กูกูสอนมารยาทมองนางด้วยสายตาแปลกประหลาด “ฮองเฮาจะบรรทมช่วงกลางวัน เป็นบ่าวจะถืออะไรได้?”หลงฮูหยินไม่คิดว่ากูกูสอนมารยาทจะพูดจาเช่นนี้ จึงพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ทำได้เพียงกล่าวว่า “เช่นนั้น เชิญกูกูออกไปดื่มน้ำชาข้างนอกก่อนเถิด!”กูกูสอนมารยาทเอ่ยขึ้น “ไม่จำเป็น ฮูหยินกลับไปเถิด บ่าวได้รับบัญชาจากไทเฮามาที่จวน ก็ต้องปรนนิบัติรับใช้ฮองเฮาจนกว่าฮองเฮาจะเสด็จเข้าวัง สองวันนี้ คงต้องรบกวนที่จวนเสียแล้ว!”“อย่าได้กล่าวว่ารบกวนเลย การมาของกูกู ทำให้จวนแม่ทัพรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ข้าเกรงว่าจะดูแลกูกูได้ไม่ดีพอ!” หลงฮูหยินรู้สึกโมโหจนกัดฟันกรอด คาดไม่ถึงว่ากูกูสอนมารยาทผู้นี้จะไม่ไว้หน้านางเลยแม้แต่น้อย“เชิญฮูหยิน!” กูกูสอนมารยาททำท่าผายมือเชิญนางออกไป ราวกับไม่ได้ยินคำพูดถ่อมตัวเหล่านั้นที่นางกล่าวมาสีหน้าของหลงฮูหยินพลันเปลี่ยนเป็นเขียวสลับขาวไปมา นางหัวเราะแห้ง ๆ เสียงหนึ่ง “เช่นนั้น ข้าขอตัวลาก่อน!” พูดจบ นางก็จ้องมองหลงจ่านเหยียนที่นอนหลับปุ๋ยอยู่บนเตียงด้วยสายตาอาฆาต จากนั้นพาหญิงรับใช้ออกไปหลงจ่านเหยียนนอนหลับคราวนี้ ยาวจนถึงยามซวีจึงจะตื่นขึ้นมา นางนั่งกอดผ้าห่มอยู่บนเตียง หร
หลงจ่านเหยียนนั่งอยู่บนเก้าอี้ มือหนึ่งถือชามข้าว อีกมือหนึ่งถือตะเกียบ มองไปยังหญิงสาวดุร้ายตรงหน้าด้วยความงุนงง สิ่งเดียวที่นางสามารถรักษาไว้ได้ก็มีเพียงชามข้าวใบนี้เท่านั้นหลงจ่านเหยียนจ้องมองไปที่หลงจ่านซิน เห็นเพียงรูปร่างอรชรอ้อนแอ้นของหลงจ่านซินในชุดกระโปรงสีเขียวปักลายดอกทับทิม ใบหน้าขาวผ่องดุจไขมันแพะเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว แต่ก็ไม่อาจปกปิดความงามอันล้ำเลิศที่ติดตัวมาแต่กำเนิดได้ ในทางกลับกัน หลงจ่านเหยียนเองกลับมีใบหน้าซีดเซียว รูปร่างผอมบาง หากไม่รู้จักมาก่อนคงคิดว่านางเป็นผู้ลี้ภัยมาจากที่ไหนสักแห่งยิ่งไปกว่านั้น เสื้อผ้าที่นางสวมใส่กับเสื้อผ้าที่ตนเองสวมใส่ เนื้อผ้าช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว?หลงจ่านซินเห็นหลงจ่านเหยียนจ้องมองตนเองอย่างตกตะลึง แต่ไม่กล้าพูดอะไร ก็คิดว่านางคงกลัวแล้ว จึงรีบสาวเท้าเข้าไปหา ยกมือขึ้นหมายจะตบหน้าหลงจ่านเหยียนหรูอี้ที่อยู่ด้านข้างเห็นดังนั้น ก็รีบเข้ามาขวางหน้าหลงจ่านเหยียนทันที ฝ่ามือที่หมายจะตบนั้นจึงลงมาที่ใบหน้าของหรูอี้ ใบหน้าของนางบวมขึ้นทันที รอยนิ้วมือทั้งห้าปรากฏชัดเจน แสดงให้เห็นว่าหลงจ่านซินออกแรงมากเพียงใด“ไสหัวไป นางบ่าว
