พอจ้าวกุ้ยอินคิดมาถึงตรงนี้ คิ้วที่เดิมขมวดแน่นพลันคลายออก ริมฝีปากเผยรอยยิ้มงดงามปานบุปผา ดวงตาฉายแววเจ้าเล่ห์แสนกล ก่อนจะปรับอารมณ์ให้กลับมาเป็นปกติ แล้วยกจอกชาขึ้นจิบ หยิบขนมไป่เหอขึ้นมากัดคำเล็ก ๆ ด้วยความพึงพอใจ ประหนึ่งว่าคนที่ทำหน้าบูดเมื่อครู่มิใช่นาง“ชิวเยวี่ย”“บ่าวอยู่นี่เจ้าค่ะ” ชิวเยวี่ยรีบเดินเข้าไปยืนด้านข้าง รอรับคำสั่งด้วยท่าทีนอบน้อม จ้าวกุ้ยอินส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายเข้ามาใกล้อีก นางก็ขยับเข้าไป แล้วตั้งใจฟังคำสั่งของผู้เป็นนาย“บ่าวจะไปจัดการเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” นางยิ้มจนแก้มบุ๋ม จากนั้นก็ลุกขึ้นหมุนตัวเดินจากไป แม้ชิวเยวี่ยจะเป็นนางกำนัลที่ไทเฮาส่งมาให้จ้าวกุ้ยอินได้เพียงปีเดียว แต่ด้วยอายุยังน้อย รูปร่างหน้าตาดูสดใสน่ารัก ทั้งยังช่างเจรจาเป็นที่สุด คุณสมบัติเหล่านี้ทำให้นางเข้ากับคนได้อย่างรวดเร็วเนื่องจากแทบไม่มีผู้ใดหวาดระแวงเด็กสาวที่เพิ่งโตคนหนึ่ง คนที่นางไปตีสนิทด้วยจึงมักเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ฟังโดยง่าย ด้วยเหตุนี้จ้าวกุ้ยอินจึงให้ชิวเยวี่ยออกไปสืบข่าวทั้งภายในและภายนอกจวนอยู่บ่อยครั้งพอนางกำนัลคนสนิทเดินลับตาไปแล้ว จ้าวกุ้ยอินก็นั่งชมนกชมไม้ไปตามเรื่องเช่นเดิม
“ลำบากท่านหมอแล้ว แต่ ‘คน’ ที่เป็นอะไรนั้นไม่ใช่ข้า” จ้าวกุ้ยอินยิ้มน้อย ๆ กล่าวตอบอย่างนุ่มนวล“ฮูหยินซื่อจื่อเกรงใจไปแล้ว ไม่ว่าผู้ใดในจวนเจ็บไข้ล้วนเป็นหน้าที่ของผู้น้อยทั้งสิ้น ไม่ทราบว่าจะให้ตรวจนางกำนัล หรือสาวใช้คนใดของท่านขอรับ”“รบกวนท่านหมอแล้ว” กล่าวจบ จ้าวกุ้ยอินก็ผายมือไปด้านข้างซึ่งไม่มีใครอยู่ทั้งสิ้น“...” ชงอวี้นิ่งอึ้ง“ในตะกร้า” พอเห็นสีหน้างุนงงของผู้เป็นหมอ จ้าวกุ้ยอินจึงเปิดปากอีกประโยคชงอวี้สาวเท้าไปยังโต๊ะข้างตั่งที่มีตะกร้าวางอยู่ใบหนึ่ง พอถึงที่หมายก็ชำเลืองมองลงไป เมื่อเห็นกระรอกน้อยนอนตัวสั่นอยู่ในนั้น พลันรู้สึกเหมือนกำลังถูกทดสอบความอดทนแม้อยากจะตะโกนใส่หน้าสวย ๆ ของฮูหยินซื่อจื่อว่า ท่านเล่นบ้าอะไรอยู่? แต่ก็พยายามตั้งสติ รวมไปถึงทำความเข้าใจสตรีงดงามที่กำลังยกยิ้มน้อย ๆ แล้วมองมาทางนี้อย่างมีความหวัง จึงยังรักษาความสุขุมเอาไว้ได้หากสัตว์เลี้ยงแสนรักเจ็บป่วย ไม่ว่าผู้ใดย่อมรู้สึกไม่สบายใจ ดังนั้นนางจึงส่งคนเชิญตนเองมารักษามันกระมังแต่ว่าเขาเป็นหมอรักษาคน!“ท่านหมอรออะไรอยู่หรือ ยังไม่รีบตรวจอีก” จ้าวกุ้ยอินที่รอฟังอาการของกระรอกน้อยเจ้าปัญหาอยู่เอ่ยเ
