"บนระเบียงที่สูงเสียดฟ้า ท่ามกลางแสงไฟของเมือง เธอเฝ้ามองโลกเบื้องล่าง ราวกับกำลังถามหาสักที่ ที่หัวใจได้พักพิง ท่ามกลางความวุ่นวายที่ไม่มีวันจบสิ้น เธอโหยหาความสงบและรักแท้มาเติมเต็มช่องว่างในหัวใจ"
Lihat lebih banyakอาดัมเชื่อว่า... อาการป่วยของฮันน่าไม่สามารถรักษาได้ด้วยยาเพียงอย่างเดียว มันต้องการบางสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้น คือ ความรัก และ หัวใจ เขาเชื่ออย่างยิ่งว่าเขาจะเป็นคนที่เยียวยาเธอได้ ไม่ใช่ด้วยคำพูดหวานหูหรือคำสัญญาที่เลื่อนลอย แต่ด้วยการอยู่เคียงข้างเธอทุกวัน ทุกวินาที คอยประคองเธอขึ้นจากความเจ็บปวด ให้เธอเห็นว่าโลกใบนี้ยังมีที่ให้เธอยืนอยู่ได้ …………….. แสงแรกของพระอาทิตย์สาดส่องเข้ามา กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ถูกวางรออยู่กลางห้อง รอคอยการเดินทางครั้งสำคัญที่กำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า แต่ก่อนที่พวกเขาจะก้าวออกไปจากที่นี่ ฮันน่ามีบางสิ่งที่ต้องเผชิญ บางสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจ ประตูห้องน้ำเปิดกว้าง... ฮันน่ายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ขวดยาในมือถูกกำไว้แน่นจนฝ่ามือสั่นระริก เธอค่อยๆ เปิดฝาขวด เทเม็ดยาสีขาวจำนวนมากลงบนมือ เธอจ้องมันนิ่งงัน หัวใจเต้นแรง ความลังเลและความกลัวตีตื้นขึ้นมา นี่คือสิ่งที่เธอพึ่งพามาตลอด… สิ่งที่ช่วยให้เธอหลับในคืนที่ฝันร้าย สิ่งที่กดเสียงในหัวให้เงียบลง แต่วันนี้ เธอจะปล่อยมันไป เธอหันมองอาดัม เขายืนอยู่ข้างๆ ดวงตาของเขาส่งผ่านความมั่นใจและความเข้าใจ ไม่มี
สามเดือนผ่านไป.. ตลอดสามเดือนที่ผ่านมา ฮันน่าอาศัยอยู่กับอาดัม แม้จะยังต้องใช้ไม้เท้าพยุงตัวเอง และต้องทานยารักษาอาการทางจิตควบคู่ไปด้วย เธอก็ยังคงไปพบแพทย์ตามนัด โดยมีอาดัมคอยดูแลอยู่ไม่ห่างแม้กายจะค่อยๆ ฟื้นตัว แต่หัวใจของเธอยังคงกลัวและหวาดระแวง... เงาของ "ลินลี่" และคำขู่ในวันนั้นยังตามหลอกหลอนเธอเสมอ ทำให้บางคืนเธอสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก พร้อมกับเสียงหายใจหอบหนักแต่ไม่ว่าเมื่อไรที่เธอตื่นขึ้นมา เธอมักจะพบว่า อาดัมยังอยู่ตรงนั้นเขาไม่เคยห่างไปไหนเธออาจจะยังลังเลและหวาดกลัว แต่สำหรับอาดัม… ยิ่งวันเวลาผ่านไป เขากลับแน่ใจมากขึ้น"เขารักเธอเข้าแล้ว..."กลางดึกที่เงียบสงัด ความเงียบโรยตัวไปทั่วทั้งบ้าน“กรี๊ดดด!!”เสียงกรีดร้องดังลั่น ทำลายความสงบในชั่วพริบตาฮันน่าสะดุ้งตื่นขึ้นมา ดวงตาเบิกกว้าง ร่างกายของเธอสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ น้ำตาไหลอาบแก้มเป็นสาย ลมหายใจของเธอหอบหนักราวกับขาดอากาศ เงาของฝันร้ายยังคงตามหลอกหลอน ภาพเลือนรางจากอดีตซ้อนทับเข้ามาไม่หยุดเธอพยายามควบคุมตัวเอง สูดลมหายใจลึกแม้จะไม่ช่วยอะไรเลยเธอเอื้อมไปจับไม้พยุง ก่อนค่อยๆ พยุงร่างกายที่อ่อนแรงไปยังห้องน้ำ ก้า