หยุดไปครู่หนึ่ง นางก็เหลือบมองหลงจ่านซินด้วยสายตาเย็นชาอีกครั้ง แล้วเอ่ยขึ้น “ถอดเสื้อคลุมตัวนอกของนางออก!”หลงจ่านซินได้สติกลับมา ก็เอ่ยด่าทอทันที “หลงจ่านเหยียน เจ้ามันคนชั้นต่ำ แผลหายแล้วก็ลืมเจ็บแล้วสินะ ถึงได้กล้ามาข่มเหงข้าแล้ว?”องครักษ์ทั้งสองคนเหลือบมองกูกูสอนมารยาท สีหน้าของกูกูสอนมารยาทดูไม่สู้ดีนัก หลงจ่านเหยียนผู้นี้ก็จริง ๆ ให้หน้าแล้วไม่รู้จักดี ให้ทางลงนาง นางก็ลงโทษหลงจ่านซินเพียงเล็กน้อยก็พอแล้ว กลับพูดจาโอหังจะตัดมือของนางบัดนี้ จวนแม่ทัพไม่ใช่ที่ที่ใครจะกล้าล่วงเกินได้ง่าย ๆ ไทเฮาเคยกำชับไว้แล้ว วันหน้าเมื่อรัชทายาทขึ้นครองราชย์ ยังต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากแม่ทัพหลง ดังนั้น ในฐานะข้ารับใช้ ก็ต้องช่วยเสริมบารมีให้เขาเช่นกันดังนั้น ตอนนี้นางจึงพูดกับองครักษ์ด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ลากตัวลงไป ตบปากเสีย!” จากนั้น นางก็เหลือบมองเสื้อผ้าที่หลงจ่านซินสวมใส่อยู่ “ถอดเสื้อคลุมตัวนอกของนางออก มอบให้ฮองเฮา!” ทำเช่นนี้ ก็ไม่ถือว่าเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งองครักษ์รีบพาตัวหลงจ่านซินออกไปทันที หลงจ่านซินถูกลากตัวไป ก็ด่าทอตลอดทาง “ปล่อยข้า พวกเจ้าสองคนช่างบังอาจนัก! กล้าล่วงเกินผ
หลงฮูหยิน เย่เต๋อโหรว ฟังหลงจ่านซินร้องไห้ฟ้อง ก็โกรธจนหน้าตาบิดเบี้ยว นางสะบัดแขนเสื้อ กวาดถ้วยกระเบื้องเคลือบสีเขียวขอบทองลายดอกไม้บนโต๊ะลงกับพื้น แล้วตะคอกว่า “หลงจ่านเหยียน เจ้าช่างบังอาจนัก!”หลงจ่านซินยื่นมือลูบแก้มที่แดงและบวมช้ำ ร้องไห้พลางกล่าวขึ้น “ท่านแม่ ท่านต้องช่วยลูกล้างแค้นให้ได้นะเจ้าคะ!”นางกระทืบเท้า แล้วกัดฟันกรอด เอ่ยขึ้นด้วยความโหดเหี้ยม “ข้าจะตัดมือตัดเท้าของนางแล้วป้อนให้สุนัขกิน!”เย่เต๋อโหรวมองใบหน้าของบุตรสาวที่เต็มไปด้วยรอยนิ้วมือ รู้สึกทั้งเจ็บปวดและโกรธแค้นอย่างบอกไม่ถูก นางสูดหายใจเข้าลึก ๆ นั่งลงบนเก้าอี้ แล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เงยหน้าขึ้น แล้วเอ่ยต่อหญิงรับใช้ที่ชื่อไฉ่หลี “เจ้าพาคุณหนูรองออกไปก่อน!”“ท่านแม่ ข้าไม่ไป ท่านรีบเรียกคนไปจับตัวนางสารเลวคนนั้นมาเดี๋ยวนี้! ความแค้นนี้ข้าต้องชำระให้ได้! หลงจ่านซินเอ่ยด้วยความโมโหสีหน้าของเย่เต๋อโหรวเคร่งขรึม ตะคอกเสียงดัง “เจ้าออกไปก่อน ข้ารู้ว่าควรทำอย่างไร อย่ามาส่งเสียงโวยวายที่นี่ ทำงานใหญ่ของข้าเสียหายหมด!”หลงจ่านซินเห็นมารดาโกรธ ก็เงียบปากทันที ได้แต่ยืนเช็ดน้ำตาอยู่ข้าง ๆ ด้วยความคับแค้นใจ
