เย่เต๋อโหรวรีบคุกเข่าลง จับชายแขนเสื้อของเขาไว้ แล้วเอ่ยด้วยความเศร้าโศก “วันนั้น ข้าสัญญากับจิ่วเม่ยว่าจะดูแลบุตรสาวของนางเป็นอย่างดี จ่านเหยียนในวันนี้กลายเป็นเช่นนี้ ข้าก็มีส่วนรับผิดชอบอย่างไม่อาจปฏิเสธ หากท่านแม่ทัพต้องการจะสั่งสอนนาง มิสู้ข้าไปเองเสียจะดีกว่า อย่างน้อยหากคนจากวังหลวงมาเอาผิด ก็จะได้อ้างว่าเป็นความคิดของข้าเพียงผู้เดียว จะได้ไม่พาดพิงถึงท่านแม่ทัพ!”หลงฉางเทียนถอนหายใจ ยื่นมือไปพยุงเย่เต๋อโหรวขึ้น “เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้จักเจ้าหรือ? เจ้าบอกว่าจะไปสั่งสอนนาง ก็คงแค่พูดดุนางสองสามประโยค เจ้านี่นะ ใจอ่อนเกินไป สุดท้ายก็ต้องเสียเปรียบ!”“เสียเปรียบสักหน่อยจะเป็นไรไป? อีกอย่าง นางเป็นคนรักศักดิ์ศรี ดุนางสองสามประโยคก็หนักหนาแล้ว อีกไม่นานก็ต้องเข้าวัง มีเรื่องน้อยลงไปอีกเรื่องคงจะดีเสียกว่า!”เย่เต๋อโหรวพูดจบ ก็หันไปกำชับไฉ่หลี “ท่านแม่ทัพดื่มเหล้ามา ยังไม่รีบไปดูแลให้ท่านแม่ทัพเข้าไปพักผ่อนอีก?”หลงฉางเทียนได้ยินดังนั้น ความโกรธบนใบหน้าก็หายวับไปในทันที มุมปากแฝงไปด้วยรอยยิ้มคลุมเครือมองไปที่ไฉ่หลีไฉ่หลีหน้าแดงก่ำ ทำท่าเขินอายก่อนจะตอบรับ “เจ้าค่ะ ฮูหยิน!”หลงจ่าน
ระหว่างทาง องครักษ์หลวงสองคนเอ่ยถามกัวกูกูอย่างแผ่วเบา “กลัวว่าจะเกิดเรื่องหรือไม่?”กัวกูกูยิ้มอย่างเยือกเย็น “คนที่จะกลัวมิใช่พวกเราหรอก!”องครักษ์หลวงสองคนไตร่ตรองถึงผลได้ผลเสียอย่างรอบคอบ ก็รู้สึกว่าที่กัวกูกูพูดก็มีเหตุผล ถึงอย่างไรก็เป็นแค่เรื่องที่ฮูหยินผู้เฒ่าต้องการจะสั่งสอนหลานสาว พวกเขาจะไปขัดขวางได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่ได้เห็นอะไร ไม่ได้รู้อะไรเลยหากจะมองในแง่ร้ายที่สุด ในวังหลวงใครจะมาสนใจหลงจ่านเหยียนกัน? ถึงอย่างไรก็เป็นแค่คนที่จะต้องตายแล้วทันทีที่กัวกูกูพาคนเข้าไปในเรือนของฮูหยินผู้เฒ่า ก็มีคนไปแจ้งเรื่องนี้ให้เย่เต๋อโหรวทราบเย่เต๋อโหรวนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างเงียบ ๆ ฟังน้ำเสียงคลุมเครือชวนให้คิดไปไกลต่าง ๆ ที่ดังมาจากห้องด้านใน รับรู้ถึงความรู้สึกเจ็บปวดราวกับหัวใจถูกมีดกรีดเมื่อได้ยินรายงานจากคนที่เข้ามา นางก็ยิ้มอย่างเย็นชาแล้วเอ่ยขึ้น “พอแล้ว เจ้าออกไปเถิด!”นางเรียกหญิงรับใช้ที่ชื่อหงฮวาเข้ามา เก็บซ่อนความรังเกียจในแววตา พร้อมกับเอ่ยด้วยสีหน้าที่ดูอ่อนโยน “เจ้าเข้าไปปรนนิบัติท่านแม่ทัพในห้อง แล้วเรียกไฉ่หลีออกมา!”ไฉ่หลีเป็นคนใจดำ และพอมีฝีไม