ท้องฟ้ายามค่ำคืนเงียบสงบ มีเพียงเสียงลมพัดแผ่วเบาลอดผ่านหน้าต่างห้องของอาดัม เขายืนถือโทรศัพท์ไว้แนบหู ปลายสายนั้นคือวิน เพื่อนสนิทที่โทรมาจากต่างแดน เพราะหลังจากเหตุการ์ณ์ที่เกาะทองคำวันนั้นวินได้บินกลับไปอย่างกระทันหัน "นายแน่ใจเหรอ...อาดัม?" เสียงของวินชัดเจนผ่านใบหูของอาดัมในขณะที่ทั้งสองได้คุยกันมาได้สักพักแล้วจนมาถึงช่วงสุดท้ายก่อนจะวางสายลง “แน่ใจสิ…”อาดัมตอบกลับด้วยความมั่นใจขณะที่ดวงตาคมกริบของเขาฉายแววความแน่วแน่มั่นคง ถึงแม้เขาจะรู้จักเธอแค่เพียงหนึ่งสัปดาห์ก็ตาม แต่บางอย่างในตัวเธอทำให้เขาตัดสินใจได้โดยไม่ลังเล เมื่อวินได้ยินคำตอบที่ราวกลั่นออกมาจากหัวใจของอาดัมแล้ว เขาก็เอ่ยด้วยด้วยน้ำเสียงแห่งความยินดี “เมื่อนายมั่นใจและเชื่อมั่นแล้ว ฉันก็เชื่อในตัวนายเช่นกันว่านายนั้นทำได้ดี” วินตอบกลับแล้วหันมองดูเวลาบนข้อมือที่ใกล้เข้ากะทำงานไปทุกที“ ไว้คุยกันใหม่ ฉันต้องเข้าทำงานแล้ว ขอพระเจ้าอวยพร นายกับฮันน่า นะ" “ขอบใจมากเพื่อน ..วิน! แล้วเจอกัน ” .. ตุ๊ด.. ตุ๊ด.. ตุ๊ด..………….เมื่อวางสายไปแล้ว อาดัมถอนหายใจออกมาช้าๆ พลางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามราตรี แสงดาวระยิบระยับสะท้อ
ยามหัวค่ำในห้องพักฟื้น อากาศเย็นจากเครื่องปรับอากาศแผ่ซ่านลึกเข้าไปถึงกระดูก ฮันน่า นอนนิ่งอยู่บนเตียง แม้ร่างกายยังคงเจ็บปวดจากบาดแผลที่ยังไม่หายดี แต่ถึงกระนั้นความเจ็บปวดจากร่างกายนั้นเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่กัดกินเธออยู่ภายในความกลัว ที่เหมือนเงาดำซึ่งคืบคลานเข้ามารัดแน่นจนหายใจแทบไม่ออกเธอรู้ดีว่าการหนีจาก ลินลี่ ไม่ใช่เรื่องง่าย... ไม่สิ มันเป็นไปไม่ได้เลย เพราะที่นี่ไม่ใช่ที่สำหรับคนอย่างเธอ นี่คือเมืองที่ลินลี่ครอบครองทุกสิ่งหญิงผู้มีอิทธิพล ผู้ทรงพลังยิ่งกว่ากฎหมายและความยุติธรรม ไม่มีมุมใดของเมืองนี้ที่จะหลบพ้นสายตาของเธอได้หัวใจของฮันน่าเต้นแรงในอก ดวงตาจ้องมองเงาตรงประตูหน้าห้องที่ดูเหมือนจะขยับเคลื่อนไหวตามเสียงฝีเท้าในจินตนาการของเธอ ทุกวินาทีราวกับกำลังรอคอยหายนะที่จะมาถึงโดยไม่มีวันเลี่ยงได้เธอไม่ได้หวังปาฏิหาริย์อีกต่อไป... ในเมืองของลินลี่ คนที่หนีไปได้ มีเพียงเงา หรือซากศพตึก... ตึก...ตึกเสียงรองเท้าส้นสูงดังสะท้อนก้องมาตามทางเดินยาวนอกห้อง ทุกก้าวการเดินนั้นราวกับกำลังย้ำเตือนถึงชะตากรรมที่กำลังจะมาถึง ทุกก้าว ยิ่งกระชั้นชิด เสมือนเสียงของนาฬิกาเรือนใหญ่ที่น
