้งหมดเป็นเพราะมโนธรรมทั้งสิ้น มิได้ต้องการเรียกร้องสิ่งใดตอบแทน” แม้เหตุผลจะดูฟังขึ้น แต่เยี่ยนหยางจงมิได้โง่เขลา บุรุษตรงหน้าไม่ใช่คนที่จะยอมยกอะไรให้ผู้อื่นโดยไม่คิดถึงส่วนได้ส่วนเสียอย่างแน่นอน จึงบอกปัดอย่างไม่ลังเล“ซื่อจื่อคิดมากไปแล้ว คนตระกูลมู่หรงล้วนยึดถือคติ บุญคุณต้องทดแทน ไหนเลยจะมีจุดประสงค์อื่น” ดวงตาสีนิลฉายแววคล้ายเจ็บปวดใจที่ถูกมองในแง่ร้าย ใบหน้าหล่อเหลาดูสลดหดหู่ ชวนให้เยี่ยนหยางจงรู้สึกผิดเล็กน้อย“แม้ข้าจะไม่สันทัดเรื่องเครื่องประดับของสตรี แต่มั่นใจว่าปิ่นชิ้นนี้เป็นสมบัติล้ำค่า ไหนเลยจะรับไว้เปล่า ๆ ได้”“ซื่อจื่อเป็นคนตรงไปตรงมายิ่งนัก อี้หวายก็คร้านจะอ้อมค้อมแล้ว” บุตรชายคหบดียิ้มกล่าว พลางหัวเราะเบา ๆ “...” เยี่ยนหยางจงจ้องมู่หรงอี้หวายเขม็ง เขารู้สึกว่าไม่อาจประมาทคนตรงหน้าได้อีก ท่าทางสุภาพเรียบร้อย ท่าทีเป็นมิตร ล้วนเป็นหน้ากากที่ถูกสร้างขึ้นมาปกปิดตัวตนอันแท้จริง การกระทำเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับน้องชายเขาเลยสักนิดพวกเจ้าเล่ห์!“ซื่อจื่อคงจะไม่ทราบว่าตระกูลของท่านยายข้าเป็นช่างทองหลวง ปิ่
“แน่นอนว่าท่านหญิงจะต้องรู้สึกชื่นชมในตัวท่าน ที่สรรหาของหมั้นล้ำค่าเช่นนี้มาเพื่อนางโดยเฉพาะ ซื่อจื่อไม่คิดหรือว่าข้อเสนอของอี้หวายนั้นเทียบไม่ได้กับหนึ่งรอยยิ้มของว่าที่ฮูหยิน” มู่หรงอี้หวายกล่าวต่อด้วยวาจาไหลลื่นดุจวารี ริมฝีปากยกยิ้ม น้ำเสียงนุ่มนวลน่าฟัง“ที่คุณชายพูดมาก็ถูก แต่ว่า...” เยี่ยนหยางจงยังมีท่าทีลังเลเล็กน้อย ถึงแม้จะคล้อยตามไปแล้วถึงเก้าส่วน“ชื่อจื่ออย่าลังเลอีกเลย ไม่มีสตรีใดจะต้านทานความเอาใจใส่ของบุรุษได้ การลงทุนครั้งนี้คุ้มค่าแน่นอน ท่านหญิงจะต้องซาบซึ้งใจ ต่อให้ที่ผ่านมาท่านทำสิ่งใดผิด นางล้วนอภัยได้ทั้งสิ้น”อภัยให้ทุกอย่าง?หากปิ่นชิ้นนี้จะทำให้จ้าวกุ้ยอินที่กำลังโกรธเคืองเขาอยู่รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง นั่นก็คุ้มค่ามิใช่หรือเยี่ยนหยางจงครุ่นคิดครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งใดเสียหาย ตระกูลมู่หรงสืบทอดตำแหน่งวาณิชหลวงมายาวนาน ขึ้นชื่อเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต หากเขาจะกล่าวสนับสนุนชายผู้นี้ต่อสามีของน้องสาวและว่าที่พ่อภรรยาก็ไม่ผิดอันใด ในที่สุดจึงตกปากรับคำ “ได้ ข้ายินดีสนับสนุนคุณชายมู่หรง”“หยงคัง นำเครื่องประดับเข้าชุดกันให้ซื่อจื่อไปด้วย” มู่หรงอี้หวายหันไปส