เย่เต๋อโหรวรีบคุกเข่าลง จับชายแขนเสื้อของเขาไว้ แล้วเอ่ยด้วยความเศร้าโศก “วันนั้น ข้าสัญญากับจิ่วเม่ยว่าจะดูแลบุตรสาวของนางเป็นอย่างดี จ่านเหยียนในวันนี้กลายเป็นเช่นนี้ ข้าก็มีส่วนรับผิดชอบอย่างไม่อาจปฏิเสธ หากท่านแม่ทัพต้องการจะสั่งสอนนาง มิสู้ข้าไปเองเสียจะดีกว่า อย่างน้อยหากคนจากวังหลวงมาเอาผิด ก็จะได้อ้างว่าเป็นความคิดของข้าเพียงผู้เดียว จะได้ไม่พาดพิงถึงท่านแม่ทัพ!”หลงฉางเทียนถอนหายใจ ยื่นมือไปพยุงเย่เต๋อโหรวขึ้น “เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้จักเจ้าหรือ? เจ้าบอกว่าจะไปสั่งสอนนาง ก็คงแค่พูดดุนางสองสามประโยค เจ้านี่นะ ใจอ่อนเกินไป สุดท้ายก็ต้องเสียเปรียบ!”“เสียเปรียบสักหน่อยจะเป็นไรไป? อีกอย่าง นางเป็นคนรักศักดิ์ศรี ดุนางสองสามประโยคก็หนักหนาแล้ว อีกไม่นานก็ต้องเข้าวัง มีเรื่องน้อยลงไปอีกเรื่องคงจะดีเสียกว่า!”เย่เต๋อโหรวพูดจบ ก็หันไปกำชับไฉ่หลี “ท่านแม่ทัพดื่มเหล้ามา ยังไม่รีบไปดูแลให้ท่านแม่ทัพเข้าไปพักผ่อนอีก?”หลงฉางเทียนได้ยินดังนั้น ความโกรธบนใบหน้าก็หายวับไปในทันที มุมปากแฝงไปด้วยรอยยิ้มคลุมเครือมองไปที่ไฉ่หลีไฉ่หลีหน้าแดงก่ำ ทำท่าเขินอายก่อนจะตอบรับ “เจ้าค่ะ ฮูหยิน!”หลงจ่าน
ระหว่างทาง องครักษ์หลวงสองคนเอ่ยถามกัวกูกูอย่างแผ่วเบา “กลัวว่าจะเกิดเรื่องหรือไม่?”กัวกูกูยิ้มอย่างเยือกเย็น “คนที่จะกลัวมิใช่พวกเราหรอก!”องครักษ์หลวงสองคนไตร่ตรองถึงผลได้ผลเสียอย่างรอบคอบ ก็รู้สึกว่าที่กัวกูกูพูดก็มีเหตุผล ถึงอย่างไรก็เป็นแค่เรื่องที่ฮูหยินผู้เฒ่าต้องการจะสั่งสอนหลานสาว พวกเขาจะไปขัดขวางได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่ได้เห็นอะไร ไม่ได้รู้อะไรเลยหากจะมองในแง่ร้ายที่สุด ในวังหลวงใครจะมาสนใจหลงจ่านเหยียนกัน? ถึงอย่างไรก็เป็นแค่คนที่จะต้องตายแล้วทันทีที่กัวกูกูพาคนเข้าไปในเรือนของฮูหยินผู้เฒ่า ก็มีคนไปแจ้งเรื่องนี้ให้เย่เต๋อโหรวทราบเย่เต๋อโหรวนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างเงียบ ๆ ฟังน้ำเสียงคลุมเครือชวนให้คิดไปไกลต่าง ๆ ที่ดังมาจากห้องด้านใน รับรู้ถึงความรู้สึกเจ็บปวดราวกับหัวใจถูกมีดกรีดเมื่อได้ยินรายงานจากคนที่เข้ามา นางก็ยิ้มอย่างเย็นชาแล้วเอ่ยขึ้น “พอแล้ว เจ้าออกไปเถิด!”นางเรียกหญิงรับใช้ที่ชื่อหงฮวาเข้ามา เก็บซ่อนความรังเกียจในแววตา พร้อมกับเอ่ยด้วยสีหน้าที่ดูอ่อนโยน “เจ้าเข้าไปปรนนิบัติท่านแม่ทัพในห้อง แล้วเรียกไฉ่หลีออกมา!”ไฉ่หลีเป็นคนใจดำ และพอมีฝีไม