ภายในห้องพักฟื้นของโรงพยาบาล บรรยากาศเงียบงัน แสงไฟนวลตาส่องกระทบผนังสีขาวสะอาดตา ทว่ากลับให้ความรู้สึกโดดเดี่ยว อากาศอบอวลด้วยกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อเจือจาง เตียงคนไข้ถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบ ม่านสีขาวกั้นเป็นสัดส่วน อาดัมก้าวเข้ามาอย่างช้าๆสายตาของเขามองไปยังหญิงสาวที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง ผ้าพันแผลสีขาวพันรอบศีรษะของเธอ และขาของเธอถูกดามไว้อย่างแน่นหนา ร่องรอยบาดแผลและรอยฟกช้ำปรากฏให้เห็นบนผิวกายซีดเซียว ร่างกายของเธอดูเปราะบางราวกับอาจแตกสลายได้ทุกเมื่อ เสียงลมหายใจแผ่วเบาของเธอยืนยันว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็เป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด อาดัมรู้สึกเหมือนมีก้อนหินหนักๆ กดทับอยู่ในอก ราวกับแบกรับความรู้สึกผิดที่มองไม่เห็น เขายืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจเบาๆ สายตาไล่มองไปตามร่างของเธอ พลางครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เธอต้องเจ็บหนักขนาดนี้ เขารู้ว่าเธอรอดมาได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเธอจะผ่านมันไปได้โดยง่าย เสียงฝีเท้าของเขาเบาลงขณะก้าวถอยหลัง สุดท้ายอาดัมเลือกจะหมุนตัวเดินออกจากห้องแม้ความกังวลยังคงฝังแน่นอยู่ในใจ... เขาตรงกลับมาบ้านที่อบอุ่นเสียงฝีเท้าดังก้องทั่วห้องโถ่งทางเด
กลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ เรือสปีดโบ๊ทแล่นตัดผ่านเกลียวคลื่นอย่างรวดเร็ว เสียงเครื่องยนต์คำรามกลบความเงียบของท้องฟ้ายามเย็นที่กำลังมืดลง อาดัมนั่งเงียบอยู่ข้างฮันน่า ดวงตาของเขามองไปยังใบหน้าของฮันน่าที่เปื้อนไปด้วยเลือด เธอดูอ่อนล้าและไร้เรี่ยวแรงและในแววตาของเธอนั้นช่างเต็มไปด้วยความเจ็บปวด“คุณ…เข้มแข็งไว้นะ” อาดัมเอ่ยขึ้น ด้วยน้ำเสียงที่แฝงด้วยความห่วงใยลึกซึ้ง ขณะที่นันย์ตาเขามองเธอราวกับต้องการส่งกำลังใจทั้งหมดที่เขามีให้กับเธอ ปลายนิ้วของเขาแตะลงบนแขนของเธอเบา ๆ สัมผัสแผ่วเบาที่ไม่ได้ต้องการอะไร นอกจากให้เธอรู้ว่าเธอไม่ได้เผชิญกับสิ่งนี้เพียงลำพัง ฮันน่ามองอาดัม ก่อนพยักหน้าแม้ไม่มีคำพูดใดออกมา แต่แววตาของเธอนั้นรับรู้ถึงความห่วงใยของเขา และเธอจะพยายามอดทน ให้ถึ่งฝั่งเรือสปีดโบ๊ทเข้าใกล้ฝั่งมากขึ้น ทุกวินาทีเต็มไปด้วยความเร่งด่วน ไฟสีแดงของรถพยาบาลที่จอดรออยู่ที่ท่าเรือสะท้อนบนผิวน้ำ ราวกับประกาศความสำคัญของชีวิตที่กำลังแขวนอยู่บนเส้นด้ายทันทีที่เรือจอดเทียบที่ท่า คนขับเรือและเจ้าหน้าที่รีบเข้ามาช่วยอาดัมพยุงฮันน่าขึ้นไปยังรถพยาบาล เสียงไซเรนดังก้องเมื่อรถพุ่งออกจากท่าเรือ
