“เจ้าค่ะ อินเอ๋อร์จะไม่ทำให้ท่านพ่อต้องเป็นห่วง” นางตอบพลางยกยิ้ม ทว่าไม่ถึงดวงตา
จ้าวอ๋องตบหลังมือบุตรสาวเบาๆ สองสามครั้ง แล้วค่อยลุกขึ้นเดินออกจากห้องไป
ปกติจ้าวกุ้ยอินเป็นคนที่มีความอดทน ดื้อดึง และใจแข็งยิ่งนัก แม้จะเจ็บปวดหัวใจปานใดก็จะพยายามข่มกลั้นอย่างถึงที่สุด
แต่ยามนี้ร่างกายไม่แข็งแรง หนำซ้ำยังต้องฟังเรื่องที่บีบรัดหัวใจ ความทรมานทางกายผสานกับความรู้สึกทำให้เกินทนรับไหว สุดท้ายก็กระอักโลหิต หมดสติไปอีกครั้ง
ขณะนั้น อวี้หรูเหรินนำน้ำแกงบำรุงมาให้จ้าวกุ้ยอินพอดี ทันทีที่นางกำนัลคนสนิทวิ่งหน้าตาตื่นออกมาจากห้องนอน เอ่ยละล่ำละลักว่าท่านหญิงกระอักโลหิตหมดสติไปอีกแล้ว นางก็ตกใจเป็นลมล้มไปอีกคน ทำให้เรือนอิงฮวาวุ่นวายโกลาหลขึ้นในบัดดล
โชคดีที่หมอหลวงยังไม่ทันก้าวออกจากจวนจ้าวอ๋อง ชิวสุ่ยจึงวิ่งไปรั้งตัวเขากับหมอหญิงกลับมาได้ทัน
หมอหลวงชราเร่งฝีเท้าตามชิวสุ่ยกลับไปเรือนอิงฮวาอย่างว่องไว พอเข้าไปถึงก็พบว่ามีคนป่วยอยู่ถึงสองคน เขาไม่รอช้า สั่งให้หมอหญิงไปดูแลอวี้หรูเหรินที่ตกใจเป็นลม ส่วนตนก็ตามชิวสุ่ยเข้าไปยังห้องนอนด้านใน
ชิวอิงกับชิวเยวี่ยกำลังใช้ผ้าสะอาดเช็ดคราบเลือดที่เปรอะเปื้อนที่ริมฝีปากและเนื้อตัวของนายหญิง พอเห็นท่านหมอเข้ามาก็รีบถอยออกไปยืนอยู่ข้างเตียง
หมอหลวงรีบวางล่วมยา เปิดลิ้นชักหยิบผ้าผืนเล็ก ๆ ออกมาวางลงบนข้อมือของจ้าวกุ้ยอินแล้วจับชีพจร ในระหว่างนั้นนางกำนัลคนสนิททั้งสามก็ได้แต่ยืนมองด้วยใจระทึก
ผ่านไปเพียงไม่นานหมอหลวงพลันคลายคิ้วที่ขมวดออก เก็บผ้ารองข้อมือ แล้วเดินไปเขียนเทียบยาที่โต๊ะเล็ก ๆ ตรงมุมห้อง จากนั้นก็ส่งเทียบยาให้ชิวสุ่ยที่มายืนรอรับ พร้อมกำชับข้อควรระวังอีกสองสามประโยค แล้วจึงเดินออกไปจากห้องเพื่อรายงานอาการของจ้าวกุ้ยอินให้จ้าวอ๋องทราบ
“ท่านหญิงบาดเจ็บสาหัส อาการเพิ่งจะดีขึ้น แต่ยังไม่แข็งแรงนัก จากที่ผู้น้อยตรวจอาการ ดูเหมือนว่าท่านหญิงจะได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจ เป็นเหตุให้เลือดลมปั่นป่วนจนกระอักลิ่มเลือดออกมา แต่กลับเป็นผลดีต่อการรักษา เพราะลิ่มเลือดที่ออกมานั้นคือเลือดพิษที่ตกค้างอยู่ ขอเพียงดูแลบำรุงร่างกาย และดื่มยาตามเทียบที่เขียนให้ อาการก็จะดีขึ้นตามลำดับเองขอรับ” หมอหลวงอธิบายด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคง
เสมือนยกภูเขาออกจากอก จ้าวอ๋องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ขณะเดียวกันอวี้หรูเหรินที่ฟื้นคืนสติพอดีได้ยินคำของหมอหลวงสีหน้าก็ดูแช่มชื่นขึ้น ยกมือประนมกล่าวขอบคุณสวรรค์เสียหลายประโยค
ในเมื่อคนไม่เป็นอะไรแล้ว จ้าวอ๋องจึงเชิญหมอหลวงกลับ ส่วนตนเองกับอวี้หรูเหรินก็เข้าไปเยี่ยมเจ้ากุ้ยอิน ทั้งสองอยู่ในห้องนอนของนางราว ๆ หนึ่งก้านธูป[1] จึงกลับออกมา ต่างกำชับกำชาให้เหล่าข้ารับใช้ดูแลท่านหญิงให้ดี
จันทร์กระจ่างส่องแสงสีนวล ลมราตรีโบกโชยผ่านม่านโปร่งสู่ห้องอันสลัวราง แสงจากเทียนไขเพียงไม่กี่ดวงทำให้โดยรอบดูอึมครึม ไม่ต่างอะไรกับนัยน์ตามืดลึกของผู้เป็นเจ้าของห้อง
จ้าวกุ้ยอินนอนทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมาอยู่บนเตียงอย่างเงียบเชียบ ที่นางต้องเป็นเช่นนี้ก็เพราะเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อปกป้องมู่เลี่ยงหรง บุรุษเพียงผู้เดียวที่นางเฝ้าฝันถึงมาโดยตลอด