“คุณชายต้องการใช้ปิ่นชิ้นนี้ทดแทนบุญคุณเท่านั้นหรือ แต่ที่ข้าทำลงไปทั้งหมดเป็นเพราะมโนธรรมทั้งสิ้น มิได้ต้องการเรียกร้องสิ่งใดตอบแทน” แม้เหตุผลจะดูฟังขึ้น แต่เยี่ยนหยางจงมิได้โง่เขลา บุรุษตรงหน้าไม่ใช่คนที่จะยอมยกอะไรให้ผู้อื่นโดยไม่คิดถึงส่วนได้ส่วนเสียอย่างแน่นอน จึงบอกปัดอย่างไม่ลังเล“ซื่อจื่อคิดมากไปแล้ว คนตระกูลมู่หรงล้วนยึดถือคติ บุญคุณต้องทดแทน ไหนเลยจะมีจุดประสงค์อื่น” ดวงตาสีนิลฉายแววคล้ายเจ็บปวดใจที่ถูกมองในแง่ร้าย ใบหน้าหล่อเหลาดูสลดหดหู่ ชวนให้เยี่ยนหยางจงรู้สึกผิดเล็กน้อย“แม้ข้าจะไม่สันทัดเรื่องเครื่องประดับของสตรี แต่มั่นใจว่าปิ่นชิ้นนี้เป็นสมบัติล้ำค่า ไหนเลยจะรับไว้เปล่า ๆ ได้”“ซื่อจื่อเป็นคนตรงไปตรงมายิ่งนัก อี้หวายก็คร้านจะอ้อมค้อมแล้ว” บุตรชายคหบดียิ้มกล่าว พลางหัวเราะเบา ๆ “...” เยี่ยนหยางจงจ้องมู่หรงอี้หวายเขม็ง เขารู้สึกว่าไม่อาจประมาทคนตรงหน้าได้อีก ท่าทางสุภาพเรียบร้อย ท่าทีเป็นมิตร ล้วนเป็นหน้ากากที่ถูกสร้างขึ้นมาปกปิดตัวตนอันแท้จริง การกระทำเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับน้องชายเขาเลยสักนิดพวกเจ้าเล่ห์!“ซื่อจื่อคงจะไม่ทราบว่าตระกูลของท่านยายข้าเป็นช่างทองหลวง ปิ่
เรือนเจาหยาง จวนไคกั๋วกงภายในห้องหนังสือ เยี่ยนหยางจงในอาภรณ์สีดำสนิทนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้มาเกือบสองชั่วยามแล้ว แม้ใบหน้าคมสันจะไร้คลื่นอารมณ์ แต่นัยน์ตาเหยี่ยวกลับนิ่งลึกและเยียบเย็น เล่นเอาทหารคนสนิทอย่างหลิวหยงเสียวสันหลังวาบ ไม่รู้ว่าผู้ใดไปยั่วโทสะท่านแม่ทัพเข้าแต่ที่แน่ ๆ ไม่ใช่เขา“หลิวหยง...”“ขะ...ขอรับ” ผู้ถูกขานชื่อพลันสะดุ้งเฮือก“คุณชายมู่หรงยังไม่มาอีกหรือ”“ยังขอรับ”“เขาจะหาของแบบที่ข้าต้องการได้หรือไม่” เยี่ยนหยางจงผินหน้าไปทางหน้าต่าง แล้วพึมพำเมื่อได้ยินคำถามหลิวหยงก็กระจ่างใจทันที ที่แท้ผู้เป็นนายกำลังกังวลเรื่องนี้นี่เอง เช่นนั้นเขาควรจะสร้างบรรยากาศที่ดีสักหน่อย“ย่อมได้อยู่แล้วขอรับ ผู้คนในแคว้นต่างรู้เรื่องนี้ดี ดังคำกล่าวที่ว่า หากต้องการของดีที่สุดในใต้หล้า จงไปร้านรับฝากสินค้าตระกูลมู่หรง” พูดไปก็ยกมือยกไม้ทำท่าทางประกอบ แววตา น้ำเสียงเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจระหว่างนั้นเสียงบ่าวรับใช้ก็ดังมาจากหน้าประตู“ซื่อจื่อ คุณชายมู่หรงมาแล้วขอรับ”“เชิญเข้ามาได้” เยี่ยนหยางจงเอ่ยอนุญาต เขาละสายตาจากหลิวหยงมองไปยังประตูทางเข้าประตูห้องหนังสือถูกเปิดออก บุรุษในอา