“ขอบคุณฮูหยินชื่อจื่อมากขอรับ หากไม่มีอะไรแล้ว ผู้น้อยขอตัวก่อน” ชิงอวี้รับถุงแพรมาด้วยหน้าตายิ้มแย้ม แล้วกล่าวคำอำลา หลังจากได้รับอนุญาตเขาก็รีบจากไปทันทีจ้าวกุ้ยอินมองไปยังตะกร้าที่เจ้ากระรอกน้อยนอนอยู่แล้วหัวเราะเบา ๆ ที่แท้ท่าทางจะเป็นจะตายของมันเมื่อครู่เกิดจากความตะกละ แต่ถึงกระนั้นนางก็รู้สึกยินดีที่เจ้าก้อนกลมสีน้ำตาลนี้จะไม่เป็นอะไร เพราะถ้ามันตายขึ้นมา คงเพิ่มความหดหู่ให้ชีวิตนางมากขึ้นไปอีก“ถ้าเป็นตามที่ท่านหมอบอก อีกไม่นานเจ้านี่คงจะถ่ายออกมา บ่าวว่าเอามันออกไปดูแลที่อื่นดีกว่าเจ้าค่ะ” ชิวอิงยังคงจดจำกลิ่นราวกับมีอะไรตายเมื่อครู่ได้ดี จึงไม่คิดเสี่ยงให้มันถ่ายของเสียออกมาในห้องอีกแต่ว่าสายเกินไป...ปู๊ด! ปรื๊ด...ปรี๊ด! จ้าวกุ้ยอินเอามือปิดจมูก ลุกขึ้นในฉับพลัน แล้วสาวเท้าถี่ ๆ ออกไปจากห้อง แต่ก่อนที่ร่างอรชรจะพ้นประตู ยังไม่วายหันมากำชับนางกำนับคนสนิท “ชิวอิง เรื่องนี้ให้เจ้าไปจัดการก็แล้วกัน พอทำความสะอาดเรียบร้อยค่อยไปตามข้า”ชิวอิงรับคำสั่งแล้วร้องไห้อยู่ในใจ พลางมองตะกร้าใบเล็กอย่างผู้ไม่ได้รับความเป็นธรรมฮือ...ท่านหญิง ทำไมเป็นข้าที่ต้องเช็ดอึกระรอกด้วยเล่า?เมื่
หลังจากได้ชื่ออย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว จิงจิงก็ก้มหน้าลงแทะเปลือกเหอเถาต่อ โดยมีจ้าวกุ้ยอินนั่งเท้าคางมองมันด้วยความเอ็นดูอยู่เงียบ ๆดวงหน้างามพิสุทธิ์อาบย้อมด้วยรอยยิ้ม นัยน์ตาหงส์ฉายแววอบอุ่นอ่อนโยนดังสายน้ำฤดูสารท สีหน้าเปี่ยมสุขราวบุปผาบานสะพรั่ง ดูงดงามเปล่งประกายจนผู้มองตาพร่ามัวภาพสตรีสะคราญโฉมเริงรื่นดุจความฝัน ทำให้เรือนเจาหยางมีชีวิตชีวาขึ้นในบัดดลยามแสงทองบนท้องนภาถูกแทนที่ด้วยม่านราตรีสีดำ ทั่วทั้งจวนก็เริ่มจุดโคมไฟ ไม่เว้นแม้กระทั่งเรือนเจาหยาง แสงสีนวลจากโคมเหนือประตูสว่างไสวเสมือนดวงดาวนำทางให้ใครสักคน หลังจากอาบน้ำจนหอมกรุ่นไปทั้งกาย ชิวอิงกับชิวเยวี่ยก็ช่วยกันสวมชุดนอนให้นายหญิง ทั้งบรรจงสางผมจนเรียบลื่น กระทั่งเส้นไหมสีดำมันวาวแผ่สยายเต็มแผ่นหลังเอี้ยมสีชมพูปักลายดอกโบ๋ตั๋นถูกสวมทับด้วยอาภรณ์แพรโปร่งบางสีเดียวกัน ขับเน้นผิวขาวราวหิมะให้กระจ่างสดใส อวดเรือนร่างอรชรภายใต้แสงเทียน ดูเย้ายวนใจอย่างยิ่งจ้าวกุ้ยอินอดขมวดคิ้วมิได้ เมื่อเห็นคนสนิททั้งสองกระตือรือร้นในการแต่งกายให้นางเป็นพิเศษ ราวกับจะเตรียมส่งพระสนมไปยังห้องบรรทมของจักรพรรดิ“พวกเจ้าแน่ใจนะว่ากำลัง