ฤทธิ์จากบาดแผลกับพิษที่อาบมากับลูกธนูทำให้นางสลบไสล กึ่งหลับกึ่งตื่นเป็นแรมเดือน สุดท้ายพอจะมีสติรับรู้ขึ้นมาจริง ๆ บิดาก็มาแจ้งว่าตำแหน่งฉินหวางเฟยกลายเป็นของเยี่ยนเยว่ฉีไปเสียแล้ว
ในขณะที่เท้าหนึ่งของนางกำลังเหยียบเข้าประตูผี แต่มู่เลี่ยงหรงก็ไม่เคยใส่ใจ ชายผู้นั้นยังคงเลือกแต่งงานและมีความสุขกับเยี่ยนเยว่ฉีอย่างหน้าตาเฉย ลืมเลือนว่ามีสตรีที่เอาตัวแทนโล่เพื่อเขาจนหมดสิ้น
ความเจ็บปวดร้าวรานยังคงหลงเหลือ บาดแผลอยู่บนแผ่นหลัง ทว่ากลับรู้สึกเสียดแทงถึงภายในดวงใจ
จ้าวกุ้ยอินสะอื้นไห้ น้ำตาไหลเป็นสายในขณะที่ความหวังทุกอย่างพังครืน ยามนี้นางตระหนักอย่างถึงที่สุดแล้วว่าความภักดี หรือแม้กระทั่งชีวิตของตนเอง หาได้มีความหมายกับบุรุษใจหินผู้นั้นไม่
แต่ว่า... ตลอดชีวิตที่ผ่านมานั้น ทุกคนล้วนกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าในอนาคตนางจะได้เป็นชายาฉินอ๋อง ทำให้สองตานี้ไม่เคยเหลือบแลผู้ใด หนำซ้ำยังเพียรพยายามฝึกฝนตนเองอย่างหนัก เพื่อให้คู่ควรกับบุรุษผู้นั้น ถึงแม้จะรับรู้อยู่กลาย ๆ ว่าเขาอคติกับตนเอง เพราะนางปีศาจตัวหอมถางซือเซียน
แต่จ้าวกุ้ยอินก็ยังหวังว่าฉินอ๋องจะให้โอกาสตนเองสักครั้ง
ทว่านางก็ไม่เคยได้รับอะไรกลับมา...
ข้าโง่งมใช่หรือไม่ ถ้าคำตอบคือใช่ สรุปว่าที่ผ่านมาเป็นข้าผิดกระนั้นหรือ?
เมื่อคิดถึงตรงนี้เสียงหัวเราะขื่นก็เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากที่บัดนี้แห้งแตก มือกำผ้าห่มแน่นราวกับกำลังเคียดแค้นมันอยู่อย่างไรอย่างนั้น
ยิ่งนึกถึงแผลเป็นบนแผ่นหลังกับอายุย่างสิบเก้าปีของตนเอง จ้าวกุ้ยอินยิ่งรู้สึกหมดแรง
สวรรค์ ชั่วชีวิตนี้ข้ายังหวังอะไรอีก...
[1] ชั่วก้านธูป คือ ช่วงเวลาประมาณ 30 นาที
เวลาไหลไปราวสายน้ำ จากวสันต์สู่คิมหันตฤดู แม้ดวงอาทิตย์จะสาดแสงให้ความอบอุ่นไปทั่วแคว้น ทว่าภายในใจของจ้าวกุ้ยอินยังคงหนาวเหน็บไม่ต่างจากฤดูเหมันต์ แม้ว่ายามนี้บาดแผลของนางจะดีขึ้นมาก แต่ก็ยังรู้สึกเจ็บแปลบในบางครั้งแต่เจ็บกาย หรือจะสู้เจ็บในทรวงจ้าวกุ้ยอินทอดถอนหายใจอย่างไร้สุ้มเสียง ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมดยามนี้สตรีที่ผู้ใหญ่เคยสนับสนุนให้แต่งงานกับฉินอ๋องเช่นนางกำลังนอนป่วยอยู่ในห้องอันอ้างว้าง ในขณะที่บุตรีแม่ทัพใหญ่กลายเป็นฉินหวางเฟยนี่กระมังที่โบราณกล่าวไว้ว่า ความแน่นอน คือความไม่แน่นอนไม่ว่าจะเป็นความงดงาม เสียงชื่นชม และสถานะสูงส่งเหนือสตรีคนอื่น ๆ ไม่ได้ช่วยให้นางได้ร่วมชีวิตกับมู่เลี่ยงหรงจ้าวกุ้ยอินไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าหากไม่ได้แต่งเข้าจวนฉินตนเองจะเป็นเช่นไร และเมื่อหนทางชีวิตได้เปลี่ยนไปแล้ว นางคงมีแต่ต้องยอมรับใช่หรือไม่ภายในห้องเงียบงัน ไม่มีเสียงตอบจากสวรรค์ หรือนรก...มีเพียงร่างบอบบางที่หัวเราะเยาะหยันในความโง่งมของตนเองในขณะที่จ้าวกุ้ยอินกำลังจมจ่อมกับความรู้สึกเศร้าสร้อย บ่าวอาวุโสผู้หนึ่งก็ก้าวเข้ามาภายในห้องแล้วเดินไปเปิดหน้าต่างทุกบาน เสร็จแล้วก็จัดการ