“ท่านพ่อ พี่ชายใหญ่ นี่หมายความว่าอย่างไร อย่าบอกนะว่าเยี่ยนหยางจงคือบุรุษที่พวกท่านเห็นว่าเหมาะสมคู่ควรกับข้า”“อินเอ๋อร์ใจเย็น ๆ ก่อน เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของท่านพ่อ เวลานั้นพวกเราพยายามทัดทานแล้ว แต่ไม่สามารถขัดพระราชประสงค์ได้” จ้าวเฟิงเหลยรู้ว่าน้องสาวของตนเองรู้สึกเช่นไร จะไม่ให้นางโกรธแค้นคงไม่ได้ แต่งกับผู้ใดไม่แต่ง ดันต้องตกเป็นเจ้าสาวพี่ชายของสตรีที่เปรียบเสมือนศัตรูหัวใจเยี่ยงนี้ เป็นตนเองก็คงเดือดดาลไม่แพ้กัน“เวลานั้น?” คิ้วเรียวพลันขมวดเป็นปม จากคำพูดของพี่ชายแสดงว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น“พ่อ... พ่อ...” จ้าวอ๋องรู้สึกละอายและเป็นทุกข์ใจอย่างยิ่ง ที่ตนเองไร้สามารถ จนไม่อาจเอ่ยคำใดออกมาได้อีก“ไหน ๆ ราชโองการถูกประกาศออกมาแล้ว พวกท่านก็เล่าความจริงออกมาเถิด อย่างน้อยข้าจะได้รู้ว่าตนเองต้องตกมาอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร” ใบหน้างามสะคราญแดงก่ำ ดวงตาฉายแววโทสะเต็มที่ ริมฝีปากเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง นางมองพี่ชายสลับกับผู้เป็นบิดา แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบจ้าวเฟิงเหลยมองหน้าบิดาพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นจึงก้าวเข้าไปเบื้องหน้าผู้เป็นน้องสาว“งานล่าสัตว์ปีที่ผ่านม
“ลูกไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ นอกเสียจากตอนอากาศเย็นจะรู้สึกปวดแผลเล็กน้อย นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงแล้ว”“ดี ในเมื่อแข็งแรงแล้วก็ดี” จ้าวอ๋องฝืนยิ้มกล่าว ขณะวางจอกชาลงบนโต๊ะตัวเล็ก“ท่านพ่อ มีสิ่งใดก็เอ่ยกับลูกมาตามตรงเถิดเจ้าค่ะ” จ้าวกุ้ยอินเอ่ยอย่างรู้ทันจ้าวอ๋องถอนหายใจเฮือกใหญ่ และกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเป็นที่สุด “ผลจากการสอบสวน ตระกูลจ้าวพ้นทุกข้อกล่าวหา พวกเรามิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีลอบสังหารผู้แทนพระองค์” พอถึงตรงนี้จ้าวอ๋องแลเห็นประกายความหวังบนดวงตาคู่สวยของธิดา แม้ไม่อยากทำร้ายใจ ก็ต้องพูดความจริงส่วนที่เหลือออกไป “แต่เนื่องจากเหตุวุ่นวายในจวนฉินอ๋อง เขาจึงประกาศไม่รับพระชายารอง หรืออนุเพิ่มอีกแล้ว”ประกายแสงในดวงตาคู่งามดับวูบ เหลือเพียงความอ้างว้างว่างเปล่า “หมายความว่า...”“ฉินอ๋องไม่มีวาสนาได้ครองคู่กับลูกสาวที่แสนดีของพ่ออย่างไรเล่า” สีหน้าของผู้เป็นบิดาไม่ได้ดีไปกว่าธิดาของตนเองเลยจ้าวกุ้ยอินค้นพบว่าถึงจะรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มากเท่าก่อนหน้านี้เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามที่ตนเองคาดการณ์ไว้ตั้งแต่แรก จ้าวกุ้ยอินที่ไม่อยากเห็นบิดาทุกข์ใจกับเรื่องของนา
