ณ.จังหวัดหนึ่งทางภาคอีสาน
บรรยากาศยามเช้าของหมู่บ้านเงียบสงบ เสียงไก่ขันคลอไปกับเสียงพูดคุยในตลาดเล็กๆ ที่ผู้คนมารวมตัวกันจับจ่ายใช้สอยกันตามปกติ แต่ในวันนี้ มีภาพที่แตกต่างออกไป ชายหนุ่มสูงยาวคนหนึ่ง ใบหน้ามีแววตาใสซื่อ แต่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เขาคือ อาดัม หนุ่มน้อยลูกครึ่งที่พูดไทยไม่ชัดนัก มือข้างหนึ่งถือหนังสือพระธรรม ขณะที่อีกข้างหนึ่งโบกเรียกความสนใจจากผู้คน“คุณ...อยากขึ้นสวรรค์ไหม? พูดตามผม...”
อาดัม หนุ่มน้อยใบหน้าสดใสที่สะท้อนความมุ่งมั่น ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน น้ำเสียงของเขาแฝงความกระตือรือร้น แม้จะติดสำเนียงแปลกๆ แต่ความจริงใจที่แสดงออกทางแววตาและน้ำเสียงของเขา ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนบางคนหยุดเดิน และเริ่มมองไปที่เขาด้วยความสนใจ
“พูดตามผมครับ...” เขากล่าวต่อ พลางหยิบหนังสือเล่มเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋า “บนโลกนี้ เราอาจมีทั้งความสุขและความทุกข์ แต่บนสวรรค์ จะมีแต่ความสุขที่สมบูรณ์แบบ...”
ผู้คนเริ่มรุมล้อมรอบตัวเขา บางคนยิ้มอย่างอ่อนโยน บางคนมองด้วยความสงสัย แต่ไม่มีใครเดินหนีไปไกล อาดัมไม่ใช่เพียงแค่พูด แต่แววตาและท่าทางของเขาบอกชัดว่าเขาเชื่อมั่นในสิ่งที่เขากำลังสื่อสาร ความบริสุทธิ์ในคำพูดของเขาทำให้เกิดแรงดึงดูดที่ยากจะอธิบาย
เคียงข้างเขาคือ ชาลี บิดาผู้เป็นทั้งที่พึ่งทางกายและใจของอาดัม ทั้งสองเดินแจกจ่ายหนังสือพระธรรมให้กับชาวบ้านในตลาด เล่าเรื่องราวของความเชื่อและชีวิตที่พวกเขาเติบโตมา
ความสัมพันธ์ของทั้งสองไม่ได้เป็นแค่พ่อกับลูก แต่คือการเป็นคู่หูที่สนับสนุนกันและกันในการทำงานที่ยิ่งใหญ่ อาดัมในวัยเยาว์ที่เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์และจริงใจ กลายเป็นสื่อกลางที่ช่วยสร้างความเชื่อมโยงกับผู้คนได้ง่ายดาย ด้วยใบหน้าที่เปี่ยมด้วยความจริงใจและความเมตตา ผู้คนจึงพร้อมเปิดใจรับฟังเรื่องราวจากเขา แต่เมื่อเว้นว่างจากการเผยแพร่ความเชื่อ อาดัมคือชายหนุ่มที่มีเสียงเพลงดนตรีเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เขาและชาลี ทั้งสองมักจะออกตระเวนร้องเพลงตามสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นงานวัด งานตลาด เวทีชุมชน หรือแม้กระทั่งในผับและบาร์เล็กๆในเมือง ที่ว่าจ้างพวกเขาไปสร้างความบันเทิงอาดัมใช้กีตาร์โปร่งเก่าๆ ที่มีร่องรอยการใช้งานมานาน ตัวกีตาร์นั้นเคยเป็นของชาลีเมื่อครั้งยังหนุ่ม และทุกครั้งที่เขาเล่น เสียงที่ออกมานั้นเต็มไปด้วยความอบอุ่นและความหมาย เขาเคาะกีตาร์จังหวะเบาๆ ขณะเปลี่ยนคอร์ด เสียงเพลงที่เขาร้องมักจะสะท้อนถึงชีวิต ความหวัง และความเรียบง่ายในแบบที่คนฟังสัมผัสได้