สายลมโชยปัดผ่านใบหน้าที่ยังดูซีดเซียว เรือนผมมันเงาพลิ้วไหว ชายอาภรณ์สีขาวปักลายดอกโบตั๋นอันประณีตสะบัดเบา ๆ จ้าวกุ้ยอินหลับตาพริ้ม สูดกลิ่นหอมสดชื่นของบุปผาที่ลอยคละเคล้ามาอยู่เงียบ ๆ ทำให้นางในยามนี้ทั้งงดงามและดูเปราะบางยิ่งสตรีร่างอรชรเอนกายลงนอนบนเก้าอี้กุ้ยเฟยในบรรยากาศอันเงียบสงบ ดูงามพิลาสอ่อนหวานราวกับภาพในจินตนาการของเหล่ากวี หากบุรุษใดได้ยลย่อมตกอยู่ในบ่วงเสน่หาบนต้นไม้ แววตาล้ำลึกคู่หนึ่งจดจ้องสตรีที่กำลังม่อยหลับโดยไม่รู้ตัวครั้นเห็นสีหน้าของจ้าวกุ้ยอินดีขึ้นแล้วผู้มาก็แอบโล่งใจ เพราะก่อนหน้านางเอาแต่เก็บตัวอยู่ในเรือน ไม่ยอมพบหน้าผู้ใด ยามนี้ยอมออกมารับสายลมแสงแดด ดูท่าคงทำใจกับเรื่องของฉินอ๋องได้บ้างแล้วกระมังเดิมทีที่ได้ยินข่าวลือว่าธิดาจ้าวอ๋องเคยกระโดดสระบัว เพราะไม่ยอมแต่งงานกับหานอ๋อง สร้างความกังวลให้เขาอย่างมาก กลัวว่านางจะทำอะไรไม่คิดอีก แต่ดูเหมือนว่าตนเองจะประเมินสตรีผู้นี้ผิดไป ครานี้จ้าวกุ้ยอินไม่ได้พยายามฆ่าตัวตาย ไม่แม้จะร้องไห้โวยวาย หรือทำตัวน่าสมเพชในเมื่อนางรู้จักรักตนเองเช่นนี้ เขาก็ควรเลิกห่วงและจากไปเสียทีแม้ว่าจะคิดเช่นนั้น แต่นัยน์ตาเหยี่ยวก
“ว่าแต่...ว่าแต่ หลังของพี่หญิงใหญ่... แบบนี้ จะไม่เป็นปัญหาหรือเจ้าค่ะ” จ้าวกุ้ยหลินยกชายแขนเสื้อขึ้นบังริมฝีปาก ทำราวกับกำลังพูดเรื่องที่ไม่น่าฟังอยู่กระนั้น“นั่นสิ ปกติสตรีที่มีรอยแผลเป็น บุรุษที่ไหนจะกล้ามาสู่ขอกันเล่า” จ้าวกุ้ยชิงเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าราวกับเด็กสาวใสซื่อ แต่นัยน์ตาสีอ่อนเจือแววเย้ยหยันบาง ๆ“ดูพูดเข้า พี่หญิงใหญ่ช่วยชีวิตฉินอ๋องเอาไว้เชียวนะ อีกไม่นานคงมีข่าวดีเป็นแน่”“ข้าก็หวังว่าฉินอ๋องจะไม่ถือสาเรื่องแผลเป็นของพี่หญิงใหญ่ แล้วรีบส่งเกี้ยวเจ้าสาวมาในเร็ววัน หาไม่แล้ว...” จ้าวกุ้ยชิงสงวนวาจาไม่กล่าวต่อจนจบ แสดงทีท่าคล้ายห่วงใย แต่แววตาเต็มไปด้วยการเยาะหยัน“เจ้าจะห่วงเรื่องนั้นไปไย พี่หญิงใหญ่เป็นถึงธิดาจ้าวอ๋อง ต่อให้ฉินอ๋องถือสาและบ่ายเบี่ยง ก็คงมีขุนนางขั้นสองขั้นสามที่ไม่ถือสาส่งแม่สื่อมาทาบทามบ้างกระมัง”“หากไม่มีเล่า พี่หญิงใหญ่จะทำเช่นไร”สองพี่น้องธิดาชายารองคนหนึ่งร้องคนหนึ่งรับ ได้มาเห็นจ้าวกุ้ยอินนั่งนิ่งเถียงไม่ออก ก็แทบจะเก็บรอยยิ้มสาแก่ใจเอาไว้ไม่อยู่ ยิ่งพูดเท่าไหร่ ยิ่งไม่น่าฟังเท่านั้น ลืมสถานะของตนเองไปเสียสนิทดี... ดีมาก ที่แท้พวกนางก็ต้องการ
จวนจ้าวอ๋อง เรือนเหลียนฮวาหลังจากจ้าวกุ้ยอินสั่งลงโทษจ้าวกุ้ยหลินกับจ้าวกุ้ยชิงให้คุกเข่าและคัดบัญญัติสตรีในห้องบูชาบรรพชน ทันทีที่ได้ข่าวเจียงอิ้งซื่อก็รีบแล่นไปขอร้องอวี้หรูเหรินให้ช่วยเหลือ“หลินเอ๋อร์กับชิงเอ๋อร์มีน้ำใจไปเยี่ยมเยียนพี่สาวที่ได้รับบาดเจ็บแท้ ๆ แต่กลับต้องถูกลงโทษ พี่สาวจะต้องช่วยพวกนางนะเจ้าค่ะ” เจียงอิ้งซื้อสะอึกสะอื้น สีหน้าแววตาดั่งผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมอวี้หรูเหรินถอนหายใจเบา ๆ ในส่วนลึกมิได้เห็นใจสตรีที่ทำท่าอ่อนแอตรงหน้าแม้แต่น้อย เพราะรู้นิสัยใจคอของสามแม่ลูกนี้ดี พอเห็นอินเอ๋อร์ของนางกำลังย่ำแย่ จึงคิดเข้าไปซ้ำเติมโดยลืมสถานะของตนเอง เช่นนี้ก็สมควรถูกสั่งสอนแล้วมิใช่หรือ“หากหลินเอ๋อร์กับชิงเอ๋อร์รู้สถานะและวางตัวเหมาะสม ไหนเลยจะถูกลงโทษ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาท่านหญิงก็ไม่เคยรังแกบุตรอนุภรรยาในจวน”“พวกนางยังเด็กไม่รู้ความ คงไม่ได้ตั้งใจทำให้ท่านหญิงขุ่นเคือง”“ตั้งใจหรือไม่ไม่สำคัญ ตอนนี้คนก็ถูกสั่งลงโทษไปแล้ว ถึงแม้ท่านอ๋องจะให้อำนาจการจัดการเรือนหลังแก่ข้า แต่ว่าสถานะก็เป็นเพียงหรูเหริน ไหนเลยจะหาญกล้ายับยั้งคำสั่งของท่านหญิง”“พวกนางสองคนเคยได้รับควา