ภายในจวนจ้าวอ๋องสงบเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีเรื่องใดให้จ้าวกุ้ยอินเคืองใจอีก ยกเว้นเพียงร่างกายที่ไม่แข็งแรงดุจเดิมพิษร้ายส่งผลให้ท่านหญิงป่วยกระเสาะกระแสะ ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้ย่างเท้าออกจากจวนไปร่วมสังสรรค์กับตระกูลไหนทั้งสิ้น รวมไปถึงงานล่าสัตว์ประจำปีของวังหลวงด้วยก่อนเดินทางไปร่วมงานล่าสัตว์ จ้าวเฟิงเหลยสัญญาว่าจะล่าจิ้งจอกสำหรับทำผ้าพันคอมาให้ จ้าวกุ้ยอินยิ้มแย้มประจบประแจง รู้สึกสดชื่นขึ้นทันที เพียงนึกเสียดายที่ปีนี้ไม่มีโอกาสได้ชื่นชมฝีมือการล่าสัตว์ของฉินอ๋อง และเหล่าขุนนางผู้มีฝีมือคนอื่น ๆ ทำได้เพียงยืนส่งบิดากับพี่ชายจากไปตรงหน้าประตูจวนยามนี้จ้าวกุ้ยอินใช้ชีวิตอย่างสงบ ไม่ได้รับรู้ถึงคลื่นลมที่เกิดขึ้นภายนอกแม้แต่น้อยจนกระทั่งจ้าวอ๋องกับจ้าวจวิ้นอ๋องกลับมาจากลานล่าสัตว์ คล้ายกับว่าทุกอย่างรอบกายพวกเขาดูตึงเครียดยิ่งนักทั้งบิดาและพี่ชายทำเหมือนมีเรื่องอยากจะพูดกับจ้าวกุ้ยอิน แต่ก็ไม่เอ่ยออกมา สีหน้าท่าทางราวกับคนที่กำลังกังวลใจแต่แล้วความสงสัยก็ถูกคลี่คลาย เมื่อชิวเยวี่ยสืบข่าวได้ว่าพี่ชายใหญ่ของนางทะเลาะเบาะแว้งกับเยี่ยนจิ้นหลิงเรื่องถางซือเซียน เป็นเหตุให้ฮ่องเต้ทรงไม่พอ
มู่เลี่ยงหรงโหดร้ายถึงเพียงนี้ เหตุใดจ้าวกุ้ยอินจะไม่คับแค้นเล่า แต่รู้ทั้งรู้ก็ยังเกลียดเขาไม่ลง เพราะที่ทุกอย่างออกมาในรูปนี้ ส่วนหนึ่งก็มาจากความหุนหันพลันแล่นของนางในอดีตฉินอ๋องเป็นบุคคลที่มีความสำคัญอันดับต้น ๆ ของแคว้นหาน เปรียบเสมือนพระเนตรพระกรรณของฮ่องเต้ บุรุษผู้นั้นย่อมต้องพิจารณาสตรีที่จะรับเข้ามาอยู่ข้างกายอย่างละเอียดถี่ถ้วน และสตรีขี้หึงก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีจ้าวกุ้ยอินถอนหายใจแผ่วเบาราวกับไร้เรี่ยวแรงหากในวันวานนางรักษากิริยา ไม่อาละวาดทำร้ายถางซือเซียน ตนเองย่อมเป็นสตรีที่งดงามและเพียบพร้อมในสายตาของบุรุษผู้นั้น หาใช่คนปากคอเราะราย นิสัยร้ายกาจ ไม่เหมาะเป็นพระชายาของจวนฉินอย่างทุกวันนี้“ญาติผู้พี่ต้องการให้อินเอ๋อร์...” รอยยิ้มขมขื่นปรากฏบนดวงหน้า นัยน์ตาประกายหยดน้ำสั่นระริก พยายามยามข่มกลั้นความรู้สึกอัดอั้นอันจุกแน่นอยู่ที่ลำคอ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแทบไม่ได้ยิน “ตัด...ตัดใจ”ครั้นเห็นนัยน์ตาพราวระยับไหววูบ ความผิดหวังฉายชัดจนพาให้ปวดใจตาม อวี้หรูเหรินรีบดึงจ้าวกุ้ยอินมากอดปลอบประโลม นึกเกลียดตนเองที่ยามนั้นเห็นดีเห็นงามไปกับไทเฮาและจ้าวอ๋อง ในอดีตหากทุกคน