ท้องฟ้าเริ่มแปรเปลี่ยนจากใสป็นสีดำครึ้มคลุมเคลือ บรรยากาศในหุบเขาข้างทะเลช่างเงียบสงบดูเหมือนทุกสิ่งหยุดนิ่งแต่มีเพียงเสียงเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ของฮันน่าที่ดังก้องสะท้อนในความว่างเปล่า เธอบิดเร่งความเร็วขึ้นทางลาดชัน เสียงลมหายใจถี่กระชั้นของเธอผสมผสานกับเสียงไซเรนรถสายตรวจที่ดังแว่วมาไกลๆ ทุกเสียงเหมือนเหล็กปลายแหลมทิ่มแทงหัวใจ สร้างความกดดันให้เธอจนแทบระเบิด ความหวาดระแวงไหลเวียนในสายเลือดอย่างไม่มีสิ้นสุดจนมาถึงริมผาสูง เบื้องหน้าคือมหาสมุทรที่กว้างสุดลูกหูลูกตา ฮันน่าจอดมอเตอร์ไซค์และทอดสายตามองลงไปยังน้ำทะเลที่นิ่งเงียบ และไร้ขอบเขต ในขณะที่หัวใจเธอกลับเต็มไปด้วยความวุ่นวายราวพายุหมุน เสียงข้อความ "ติ้ง ติ้ง" ดังจากโทรศัพท์มือถือในมือ เป็นข้อความจากลินลี่ที่เหมือนเสียงเรียกครั้งสุดท้ายดึงเธอกลับมาสู่ความจริง“พอกันที ลินลี่” เธอเอ่ยเสียงเบา แต่เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว พลางมือขว้างโทรศัพท์ในมือออกไปสุดแรง มันพุ่งผ่านอากาศแล้วหายลับลงสู่ทะเลลึก ราวกับตัดสายใยสุดท้ายที่ผูกเธอไว้กับชีวิตเดิมดวงตาเลื่อนไปที่กระเป๋าสัมภาระข้างตัวด้วยแววตาแน่วแน่ ก่อนจะคว้ามันขึ้นและโยนมันลงไปตามโทรศ
เรือเฟอร์รี่เคลื่อนเทียบเข้าฝั่งอย่างช้าๆ เสียงคลื่นกระทบกับท่าเรือดังราวจังหวะกลอง สอดประสานกับเสียงนกนางนวลร้องที่ลอยตัวอยู่เหนือชายฝั่ง อาดัมและวินก้าวลงจากเรือด้วยใบหน้าที่เริงร่า วิญญาณและร่างสัมผัสได้ถึงพลังแห่งธรรมชาติของเกาะทองคำ ทันทีที่เท้าลงบนผืนดิน กลิ่นลมทะเลสดชื่นอบอวลอยู่ในอากาศ พัดพาเอาความสบายใจมาสู่พวกเขา แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องกระทบกับผิวน้ำทะเลเป็นประกายระยิบระยับ เกาะแห่งนี้ดูเหมือนจะโอบรับพวกเขาด้วยความอบอุ่นอาดัมยืดตัวขึ้น สูดลมหายใจลึก รู้สึกถึงความบริสุทธิ์ของอากาศบนเกาะที่ราวดั่งสวรรค์แห่งนี้ เขาหันมาทางวินด้วยใบหน้าตื่นเต้นแล้วเอ่ยขึ้นว่า“เราเช่ารถมอไซค์กันวิน มีร้านเช่าตรงที่หน้าท่าเรือ จะได้ขับรถชมรอบๆเกาะ”เสียงพูดของอาดัมฟังดูสดใสและเต็มไปด้วยพลัง วินพยักหน้าด้วยรอยยิ้มกว้าง แล้ว ทั้งคู่มุ่งหน้าไปยังร้านเช่ามอเตอร์ไซค์ ใกล้ๆ ท่าเรือที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ที่กำลังหารถเช่าหรือมองหาไกด์นำเที่ยวหลังจากจัดการเรื่องการเช่ามอเตอร์ไซค์เรียบร้อยแล้ว ทั้งสองขี่มันออกไปบนถนนเล็กๆ ที่ตัดผ่านชายฝั่ง น้ำทะเลสีฟ้าใสสะท้อนอยู่ที่ปลายสายตา สายลมพัดผ่านใบหน้าขอ