“ไม่จำเป็น!” เย่เต๋อโหรวกล่าวอย่างเย็นชา เหลือบมองจี๋เสียงและหรูอี้ด้วยสายตาเยือกเย็น จากนั้นก็เอ่ยกับไฉ่หลี “พวกนางสองคนปรนนิบัติจ่านเหยียนได้แค่วันเดียว แต่กลับมีความจงรักภักดีอย่างมาก พาออกไปรับรางวัลเถิด!”“บ่าวมิกล้ารับความดีความชอบ การปรนนิบัตินายเป็นหน้าที่ของบ่าวอยู่แล้วเจ้าค่ะ!” จี๋เสียงและหรูอี้กล่าวพร้อมกันไฉ่หลีเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าดุร้าย “ฮูหยินบอกจะให้รางวัลพวกเจ้า พวกเจ้ามีสิทธิ์ปฏิเสธที่ไหนกัน?” พูดจบก็คว้าแขนทั้งสองคนแล้วลากออกไปข้างนอกนอกประตู ได้ยินเพียงเสียงหัวเราะที่น่ากลัวของไฉ่หลี “พวกเจ้าจงรักภักดีขนาดนี้ เช่นนั้นก็รับบาปแทนเจ้านายของพวกเจ้าสักหน่อยเถอะ!”เสียงกรีดร้องอันน่าสยดสยองดังขึ้น เย่เต๋อโหรวยิ้มอย่างโหดเหี้ยม เปิดม่านขึ้น จากนั้นก็เดินตรงเข้าไปในห้องนอนภายในห้องนอนมืดสนิท ไม่มีแสงสว่างแม้แต่น้อย ความเงียบสงัดปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอของหลงจ่านเหยียนดังขึ้นอย่างต่อเนื่องนางหัวเราะเยาะ ใกล้จะตายแล้วยังนอนหลับสนิทได้อีกหรือ? นางจะไม่ปล่อยให้ได้อยู่อย่างสงบสุขแน่นางเดินไปตามทิศทางของเตียง แต่เพิ่งจะก้าวออกไปได้ก้าวเดีย
ความหวาดกลัวแล่นเข้ามาในใจ นางตั้งสติด้วยความตกใจ เอ่ยถามไฉ่หลี “เมื่อครู่เจ้าได้ยินอะไรบ้าง?”ไฉ่หลีมองนาง “ได้ยินไม่ชัด เหมือนจะเป็นเสียงกรีดร้องเจ้าค่ะ!”เย่เต๋อโหรวเลิกผ้าม่านขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายในห้องจุดโคมไฟติดผนัง แสงไฟสลัว ๆ พร่ามัว ข้างเตียงมีร่างหนึ่งสวมชุดขาวยืนอยู่ เย่เต๋อโหรวรู้สึกราวกับเลือดทั้งร่างกายแข็งตัว ร่างกายสั่นเทิ้มไม่หยุดเมื่อครู่ เพราะในใจเต็มไปด้วยความแค้นต่อหยางจิ่วเม่ย จึงไม่รู้สึกกลัว แต่ตอนนี้เมื่อเห็นร่างขาวซีดนั่น ความทรงจำทั้งหมดก็ผุดขึ้นมาในใจ เสียงร้องโหยหวนอันน่าเวทนาของหยางจิ่วเม่ยก็ดังก้องอยู่ในหูไม่หยุด ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูกร่างนั้นค่อย ๆ หันกลับมา กลับกลายเป็นหลงจ่านเหยียนเมื่อสายตาของเย่เต๋อโหรวสบเข้ากับรอยยิ้มเย็นยะเยือกที่มุมปากของหลงจ่านเหยียน ความหวาดกลัวในใจก็พุ่งขึ้นถึงขีดสุด สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านใบหน้าของนาง ทำให้นางรู้สึกขนลุกซู่นางปล่อยม่านลงแทบจะในชั่วพริบตา เดินโซเซออกไปข้างนอก เหงื่อเย็นไหลออกมาทั่วร่างไฉ่หลีรีบตามไป จากนั้นเอ่ยถาม “ฮูหยิน เหตุใดจึงไม่เข้าไปล่ะเจ้าคะ? แล้วยานี่จะทำอย่