“ไม่จำเป็น!” เย่เต๋อโหรวกล่าวอย่างเย็นชา เหลือบมองจี๋เสียงและหรูอี้ด้วยสายตาเยือกเย็น จากนั้นก็เอ่ยกับไฉ่หลี “พวกนางสองคนปรนนิบัติจ่านเหยียนได้แค่วันเดียว แต่กลับมีความจงรักภักดีอย่างมาก พาออกไปรับรางวัลเถิด!”“บ่าวมิกล้ารับความดีความชอบ การปรนนิบัตินายเป็นหน้าที่ของบ่าวอยู่แล้วเจ้าค่ะ!” จี๋เสียงและหรูอี้กล่าวพร้อมกันไฉ่หลีเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าดุร้าย “ฮูหยินบอกจะให้รางวัลพวกเจ้า พวกเจ้ามีสิทธิ์ปฏิเสธที่ไหนกัน?” พูดจบก็คว้าแขนทั้งสองคนแล้วลากออกไปข้างนอกนอกประตู ได้ยินเพียงเสียงหัวเราะที่น่ากลัวของไฉ่หลี “พวกเจ้าจงรักภักดีขนาดนี้ เช่นนั้นก็รับบาปแทนเจ้านายของพวกเจ้าสักหน่อยเถอะ!”เสียงกรีดร้องอันน่าสยดสยองดังขึ้น เย่เต๋อโหรวยิ้มอย่างโหดเหี้ยม เปิดม่านขึ้น จากนั้นก็เดินตรงเข้าไปในห้องนอนภายในห้องนอนมืดสนิท ไม่มีแสงสว่างแม้แต่น้อย ความเงียบสงัดปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอของหลงจ่านเหยียนดังขึ้นอย่างต่อเนื่องนางหัวเราะเยาะ ใกล้จะตายแล้วยังนอนหลับสนิทได้อีกหรือ? นางจะไม่ปล่อยให้ได้อยู่อย่างสงบสุขแน่นางเดินไปตามทิศทางของเตียง แต่เพิ่งจะก้าวออกไปได้ก้าวเดีย
ความหวาดกลัวแล่นเข้ามาในใจ นางตั้งสติด้วยความตกใจ เอ่ยถามไฉ่หลี “เมื่อครู่เจ้าได้ยินอะไรบ้าง?”ไฉ่หลีมองนาง “ได้ยินไม่ชัด เหมือนจะเป็นเสียงกรีดร้องเจ้าค่ะ!”เย่เต๋อโหรวเลิกผ้าม่านขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายในห้องจุดโคมไฟติดผนัง แสงไฟสลัว ๆ พร่ามัว ข้างเตียงมีร่างหนึ่งสวมชุดขาวยืนอยู่ เย่เต๋อโหรวรู้สึกราวกับเลือดทั้งร่างกายแข็งตัว ร่างกายสั่นเทิ้มไม่หยุดเมื่อครู่ เพราะในใจเต็มไปด้วยความแค้นต่อหยางจิ่วเม่ย จึงไม่รู้สึกกลัว แต่ตอนนี้เมื่อเห็นร่างขาวซีดนั่น ความทรงจำทั้งหมดก็ผุดขึ้นมาในใจ เสียงร้องโหยหวนอันน่าเวทนาของหยางจิ่วเม่ยก็ดังก้องอยู่ในหูไม่หยุด ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูกร่างนั้นค่อย ๆ หันกลับมา กลับกลายเป็นหลงจ่านเหยียนเมื่อสายตาของเย่เต๋อโหรวสบเข้ากับรอยยิ้มเย็นยะเยือกที่มุมปากของหลงจ่านเหยียน ความหวาดกลัวในใจก็พุ่งขึ้นถึงขีดสุด สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านใบหน้าของนาง ทำให้นางรู้สึกขนลุกซู่นางปล่อยม่านลงแทบจะในชั่วพริบตา เดินโซเซออกไปข้างนอก เหงื่อเย็นไหลออกมาทั่วร่างไฉ่หลีรีบตามไป จากนั้นเอ่ยถาม “ฮูหยิน เหตุใดจึงไม่เข้าไปล่ะเจ้าคะ? แล้วยานี่จะทำอย่
หลงจ่านซินพึงพอใจกับความเยินยอของจ่านเหยียนเป็นอย่างยิ่ง นางเงยหน้าขึ้นมองหลงจ่านเหยียน แล้วยิ้มภาคภูมิใจออกมา “เมื่อก่อนยามมีแขกมาเยือนถึงบ้าน พอพูดถึงพวกเราสองพี่น้อง ต่างก็บอกว่าข้างามยิ่งกว่าพี่หญิง บัดนี้มาคิดดูแล้วเห็นจะไม่ใช่คำโกหก”หลงจ่านเหยียนยิ้มเล็กน้อย ยามมีแขกมาเยือนถึงประตูบ้าน หลงจ่านเหยียนไหนเลยจะได้ออกมาเผยโฉม?