เมืองหลวง แคว้นหาน โรงละครเป่าชางนับว่าเป็นสถานเริงรมย์อันใหญ่โตโอ่อ่าที่สุดในแคว้นหาน ทุก ๆ ปี ตระกูลจ้าวซึ่งมีฐานะเป็นพระญาติใกล้ชิดที่สุดของราชวงศ์จะจัดแสดงงิ้วเรื่องพิเศษขึ้น มีเพียงเชื้อพระวงศ์ ขุนนาง และคหบดีผู้มีชื่อเสียงเท่านั้นจึงจะได้รับเชิญ แต่ในปีนี้ฮ่องเต้รับสั่งให้ฉินอ๋องผู้เป็นพระอนุชาทำหน้าที่ประธานแทนพระองค์ฉินอ๋องในชุดคลุมชินอ๋องสีดำปักลายพยัคฆ์ยืนเป็นสง่าอยู่ที่กลางโถงใหญ่แม้ใบหน้าราวหยกนั้นจะราบเรียบและเย็นชา ทว่ากลับมีเสน่ห์ดึงดูดสตรีให้ไม่อาจละสายตา รัศมีรอบกายที่แผ่กำจายออกมาเจือไอเย็นบาง ๆ จนไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้แต่แล้วน้ำแข็งที่ฉาบในดวงตาพลันละลาย ริมฝีปากที่มักเม้มเป็นเส้นตรงกลับค่อย ๆ หยักโค้งเป็นรอยยิ้ม กลิ่นอายที่รายล้อมแปรเปลี่ยนจากเหมันตฤดูอันหนาวเหน็บเป็นแสงแรกจากตะวันของวสันต์ ทำให้สตรีทั้งหลายต่างเหม่อมองเขาราวกับถูกกระชากวิญญาณออกไปอีกมุมหนึ่ง จ้าวกุ้ยอินผู้เป็นธิดาจ้าวอ๋องกำลังเฝ้ามองเขาอยู่ พอเห็นรอยยิ้มนั้นใบหน้างามสะคราญพลันแดงระเรื่อ นัยน์ตาฉาบด้วยน้ำผึ้งหวานหยด น้อยครั้งนักที่นางจะได้เห็นรอยยิ้มของบุรุษที่สิงในหทัย ทว่าเมื่อเ
อาจเป็นเพราะสัญชาตญาณของนักรบ เมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาที่จ้องมองมาจากมุมหนึ่ง เยี่ยนหยางจงพลันหันศีรษะไปยังทิศทางเป้าหมาย และทันทีที่สบนัยน์ตาสีน้ำหมึกที่ให้ความรู้สึกแน่วแน่ระคนดื้อดึง เขาก็เก็บประกายสังหารลงทันที แต่สิ่งที่ทำให้รองแม่ทัพหนุ่มรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่งก็คือสตรีผู้นั้นมิได้หวั่นไหวหรือหวาดกลัว กลับมองตอบมาด้วยความสงบนิ่ง ไม่แม้จะตกใจที่ถูกเขาจับได้ว่านางลอบพิจารณาตนอยู่ช่างใจเด็ดนัก! ความจริงแล้ว จ้าวกุ้ยอินรู้สึกเย็นเยียบไปทั้งกาย ขนทุกเส้นลุกชัน กระแสสายตาราวคมมีดของเขานั้นบาดลึกถึงกระดูก นางแทบทรุดตัวลงกับพื้น แต่ยังทำใจดีสู้เสือ โดยฝืนมองอย่างสงบนิ่ง ยังโชคดีที่อีกฝ่ายเก็บแววอำมหิตกลับไปแทบจะทันที ทำให้ยามนี้นางยังสามารถปั้นท่าทางสูงส่งได้โดยที่หน้ายังไม่เปลี่ยนสีที่แท้ก็เสือร้าย อยู่ให้ห่างไกลเขาเอาไว้จะดีกว่า...เมื่อคิดได้ดังนั้น จ้าวกุ้ยอินก็คร้านจะสนใจเยี่ยนหยางจงอีก อีกฝ่ายจะเป็นพยัคฆ์ซ่อนลายหรืออะไรก็ช่าง ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับนางในขณะที่จ้าวกุ้ยอินคิดจะเก็บสายตากลับมาแล้วไปช่วยบิดาตรวจตราความเรียบร้อย หางตาก็เหลือบเห็นดรุณีแรกแย้มในอาภรณ์สีเขียวที่ดูสดใสอ
ตลอดการแสดงหัวใจและสายตาของคนสองคนในที่นั้นไม่ได้อยู่กับตัวจ้าวกุ้ยอินลอบมองไปทางที่นั่งประธานอยู่บ่อยครั้ง และทุกทีที่เห็นมู่เลี่ยงหรงมองเยี่ยนเยว่ฉีอย่างอ่อนโยนก็เจ็บในอกจนแทบกระอักเลือด ต้องปลอบตนเองด้วยเรื่องของถางซือเซียนที่ตกกระป๋องเหมือนกัน จึงพอจะทำให้ความร้าวรานทุเลาเบาบางลงบ้างหนักเข้าจ้าวกุ้ยอินก็ยุจ้าวเฟิงเหลยให้ไปสู่ขอถางซือเซียนเสียเลย สำหรับนางแล้วหากให้ยอมรับนังปีศาจตัวหอมนั่นเป็นพี่สะใภ้ ยังง่ายกว่าทนมองให้นางขึ้นเกี้ยวเข้าจวนฉินอ๋องเป็นไหน ๆส่วนเยี่ยนหยางจงก็เฝ้ามองจ้าวกุ้ยอินพลางครุ่นคิดบางอย่างอยู่เงียบ ๆ ผ่านไปครู่หนึ่ง รองแม่ทัพหนุ่มถึงเบนสายตากลับมาหาเยี่ยนจิ้นหลิงอีกครั้งน้องชายของเขามีความสามารถในการทำนายอย่างหาตัวจับได้ยาก นอกจากนั้นยังมีญาณวิเศษ ทว่าทุกสิ่งที่เห็นนั้นเจ้าตัวจะไม่มีวันเอ่ยออกมาตรง ๆ เป็นอันขาด โดยให้เหตุผลว่าการเผยลิขิตสวรรค์นำมาซึ่งผลลัพธ์อันน่ากลัว ดังนั้นที่ผ่านมาหากเป็นเรื่องเกี่ยวกับการศึก บิดาและเขาจะปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ที่มีฉายาว่า ‘จิ้งจอกสีเงินแห่งแคว้น’ โดยเคร่งครัดแต่พอเป็นเรื่องส่วนตัว น้องชายของเขามักจะเอ่ยเตือนเป็นนัย ๆ
“วางใจเถิด ชีวิตสตรีเจ้าปัญหาผู้นั้นอยู่ในมือท่านแล้ว จิ้นหลิงไม่หาทางฆ่านางทีหลังแน่”สิ้นคำของน้องชาย เยี่ยนหยางจงจึงรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาเล็กน้อย นับจากนาทีนี้ไป เขาแค่ประกบจ้าวกุ้ยอินเอาไว้ไม่ให้คลาดสายตาเท่านั้นก็พอเมื่อม่านบนเวทีถูกปิดลง เสียงปรบมือโห่ร้องชื่นชมดังไม่ขาดสาย แม้แต่ฉินอ๋องก็ร้องว่าดีติดกันถึงสามครั้งตามธรรมเนียมปฏิบัติฮ่องเต้จะต้องเป็นผู้ให้รางวัลกับนักแสดงทั้งหลาย ในเมื่อโอรสสวรรค์ไม่เสด็จมาก็เป็นหน้าที่ของผู้แทนพระองค์ นักแสดงทั้งหมดออกมาทำความเคารพฉินอ๋อง จากนั้นก็เดินเข้าไปรับรางวัลทีละคนขณะผู้เป็นประธานกำลังจะมอบรางวัล พลันเกิดเสียงดังเอะอะเกิดขึ้นภายในโรงละคร คนร้ายในชุดสีดำสนิทราวสามสิบคนตรงเข้าทำร้ายแขกเหรื่อ“ฆ่าขุนนางชั่วพวกนี้ให้หมด!” เสียงตะโกนดังลั่น นักฆ่าทั้งหลายแยกย้ายกันจู่โจมเพียงชั่วพริบตาสามารถเปลี่ยนงานรื่นเริงให้กลายเป็นทะเลโลหิต เสียงกรีดร้องท่ามกลางความโกลาหล ดาบและกระบี่กระทบกันอย่างแรงจนเกิดสะเก็ดไฟ องครักษ์เงาของเชื้อพระวงศ์เผยตัว ต่างรุมล้อมผู้เป็นนายของตนเอาไว้จ้าวอ๋องหน้าซีดเผือด งานแสดงงิ้วประจำปีที่เพียรจัดขึ้นกลับมีคนร้ายแฝงตัว
หลังจากได้ชื่ออย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว จิงจิงก็ก้มหน้าลงแทะเปลือกเหอเถาต่อ โดยมีจ้าวกุ้ยอินนั่งเท้าคางมองมันด้วยความเอ็นดูอยู่เงียบ ๆดวงหน้างามพิสุทธิ์อาบย้อมด้วยรอยยิ้ม นัยน์ตาหงส์ฉายแววอบอุ่นอ่อนโยนดังสายน้ำฤดูสารท สีหน้าเปี่ยมสุขราวบุปผาบานสะพรั่ง ดูงดงามเปล่งประกายจนผู้มองตาพร่ามัวภาพสตรีสะคราญโฉมเริงรื่นดุจความฝัน ทำให้เรือนเจาหยางมีชีวิตชีวาขึ้นในบัดดลยามแสงทองบนท้องนภาถูกแทนที่ด้วยม่านราตรีสีดำ ทั่วทั้งจวนก็เริ่มจุดโคมไฟ ไม่เว้นแม้กระทั่งเรือนเจาหยาง แสงสีนวลจากโคมเหนือประตูสว่างไสวเสมือนดวงดาวนำทางให้ใครสักคน