กัวกูกูจะไม่เข้าใจคำพูดแฝงความนัยของฮูหยินผู้เฒ่าได้อย่างไร? ไทเฮาให้ความสำคัญกับนาง ส่วนนางข้าหลวงขั้นสองในวังอย่างนาง มีสิทธิ์อะไรมาทำหน้าบึ้งตึงที่นี่?เพียงแต่ดีชั่วกัวกูกูก็อยู่ในวังมานานหลายปี จะมองสถานการณ์ตรงหน้าไม่ออกได้อย่างไร? หลังจากที่หลงจ่านเหยียนเข้าวังแล้ว จวนแม่ทัพก็จะต้องได้รับความสำคัญไปช่วงหนึ่ง ไทเฮาตรัสไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะใช้ประโยชน์จากตระกูลหลง แต่ก็ต้องควบคุมตระกูลหลงด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้ตระกูลหลงช่วยเหลือรัชทายาทขึ้นครองบัลลังก์แล้วมีผลงานเหนือผู้เป็นนาย การใช้อำนาจและความเมตตาควบคู่กันไปย่อมเป็นวิธีที่ดีที่สุดดังนั้นในเวลานี้ นางจึงไม่จำเป็นต้องประจบประแจงฮูหยินผู้เฒ่าหลง เพื่อมิให้นางคิดว่าจวนแม่ทัพมีอำนาจล้นฟ้าเพราะฉะนั้น เมื่อนางได้ยินคำพูดของฮูหยินผู้เฒ่า ก็เพียงยิ้มบาง ๆ “เรื่องนี้บ่าวรู้ดีเจ้าค่ะ ไทเฮาทรงได้รับชาอวิ๋นอู้มาไม่ถึงสิบชั่ง แต่แบ่งพระราชทานออกไปตั้งแปดชั่ง จวนแม่ทัพได้รับสามเหลี่ยง!”“กัวกูกูสมแล้วที่เป็นคนสนิทของไทเฮา ความจำช่างดีเยี่ยมเสียจริง เรื่องราวในวังมีมากมาย กัวกูกูยังจำได้แม้กระทั่งว่าจวนแม่ทัพได้รับชาอวิ๋นอู้มาสามเหลี่ยง!”
กัวกูกูไม่ได้พูดอะไร นี่คือเรื่องจริงฝ่าบาททรงยืนกรานที่จะให้ฮองเฮาฝังศพสังเวยชีวิตตามไป ทำให้ไทเฮาพิโรธมาก โชคดีที่หลงฉางเทียนเสนอแผนการ อาศัยช่วงที่ฝ่าบาททรงหมดสติ ให้ไทเฮาใช้ข้ออ้างว่าฮองเฮาปกครองวังหลังบกพร่อง จึงลดขั้นนางเป็นกุ้ยเฟย แล้วให้แต่งตั้งฮองเฮาองค์ใหม่เข้าวัง พร้อมทั้งเสนอชื่อบุตรสาวของตนเองและในตอนนั้น นางรู้สึกเพียงว่าใจคนเราช่างเย็นชาได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ? พ่อแท้ ๆ กลับยอมให้ลูกสาวของตนเองไปตายเพื่อเอาใจไทเฮา นางยอมรับว่า ตอนที่เพิ่งออกจากวังแล้วได้พบกับหลงจ่านเหยียน ในใจนางก็รู้สึกสงสารอยู่บ้าง ด้วยเหตุนี้ ตอนที่หลงจ่านซินรังแกหลงจ่านเหยียน นางจึงลงมือสั่งสอนหลงจ่านซินแทนเพียงแต่ว่า ความเห็นใจนั้นเทียบไม่ได้กับเงินที่จับต้องได้ ถึงแม้ว่านางจะอยู่ในวัง แต่คนในครอบครัวของนางก็อยู่ในเมืองหลวง ทุกคนต่างหวังพึ่งเงินของนางเพื่อเลี้ยงชีพเมื่อกลับมาถึงนอกห้อง องครักษ์หลวงทั้งสองเห็นรอยเลือดเป็นดวง ๆ ที่บันไดหิน ต่างตกใจรีบวิ่งขึ้นไป อาถงก้มลงดมครู่หนึ่ง แล้วเงยหน้าขึ้นมองกัวกูกูด้วยสีหน้าซีดเผือด “เป็นเลือดคน!”กัวกูกูหน้าซีดเผือด เอ่ยขึ้นด้วยความตกตะลึง “บ้าไปแล้
ยามเที่ยงหลี่ชินอ๋องพาคนนำของพระราชทานจากในตำหนักมาส่ง นางเฉิน ฮูหยินของหลงฉางอี้ตรวจนับอยู่ในห้องรับแขก นับพลางทำเสียงจุ๊ปากแล้วเอ่ยกับหลงฉางอี้ว่า “ภาพเขียนจากในวังช่างใหญ่เสียจริง หลายอย่างข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลยด้วยซ้ำ!”หลงฉางอี้มองความละโมบในแววตาของนางแล้วเอ่ยอย่างฉุนเฉียวว่า “ไม่ได้เรื่อง ต่อให้ของพวกนี้ล้ำค่าอีกเพียงใดไม่ใช่ของเจ้า ตรวจนับให้ละเอียด อีกประเดี๋ยวกลับไปรายงานให้พี่สะใภ้!”