เดิมทีงานนี้เป็นงานเลี้ยงยามเย็นที่เป็นทางการยิ่ง เนื่องจากการมาถึงของหลงจ่านซิน บรรยากาศจึงแปลกประหลาดไปคนที่ยังสามารถรักษาสีหน้าให้เป็นปกติได้ มีเพียงแค่เซ่อเจิ้งอ๋องมู่หรงฉิงเทียนคนเดียวเท่านั้นเขาถือจอกสุรา ตรงมุมปากเผยความเย็นชา หลังจากดื่มสุราไปหลายจอก สีหน้าของเขาก็ยังไม่แปรเปลี่ยน มีเพียงกลิ่นสุราเท่านั้นที่โชยออกมา กระทั่งจ่านเหยียนที่นั่งอยู่ข้างเขาก็ยังได้กลิ่นสุราที่มอมให้คนเมามายในสถานการณ์เช่นนี้ หากมีใครสักคนเปิดหัวข้ออะไรสักอย่างขึ้นมา เพื่อให้งานเลี้ยงยามเย็นดำเนินต่อไปได้ ย่อมไม่เป็นปัญหาอะไรทว่ามีแต่คนที่อยากจะใช้โอกาสนี้ เผยหน้าแสดงให้เห็นถึงการมีตัวตนต่อหน้าใต้เท้ามากมายขนาดนี้หงฮวาอยู่แถวนั้น นางเดินผ่านเย่เต๋อโหรว แล้วเข้าไปพู
ไม่ไม่เพียงแต่ประหลาดใจ ไม่มีมนุษย์คนไหนมีชีวิตอยู่ทั้งที่หัวใจไม่เต้น ที่เป็นเช่นนั้นมีอยู่ด้วยกันสามเหตุผล หนึ่ง มีของวิเศษไม่ก็ของศักดิ์สิทธิ์อยู่ในร่างกาย คอยประคองรักษาชีวิตเขาไว้สอง คือเป็นซอมบี้ แต่ซอมบี้จะต้องมีกลิ่นศพแผ่ออกมาจากกาย ไม่อาจเห็นแสงตะวัน ใบหน้าก็จะขาวซีดราวกับกระดาษ ไม่มีวันได้ใช้ชีวิตอย่างคนปกติทั่วไป ดังนั้นจึงมิใช่เหตุผลนี้ความเป็นไปได้สุดท้าย ก็คือผีดิบที่โดดออกมาจากสามโลกไม่อยู่ในห้าธาตุ แต่เขาไม่ใช่ผีดิบสภาพการณ์ของเขานั้น ตรงกับเหตุผลข้อที่หนึ่งเซ่อเจิ้งอ๋องมีเพียงรอยยิ้มบาง ๆ ให้กับคำสรรเสริญของหลงฉางเทียนเท่านั้น มิได้ตอบกลับไปแต่อย่างใดขณะที่จ่านเหยียนกำลังจมอยู่ในความคิด ก็ได้ยินน้ำเสียงจงใจดัดให้นุ่มนวลดังขึ้นมา “จ่านเหยียนคารวะฉีชินอ๋อง”เนื่องจากนางเงยหน้าขึ้นกะทันหัน ไม่ทันได้เตรียมพร้อม ทำให้ตกใจจนดวงตาทั้งสองข้างแทบจะถลนออกมาหลงจ่านซินใส่ชุดกระโปรงยาวจับจีบเผยช่วงอกสีแดงไข่มุกปักลายดอกเบญจมาศสีทองดอกใหญ่ ช่วงบนคลุมไว้ด้วยผ้าโปร่งบาง ช่วยบดบังได้ราง ๆ ทว่ากลับปิดความเย้ายวนไม่ได้ท่ามกลางความวับ ๆ แวม ๆ ผ้าโปร่งบางสีแดงยิ่งขับให้ผิวขา
บนบันไดหินหน้าระเบียงทางเดิน คนกลุ่มหนึ่งเดิมห้อมล้อมเซ่อเจิ้งอ๋องมู่หรงฉิงเทียนเข้ามาท่ามกลางแสงเทียนเลือนราง จ่านเหยียนเงยหน้าขึ้นมอง เห็นเขาสวมใส่ชุดคลุมสีขาวนวลดั่งแสงจันทร์ คาดผ้าคาดเอวสีทองไว้บนช่วงเอว บริเวณกลางผ้าคาดเอวฝังหยกโมราสีเขียวขนาดเท่าไข่นกกระทาไว้หนึ่งชิ้น มันทอประกายหลากสีสันออกมาใต้แสงเทียนนี่เป็นครั้งที่สามที่จ่านเหยียนได้พบเขา ทว่าบุรุษผู้นี้มักมอบความสะเทือนขวัญใหม่ ๆ แก่นางทุกครั้งที่ได้เจอใบหน้าของเขาและฉีชินอ๋องมู่หรงหานเทียนละม้ายคล้ายคลึงกันสามถึงสี่ส่วน ทว่าแฝงไปด้วยความเด็ดขาดสองอย่างที่ต่างกันออกไปสามารถใช้คำว่าอ่อนโยนดุจหยกมาบรรยายได้ฉีชินอ๋อง