เมื่อได้เห็นรอยยิ้มจาง ๆ กับน้ำเสียงใสกระจ่างไร้ความขุ่นเคือง อวี้หรูเหรินจึงคว้ามือขาวผ่องของจ้าวกุ้ยอินมากอบกุมเอาไว้ แล้วตบเบา ๆ จากนั้นจึงชวนสนทนาเข้าเรื่องที่ตนรับปากผู้อื่นมาเป็นธุระจัดการ“มิน่าอินเอ๋อร์ถึงได้ดูอารมณ์ดีเยี่ยงนี้ ที่แท้ก็ออกไปรับอากาศบริสุทธิ์มานี่เอง แต่...เหตุไฉนจึงมีคำสั่งลงโทษคนออกไปได้เล่า?”“เจียงอิ่งซื่อไปรบกวนท่าน?” จ้าวกุ้ยอินเลิกคิ้ว เค้นเสียงหึออกมาทีหนึ่งแล้วกล่าวต่อ “เป็นนางไม่รู้จักอบรมบุตรสาวของตนเองให้ดี จนหลินเอ๋อร์กับชิงเอ๋อร์กลายเป็นคนไม่รู้ความเยี่ยงนี้ ยังมีหน้าไปขอให้ท่านช่วยอีก”“อย่างไรนางก็เป็นมารดาผู้ให้กำเนิด ย่อมต้องห่วงใยบุตรสาวของตนเป็นธรรมดา เจ้าก็อย่าโมโหไปเลย”จ้าวกุ้ยอินหรี่ตา ใบหน้าพลันบูดบึ้ง “หรูเหรินคิดว่าข้าทำเกินไป?”“มิได้ พวกนางเหิมเกริมถึงเพียงนั้น แค่ให้นั่งคุกเข่ากับคัดบัญญัติสตรีก็นับว่าเป็นโทษสถานเบา แต่...” อวี้หรูเหรินหยุดคำพูดไว้เพียงเท่านั้น แล้วก้มหน้าลงประหนึ่งว่าไม่กล้าเอ่ยจ้าวกุ้ยอินเห็นเช่นนั้นก็อดถามออกไปไม่ได้ “แต่อะไร?”อวี้หรูเหรินเงยหน้าขึ้นพลางบีบมือจ้าวกุ้ยอิน แล้วกล่าวเสียงเบา “ห้องนั้นทั้งมืดทึบ อ
มู่เลี่ยงหรงโหดร้ายถึงเพียงนี้ เหตุใดจ้าวกุ้ยอินจะไม่คับแค้นเล่า แต่รู้ทั้งรู้ก็ยังเกลียดเขาไม่ลง เพราะที่ทุกอย่างออกมาในรูปนี้ ส่วนหนึ่งก็มาจากความหุนหันพลันแล่นของนางในอดีตฉินอ๋องเป็นบุคคลที่มีความสำคัญอันดับต้น ๆ ของแคว้นหาน เปรียบเสมือนพระเนตรพระกรรณของฮ่องเต้ บุรุษผู้นั้นย่อมต้องพิจารณาสตรีที่จะรับเข้ามาอยู่ข้างกายอย่างละเอียดถี่ถ้วน และสตรีขี้หึงก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีจ้าวกุ้ยอินถอนหายใจแผ่วเบาราวกับไร้เรี่ยวแรงหากในวันวานนางรักษากิริยา ไม่อาละวาดทำร้ายถางซือเซียน ตนเองย่อมเป็นสตรีที่งดงามและเพียบพร้อมในสายตาของบุรุษผู้นั้น หาใช่คนปากคอเราะราย นิสัยร้ายกาจ ไม่เหมาะเป็นพระชายาของจวนฉินอย่างทุกวันนี้“ญาติผู้พี่ต้องการให้อินเอ๋อร์...” รอยยิ้มขมขื่นปรากฏบนดวงหน้า นัยน์ตาประกายหยดน้ำสั่นระริก พยายามยามข่มกลั้นความรู้สึกอัดอั้นอันจุกแน่นอยู่ที่ลำคอ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแทบไม่ได้ยิน “ตัด...ตัดใจ”ครั้นเห็นนัยน์ตาพราวระยับไหววูบ ความผิดหวังฉายชัดจนพาให้ปวดใจตาม อวี้หรูเหรินรีบดึงจ้าวกุ้ยอินมากอดปลอบประโลม นึกเกลียดตนเองที่ยามนั้นเห็นดีเห็นงามไปกับไทเฮาและจ้าวอ๋อง ในอดีตหากทุกคน
ภายในจวนจ้าวอ๋องสงบเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีเรื่องใดให้จ้าวกุ้ยอินเคืองใจอีก ยกเว้นเพียงร่างกายที่ไม่แข็งแรงดุจเดิมพิษร้ายส่งผลให้ท่านหญิงป่วยกระเสาะกระแสะ ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้ย่างเท้าออกจากจวนไปร่วมสังสรรค์กับตระกูลไหนทั้งสิ้น รวมไปถึงงานล่าสัตว์ประจำปีของวังหลวงด้วยก่อนเดินทางไปร่วมงานล่าสัตว์ จ้าวเฟิงเหลยสัญญาว่าจะล่าจิ้งจอกสำหรับทำผ้าพันคอมาให้ จ้าวกุ้ยอินยิ้มแย้มประจบประแจง รู้สึกสดชื่นขึ้นทันที เพียงนึกเสียดายที่ปีนี้ไม่มีโอกาสได้ชื่นชมฝีมือการล่าสัตว์ของฉินอ๋อง และเหล่าขุนนางผู้มีฝีมือคนอื่น ๆ ทำได้เพียงยืนส่งบิดากับพี่ชายจากไปตรงหน้าประตูจวนยามนี้จ้าวกุ้ยอินใช้ชีวิตอย่างสงบ ไม่ได้รับรู้ถึงคลื่นลมที่เกิดขึ้นภายนอกแม้แต่น้อยจนกระทั่งจ้าวอ๋องกับจ้าวจวิ้นอ๋องกลับมาจากลานล่าสัตว์ คล้ายกับว่าทุกอย่างรอบกายพวกเขาดูตึงเครียดยิ่งนักทั้งบิดาและพี่ชายทำเหมือนมีเรื่องอยากจะพูดกับจ้าวกุ้ยอิน แต่ก็ไม่เอ่ยออกมา สีหน้าท่าทางราวกับคนที่กำลังกังวลใจแต่แล้วความสงสัยก็ถูกคลี่คลาย เมื่อชิวเยวี่ยสืบข่าวได้ว่าพี่ชายใหญ่ของนางทะเลาะเบาะแว้งกับเยี่ยนจิ้นหลิงเรื่องถางซือเซียน เป็นเหตุให้ฮ่องเต้ทรงไม่พอ
“ลูกไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ นอกเสียจากตอนอากาศเย็นจะรู้สึกปวดแผลเล็กน้อย นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงแล้ว”“ดี ในเมื่อแข็งแรงแล้วก็ดี” จ้าวอ๋องฝืนยิ้มกล่าว ขณะวางจอกชาลงบนโต๊ะตัวเล็ก“ท่านพ่อ มีสิ่งใดก็เอ่ยกับลูกมาตามตรงเถิดเจ้าค่ะ” จ้าวกุ้ยอินเอ่ยอย่างรู้ทันจ้าวอ๋องถอนหายใจเฮือกใหญ่ และกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเป็นที่สุด “ผลจากการสอบสวน ตระกูลจ้าวพ้นทุกข้อกล่าวหา พวกเรามิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีลอบสังหารผู้แทนพระองค์” พอถึงตรงนี้จ้าวอ๋องแลเห็นประกายความหวังบนดวงตาคู่สวยของธิดา แม้ไม่อยากทำร้ายใจ ก็ต้องพูดความจริงส่วนที่เหลือออกไป “แต่เนื่องจากเหตุวุ่นวายในจวนฉินอ๋อง เขาจึงประกาศไม่รับพระชายารอง หรืออนุเพิ่มอีกแล้ว”ประกายแสงในดวงตาคู่งามดับวูบ เหลือเพียงความอ้างว้างว่างเปล่า “หมายความว่า...”“ฉินอ๋องไม่มีวาสนาได้ครองคู่กับลูกสาวที่แสนดีของพ่ออย่างไรเล่า” สีหน้าของผู้เป็นบิดาไม่ได้ดีไปกว่าธิดาของตนเองเลยจ้าวกุ้ยอินค้นพบว่าถึงจะรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มากเท่าก่อนหน้านี้เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามที่ตนเองคาดการณ์ไว้ตั้งแต่แรก จ้าวกุ้ยอินที่ไม่อยากเห็นบิดาทุกข์ใจกับเรื่องของนา
“แน่นอนว่าท่านหญิงจะต้องรู้สึกชื่นชมในตัวท่าน ที่สรรหาของหมั้นล้ำค่าเช่นนี้มาเพื่อนางโดยเฉพาะ ซื่อจื่อไม่คิดหรือว่าข้อเสนอของอี้หวายนั้นเทียบไม่ได้กับหนึ่งรอยยิ้มของว่าที่ฮูหยิน” มู่หรงอี้หวายกล่าวต่อด้วยวาจาไหลลื่นดุจวารี ริมฝีปากยกยิ้ม น้ำเสียงนุ่มนวลน่าฟัง“ที่คุณชายพูดมาก็ถูก แต่ว่า...” เยี่ยนหยางจงยังมีท่าทีลังเลเล็กน้อย ถึงแม้จะคล้อยตามไปแล้วถึงเก้าส่วน“ชื่อจื่ออย่าลังเลอีกเลย ไม่มีสตรีใดจะต้านทานความเอาใจใส่ของบุรุษได้ การลงทุนครั้งนี้คุ้มค่าแน่นอน ท่านหญิงจะต้องซาบซึ้งใจ ต่อให้ที่ผ่านมาท่านทำสิ่งใดผิด นางล้วนอภัยได้ทั้งสิ้น”อภัยให้ทุกอย่าง?หากปิ่นชิ้นนี้จะทำให้จ้าวกุ้ยอินที่กำลังโกรธเคืองเขาอยู่รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง นั่นก็คุ้มค่ามิใช่หรือเยี่ยนหยางจงครุ่นคิดครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งใดเสียหาย ตระกูลมู่หรงสืบทอดตำแหน่งวาณิชหลวงมายาวนาน ขึ้นชื่อเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต หากเขาจะกล่าวสนับสนุนชายผู้นี้ต่อสามีของน้องสาวและว่าที่พ่อภรรยาก็ไม่ผิดอันใด ในที่สุดจึงตกปากรับคำ “ได้ ข้ายินดีสนับสนุนคุณชายมู่หรง”“หยงคัง นำเครื่องประดับเข้าชุดกันให้ซื่อจื่อไปด้วย” มู่หรงอี้หวายหันไปส