“นางสุภาพร่างกายไม่แข็งแรง!” นางเฉินมองข้ารับใช้ข้างกายแล้วเอ่ยด้วยเสียงกระซิบว่า “อันที่จริง ข้าวของมากมายเช่นนี้ พวกเราเผลอหยิบไปไม่กี่ชิ้นก็ไม่มีใครรู้หรอก!” “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ?” หลงฉางอี้กล่าวอย่างเกรี้ยวกราด “ทั้งหมดนี้ถูกเขียนไว้ในรายการสินสอดแล้ว เจ้าอย่าคิดว่าพี่สะใภ้เป็นคนโง่นะ!” นางเฉินเบะปาก เอ่ยอย่างไม่ยินยอมว่า “แม่หนูเหยียนไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของนางเสียด้วยซ้ำ อีกอย่าง หากพูดกันตามตรง ปกติแล้วข้าปฏิบัติกับแม่หนูเหยียนดีกว่านางเกินสิบเท่า นางมีสิทธิอะไรได้รับเพียงผู้เดียว?”หลงฉางอี้แค่นเสียงเหอะ “เจ้าดีกับแม่หนูเหยียน? พอเถิด แค่ไม่รังแกทุกวันก็นับว่าไม่เลวแล้ว ของพระราชทานพวกนี้
นางเริ่มรู้สึกว่าฮองเฮาที่กำลังเข้าวังเพื่อโดนฝังศพสังเวยชีวิตพระองค์นี้จะไม่ได้เรียบง่ายเหมือนอย่างที่นางแสดงออกให้เห็นเสียแล้ว!เพียงแต่นางไม่ได้เอ่ยอะไร ก้าวมายืนข้างหน้าแล้วเอ่ยกับนางเฉินว่า “ฮูหยินรอง ก็เป็นสิทธิที่นางคือฮองเฮาที่ไทเฮาทรงแต่งตั้ง!”นางเฉินไม่กล้าล่วงเกินกัวกูกู เพียงแต่เอ่ยโต้แย้งว่า “มีที่ไหนกันเอาสินสอดทองหมั้นทั้งหมดไปเป็นสินติดตัว? นี่มันไม่เป็นธรรมเนียมเอาเสียเลย!” ของพระราชทานพวกนี้ นางแอบเก็บไว้เองหลายชิ้นตั้งนานแล้ว บอกว่าจะมอบให้หลงจ่านเหยียนเป็นสินติดตัว รายการสินสอดที่แสดงให้ฮูหยินผู้เฒ่าดูก็มีของพระราชทานจากในวัง แต่ที่ให้หลงจ่านเหยียนกลับไม่มีเลยเดิมทีนางคิดว่าหลงจ่านเหยียนเข้าวังก็จะถูกฝังศพสังเวยชีวิตทันที คนที่ตายแทนผู้อื่น ใครยังจะตรวจดูสินติดตัวของนางอีก?“ธรรมเนียมเป็นสิ่งที่คนเรากำหนดขึ้นมา นอกจากนี้ฮูหยินรองควรรู้ดีว่าว่าของเหล่านั้นเป็นของพระราชทานหรือว่าเป็นสินสอดกันแน่?” กัวกูกูกล่าวจบก็หันกายเดินเข้าไป ทิ้งคำพูดไว้หนึ่งประโยค “ฮูหยินรองโปรดไปจัดการตามพระประสงค์ของฮองเฮาด้วยเถิดเจ้าค่ะ!” ของในรายการสินติดตัวนั้นช่างอัตคัดยิ่งนักจริ
“ข้ากระหายแล้ว!” เขาเอ่ยเรียบแบบเมินความประหลาดใจบนใบหน้าของนางนางเลิกคิ้วแล้วแสยะยิ้ม “ดังนั้น?”“ไปชงน้ำชามา!” เขาออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงและท่าทีที่ราวกับสั่งบ่าวไพร่คนหนึ่งอย่างไรอย่างนั้นเวรเอ๊ย! นางหลงจ่านเหยียนชาตินี้เคยปรนนิบัติใครบ้าง? เขานึกว่าตัวเองเป็นใคร?