บรรยากาศที่เปิดโล่งของล็อบบี้รีสอร์ตกลางสวนปาล์ม สียงคลื่นกระทบฝั่งดังแว่วมาไกลๆราวกับคำทักทายของมหาสมุทร เสียงลมพัดผ่านกิ่งใบของต้นไม้เกิดเป็นเสียงกระซิบที่แผ่วเบา คล้ายดนตรีธรรมชาติที่บรรเลงประสานกันอย่างลงตัว แสงแดดอุ่นยามสายลอดผ่านเพดานกระจกใสด้านบน สาดส่องลงมา ทอดเงาเป็นลวดลายอ่อนช้อยบนพื้นหินขัดสีเทาที่เปี่ยมด้วยความประณีตเฟอร์นิเจอร์ไม้สีน้ำตาลถูกจัดวางไว้อย่างมีสไตล์และลงตัว ที่สะท้อนถึงความกลมกลืนระหว่างธรรมชาติและความทันสมัย เสียงรองเท้าของฮันน่ากระทบพื้นเบาๆ ในจังหวะที่มั่นคง ตรงไปยังที่เคาน์เตอร์รับรองกลางล็อบบี้ พนักงานสาวสวมเสื้อสูทสีขาวสะอาดทับเสื้อเชิ้ตเนื้อเบาสีฟ้าอ่อน ใบหน้าผ่องใสถูกแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มต้อนรับอย่างอ่อนน้อม เธอยืนสง่างามหลังเคาน์เตอร์ไม้เรียบหรู มือวางพร้อมบริการฮันน่าหยุดอยู่ด้านหน้าเค้าน์เตอร์ สูดลมหายใจลึกเพื่อรวบรวมสมาธิ ขณะที่หัวใจเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจแต่ยังแฝงด้วยความตื่นเต้น“สวัสดีค่ะ ฉันฮันน่าเข้าเช็กอินค่ะ”“สักครู่นะคะ” เสียงของเธอราวกับสายลมเย็นที่พัดผ่านกลางฤดูร้อน ก่อนหยิบเอกสารเช็กอินมาตรวจสอบอย่างต
ปี 1985 “ฮันน่า..ฮันน่า!”เสียงผู้หญิงคนหนึ่งตะโกนเรียกชื่อเด็กน้อยดังลอยมาจากในบ้านแต่ฮันน่ายังคงก้มหน้าก้มตาเล่นของเล่นอยู่บนพื้นดินหน้าบ้านอย่างไม่สนใจ ใบหน้าเล็กๆ ของเธอเต็มไปด้วยความสุขและจินตนาการที่ไร้ขอบเขตในโลกส่วนตัวของเธอเองตามประสาเด็กอายุ 4 ปี เดือน ลูกพี่ลูกน้องที่อายุมากกว่าฮันน่าหลายปีปลุกเธอจากความสนุกเล็กๆ น้อยๆ นั้น "ฮันน่า แม่เรียกแล้วนะ" ฮันน่าหันไปมองยังไม่ทันขานรับเสียงใดๆ ทันใด หญิงสาวคนหนึ่งเดินตรงมาด้วยท่าทางมั่นใจอายุราว 20 ปีแต่งตัวด้วยเสื้อตัวใหม่สีสดใส ชายเสื้อถูกเก็บเข้าในกางเกงยีนเอวสูงอย่างเนี้ยบ ริมปากเคลือบลิปสติกสีแดงสดใบหน้าของเธอเรียบเฉยจนแทบจะไร้อารมณ์ ท่าทางของเธอดูเคร่งขรึมและจริงจัง และนั่นก็คือ จูเลีย แม่ของฮันน่า “ไปกันได้แล้วนะ ฮันน่า ไหนชิ้นไหนของลูก เอาไปเล่นที่นู่นด้วยนะ”จูเลีย พูดพลางหยิบของเล่นที่ฮันน่าถืออยู่ในมือเก็บใส่ลงกระเป๋าข้างในนั้นเต็มไปด้วยเสื้อผ้าของลูกสาวที่พับอย่างระมัดระวังแล้ว เธอจูงมือเล็กๆ ของลูกสาวออกไปด้วยสายตาเย็นชา "แต๊ก... แต๊ก... แต๊ก..." เสียงมอไซค์คันเก่า เสียงนั้นดังสนั่นเหมือนเสียงคำรามที่แทรกผ่านความเง...
Komen