หลังจากอาบน้ำจนหอมกรุ่นไปทั้งกาย ชิวอิงกับชิวเยวี่ยก็ช่วยกันสวมชุดนอนให้นายหญิง ทั้งบรรจงสางผมจนเรียบลื่น กระทั่งเส้นไหมสีดำมันวาวแผ่สยายเต็มแผ่นหลังเอี้ยมสีชมพูปักลายดอกโบ๋ตั๋นถูกสวมทับด้วยอาภรณ์แพรโปร่งบางสีเดียวกัน ขับเน้นผิวขาวราวหิมะให้กระจ่างสดใส อวดเรือนร่างอรชรภายใต้แสงเทียน ดูเย้ายวนใจอย่างยิ่งจ้าวกุ้ยอินอดขมวดคิ้วมิได้ เมื่อเห็นคนสนิททั้งสองกระตือรือร้นในการแต่งกายให้นางเป็นพิเศษ ราวกับจะเตรียมส่งพระสนมไปยังห้องบรรทมของจักรพรรดิ“พวกเจ้าแน่ใจนะว่ากำลัง
“ขอบคุณฮูหยินชื่อจื่อมากขอรับ หากไม่มีอะไรแล้ว ผู้น้อยขอตัวก่อน” ชิงอวี้รับถุงแพรมาด้วยหน้าตายิ้มแย้ม แล้วกล่าวคำอำลา หลังจากได้รับอนุญาตเขาก็รีบจากไปทันทีจ้าวกุ้ยอินมองไปยังตะกร้าที่เจ้ากระรอกน้อยนอนอยู่แล้วหัวเราะเบา ๆ ที่แท้ท่าทางจะเป็นจะตายของมันเมื่อครู่เกิดจากความตะกละ แต่ถึงกระนั้นนางก็รู้สึกยินดีที่เจ้าก้อนกลมสีน้ำตาลนี้จะไม่เป็นอะไร เพราะถ้ามันตายขึ้นมา คงเพิ่มความหดหู่ให้ชีวิตนางมากขึ้นไปอีก“ถ้าเป็นตามที่ท่านหมอบอก อีกไม่นานเจ้านี่คงจะถ่ายออกมา บ่าวว่าเอามันออกไปดูแลที่อื่นดีกว่าเจ้าค่ะ” ชิวอิงยังคงจดจำกลิ่นราวกับมีอะไรตายเมื่อครู่ได้ดี จึงไม่คิดเสี่ยงให้มันถ่ายของเสียออกมาในห้องอีกแต่ว่าสายเกินไป...ปู๊ด! ปรื๊ด...ปรี๊ด! จ้าวกุ้ยอินเอามือปิดจมูก ลุกขึ้นในฉับพลัน แล้วสาวเท้าถี่ ๆ ออกไปจากห้อง แต่ก่อนที่ร่างอรชรจะพ้นประตู ยังไม่วายหันมากำชับนางกำนับคนสนิท “ชิวอิง เรื่องนี้ให้เจ้าไปจัดการก็แล้วกัน พอทำความสะอาดเรียบร้อยค่อยไปตามข้า”ชิวอิงรับคำสั่งแล้วร้องไห้อยู่ในใจ พลางมองตะกร้าใบเล็กอย่างผู้ไม่ได้รับความเป็นธรรมฮือ...ท่านหญิง ทำไมเป็นข้าที่ต้องเช็ดอึกระรอกด้วยเล่า?เมื่
“ลำบากท่านหมอแล้ว แต่ ‘คน’ ที่เป็นอะไรนั้นไม่ใช่ข้า” จ้าวกุ้ยอินยิ้มน้อย ๆ กล่าวตอบอย่างนุ่มนวล“ฮูหยินซื่อจื่อเกรงใจไปแล้ว ไม่ว่าผู้ใดในจวนเจ็บไข้ล้วนเป็นหน้าที่ของผู้น้อยทั้งสิ้น ไม่ทราบว่าจะให้ตรวจนางกำนัล หรือสาวใช้คนใดของท่านขอรับ”“รบกวนท่านหมอแล้ว” กล่าวจบ จ้าวกุ้ยอินก็ผายมือไปด้านข้างซึ่งไม่มีใครอยู่ทั้งสิ้น“...” ชงอวี้นิ่งอึ้ง“ในตะกร้า” พอเห็นสีหน้างุนงงของผู้เป็นหมอ จ้าวกุ้ยอินจึงเปิดปากอีกประโยคชงอวี้สาวเท้าไปยังโต๊ะข้างตั่งที่มีตะกร้าวางอยู่ใบหนึ่ง พอถึงที่หมายก็ชำเลืองมองลงไป เมื่อเห็นกระรอกน้อยนอนตัวสั่นอยู่ในนั้น พลันรู้สึกเหมือนกำลังถูกทดสอบความอดทนแม้อยากจะตะโกนใส่หน้าสวย ๆ ของฮูหยินซื่อจื่อว่า ท่านเล่นบ้าอะไรอยู่? แต่ก็พยายามตั้งสติ รวมไปถึงทำความเข้าใจสตรีงดงามที่กำลังยกยิ้มน้อย ๆ แล้วมองมาทางนี้อย่างมีความหวัง จึงยังรักษาความสุขุมเอาไว้ได้หากสัตว์เลี้ยงแสนรักเจ็บป่วย ไม่ว่าผู้ใดย่อมรู้สึกไม่สบายใจ ดังนั้นนางจึงส่งคนเชิญตนเองมารักษามันกระมังแต่ว่าเขาเป็นหมอรักษาคน!“ท่านหมอรออะไรอยู่หรือ ยังไม่รีบตรวจอีก” จ้าวกุ้ยอินที่รอฟังอาการของกระรอกน้อยเจ้าปัญหาอยู่เอ่ยเ