ทว่าไม่นานความกรุ่นโกรธของนางก็มลายหายไปด้วยคำพูดต่อมาของเขาเขามองดูนางอย่างสงบ “ข้าเห็นนิ้วมือของเจ้างดงามมาก คาดว่าต้องเป็นมือดีในการชงน้ำชา ข้าอยากลองชิมฝีมือของเจ้าหน่อย”ถ้อยคำนี้ถือว่าสอพลอได้ตรงจุด เมื่อก่อนส่วนที่หลงจ่านเหยียนภาคภูมิใจที่สุดก็คือมือทั้งคู่ของตัวเอง เรียวยาวขาวเนียน ปราศจากตำหนิ มือของนักเปียโนยังไม่งดงามเท่านางเลยที่สำคัญที่สุดคือ ศิลปะการชงน้ำชาของนางยอดเยี่ยมจริง ๆ ไม่ได้แสดงฝีมือนานแล้ว ครั้นวันนี้พูดถึงจึงชักคันไม้คันมือ “ท่านอ๋องอย่าพูดไป อย่างอื่นกระหม่อมทำไม่เป็น แต่เรื่องชงน้ำชากระหม่อมนี่แหละมืออาชีพ ท่านโปรดรอสักเดี๋ยว กระหม่อมจะไปเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”จังหวะที่ประตูเปิดออก ฮุ่ยอวิ่นเดินพรวดพราดเข้ามาด้วยความร้อนรนทันที ครั้นเห็นมู่หรงฉิงเทียนนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างสงบจึงโล่งอก หัน
จ่านเหยียนเห็นดวงตาทั้งคู่ของเขาเป็นสีแดงเพลิง สีหน้าคลุ้มคลั่ง หัวใจพลันหนักอึ้ง สถานการณ์เช่นนี้มีความเป็นไปได้เพียงสองอย่าง หนึ่ง ไอหยินแว้งกัด สอง ธาตุไฟเข้าแทรกจ่านเหยียนฉุดแขนของเขาแล้วลากมาด้านหน้าตนแบบแทบจะไม่ใช้สมองคิด แต่ทันใดนั้นนางก็ได้รู้ว่าตัวเองทำผิดไปแล้ว เพราะไม่สามารถใช้แข็งปะทะแข็งกับการต่อกรกับคนที่ถูกไอหยินแว้งกัดหรือธาตุไฟเข้าแทรกได้เขากางกรงเล็บทั้งห้าแล้วตะครุบมาทางลำคออย่างรวดเร็ว จ่านเหยียนเอนตัวไปด้านหลังพร้อมฉุดเขาลงกับพื้นด้วยเขาทับอยู่บนตัวนางอย่างจัง ดวงตาทั้งคู่แดงประหนึ่งอัคคี เจือความดุร้ายและไอมารเช่นธาตุไฟเข้าแทรก มิหนำซ้ำยังมีสีสันแห่งความทรมานที่มิอาจมองข้ามไม่นานจ่านเหยียนก็วินิจฉัยว่าเขาถูกไอหยินแว้งกัด สถานการณ์เช่นนี้จะทำให้เลือดทั้งสรรพางค์กายตีกลับ เจ็บปวดทุกรูขุมขนยากจะทานทนมิน่าเขาถึงมีบาดแผลที่ศีรษะและใบหน้า คาดว่าเมื่อครู่คงทำร้ายตัวเองในตอนที่ทรมานจนทนไม่ไหวจ่านเหยียนพลันรู้สึกสงสารเล็กน้อย จังหวะที่เขาบีบคอนาง หว่างคิ้วของนางก็ปรากฏดอกบัวส่องแสงเป็นประกายดอกบัวเปล่งแสงหมายถึงความการุญและการช่วยเหลือรักษา ส่วนตัวอักขระสวัสต
อาเสอกลับมาตอนครึ่งคืน หน้าตามอมแมมราวกับมุดออกมาจากเตาไฟที่ไหนนางเขย่าตัวจ่านเหยียนให้ตื่น แล้วยื่นหยกเฝ่ยชุ่ยอมเขียวก้อนหนึ่งให้นาง “เอาไป”ครั้นจ่านเหยียนเห็นก้อนหยกก็เอ่ยด้วยความดีใจ “เจ้าเอาหยกเฝ่ยชุ่ย”“ขโมยมาจากทางคุณชายหวัง ไม่ทันระวังถูกท่านเทพเฝ้าประตูเห็นเข้า ไม่อยากให้เป็นเรื่องจึงได้แต่มุดเตาไฟมา” อาเสอกล่าวอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ“คุณชายหวัง?” จ่านเหยียนอึ้ง ดูเหมือนว่านางมีนัดดื่มสุรากับคุณชายหวังคืนนี้นี่ ลืมไปเสียสนิทเลย“คุณชายหวังยังไม่นอน อยู่ที่ลานเรือนไม่รู้ว่ารอใครสิน่า...” นางหยุดครู่หนึ่งแล้วจึงเบิกตาโพลงมองจ่านเหยียน “คงไม่ได้รอท่านอยู่กระมัง?”