ในผับเล็กๆ ที่แสงไฟสลัว อาดัมขึ้นเวทีพร้อมชาลี เขาไม่ใช่นักดนตรีมืออาชีพ แต่ทุกครั้งที่เขาร้องเพลง ความจริงใจที่ส่งผ่านน้ำเสียงของเขาก็มักจะสะกดให้ผู้คนหยุดฟัง แม้กระทั่งในบาร์ที่เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยและแก้วกระทบกัน เมื่อกีตาร์ตัวเก่าของเขาดังขึ้น เสียงเพลงของอาดัมก็สร้างความเงียบงันชั่วครู่ ทุกสายตาหันมาจับจ้องที่หนุ่มน้อยลูกครึ่งผู้นี้
ชาลีมองลูกชายที่เล่นเพลงด้วยรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้า เขารู้ดีว่า อาดัมไม่ใช่แค่เล่นเพลงเพื่อคนอื่น แต่เขากำลังใช้ดนตรีบอกเล่าเรื่องราวของตัวเอง และทุกครั้งที่เสียงปรบมือดังขึ้นหลังจบเพลง มันไม่ใช่แค่ความสำเร็จของอาดัม แต่ยังเป็นความภาคภูมิใจของชาลี ที่ได้เห็นความรักในดนตรีที่เขาสอนลูกชาย กำลังเบ่งบานและเดินหน้าไปในโลกกว้าง
"ลูกทำได้ดีแล้วนะ" ชาลีพูดกับอาดัมขณะเก็บกีตาร์หลังการแสดงจบลง แม้จะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง แต่หัวใจของพวกเขากลับเต็มไปด้วยความหวังว่า วันหนึ่ง เสียงเพลงของพวกเขาอาจจะพาพวกเขาไปไกลกว่านี้...
วันหนึ่งหลังจากการแสดงเพลงจบลงในงานชุมชนเล็กๆ ผู้คนยังคงยืนปรบมือพร้อมรอยยิ้มให้กับอาดัมและชาลี เสียงเพลงของพวกเขาไม่เพียงแต่สร้างความบันเทิง แต่ยังเข้าถึงหัวใจของทุกคนในหมู่บ้านแห่งนี้อาดัมเก็บกีตาร์โปร่งตัวเก่าลงในกระเป๋าอย่างระมัดระวัง ขณะที่สายตาของเขามองไปยังท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มทองในยามเย็น
เขาหันไปหาพ่อที่กำลังเก็บของด้วยความตั้งใจ แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แฝงความฝันและความหวัง"พ่อครับ..." อาดัมเริ่มต้นพูด น้ำเสียงเต็มไปด้วยความตื่นเต้นที่ซ่อนอยู่ “เราจะไปกรุงเทพกัน ไปออดิชันที่ค่ายใหญ่แห่งหนึ่ง!”
ชาลีชะงักทันที มือที่ถือกระเป๋ากีตาร์ค้างอยู่กลางอากาศ เขาหันมามองลูกชายด้วยแววตาที่ผสมปนเประหว่างความประหลาดใจและความกังวล "กรุงเทพฯ หรือลูก? มันใหญ่โตและไม่ง่ายเลยนะ ที่นั่นไม่ได้เหมือนหมู่บ้านเล็กๆ ของเรา"“เพื่อนของผมที่ย้ายไปกรุงเทพก่อนหน้านี้ครับ เขาแนะนำผมให้ลองไปออดิชันที่ค่ายเพลงใหญ่แห่งหนึ่ง เพื่อนบอกว่าผมมีโอกาส ผมอยากลองดูจริงๆ พ่อ!” อาดัมพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ดวงตาเต็มไปด้วยความหวัง
ดวงตาของอาดัมเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น เขาพูดด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ "พ่อ...นี่อาจเป็นโอกาสเดียวของเรา ผมรู้ว่ามันไม่ง่าย แต่ผมอยากลอง ผมอยากให้เสียงเพลงของผมไปไกลกว่านี้ ไปถึงคนที่เราไม่เคยพบเจอ"ชาลีมองลูกชายของเขาอย่างพิจารณา ลึกๆ ในใจ เขารู้ดีว่าลูกชายมีพรสวรรค์ แต่ในเวลาเดียวกัน เขาก็รู้ว่าการเดินทางไปกรุงเทพฯ เต็มไปด้วยความเสี่ยงและความไม่แน่นอน "ลูกแน่ใจแล้วใช่ไหม ว่าพร้อมเจอกับสิ่งที่เราไม่เคยเจอ?"