เมื่อได้เห็นรอยยิ้มจาง ๆ กับน้ำเสียงใสกระจ่างไร้ความขุ่นเคือง อวี้หรูเหรินจึงคว้ามือขาวผ่องของจ้าวกุ้ยอินมากอบกุมเอาไว้ แล้วตบเบา ๆ จากนั้นจึงชวนสนทนาเข้าเรื่องที่ตนรับปากผู้อื่นมาเป็นธุระจัดการ“มิน่าอินเอ๋อร์ถึงได้ดูอารมณ์ดีเยี่ยงนี้ ที่แท้ก็ออกไปรับอากาศบริสุทธิ์มานี่เอง แต่...เหตุไฉนจึงมีคำสั่งลงโทษคนออกไปได้เล่า?”“เจียงอิ่งซื่อไปรบกวนท่าน?” จ้าวกุ้ยอินเลิกคิ้ว เค้นเสียงหึออกมาทีหนึ่งแล้วกล่าวต่อ “เป็นนางไม่รู้จักอบรมบุตรสาวของตนเองให้ดี จนหลินเอ๋อร์กับชิงเอ๋อร์กลายเป็นคนไม่รู้ความเยี่ยงนี้ ยังมีหน้าไปขอให้ท่านช่วยอีก”“อย่างไรนางก็เป็นมารดาผู้ให้กำเนิด ย่อมต้องห่วงใยบุตรสาวของตนเป็นธรรมดา เจ้าก็อย่าโมโหไปเลย”จ้าวกุ้ยอินหรี่ตา ใบหน้าพลันบูดบึ้ง “หรูเหรินคิดว่าข้าทำเกินไป?”“มิได้ พวกนางเหิมเกริมถึงเพียงนั้น แค่ให้นั่งคุกเข่ากับคัดบัญญัติสตรีก็นับว่าเป็นโทษสถานเบา แต่...” อวี้หรูเหรินหยุดคำพูดไว้เพียงเท่านั้น แล้วก้มหน้าลงประหนึ่งว่าไม่กล้าเอ่ยจ้าวกุ้ยอินเห็นเช่นนั้นก็อดถามออกไปไม่ได้ “แต่อะไร?”อวี้หรูเหรินเงยหน้าขึ้นพลางบีบมือจ้าวกุ้ยอิน แล้วกล่าวเสียงเบา “ห้องนั้นทั้งมืดทึบ อ
จวนจ้าวอ๋อง เรือนเหลียนฮวาหลังจากจ้าวกุ้ยอินสั่งลงโทษจ้าวกุ้ยหลินกับจ้าวกุ้ยชิงให้คุกเข่าและคัดบัญญัติสตรีในห้องบูชาบรรพชน ทันทีที่ได้ข่าวเจียงอิ้งซื่อก็รีบแล่นไปขอร้องอวี้หรูเหรินให้ช่วยเหลือ“หลินเอ๋อร์กับชิงเอ๋อร์มีน้ำใจไปเยี่ยมเยียนพี่สาวที่ได้รับบาดเจ็บแท้ ๆ แต่กลับต้องถูกลงโทษ พี่สาวจะต้องช่วยพวกนางนะเจ้าค่ะ” เจียงอิ้งซื้อสะอึกสะอื้น สีหน้าแววตาดั่งผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมอวี้หรูเหรินถอนหายใจเบา ๆ ในส่วนลึกมิได้เห็นใจสตรีที่ทำท่าอ่อนแอตรงหน้าแม้แต่น้อย เพราะรู้นิสัยใจคอของสามแม่ลูกนี้ดี พอเห็นอินเอ๋อร์ของนางกำลังย่ำแย่ จึงคิดเข้าไปซ้ำเติมโดยลืมสถานะของตนเอง เช่นนี้ก็สมควรถูกสั่งสอนแล้วมิใช่หรือ“หากหลินเอ๋อร์กับชิงเอ๋อร์รู้สถานะและวางตัวเหมาะสม ไหนเลยจะถูกลงโทษ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาท่านหญิงก็ไม่เคยรังแกบุตรอนุภรรยาในจวน”“พวกนางยังเด็กไม่รู้ความ คงไม่ได้ตั้งใจทำให้ท่านหญิงขุ่นเคือง”“ตั้งใจหรือไม่ไม่สำคัญ ตอนนี้คนก็ถูกสั่งลงโทษไปแล้ว ถึงแม้ท่านอ๋องจะให้อำนาจการจัดการเรือนหลังแก่ข้า แต่ว่าสถานะก็เป็นเพียงหรูเหริน ไหนเลยจะหาญกล้ายับยั้งคำสั่งของท่านหญิง”“พวกนางสองคนเคยได้รับควา