จ่านเหยียนหัวเราะแหะ ๆ “น่าจะใช่”อาเสอมองนางอย่างเวทนา “ท่านตายแน่แล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะให้ความสำคัญกับการนัดหมายกับท่านด้วยสิ”จ่านเหยียนจุกอก “เจ้าว่าตอนนี้เขายังรออยู่หรือไม่?”“ตอนข้ามาเขายังรออยู่นะ ไม่รู้ว่าส่งคนไปตามท่านที่จวนเราหรือไม่ เขาคงคิดไม่ถึงว่าพวกเราจะถูกรั้งตัวให้ค้างคืนอยู่ที่จวนอ๋องกระมัง?” อาเสอเอ่ยจ่านเหยียนลุกขึ้นยืนใส่รองเท้า “น่าสงสารจริง ๆ ดึกดื่นเที่ยงคืนเช่นนี้ยังรอข้าอยู่ ข้าต้องไปดื
จ่านเหยียนลืมตาขึ้น แล้วกอบใบหน้าของอาเสอพิจารณาอย่างละเอียด ก่อนจะเอ่ย “เจ้ามีอะไรน่ามอง?”อาเสอตอบอย่างขัดเขิน “ท่านไม่คิดว่าข้าน่ามองหรือ?”“มีตา มีจมูก มีปาก หากจะพูดกันจริง ๆ ก็ไม่แย่ แต่... ตอนนี้เจ้าแต่งตัวเป็นบุรุษ” จ่านเหยียนทำลายความฝันของหญิงสาวอาเสอกระซิบ “ข้าได้ยินมาว่าเซ่อเจิ้งอ๋องกับคุณชายฮุ่ยอวิ่นคือเพื่อนร่วมอุดมการณ์ พวกเขาคือเพื่อนชายที่ดีตลอดชีวิต”“เจ้าเนี่ย ดูนิยายวายมากไปแล้ว ข้ามั่นใจได้เลยนะ ฮุ่ยอวิ่นเป็นชายแท้+” จ่านเหยียนไล่นาง “เร็ว ออกไปหาหินหยกเฝ่ยชุ่ยให้ข้า”อาเสอเดินไปถึงหน้าคันฉ่องแล้วมองทีหนึ่งอย่างไม่สมัครใจ ตามด้วยแค่นเสียงเชอะ “ข้างามพริ้มเพราจะตาย อย่างน้อยต่อให้อยู่ในคราบบุรุษก็ปกปิดบุคลิกและเสน่ห์ของข้าไม่ได้”“กลิ่นคาวงูด้วย!” เสียงอู้อี้ดังมาจากในผ้าห่ม โทษอาเสอไม่ได้จริง ๆ ได้แต่โทษฤดูใบไม้ผลิที่ทำให้อาเสอเกิดอารมณ์วสันต์“ไม่พูดกับท่านแล้ว!” อาเสอแค่นเสียงแล้วกลายร่างเป็นควันกลุ่มหนึ่งจ่านเหยียนชะโงกศีรษะออกมาจากผ้าห่ม ไม่รู้เพราะเหตุใด กลับนอนไม่หลับเสียอย่างนั้น?นางลุกขึ้นมาใส่เสื้อผ้าแล้วเดินออกไปลานเรือนครั้นสาวใช้ทั้งสองเห็
“ต้องใช้เวลานานเท่าใด?” พระอาจารย์เป่ากวงถามจ่านเหยียนคำนวณพักหนึ่ง วันนี้วันที่หก แกะสลักวิญญาณมังกรต้องใช้เวลาสองวัน แล้วค่อยให้วิญญาณมังกรดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินและแสงแห่งสุริยันจันทรา ส่วนแสงแห่งสุริยันจันทราจำเป็นต้องดูดซับในคืนพระจันทร์เต็มดวง ดังนั้น เร็วที่สุดก็ต้องหลังวันที่สิบห้านางเอ่ย “ให้เวลาข้าสิบวัน”“จริงหรือ?!” ฮุ่ยอวิ่นไม่ค่อยจะเชื่อ “คุณชายรู้ที่อยู่ของวิญญาณมังกรอีกชิ้นหรือ?”จ่านเหยียนผงกศีรษะ “ข้ารู้”“อยู่ที่ใด?” ฮุ่ยอวิ่นถามด้วยความยินดีพระอาจารย์เป่ากวงยื่นมือมากดฮุ่ยอวิ่นเล็กน้อย “คุณชายฮุ่ยอวิ่นมิต้องถามมาก ในเมื่อคุณชายอู่รับปากแล้ว เช่นนั้นเขาจะต้องทำได้อย่างแน่นอน”ฮุ่ยอวิ่นอ้อ ๆ แล้วมองจ่านเหยียนด้วยสายตาร้อนแรงและจริงใจมู่หรงฉิงเทียนเอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ลำบากคุณชายอู่พักอยู่ที่จวนอ๋องสักระยะ เจ้าแค่บอกที่อยู่ของวิญญาณมังกรกับฮุ่ยอวิ่นก็พอ เขาต้องเอามาให้เจ้าได้แน่”จ่านเหยียนเข้าใจความหมายของเขา ตอนนี้นางรู้สถานการณ์ของเขาแล้ว เขาไม่วางใจให้นางออกไปเขาไม่เคยเชื่อใจนาง ระแวดระวังนางอย่างหนัก“ได้!” จ่านเหยียนรับปากมู่หรงฉิงเทียนฮุ่ย