อาดัมพยักหน้า ดวงตายังคงฉายแววมั่นคง "ใช่ครับพ่อ ผมแน่ใจ"
ชาลีถอนหายใจเบาๆ เขารู้ว่าความฝันของลูกชายสำคัญ และในฐานะพ่อ เขาพร้อมจะเป็นแรงสนับสนุนที่ดีที่สุด เขาพยักหน้าช้าๆ ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น "ถ้าลูกมั่นใจ พ่อก็จะไปกับลูก... เราจะลองกันดู"
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งสำคัญในชีวิตของอาดัม เส้นทางที่เต็มไปด้วยความหวัง ความฝัน และความท้าทาย หนุ่มน้อยจากหมู่บ้านเล็กๆ ทางภาคอีสาน พร้อมที่จะเผชิญโลกกว้างด้วยเสียงเพลงที่เขารักและพรสวรรค์ที่เขาเชื่อว่าจะเปลี่ยนชีวิตของเขาและครอบครัว..
กลางกรุงที่พลุกพล่าน ท้องฟ้าสีครามถูกขับเน้นด้วยเส้นขอบฟ้าของตึกสูงรายรอบเสียงรถยนต์และฝูงชนที่เดินขวักไขว่สร้างบรรยากาศที่เต็มไปด้วยพลังของเมืองหลวง ใจกลางความวุ่นวาย สองพ่อลูกยืนอยู่ริมฟุตาบาธในเสื้อผ้าที่เรียบง่าย ฝุ่นจับรองเท้าสะพายกีต้าร์คู่ใจข้างหลัง ดวงตาของอาดัมเปี่ยมไปด้วยความหวัง ลึกซึ้งและสุกใส ราวกับแสงประกายเล็กๆ ที่ส่องผ่านม่านเมฆหมอกแต่เขามองตรงไปข้างหน้าอย่างแน่วแน่ ตึกกระจกสูงระฟ้าที่สะท้อนแสงแดดยามบ่ายดูเหมือนจะเป็นมากกว่าอาคารมันเป็นเป้าหมาย เป็นปลายทางของความฝันที่เขาและพ่อร่วมกันสร้าง ดวงตาคู่นั้นไม่เพียงสะท้อนภาพความทะเยอทะยาน แต่ยังแฝงไว้ด้วยความเชื่อมั่นในพลังของเสียงเพลงและอนาคตที่ยังไม่ถูกกำหนด อาดัมและพ่อก้าวเข้าไปในตึกสูงตระหง่าน ประตูอัตโนมัติเปิดออก ล็อบบี้กว้างขวางที่ปูด้วยหินอ่อนเงาวับ แสงไฟนีออนสาดส่องให้ทุกอย่างดูหรูหราและเต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม เสียงรองเท้าของพวกเขากระทบพื้นดังกังวานในพื้นที่ที่ดูจะกว้างใหญ่เกินกว่าที่คุ้นเคย อาดัมเหลือบมองรอบตัวด้วยความตื่นเต้น ขณะที่พ่อมองตรงไปยังแผงปุ่มเรียกลิฟต์ ด้วยใบหน้าที่แฝงความมุ่งมั่นเมื่อประตูลิฟต์เปิ
อาดัมก้าวเข้ามาในห้องที่ดูโอ่อ่า แต่กลับมีบรรยากาศที่เคร่งขรึมจนทำให้เขารู้สึกเหมือนอากาศหนักขึ้นทุกย่างก้าว พื้นพรมหนานุ่มช่วยกลบเสียงฝีเท้าของเขา แต่หัวใจที่เต้นแรงกลับก้องอยู่ในความรู้สึก ราวกับเสียงกลองที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ใกล้จังหวะไคลแมกซ์แสงไฟสีขาวนวลส่องลงมาจากโคมระย้าด้านบน ทำให้เงาบางๆ จากเฟอร์นิเจอร์ในห้องทอดลงบนพื้น เจ้าของค่ายเพลงนั่งอยู่ที่เก้าอี้หนังตัวใหญ่ ด้านหลังเป็นชั้นวางหนังสือและรางวัลมากมายที่ประดับอย่างเป็นระเบียบ เขาดูสง่างามแต่ก็น่าเกรงขาม ราวกับราชาผู้ครองอาณาจักรมือของเขาเคาะปากกากับเอกสารตรงหน้าอย่างเป็นจังหวะ เบา แต่ชัดเจนพอที่จะสร้างแรงกดดันในความเงียบของห้อง ดวงตาคมกริบของเขาจ้องมองมาที่อาดัม ราวกับสามารถมองทะลุความคิดในใจของเขาได้ทุกอย่าง“นั่งลงสิ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่แฝงด้วยอำนาจที่ไม่อาจปฏิเสธได้อาดัมขยับเข้าไปน