ส่วนเขานั้นกลับมีรัศมีองอาจดุดันแผ่ออกมาทั้งกายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เขาไม่ได้ตั้งแต่แผ่ความองอาจดุดันนี้ออกมา ทว่าเพียงแค่เจ้าเห็นเขา ต่อให้เขาไม่แสดงสีหน้าอันใดเลย เจ้าก็ยังคงสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายองอาจดุดันที่แผ่ออกมากดดันผู้คนท่ามกลางความองอาจดุดันนั้นแฝงไปด้วยเสน่ห์แสนน่าประหวั่นที่ทำให้ผู้คนใจสั่น อืม ใช่แล้ว คำว่าเสน่ห์สุดแสนร้ายกาจที่มักจะถูกใช้บรรยายอยู่ในนิยายนั่นแหละ เมื่อก่อนนางไม่เคยเข้าใจเลย
พูดอีกอย่างก็คือ มิใช่เขาที่เป็นคนชมชอบจ่านเหยียนชะงักไปเล็กน้อย นางไม่รู้เรื่องนี้จริง ๆ ยังนึกอยู่เลยว่าเขาเต็มใจแต่งงานนางกล่าวออกไปไม่ตรงกับที่ใจคิดว่า “น้องหญิงเป็นคนร่าเริงฉลาดเฉลียว งดงามแลใจกว้าง เป็นแม่นางน้อยที่ไม่เลวเลยนางหนึ่ง”นอกจากจะชอบแทงเข็มใส่เล็บคนอื่นเขาทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิดกับชอบตะโกนเรียกผู้อื่นมาตบบ้องหูทั้งที่เขายังไม่ทันทำอะไรเลยแล้ว ที่เหลือก็คงไม่มีข้อบกพร่องอะไรแล้วอย่างน้อย นางก็ยังไม่มีโอกาสได้เห็นน่ะนะฉีชินอ๋องยิ้มเย็นชา “อย่างนั้นหรือ?”จากที่เขารู้ ที่ว่าร่าเริงฉลาดเฉลียวนั้นสามารถตีความได้หลากหลายแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนำมาบรรยายหลงจ่านซินจ่านเหยียนเห็นว่าเขามีสีหน้าไม่ดี ก็เข้าใจได้ทันทีว่าเขาไม่ค่อยพอใจนัก จึงปลอบไปว่า “ท่านอ๋องไม่ต้องกลัดกลุ้มไป หากไม่ไหวจริง ๆ ก็คิดเสียว่าแต่งงานกับแจกันดอกไม้เพื่อเอากลับไปเชยชมก็พอ ถึงอย่างไรมีสตรีงามให้ได้เชยชม ก็ถือว่าเป็นที่เจริญตาเจริญใจเรื่องหนึ่งมิใช่หรือ?”ฉีชินอ๋องยกมุมปากเผยรอยยิ้มไม่แยแสออกมา “ขอบพระทัยพระเชษฐภคินีที่ทรงปลอบ”“เรื่องที่กำหนดไว้แล้ว คิดมากไปก็ไร้ประโยชน์” จ่านเหยียนเอ่ยค
ครั้นหลงฉางเทียนกล่าวจบ จ่านเหยียนจึงเริ่มตกรางวัลนี่เป็นรายการที่สกุลหลงตั้งตาคอยที่สุด ถึงอย่างไรก็ได้ยินมาจากคนของกรมพิธีการแล้วว่าครานี้ไทฮองไทเฮาลงทุนไปไม่น้อย ของที่เลือกมาล้วนเป็นของล้ำค่าในวังทั้งสิ้นของรางวัลแต่ละชุดวางอยู่บนโต๊ะ ทั้งหมดล้วนบรรจุไว้ในกล่องของขวัญ ยามตกรางวัลก็มิได้พูดชัดเจนว่าคืออะไร เรียกความสับสนงุนงงจากคนที่มาร่วมงาน การตกรางวัลโดยปกติแล้ว มักจะแจ้งชื่อเรียกของรางวัลนั้น ๆ เพื่อให้คนรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย การตกรางวัลที่ดูลึกลับเช่นนี้ นับเป็นครั้งแรกทว่าในเมื่อไทเฮาไม่พูด จึงไม่มีคนกล้าเปิดออกดู ได้แต่สั่งให้บ่าวรับใช้ส่งกลับไปที่เรือนของตนเองก่อน กลับไปแล้วค่อยเปิดดูหงฮวาอยากเห็นมาตลอดว่าของรางวัลที่นางได้เป็นอะไร ทว่าเห็นคนอื่นไม่เปิดดู