พอจ้าวกุ้ยอินคิดมาถึงตรงนี้ คิ้วที่เดิมขมวดแน่นพลันคลายออก ริมฝีปากเผยรอยยิ้มงดงามปานบุปผา ดวงตาฉายแววเจ้าเล่ห์แสนกล ก่อนจะปรับอารมณ์ให้กลับมาเป็นปกติ แล้วยกจอกชาขึ้นจิบ หยิบขนมไป่เหอขึ้นมากัดคำเล็ก ๆ ด้วยความพึงพอใจ ประหนึ่งว่าคนที่ทำหน้าบูดเมื่อครู่มิใช่นาง“ชิวเยวี่ย”“บ่าวอยู่นี่เจ้าค่ะ” ชิวเยวี่ยรีบเดินเข้าไปยืนด้านข้าง รอรับคำสั่งด้วยท่าทีนอบน้อม จ้าวกุ้ยอินส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายเข้ามาใกล้อีก นางก็ขยับเข้าไป แล้วตั้งใจฟังคำสั่งของผู้เป็นนาย“บ่าวจะไปจัดการเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” นางยิ้มจนแก้มบุ๋ม จากนั้นก็ลุกขึ้นหมุนตัวเดินจากไป แม้ชิวเยวี่ยจะเป็นนางกำนัลที่ไทเฮาส่งมาให้จ้าวกุ้ยอินได้เพียงปีเดียว แต่ด้วยอายุยังน้อย รูปร่างหน้าตาดูสดใสน่ารัก ทั้งยังช่างเจรจาเป็นที่สุด คุณสมบัติเหล่านี้ทำให้นางเข้ากับคนได้อย่างรวดเร็วเนื่องจากแทบไม่มีผู้ใดหวาดระแวงเด็กสาวที่เพิ่งโตคนหนึ่ง คนที่นางไปตีสนิทด้วยจึงมักเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ฟังโดยง่าย ด้วยเหตุนี้จ้าวกุ้ยอินจึงให้ชิวเยวี่ยออกไปสืบข่าวทั้งภายในและภายนอกจวนอยู่บ่อยครั้งพอนางกำนัลคนสนิทเดินลับตาไปแล้ว จ้าวกุ้ยอินก็นั่งชมนกชมไม้ไปตามเรื่องเช่นเดิม
“แสดงว่า...” จ้าวกุ้ยอินหันหน้ากลับมา หลุบสายตาซ่อนความรู้สึกไว้ภายใต้แพขนตา พลางเอ่ยพึมพำเสียงเบา“ใช่เจ้าค่ะ ชิวสุ่ย...ถูกส่งออกไปจากจวนเรียบร้อยแล้ว”จ้าวกุ้ยอินผินหน้าไปทางหน้าต่าง ทอดสายตาไปยังทิวทัศน์ภายนอก แต่มิได้เพลิดเพลินกับบรรยากาศแม้แต่น้อย อดไม่ได้ที่จะคำนึงถึงเรื่องเมื่อวาน หากยามนั้นนางกำชับให้ชิวสุ่ยระมัดระวังอีกสักนิดคงไม่เกิดเรื่องหากเป็นสาวใช้คนอื่น ไม่ใช่นางกำนัลที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกันอย่างชิวสุ่ย จ้าวกุ้ยอินคงไม่รู้สึกอะไรนัก ครั้นคิดว่าตนเองเป็นสาเหตุให้นางกำนัลคนสนิทต้องมาตายอย่างอนาจ หัวใจของนางพลันบีบรัด แม้ไม่ได้ร้องไห้ออกมา ทว่าน้ำตากลับหลั่งรินอยู่ในใจถึงจะเสียใจที่นางกำนัลรุ่นใหญ่อย่างชิวสุ่ยต้องมาด่วนจากไป แต่ชิวเยวี่ยไม่อยากให้จ้าวกุ้ยอินเอาแต่นั่งหงอยเหงาเศร้าซึม เดิมทีร่างกายท่านหญิงก็ไม่แข็งแรง หากมัวแต่จมจ่อมกับความโศกเศร้า สุขภาพอาจย่ำแย่มากกว่าเดิม จึงเดินเข้าไปแล้วแสร้งยิ้มกล่าวอย่างกระตือรือร้น“วันนี้อากาศดี ท่านหญิงอยากออกไปนั่งเล่นในสวนสักหน่อยหรือไม่” แม้จ้าวกุ้ยอินส่ายหน้าเบา ๆ ชิวเยวี่ยก็ไม่ละความพยายาม ยังคงเอ่ยโน้มน้าวต่อไป “วันนี้