แต่เวลานี้ครอบครัวฮันน่าและชาวบ้านในชนบทแทบจะสิ้นหวังก็ว่าได้เมื่อถึงกลางฤดูร้อนที่แสนโหดร้ายจนทำให้ผู้คนท้อแท้กับอาชีพทำไร่ทำสวน ท้องฟ้าสีครามที่เคยงดงามบัดนี้ถูกแทนที่ด้วยหมอกควันจางๆ ที่เกิดจากไอร้อนระอุ นาข้าวที่เคยเขียวขจีและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา กลับกลายเป็นเพียงทุ่งกว้างที่ปกคลุมด้วยความแห้งแล้ง ดินแตกระแหง สีน้ำตาลหม่น ฝุ่นทรายปลิวฟุ้งอยู่ในอากาศ เหมือนกับเสียงสะท้อนของธรรมชาติที่กำลังร้องไห้ในลำคลองที่เคยเต็มไปด้วยน้ำใสและฝูงปลาว่ายวน บัดนี้กลับกลายเป็นแค่ทางน้ำแคบๆ ที่แห้งขอด ปลาน้อยใหญ่ที่เคยมีให้จับกินทุกวัน เริ่มหร่อยหรอจนแทบจะมองไม่เห็น ความแร้นแค้นทำให้ชีวิตของชาวไร่ชาวนาหนักหนากว่าเดิม สถานการณ์การเงินของทุกครอบครัวในหมู่บ้านดิ่งลงเหว การขายผลผลิตที่เคยเป็นที่พึ่งในฤดูก่อนกลายเป็นเพียงฝันเลือนราง ในบ้านไม้หลังเล็กที่ตั้งอยู่กลางทุ่งแห้งผาก สองปู่ย่าของฮันน่าก็ไม่ต่างจากธรรมชาติรอบตัว พวกท่านนับวันยิ่งแก่ชราลง กำลังวังชาที่เคยมีเริ่มหมดไป การเดินเหินกลายเป็นเรื่องยากยิ่ง ลำพังการใช้ชีวิตประจำวันก็เหนื่อยล้า การทำไร่ทำสวนที่เคยเป็นความภาคภูมิใจในอดีตก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอ
ฮันน่าใช้ชีวิตในเมืองที่ไม่คุ้นเคยด้วยความเหงาและโดดเดี่ยว แต่โชคดีที่เธอมีแจนเป็นเพื่อนสนิทในโรงงาน ความไว้ใจจึงเริ่มขึ้นทีละเล็กละน้อยจากการพูดคุยและการใช้เวลาอยู่ด้วยกัน“ฮันน่า คืนนี้ไปกับฉันได้ไหม? มีหนุ่มนัดเจอที่ร้านอาหาร ไม่ไกลจากที่นี่หรอก เขาบอกว่าอยากเจอเธอด้วย” แจนพูดพร้อมส่งสายตาอ้อนวอน ในห้องน้ำหญิงที่ทั้งสองแอบมาพักเบรกช่วงบ่าย ฮันน่ามองแจนด้วยความลังเล เธอไม่ค่อยชอบพบปะคนแปลกหน้า แต่ก็ไม่อยากทำให้แจนผิดหวัง“แล้ว...เขาเป็นใครเหรอ?” ฮันน่าถามน้ำเสียงเรียบ แจนยิ้มทันทีราวกับรู้ว่าฮันน่าจะตอบตกลงในที่สุด“แค่ไปสนุกๆ เองน่า ฉันสัญญาว่าจะไม่ทำให้เธออึดอัด” แจนกล่าวด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น ฮันน่าพยักหน้าเบาๆ แม้ใจจะยังครุ่นคิด แต่เธอก็รู้สึกว่าแจนเป็นคนเดียวที่ทำให้ชีวิตในเมืองใหญ่นี้ดูมีชีวิตชีวามากขึ้นคืนนั้นอาจเป็นอีกครั้งที่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเธอแน่นแฟ้นขึ้น หรืออาจนำไปสู่เรื่องราวใหม่ที่ฮันน่าเองก็ไม่คาดคิด...หลังจากเลิกงาน ฮันน่าและแจนรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าและออกเดินทางไปยังจุดหมายที่อยู่ห่างออกไปโดยรถแท็กซี่บาร์แห่งนี้ตั้งอยู่ในซอยเปลี่ยวลึกฮันน่าเดินตามแจนเข้าไปในร้