นางเองก็ไม่กล้าเปิดเช่นกันอันที่จริงนางไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก เพราะตกรางวัลมาให้นางเพียงชุดเดียว จะดีร้ายอย่างไรยามนี้นางก็ตั้งท้องเลือดเนื้อเชื้อไขของสกุลหลง แม้บุตรจะยังไม่คลอดออกมา แต่ก็ควรให้เพิ่มขึ้นอีกสักสุดนางเอื้อมมือออกไปรั้งแขนเสื้อเย่เต๋อโหรว กระซิบถามว่า “ฮูหยิน ท่านว่านางควรจะตกรางวัลให้ข้าเพิ่มอีกสัก
จ่านเหยียนร้องเฮอะ “ที่หลงฉางเทียนมีนิสัยไม่มีเหตุผล ไร้ความเมตตาต่อผู้อื่นเช่นนี้ล้วนได้มาจากบรรพบุรุษอย่างที่คิดจริง ๆ”“เจ้ากล้านักนะ อยู่ในศาลบรรพชนตระกูลหลงของข้าแล้วยังจะกล้าพูดจาอวดดีเช่นนี้อีก?” ผู้เฒ่าผมขาวมองมาด้วยสายตาเดือดดาลจ่านเหยียนแย้มยิ้มชั่วร้าย “กระทั่งข้าเจ้าก็ยังไม่รู้จัก เมื่อไม่รู้จักก็เลยกล้าพูดจาสามหาวกับข้าเช่นนี้สินะ?” เมื่อจ่านเหยียนพูดจบ ก็ชูมือขาวผ่องขึ้น แหปลาสีทองปากหนึ่งพลันหล่นลงมาจากฟากฟ้า ปกคลุมกลุ่มดวงวิญญาณของสกุลหลงกลุ่มนั้นไว้ นางคว้าแหจับปลาแล้วใช้มือเหวี่ยงออกไป แหจับปลากลับหดเล็กลงเป็นกลุ่มก้อน แล้วบีบไว้ในมือแน่นหยางจิ่วเม่ยตกตะลึง รีบก้าวเข้าไปด้วยอยากจะร้องขอความเมตตา ทว่าจ่านเหยียนกลับมองนางด้วยสายตาเรียบนิ่งแล้วกล่าวว่า “เจ้าสนใจแต่ตัวเจ้าเองก็พอ”หยางจิ่วเม่ยชะงัก ก้าวถอยหลังไปอย่างระมัดระวัง“ขึ้นไปบนแท่นบูชาเถิด ข้าจะส่งเจ้าขึ้นไปด้วยมือของข้าเอง ไม่มีใครไล่เจ้าไปได้หรอก” จ่านเหยียนชูฝ่ามือขึ้นปล่อยพลังตรงไปดันหยางจิ่วเม่ยขึ้นไปวิญญาณของหยางจิ่วเม่ยกลายเป็นดอกบัวดอกหนึ่ง แล้วค่อย ๆ หายในแท่นบูชาจ่านเหยียนใช้พลังหยินกักขังบ
ก่อนงานเลี้ยงยามเย็นจะเริ่ม อยู่ ๆ จ่านเหยียนกลับบอกว่าอยากไปกราบไหว้หยางจิ่วเม่ยมารดาแท้ ๆ ของตนที่ศาลบรรพชนสักหน่อยเย่เต๋อโหรวสั่งให้คนไปนำแท่นบูชาออกมาเตรียมไว้ตั้งแต่เช้าแล้ว กำชับให้วางไว้ข้าง ๆ เหล่าบรรพชนสกุลหลง ทั้งให้วางกระถางธูปไว้ด้วยหลงจ่านเหยียนเจาะจงจะให้เย่เต๋อโหรวไปกับนางด้วย มาตรแม้นว่าเย่เต๋อโหรวจะไม่ยินยอม ทว่าก็ยังตามเข้าไปด้วยท่าทีระมัดระวังเนื่องจากนางมีฐานะเป็นไทเฮา ย่อมไม่จำเป็นต้องคุกเข่าจิ้นหรูจุดธูปให้นาง แล้วจึงถอยออกไปในศาลบรรพชนหลงเหลือแค่จ่านเหยียนกับเย่เต๋อโหรวเท่านั้น คนรับใช้ล้วนรออยู่ด้านนอกจ่านเหยียนมองไปยังแท่นบูชาของหยางจิ่วเม่ย จึงรู้ว่าเพิ่งจะนำออกมาวางไปใหม่ เพราะว่าแท่นบูชานั้นใหม่เอี่ยมเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีร่องรอยควันธูปเจิมเลยสักนิด“ฮูหยิน ท่านสร้างภาพได้ไม่เลวเลย” จ่านเหยียนกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบเย่เต๋อโหรวกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “บัดนี้ไทเฮามีฐานะสูงส่ง กระทั่งคำว่ามารดาก็ไม่ยอมเรียกขานกันสักคำหรือเพคะ?”“มารดา?” จ่านเหยียนหัวเราะเสียดสี “ข้าแค่กลัวว่าถ้าเรียกออกไป แล้วท่านจะรับไม่ไหวน่ะสิ”“กฎแห่งฟ้าดินแลศีลธรรมของ