“ซื่อจื่อให้คนไปแจ้งทีเรือนใหญ่แต่เช้า ว่าท่านหญิงไม่ค่อยสบาย ฮูหยินจึงสั่งว่ารอท่านหายดีก่อนค่อยไปเยี่ยมคารวะยามเช้าเจ้าค่ะ” แม่นมจางรีบรายงานทันทีจ้าวกุ้ยอินได้ยินก็เค้นเสียงหึคำหนึ่ง ไม่ได้ซาบซึ้งในน้ำใจของเยี่ยนหยางจงแม้แต่นิดเดียว บุรุษผู้นั้นคิดว่าการทำดีเล็ก ๆ น้อย ๆ เพียงเท่านี้ จะสามารถทำให้นางลืมเลือนว่าเขาเป็นคนส่งชิวสุ่ยไปแดนน้ำพุเหลือง[1]หรือไร ไหนจะเล่ห์กลทั้งหลายที่เขานำมาใช้กับตนเองอีกช่างน่าขันสิ้นดี!แม้ไม่ต้องไปคารวะแม่สามีแล้ว แต่จ้าวกุ้ยอินไม่คิดจะนอนต่อ จึงตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียง พอเห็นดังนั้นนางกำนัลคนนสนิทก็พากันปรนนิบัตินายหญิงล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนอาภรณ์ เนื่องจากเยี่ยนหยางจงแจ้งมารดาว่าภรรยายังป่วยอยู่ จ้าวกุ้ยอินเองก็ไม่อยากทำตัวผิดสังเกต จึงเลือกอาภรณ์สีขาวสะอาด จากนั้นสั่งชิวอิงให้เกล้าผมและแต่งหน้านางเพียงบาง ๆ เท่านั้นเมื่อได้รับคำสั่ง ชิวอิงก็อมยิ้มน้อย ๆ พลางคิดในใจ เพื่อให้ดูสูงส่งสง่างาม ปกติท่านหญิงมักเลือกเสื้อผ้าสีสด และแต่งหน้าเข้ม ๆ ทำให้แลดูเป็นผู้ใหญ่เกินตัวอยู่บ้าง ทั้งที่ความจริงแล้วรูปโฉมของเจ้านายงดงามสดใสราวกับสตรีแรกแย้ม ใบหน้ารูปแตง
ยังไม่ทันที่เยี่ยนหยางจงจะมีปฏิกิริยาตอบกลับ จ้าวกุ้ยอินก็วิ่งถลาออกไปจากห้อง แล้วร้องตะโกนอย่างไม่กลัวตาย “ข้าเป็นคนสั่งให้ชิวสุ่ยโยนมีดสั้นพระราชทานเล่มนั้นลงมาเอง ได้ยินไหมว่าข้าเป็นคนสั่ง...”“อินเอ๋อร์ หุบปากเดี๋ยวนี้นะ!” เยี่ยนหยาจงได้สติคืนมา รีบหมุนกายวิ่งตามจ้าวกุ้ยอินที่กำลังจะออกพ้นประตูเรือนอยู่รอมร่อ การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วยิ่ง คว้าข้อมือของนางเอาไว้ได้ทันท่วงที ครั้นเห็นคนพยายามดิ้นรนจึงยกร่างบางประหนึ่งว่าไร้น้ำหนักขึ้นพาดบ่า เดินกลับเข้าไปในห้องนอน“เจ้าหมียักษ์สารเลว ปล่อยข้า...ปล่อยข้านะ” นางทั้งทุบทั้งตี แต่ก็เหมือนเอาไข่ไปกระทบหินไม่มีผิด“เป็นถึงฮูหยินแม่ทัพ ห้ามเอ่ยวาจาส่งเดช”“ถ้าเลือกได้ ใครอยากเป็นฮูหยินของคนป่าเถื่อน ใจคอโหดเหี้ยม โลภโมโทสันอย่างเจ้ากัน”“...” เขาสังหารศัตรูไปเรือนแสน หากจะบอกว่าเป็นคนป่าเถื่อนและโหดเหี้ยมยังนับว่าเข้าใจได้ แต่เรื่องโลภโมโทสันเห็นได้ชัดว่าห่างไกลความจริง และการต่อปากต่อคำกับสตรีที่กำลังกระฟัดกระเฟียดก็ไม่ใช่วิสัยของตน“หากชิวสุ่ยเป็นอะไรไป ข้าจะไม่ให้อภัยเจ้าเด็ดขาด”เยี่ยนหยางจงเดินอาด ๆ ไปยังเตียงนอนแล้วโยนคนตัวเล็กลงไป