“อยากกินอะไร สั่งเพิ่มได้เลยนะ เดี๋ยวผมเลี้ยงเอง” จอนห์พูดขึ้น พร้อมรอยยิ้ม ที่ดูเหมือนจะเป็นมิตรราวกลับว่าเขาเป็นเจ้ามือใหญ่ของเย็นนี้ แต่กลับทำให้ฮันน่ารู้สึกอึดอัดเธอไม่แน่ใจว่าคำพูดนั้นเป็นเพียงความหวังดี หรือเป็นการแฝงนัยบางอย่างแต่แล้วสถาณการณ์ยิ่งแย่ลงไปกว่าเดิมเมื่อจอนห์ลุกจากเก้าอี้และข้ามฝั่งมานั่งข้างเธอ ฮันน่ารู้สึกถึงแรงกดดันเพิ่มขึ้นเมื่อเขาเลื่อนมือออกมาพยายามล่วงเกินเธอจนเกินขอบเขตที่เธอรู้สึกสบายใจ จนฮันน่าต้องลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที “ฮันน่า..กลับก่อนดีกว่าค่ะ”“อยู่ต่ออีกหน่อยสิครับ”แต่แล้วเขาเอื้อมมือเข้ามาใกล้เธออีกครั้ง จนทำให้ความอดทนของฮันน่าหมดลงในทันทีเธอยกมือขึ้นเพี๊ยะ! เสียงฝ่ามือที่กระทบแก้มดังสนั่นไปทั่วบริเวณ ฮันน่าหายใจแรงด้วยความโกรธที่ก่อตัวขึ้นจากการกระทำที่ไม่เหมาะสมจอนห์ชะงักไปทันที ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ เขายกมือขึ้นแตะแก้มที่แดงเป็นรอยอย่างไม่เชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น เสียงในร้านที่เคยจอแจพลันเงียบกริบ ทุกสายตาในร้านต่างหันมามองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความสงสัยและตกตะลึงฮันน่ายืนตัวตรง แม้ร่างกายจะสั่นเล็กน้อย แต่ใบหน้าเธอฉายแววกร้าวและแน่วแน่ น้
หลังจากคืนนั้น ทุกสิ่งรอบตัวของฮันน่าดูเหมือนจะเปลี่ยนไปจนไม่เหลือเค้าเดิม ความสัมพันธ์ที่เคยเรียบง่ายและอบอุ่นกับแจน เพื่อนร่วมงานที่เคยเป็นเหมือนจุดพักใจเล็กๆ ท่ามกลางวันที่วุ่นวายบัดนี้กลับกลายเป็นคนเงียบงันและหลีกเลี่ยงสายตาสิ่งที่รุนแรงกว่าความเฉยชาจากแจนคือสายตาจากเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ที่ไม่เหมือนเดิม พวกเขามองเธอราวกับเธอเป็นคนนอก หรือแปลกหน้าที่ไม่ควรอยู่ตรงนั้น ทุกครั้งที่เธอเดินผ่าน เสียงซุบซิบดังขึ้นตามหลังเธอ แม้จะฟังไม่ถนัด แต่เธอสัมผัสได้ว่ามันเกี่ยวกับตัวเธอเธอรู้สึกเหมือนถูกกลืนหายไปในฝูงชนที่มองมาด้วยสายตาเย็นชา เหมือนทุกคนรอบตัวไม่ต้องการให้เธออยู่ที่นั่น ความเงียบรอบข้างที่ขัดแย้งกับเสียงซุบซิบที่แผ่วเบา กลายเป็นเสียงก้องในหัวใจของเธอ"มันเกิดอะไรขึ้น..?"คำถามนั้นวนเวียนอยู่ในหัว เธอพยายามปะติดปะต่อเหตุการณ์ที่นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงนี้ แต่ทุกอย่างกลับพร่าเลือนราวหมอกปกคลุม สภาพแวดล้อมที่เคยคุ้นเคย กลายเป็นพื้นที่แปลกหน้า เสียงหัวเราะที่เคยได้ยินบ่อยครั้ง ตอนนี้กลับฟังเหมือนเสียงหัวเราะเยาะความจริงที่เธอไม่อาจปฏิเสธได้คือ เธอเป็นเพียงเด็กสาวที่ใสซื่อจากต่างจังหว