“หลวงจีน ไม่เจอกันนานเลยนะ!” จ่านเหยียนตอบรับเรียบ ๆ“ก็ไม่นับว่านาน เพียงหนึ่งปีเท่านั้น คุณชายสบายดีหรือ?” พระอาจารย์เป่ากวงกล่าวด้วยความนอบน้อมจ่านเหยียนตอบ “ยังไม่ตายก็นับว่าดีมากแล้ว”“คุณชายกล่าวหนักไปแล้ว!” พระอาจารย์เป่ากวงยิ้มน้อย ๆ แล้วตอบมู่หรงฉิงเทียนกับฮุ่ยอวิ่นแปลกใจกับการกระทำของพระอาจารย์เป่ากวงมาก แม้ก่อนหน้านี้พระอาจารย์เป่ากวงจะแนะนำหลงอู่ แต่พวกเขาแค่นึกว่าพระอาจารย์เป่ากวงชื่นชมเขาเล็กน้อย ตอนนี้ดูแล้ว... ไม่เพียงแต่ชื่นชม หากมีความเคารพด้วยท่าทีของพระอาจารย์เป่ากวงทำให้มู่หรงฉิงเทียนใช้อีกมุมหนึ่งในการมองประเมินจ่านเหยียน“พระอาจารย์ ท่านเคยรู้จักกับคุณชายอู่มาก่อนหรือ?” ฮุ่ยอวิ่นถามพระอาจารย์เป่ากวงยิ้มน้อย ๆ “กล่าวได้ว่าอาตมาเคารพคุณชายอู่มานาน กลับมีวาสนาได้พบเพียงหนเดียว”“อ้อ? เพิ่งพบเพียงหนเดียว?” ฮุ่ยอวิ่นประหลาดใจเล็กน้อย พบหนเดียวก็ศรัทธาอีกฝ่ายถึงเพียงนี้แล้ว? ไม่เหมือนลักษณะของหลวงจีนเฒ่าเลยนี่?“หนึ่งหนก็เป็นบุญวาสนาใหญ่หลวงในชาตินี้ของอาตมาแล้ว” พระอาจารย์เป่ากวงเอ่ยอย่างพึงพอใจจ่านเหยียนเหลือบมองเขาชืด ๆ ทีหนึ่ง “หลวงจีน คำนี้จะประจบเก
จ่านเหยียนอยากหมุนตัวกลับมาก ถ้านางเด็กกว่านี้สักสองร้อยปี นางคงจะไปจริง ๆ ทว่านางในตอนนี้ไม่เด็กแล้ว กอปรกับถูกเนรเทศอยู่ที่นี่ จิตใจจึงเปลี่ยนแปลงไปมากอาจเพราะนางไม่อยากให้เขาตายจริง ๆ อย่างไรก็ตาม แคว้นต้าโจวยังต้องการเขาอยู่นางเอ่ยอย่างสงบ “ท่านอ๋อง กระหม่อมกล้าพูดว่านอกจากกระหม่อม โลกนี้ก็ไม่มีใครรักษาท่านได้อีก”ใบหน้าของมู่หรงฉิงเทียนมีสีสันของการเสียดสีและเย้ยหยันเพิ่มขึ้นบางส่วน “อย่างนั้นหรือ?”“ท่านอ๋องจะไม่เชื่อก็ได้พ่ะย่ะค่ะ” จ่านเหยียนเอ่ย“ข้าไม่เชื่อจริง ๆ นั่นแหละ ฮุ่ยอวิ่น ให้เงินเขาร้อยตำลึง ส่งเขาออกไป!” มู่หรงฉิงเทียนสั่งด้วยน้ำเสียงเฉยชาฮุ่ยอวิ่นเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ก็รีบหันไปส่งสายตากับอาซิ่น อาซิ่นพลันเข้าใจจึงวิ่งออกไปแล้วอาเสอเห็นมู่หรงฉิงเทียนโอหังเช่นนี้จึงกลั้นโทสะไม่ได้ หน้าแดงเอ่ย “คนเท่าไรเฝ้ารอให้คุณชายบ้านข้ารักษา คุณชายบ้านข้ายังไม่รับปากเลย ตอนนี้มาหาถึงที่ ท่านกลับไม่รู้คุณค่า ท่านได้เสียใจแน่”“อาเสอ!” จ่านเหยียนขมวดคิ้ว “ถอยออกไป!”แม้นางจะอารมณ์เสียเหมือนกัน เพราะมาถึงที่แล้วกลับถูกอีกฝ่ายขับไล่ไสส่ง ใบหน้าชราของนางเสียหายไม่มากก็