“คุณชายต้องการใช้ปิ่นชิ้นนี้ทดแทนบุญคุณเท่านั้นหรือ แต่ที่ข้าทำลงไปทั้งหมดเป็นเพราะมโนธรรมทั้งสิ้น มิได้ต้องการเรียกร้องสิ่งใดตอบแทน” แม้เหตุผลจะดูฟังขึ้น แต่เยี่ยนหยางจงมิได้โง่เขลา บุรุษตรงหน้าไม่ใช่คนที่จะยอมยกอะไรให้ผู้อื่นโดยไม่คิดถึงส่วนได้ส่วนเสียอย่างแน่นอน จึงบอกปัดอย่างไม่ลังเล“ซื่อจื่อคิดมากไปแล้ว คนตระกูลมู่หรงล้วนยึดถือคติ บุญคุณต้องทดแทน ไหนเลยจะมีจุดประสงค์อื่น” ดวงตาสีนิลฉายแววคล้ายเจ็บปวดใจที่ถูกมองในแง่ร้าย ใบหน้าหล่อเหลาดูสลดหดหู่ ชวนให้เยี่ยนหยางจงรู้สึกผิดเล็กน้อย“แม้ข้าจะไม่สันทัดเรื่องเครื่องประดับของสตรี แต่มั่นใจว่าปิ่นชิ้นนี้เป็นสมบัติล้ำค่า ไหนเลยจะรับไว้เปล่า ๆ ได้”“ซื่อจื่อเป็นคนตรงไปตรงมายิ่งนัก อี้หวายก็คร้านจะอ้อมค้อมแล้ว” บุตรชายคหบดียิ้มกล่าว พลางหัวเราะเบา ๆ “...” เยี่ยนหยางจงจ้องมู่หรงอี้หวายเขม็ง เขารู้สึกว่าไม่อาจประมาทคนตรงหน้าได้อีก ท่าทางสุภาพเรียบร้อย ท่าทีเป็นมิตร ล้วนเป็นหน้ากากที่ถูกสร้างขึ้นมาปกปิดตัวตนอันแท้จริง การกระทำเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับน้องชายเขาเลยสักนิดพวกเจ้าเล่ห์!“ซื่อจื่อคงจะไม่ทราบว่าตระกูลของท่านยายข้าเป็นช่างทองหลวง ปิ่
เรือนเจาหยาง จวนไคกั๋วกงภายในห้องหนังสือ เยี่ยนหยางจงในอาภรณ์สีดำสนิทนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้มาเกือบสองชั่วยามแล้ว แม้ใบหน้าคมสันจะไร้คลื่นอารมณ์ แต่นัยน์ตาเหยี่ยวกลับนิ่งลึกและเยียบเย็น เล่นเอาทหารคนสนิทอย่างหลิวหยงเสียวสันหลังวาบ ไม่รู้ว่าผู้ใดไปยั่วโทสะท่านแม่ทัพเข้าแต่ที่แน่ ๆ ไม่ใช่เขา“หลิวหยง...”“ขะ...ขอรับ” ผู้ถูกขานชื่อพลันสะดุ้งเฮือก“คุณชายมู่หรงยังไม่มาอีกหรือ”“ยังขอรับ”“เขาจะหาของแบบที่ข้าต้องการได้หรือไม่” เยี่ยนหยางจงผินหน้าไปทางหน้าต่าง แล้วพึมพำเมื่อได้ยินคำถามหลิวหยงก็กระจ่างใจทันที ที่แท้ผู้เป็นนายกำลังกังวลเรื่องนี้นี่เอง เช่นนั้นเขาควรจะสร้างบรรยากาศที่ดีสักหน่อย“ย่อมได้อยู่แล้วขอรับ ผู้คนในแคว้นต่างรู้เรื่องนี้ดี ดังคำกล่าวที่ว่า หากต้องการของดีที่สุดในใต้หล้า จงไปร้านรับฝากสินค้าตระกูลมู่หรง” พูดไปก็ยกมือยกไม้ทำท่าทางประกอบ แววตา น้ำเสียงเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจระหว่างนั้นเสียงบ่าวรับใช้ก็ดังมาจากหน้าประตู“ซื่อจื่อ คุณชายมู่หรงมาแล้วขอรับ”“เชิญเข้ามาได้” เยี่ยนหยางจงเอ่ยอนุญาต เขาละสายตาจากหลิวหยงมองไปยังประตูทางเข้าประตูห้องหนังสือถูกเปิดออก บุรุษในอา
“ท่านพ่อ พี่ชายใหญ่ นี่หมายความว่าอย่างไร อย่าบอกนะว่าเยี่ยนหยางจงคือบุรุษที่พวกท่านเห็นว่าเหมาะสมคู่ควรกับข้า”“อินเอ๋อร์ใจเย็น ๆ ก่อน เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของท่านพ่อ เวลานั้นพวกเราพยายามทัดทานแล้ว แต่ไม่สามารถขัดพระราชประสงค์ได้” จ้าวเฟิงเหลยรู้ว่าน้องสาวของตนเองรู้สึกเช่นไร จะไม่ให้นางโกรธแค้นคงไม่ได้ แต่งกับผู้ใดไม่แต่ง ดันต้องตกเป็นเจ้าสาวพี่ชายของสตรีที่เปรียบเสมือนศัตรูหัวใจเยี่ยงนี้ เป็นตนเองก็คงเดือดดาลไม่แพ้กัน“เวลานั้น?” คิ้วเรียวพลันขมวดเป็นปม จากคำพูดของพี่ชายแสดงว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น“พ่อ... พ่อ...” จ้าวอ๋องรู้สึกละอายและเป็นทุกข์ใจอย่างยิ่ง ที่ตนเองไร้สามารถ จนไม่อาจเอ่ยคำใดออกมาได้อีก“ไหน ๆ ราชโองการถูกประกาศออกมาแล้ว พวกท่านก็เล่าความจริงออกมาเถิด อย่างน้อยข้าจะได้รู้ว่าตนเองต้องตกมาอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร” ใบหน้างามสะคราญแดงก่ำ ดวงตาฉายแววโทสะเต็มที่ ริมฝีปากเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง นางมองพี่ชายสลับกับผู้เป็นบิดา แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบจ้าวเฟิงเหลยมองหน้าบิดาพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นจึงก้าวเข้าไปเบื้องหน้าผู้เป็นน้องสาว“งานล่าสัตว์ปีที่ผ่านม
“ลูกไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ นอกเสียจากตอนอากาศเย็นจะรู้สึกปวดแผลเล็กน้อย นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงแล้ว”“ดี ในเมื่อแข็งแรงแล้วก็ดี” จ้าวอ๋องฝืนยิ้มกล่าว ขณะวางจอกชาลงบนโต๊ะตัวเล็ก“ท่านพ่อ มีสิ่งใดก็เอ่ยกับลูกมาตามตรงเถิดเจ้าค่ะ” จ้าวกุ้ยอินเอ่ยอย่างรู้ทันจ้าวอ๋องถอนหายใจเฮือกใหญ่ และกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเป็นที่สุด “ผลจากการสอบสวน ตระกูลจ้าวพ้นทุกข้อกล่าวหา พวกเรามิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีลอบสังหารผู้แทนพระองค์” พอถึงตรงนี้จ้าวอ๋องแลเห็นประกายความหวังบนดวงตาคู่สวยของธิดา แม้ไม่อยากทำร้ายใจ ก็ต้องพูดความจริงส่วนที่เหลือออกไป “แต่เนื่องจากเหตุวุ่นวายในจวนฉินอ๋อง เขาจึงประกาศไม่รับพระชายารอง หรืออนุเพิ่มอีกแล้ว”ประกายแสงในดวงตาคู่งามดับวูบ เหลือเพียงความอ้างว้างว่างเปล่า “หมายความว่า...”“ฉินอ๋องไม่มีวาสนาได้ครองคู่กับลูกสาวที่แสนดีของพ่ออย่างไรเล่า” สีหน้าของผู้เป็นบิดาไม่ได้ดีไปกว่าธิดาของตนเองเลยจ้าวกุ้ยอินค้นพบว่าถึงจะรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มากเท่าก่อนหน้านี้เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามที่ตนเองคาดการณ์ไว้ตั้งแต่แรก จ้าวกุ้ยอินที่ไม่อยากเห็นบิดาทุกข์ใจกับเรื่องของนา
ภายในจวนจ้าวอ๋องสงบเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีเรื่องใดให้จ้าวกุ้ยอินเคืองใจอีก ยกเว้นเพียงร่างกายที่ไม่แข็งแรงดุจเดิมพิษร้ายส่งผลให้ท่านหญิงป่วยกระเสาะกระแสะ ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้ย่างเท้าออกจากจวนไปร่วมสังสรรค์กับตระกูลไหนทั้งสิ้น รวมไปถึงงานล่าสัตว์ประจำปีของวังหลวงด้วยก่อนเดินทางไปร่วมงานล่าสัตว์ จ้าวเฟิงเหลยสัญญาว่าจะล่าจิ้งจอกสำหรับทำผ้าพันคอมาให้ จ้าวกุ้ยอินยิ้มแย้มประจบประแจง รู้สึกสดชื่นขึ้นทันที เพียงนึกเสียดายที่ปีนี้ไม่มีโอกาสได้ชื่นชมฝีมือการล่าสัตว์ของฉินอ๋อง และเหล่าขุนนางผู้มีฝีมือคนอื่น ๆ ทำได้เพียงยืนส่งบิดากับพี่ชายจากไปตรงหน้าประตูจวนยามนี้จ้าวกุ้ยอินใช้ชีวิตอย่างสงบ ไม่ได้รับรู้ถึงคลื่นลมที่เกิดขึ้นภายนอกแม้แต่น้อยจนกระทั่งจ้าวอ๋องกับจ้าวจวิ้นอ๋องกลับมาจากลานล่าสัตว์ คล้ายกับว่าทุกอย่างรอบกายพวกเขาดูตึงเครียดยิ่งนักทั้งบิดาและพี่ชายทำเหมือนมีเรื่องอยากจะพูดกับจ้าวกุ้ยอิน แต่ก็ไม่เอ่ยออกมา สีหน้าท่าทางราวกับคนที่กำลังกังวลใจแต่แล้วความสงสัยก็ถูกคลี่คลาย เมื่อชิวเยวี่ยสืบข่าวได้ว่าพี่ชายใหญ่ของนางทะเลาะเบาะแว้งกับเยี่ยนจิ้นหลิงเรื่องถางซือเซียน เป็นเหตุให้ฮ่องเต้ทรงไม่พอ