ฮันน่าก้าวลงจากรถทัวร์พร้อมกระเป๋าใบเดิม สายลมจากท้องทุ่งนาที่โอบล้อมด้วยภูเขาอันคุ้นตาพัดผ่านใบหน้า ราวกับต้อนรับการกลับมาของเธอ แต่ความรู้สึกในใจกลับแตกต่าง เธอเร่งรีบเดินตามถนนเส้นเล็กที่ทอดยาวไปยังบ้านไม้หลังเก่าที่เคยอาศัย หวังเพียงจะได้เห็นหน้าปู่เป็นครั้งสุดท้าย แต่เมื่อมาถึง เสียงพระสวดเบา ๆ จากในบ้านกลับทำให้เธอรู้ว่า เธอมาช้าเกินไปในบ้านที่อบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความอาลัย ฮันน่าก้าวเข้ามาท่ามกลางญาติพี่น้องที่นั่งกันเงียบ ๆ ทุกคนมองมาที่เธอด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความเสียใจและเห็นอกเห็นใจ แต่ในใจของเธอ ทุกอย่างกลับเต็มไปด้วยความว่างเปล่าเท้าของเธอเหมือนถูกโซ่ล่ามไว้ แต่สุดท้าย ฮันน่าก็พาตัวเองเดินไปจนถึงหน้าโลงศพ ภาพถ่ายของปู่ในกรอบไม้เรียบง่ายตั้งตระหง่านอยู่ด้านบน รอยยิ้มในภาพนั้นเป็นสิ่งเดียวที่ยังคงปลอบโยนเธอในวินาทีนี้ ฮันน่าค่อย ๆ ก้มลงพนมมือ น้ำตาที่กลั้นไว้ตลอดทางไหลรินลงอาบแก้มอย่างไม่อาจห้ามได้เธอพึมพำแผ่วเบาราวกับปู่จะได้ยิน "หนูกลับมาแล้วนะปู่ ขอให้ปู่หลับให้สบาย ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรอีกแล้ว" เสียงของเธอสั่นเครือ แต่เปี่ยมไปด้วยความอาลัยในพระคุณของปู่ที่ได้เลี้ยงเธ
10 ปีผ่านไป ณ เมืองที่ไม่เคยหลับใหล ซึ่งเต็มไปด้วยแสงสีและความคึกคัก ท้องฟ้ายามเย็นเปลี่ยนเป็นสีส้มอมแดง ทาบทับผืนน้ำทะเลสะท้อนเงาแสงสุดท้ายของวัน อาดัม หนุ่มหล่อมาดเซอร์ ดวงตาคมเข้มเหมือนมีเรื่องราวสะท้อนอยู่ในนั้น สะพายกีตาร์ตัวเก่งไว้บนหลัง พร้อมจักรยานคันโปรดที่เขาใช้เดินทางอย่างเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยเสรีภาพเสียงล้อจักรยานบดไปบนถนนเลียบชายหาดคลอด้วยเสียงคลื่นที่ซัดเข้าฝั่งอย่างแผ่วเบา กลิ่นน้ำทะเลและสายลมเย็นสดชื่นพัดผ่านผิวหน้า ปลุกทุกความรู้สึกให้ตื่นตัว เขาไม่รีบร้อน แต่ปล่อยให้ทุกวินาทีของการเดินทางซึมซับความสวยงามของธรรมชาติรอบตัวอาดัมจอดจักรยานคู่ใจริมชายหาดอีกครั้งเมื่อเขาหันมอง แสงอาทิตย์ที่กำลังลาลับขอบฟ้าทอแสงสีทองสะท้อนบนผิวน้ำทะเลเป็นภาพที่สวยงามเกินบรรยายชวนให้เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ถ่ายภาพช่วงเวลานี้ไว้แล้วโพสต์ลงโซเชียลมีเดียที่มีผู้ติดตามจำนวนหนึ่งที่รอคอยความเคลื่อนไหวของชายหนุ่มเจ้าเสน่ห์คนนี้ พร้อมคำบรรยายที่สะท้อนความคิดสร้างสรรค์และความรู้สึกที่อยากให้ทุกคนได้สัมผัส“บางครั้งชีวิตก็เหมือนแสงอาทิตย์ยามเย็น อาจดูเหมือนสิ้นสุด แต่ก็ยังคงทิ้งความงดงามไว้ให้เราได