ทั้งที่หลังจากไม้กลายเป็นเรือ ท่าทีของนางที่มีต่อเขาก็โอนอ่อนยิ่งนัก ตั้งแต่เช้าก็พยายามรักษากิริยาอย่างสตรีสูงศักดิ์ตลอดเวลา แต่ไฉนจู่ ๆ ภรรยาที่เหมือนจะสิ้นพยศถึงได้ลุกขึ้นมารื้อเรือนโดยไม่ถามความเห็นกันสักคำภาพอาวุธแสนรักหลายชิ้นที่ถูกวางกองเอาไว้ตรงหน้าเรือนวาบผ่านเข้ามาไม่ได้! จะต้องพูดกับนางให้รู้เรื่องครั้นได้ยินเสียงฝีเท้าหนัก ๆ กับเสียงประตูห้องนอนที่ถูกเปิดออก จ้าวกุ้ยอินรู้ทันทีว่าเจ้าของเรือนเจาหยางมาถึงแล้ว แต่ก็มิได้หันไปหาบุรุษทียืนมองมองมาจากหน้าประตู ยังคงชี้นิ้วสั่งให้คนทำงานต่อไปราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นนางกำนัลคนสนิททั้งสามทำงานจนหัวหมุน คนหนึ่งกำกับการเปลี่ยนผ้าม่าน คนหนึ่งจัดหาพื้นที่วางแจกันทรงสูง ส่วนอีกคนโผล่หน้าออกมาจากเตียงแล้วโยนมีดสั้นที่พบลงบนพื้นเสียงดัง เคร๊ง!เยี่ยนหยางจงเบิกตามอง “มีดสั้นพยัคฆ์คำราม” ที่เพิ่งถูกขว้างทิ้ง ตอนนี้รู้สึกเดือดดาลขึ้นมาจริง ๆ แล้ว เขาถลาเข้าไปหยิบมีดสั้นขึ้นมา แล้วตวาดชิวสุ่ยเสียงดังสนั่น “บังอาจ มีดสั้นพระราชทานใช่ของที่คนอย่างเจ้าสามารถโยนลงพื้นส่งเดชหรือ ไม่รักชีวิตแล้วใช่หรือไม่”พอได้ยินว่าของที่ตนเองโยนลงมาอย่างไม
“ท่านพี่ อินเอ๋อร์เหนื่อยแล้ว” นางกล่าวพลางชักมือของตนเองกลับมาอย่างไม่กระโตกกระตาก ก่อนยกขึ้นป้องปากแล้วหาวเสียทีหนึ่งเห็นท่าทางอ่อนเปลี้ยเพลียแรงของจ้าวกุ้ยอินทำเยี่ยนหยางจงนึกได้ว่ายามนี้สุขภาพของนางไม่สู้ดี และด้วยอุปนิสัยดื้อรั้น นางคงฝืนกำลังตั้งแต่เมื่อคืนมาจนถึงตอนนี้ เช่นนั้นเขาควรปล่อยให้นางพักผ่อนได้แล้ว“เช่นนั้นก็นอนกลางวันเสียหน่อย ตื่นมาค่อยดื่มยา”จ้าวกุ้ยอินพยักหน้า รีบส่งเสียงเรียกนางกำนัลที่น่าจะกลับมาถึงแล้วทันที ไม่นานชิวอิงก็เดินเข้ามาภายในห้อง ปรนนิบัติถอดรองเท้าและเสื้อคลุมตัวนอกให้นายหญิง เสร็จแล้วก็ถอยออกไปจ้าวกุ้ยอินไม่รอช้า กระเถิบเข้าไปยังเตียงด้านใน แล้วหันหลังล้มตัวลงนอนทันทีเยี่ยนหยางจงห่มผ้าให้นางอย่างใส่ใจ หลังจากนั้นจึงลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องนอนจ้าวกุ้ยอินถอนหายใจเฮือกใหญ่ รู้สึกโล่งอกที่ได้อยู่เพียงลำพังเสียที ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้นางยังไม่มีเวลาตรึกตรองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลยภายในห้องอันเงียบสงบ จ้าวกุ้ยอินตั้งสติ ย้อนนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเองทีละอย่างคิดอย่างไรก็มีปัญหา นางมิได้มีใจปฏิพัทธ์ต่อเยี่ยนหยางจง ส่วนเขาก็คงแต่งงานเพื่อผลปร