มู่เลี่ยงหรงโหดร้ายถึงเพียงนี้ เหตุใดจ้าวกุ้ยอินจะไม่คับแค้นเล่า แต่รู้ทั้งรู้ก็ยังเกลียดเขาไม่ลง เพราะที่ทุกอย่างออกมาในรูปนี้ ส่วนหนึ่งก็มาจากความหุนหันพลันแล่นของนางในอดีตฉินอ๋องเป็นบุคคลที่มีความสำคัญอันดับต้น ๆ ของแคว้นหาน เปรียบเสมือนพระเนตรพระกรรณของฮ่องเต้ บุรุษผู้นั้นย่อมต้องพิจารณาสตรีที่จะรับเข้ามาอยู่ข้างกายอย่างละเอียดถี่ถ้วน และสตรีขี้หึงก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีจ้าวกุ้ยอินถอนหายใจแผ่วเบาราวกับไร้เรี่ยวแรงหากในวันวานนางรักษากิริยา ไม่อาละวาดทำร้ายถางซือเซียน ตนเองย่อมเป็นสตรีที่งดงามและเพียบพร้อมในสายตาของบุรุษผู้นั้น หาใช่คนปากคอเราะราย นิสัยร้ายกาจ ไม่เหมาะเป็นพระชายาของจวนฉินอย่างทุกวันนี้“ญาติผู้พี่ต้องการให้อินเอ๋อร์...” รอยยิ้มขมขื่นปรากฏบนดวงหน้า นัยน์ตาประกายหยดน้ำสั่นระริก พยายามยามข่มกลั้นความรู้สึกอัดอั้นอันจุกแน่นอยู่ที่ลำคอ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแทบไม่ได้ยิน “ตัด...ตัดใจ”ครั้นเห็นนัยน์ตาพราวระยับไหววูบ ความผิดหวังฉายชัดจนพาให้ปวดใจตาม อวี้หรูเหรินรีบดึงจ้าวกุ้ยอินมากอดปลอบประโลม นึกเกลียดตนเองที่ยามนั้นเห็นดีเห็นงามไปกับไทเฮาและจ้าวอ๋อง ในอดีตหากทุกคน
เมื่อได้เห็นรอยยิ้มจาง ๆ กับน้ำเสียงใสกระจ่างไร้ความขุ่นเคือง อวี้หรูเหรินจึงคว้ามือขาวผ่องของจ้าวกุ้ยอินมากอบกุมเอาไว้ แล้วตบเบา ๆ จากนั้นจึงชวนสนทนาเข้าเรื่องที่ตนรับปากผู้อื่นมาเป็นธุระจัดการ“มิน่าอินเอ๋อร์ถึงได้ดูอารมณ์ดีเยี่ยงนี้ ที่แท้ก็ออกไปรับอากาศบริสุทธิ์มานี่เอง แต่...เหตุไฉนจึงมีคำสั่งลงโทษคนออกไปได้เล่า?”“เจียงอิ่งซื่อไปรบกวนท่าน?” จ้าวกุ้ยอินเลิกคิ้ว เค้นเสียงหึออกมาทีหนึ่งแล้วกล่าวต่อ “เป็นนางไม่รู้จักอบรมบุตรสาวของตนเองให้ดี จนหลินเอ๋อร์กับชิงเอ๋อร์กลายเป็นคนไม่รู้ความเยี่ยงนี้ ยังมีหน้าไปขอให้ท่านช่วยอีก”“อย่างไรนางก็เป็นมารดาผู้ให้กำเนิด ย่อมต้องห่วงใยบุตรสาวของตนเป็นธรรมดา เจ้าก็อย่าโมโหไปเลย”จ้าวกุ้ยอินหรี่ตา ใบหน้าพลันบูดบึ้ง “หรูเหรินคิดว่าข้าทำเกินไป?”“มิได้ พวกนางเหิมเกริมถึงเพียงนั้น แค่ให้นั่งคุกเข่ากับคัดบัญญัติสตรีก็นับว่าเป็นโทษสถานเบา แต่...” อวี้หรูเหรินหยุดคำพูดไว้เพียงเท่านั้น แล้วก้มหน้าลงประหนึ่งว่าไม่กล้าเอ่ยจ้าวกุ้ยอินเห็นเช่นนั้นก็อดถามออกไปไม่ได้ “แต่อะไร?”อวี้หรูเหรินเงยหน้าขึ้นพลางบีบมือจ้าวกุ้ยอิน แล้วกล่าวเสียงเบา “ห้องนั้นทั้งมืดทึบ อ
จวนจ้าวอ๋อง เรือนเหลียนฮวาหลังจากจ้าวกุ้ยอินสั่งลงโทษจ้าวกุ้ยหลินกับจ้าวกุ้ยชิงให้คุกเข่าและคัดบัญญัติสตรีในห้องบูชาบรรพชน ทันทีที่ได้ข่าวเจียงอิ้งซื่อก็รีบแล่นไปขอร้องอวี้หรูเหรินให้ช่วยเหลือ“หลินเอ๋อร์กับชิงเอ๋อร์มีน้ำใจไปเยี่ยมเยียนพี่สาวที่ได้รับบาดเจ็บแท้ ๆ แต่กลับต้องถูกลงโทษ พี่สาวจะต้องช่วยพวกนางนะเจ้าค่ะ” เจียงอิ้งซื้อสะอึกสะอื้น สีหน้าแววตาดั่งผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมอวี้หรูเหรินถอนหายใจเบา ๆ ในส่วนลึกมิได้เห็นใจสตรีที่ทำท่าอ่อนแอตรงหน้าแม้แต่น้อย เพราะรู้นิสัยใจคอของสามแม่ลูกนี้ดี พอเห็นอินเอ๋อร์ของนางกำลังย่ำแย่ จึงคิดเข้าไปซ้ำเติมโดยลืมสถานะของตนเอง เช่นนี้ก็สมควรถูกสั่งสอนแล้วมิใช่หรือ“หากหลินเอ๋อร์กับชิงเอ๋อร์รู้สถานะและวางตัวเหมาะสม ไหนเลยจะถูกลงโทษ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาท่านหญิงก็ไม่เคยรังแกบุตรอนุภรรยาในจวน”“พวกนางยังเด็กไม่รู้ความ คงไม่ได้ตั้งใจทำให้ท่านหญิงขุ่นเคือง”“ตั้งใจหรือไม่ไม่สำคัญ ตอนนี้คนก็ถูกสั่งลงโทษไปแล้ว ถึงแม้ท่านอ๋องจะให้อำนาจการจัดการเรือนหลังแก่ข้า แต่ว่าสถานะก็เป็นเพียงหรูเหริน ไหนเลยจะหาญกล้ายับยั้งคำสั่งของท่านหญิง”“พวกนางสองคนเคยได้รับควา