“ใครอยู่ข้างนอก?” เสียงสุขุมอ่อนล้าดังออกมาจากห้องหนังสือฮุ่ยอวิ่นผลักประตูเข้าไป “เทียน ข้าเชิญคุณชายหลงอู่มาแล้ว”จ่านเหยียนยืนอยู่ข้างหลังฮุ่ยอวิ่น เห็นมู่หรงฉิงเทียนนั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือหลังฉาก ดวงหน้าซีดเซียวเล็กน้อย ทั้งยังคล้ายผ่ายผอมไปประมาณหนึ่ง เบ้าตาลึกมากขึ้น แววตาดุร้ายมากกว่าเดิมไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ ๆ สมองของจ่านเหยียนก็นึกถึงคำพูดของจิ้นหรู ใบหน้าชราแดงซ่าน รีบก้มหน้าประสานมือ “หลงอู่คารวะท่านอ๋อง”มู่หรงฉิงเทียนมิได้เอื้อนเอ่ย บรรยากาศหนักอึ้งและ...อึดอัดเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัดจ่านเหยียนรู้ว่าเขากำลังจ้องนางอยู่ เพราะสายตานั้นแหลมคมยิ่งนัก แทบจะมองนางให้ทะลุปรุโปร่งจ่านเหยียนถอนหายใจอยู่ในใจ จิ้นหรูคิดมากไปแล้ว หากนางจะเข้าสู่พุ่มบุปผาในวัยชรา อันดับแรกจะไม่หาหนุ่มน้อย อันดับสองคือจะไม่หาคนที่สร้างความกดดันให้กับนางเช่นนี้เพราะสายตาของเขาทำให้คนประหม่าผ่านไปครู่ใหญ่มู่หรงฉิงเทียนจึงเอ่ยเรียบ “เจ้าก็คือหลงอู่?”จ่านเหยียนขานรับ “พ่ะย่ะค่ะ”มู่หรงฉิงเทียนเอ่ย “เงยหน้าขึ้น!”จ่านเหยียนทำใจให้สงบ จากนั้นก็เงยหน้ามองเขาเขาเอนตัวไปข้างหลังเล็กน้อย มือหนึ
จ่านเหยียนนิ่งงันไปแล้ว นางไม่เคยคิดถึงจุดนี้ มิเช่นนั้นตอนนั้นก็คงไม่มือบอนทำลายวิญญาณมังกร“ตอนนี้ต้องการให้ข้าทำอย่างไร?” จ่านเหยียนถามฮุ่ยอวิ่นทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย “พระอาจารย์เป่ากวงบอกว่าท่านมีวิธี”จ่านเหยียนถอนหายใจทีหนึ่ง “ข้าจะไปจวนอ๋องกับท่าน เจอท่านอ๋องแล้วค่อยว่ากันเถอะ”“ได้!” ฮุ่ยอวิ่นพลันดีใจ จากนั้นก็รีบลุกขึ้นยืนจ่านเหยียนมองฮุ่ยอวิ่น “แต่ ไม่แน่ว่าข้าจะช่วยท่านอ๋องได้”ฮุ่ยอวิ่นคิดว่านางแค่พูดเผื่อเอาไว้ จึงรีบพูดว่า “คุณชายอู่โปรดวางใจ ไม่ว่าจะรักษาได้หรือไม่ ข้าน้อยจะไม่โทษคุณชายอู่เด็ดขาด”ความจริงจ่านเหยียนมิได้หมายความเช่นนั้น แต่ก็พูดอะไรมากไม่ได้ จึงได้แต่เอ่ย “ดี พวกเราไปกันเถอะ”เป็นครั้งแรกที่จ่านเหยียนย่างเท้าเข้าจวนเซ่อเจิ้งอ๋อง นางแหงนหน้ามองป้าย ตัวอักษรลี่ซูสีทองเงาเขียนคำว่า ‘จวนเซ่อเจิ้งอ๋อง’ อร่ามแวววาว ตัวอักษรหวัดเขียนได้ทรงอำนาจมากป้ายนี้เป็นของใหม่ เดิมคือจวนอันหนิงอ๋องกำแพงจวนอ๋องเคยเสริมความแข็งแรงมาก่อน มีร่องรอยของใหม่ บนกำแพงปราศจากพืชไต่ ตัวกำแพงอิฐเขียวทอดตัวยาว กินเนื้อที่ประมาณหลายสิบหมู่หน้าประตูจวนมีทหารเฝ้ายามอยู่ บนปร