นางเฉินเพิ่งเดินออกไป หงฮวาก็เข้ามาแล้ว นางตั้งท้องได้เจ็ดแปดเดือนแล้ว บัดนี้กำลังสวมใส่ชุดสีชมพูอมม่วง ทันทีที่ก้าวเข้ามาก็กล่าวว่า “ฮูหยิน ไยเงินเดือนของเดือนนี้ถึงได้น้อยเช่นนี้เล่าเจ้าคะ? ท่านก็รู้ว่าตอนนี้ข้ากำลังท้องกำลังไส้ มีที่ที่ให้ต้องใช้เงินมากมายไปหมด เงินเล็กน้อยแค่นี้ แค่ครึ่งเดือนก็ยังไม่พอเลย”เย่เต๋อโหรวมองนางเล็กน้อย แล้วกล่าว “เดือนนี้ในจวนมีรายจ่ายมากกว่ารายรับ เงินเดือนของทุกเรียนจึงลดลงเช่นกันหมด มิใช่ว่าให้ไฉ่หลีไปบอกเจ้าแล้วหรือ?”“ท่านลดเงินของผู้อื่นก็ไม่เป็นอะไรหรอกเจ้าค่ะ แต่นี่ข้ากำลังท้องอยู่ หมอบอกว่าครรภ์นี้ของข้าเป็นผู้ชาย หากมีอะไรผิดพลาดไป ท่านแม่ทัพต้องไม่ปล่อยข้าไว้แน่” หงฮวากล่าวด้วยดวงตาเยือกเย็นซึ่งเจือแววข่มขู่เล็กน้อยเย่เต๋อโหรวกล่าวด้วยความเหนื่อยหน่าย “พอแล้ว อีกประเดี๋ยวข้าจะแบ่งจากส่วนของข้าให้เจ้าครึ่งหนึ่ง แล้วสั่งให้คนนำไปมอบให้เจ้า เช่นนี้พอใจแล้วกระมัง?”หงฮวาถึงได้ยิ้มออกมา “ขอบคุณฮูหยินเจ้าค่ะ”นางชะงักไปเล็กน้อย แล้วจึงกล่าวขึ้นมาอีกว่า “นึกไม่ถึงว่าหลงจ่านเหยียนจะกลับมาเยี่ยมบ้านมารดา การต้อนรับคงใช้จ่ายเงินไปไม่น้อยสินะเจ้า
เช้าวันต่อมา รางวัลของกรมพิธีการก็มาถึง บรรจุเอาไว้เต็มรถม้าสองคันใหญ่ ล้วนเป็นของที่ไทฮองไทเฮาพระราชทานให้แก่หมู่โฮ่วฮองไทเฮาเอาไว้แจกจ่ายเป็นรางวัลระหว่างที่เดินทางกลับบ้านที่เรียกว่ากลับสู่บ้านเกิดในสภาพเต็มยศ ก็เป็นเช่นนี้เองเกี้ยวหงส์หยุดอยู่ในตรอกตำหนักหรูหลาน ขันทีแลนางกำนัลยืนเรียงเป็นสองแถว ตามอยู่ด้านหลังกองทหารเกียรติยศ ห่างไกลกันถึงหนึ่งลี้จิ้นหรูและกัวอวี้ประคองจ่านเหยียนออกมา วันนี้จ่านเหยียนสวมชุดชาววังจากผ้าไหมปักลายดอกโบตั๋นสีชมพูดอกบัวดอกใหญ่ซึ่งสวมใส่เป็นประจำ เครื่องประดับเกศาก็ปักอย่างเรียบง่าย บนผมทรงอาชาร่วงปักปิ่นทองห้อยหางหงส์ พร้อมด้วยปิ่นหยกเขียวที่ช่วยเสริมให้ดูสง่างามขึ้นท่ามกลางความงดงามนางนั่งอยู่บนเกี้ยวหงส์ กองทหารเกียรติยศคอยเปิดทางให้อยู่ด้านหน้าราตรีอันมืดมิดคืนหนึ่งเมื่อประมาณหนึ่งปีก่อน นางก็ถูกหามเข้าวังไปเช่นนี้ กะพริบตาเพียงครั้ง เวลาก็ล่วงเลยผ่านไปหนึ่งปีเสียแล้ว คนสกุลหลงรอรับเกี้ยวหงส์ที่หน้าประตูจวนตั้งแต่เช้าแล้ว ครั้นได้ยินเสียงของกองทหารเกียรติยศดังขึ้น หลงฉางเทียนก็รีบสั่งให้คนออกมาต้อนรับทันทีพรมสีแดงผืนหนึ่งทอดยาวตั้งแต่