ท้องฟ้ายามค่ำคืนเงียบสงบ มีเพียงเสียงลมพัดแผ่วเบาลอดผ่านหน้าต่างห้องของอาดัม เขายืนถือโทรศัพท์ไว้แนบหู ปลายสายนั้นคือวิน เพื่อนสนิทที่โทรมาจากต่างแดน เพราะหลังจากเหตุการ์ณ์ที่เกาะทองคำวันนั้นวินได้บินกลับไปอย่างกระทันหัน "นายแน่ใจเหรอ...อาดัม?" เสียงของวินชัดเจนผ่านใบหูของอาดัมในขณะที่ทั้งสองได้คุยกันมาได้สักพักแล้วจนมาถึงช่วงสุดท้ายก่อนจะวางสายลง “แน่ใจสิ…”อาดัมตอบกลับด้วยความมั่นใจขณะที่ดวงตาคมกริบของเขาฉายแววความแน่วแน่มั่นคง ถึงแม้เขาจะรู้จักเธอแค่เพียงหนึ่งสัปดาห์ก็ตาม แต่บางอย่างในตัวเธอทำให้เขาตัดสินใจได้โดยไม่ลังเล เมื่อวินได้ยินคำตอบที่ราวกลั่นออกมาจากหัวใจของอาดัมแล้ว เขาก็เอ่ยด้วยด้วยน้ำเสียงแห่งความยินดี “เมื่อนายมั่นใจและเชื่อมั่นแล้ว ฉันก็เชื่อในตัวนายเช่นกันว่านายนั้นทำได้ดี” วินตอบกลับแล้วหันมองดูเวลาบนข้อมือที่ใกล้เข้ากะทำงานไปทุกที“ ไว้คุยกันใหม่ ฉันต้องเข้าทำงานแล้ว ขอพระเจ้าอวยพร นายกับฮันน่า นะ" “ขอบใจมากเพื่อน ..วิน! แล้วเจอกัน ” .. ตุ๊ด.. ตุ๊ด.. ตุ๊ด..………….เมื่อวางสายไปแล้ว อาดัมถอนหายใจออกมาช้าๆ พลางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามราตรี แสงดาวระยิบระยับสะท้อ
ยามหัวค่ำในห้องพักฟื้น อากาศเย็นจากเครื่องปรับอากาศแผ่ซ่านลึกเข้าไปถึงกระดูก ฮันน่า นอนนิ่งอยู่บนเตียง แม้ร่างกายยังคงเจ็บปวดจากบาดแผลที่ยังไม่หายดี แต่ถึงกระนั้นความเจ็บปวดจากร่างกายนั้นเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่กัดกินเธออยู่ภายในความกลัว ที่เหมือนเงาดำซึ่งคืบคลานเข้ามารัดแน่นจนหายใจแทบไม่ออกเธอรู้ดีว่าการหนีจาก ลินลี่ ไม่ใช่เรื่องง่าย... ไม่สิ มันเป็นไปไม่ได้เลย เพราะที่นี่ไม่ใช่ที่สำหรับคนอย่างเธอ นี่คือเมืองที่ลินลี่ครอบครองทุกสิ่งหญิงผู้มีอิทธิพล ผู้ทรงพลังยิ่งกว่ากฎหมายและความยุติธรรม ไม่มีมุมใดของเมืองนี้ที่จะหลบพ้นสายตาของเธอได้หัวใจของฮันน่าเต้นแรงในอก ดวงตาจ้องมองเงาตรงประตูหน้าห้องที่ดูเหมือนจะขยับเคลื่อนไหวตามเสียงฝีเท้าในจินตนาการของเธอ ทุกวินาทีราวกับกำลังรอคอยหายนะที่จะมาถึงโดยไม่มีวันเลี่ยงได้เธอไม่ได้หวังปาฏิหาริย์อีกต่อไป... ในเมืองของลินลี่ คนที่หนีไปได้ มีเพียงเงา หรือซากศพตึก... ตึก...ตึกเสียงรองเท้าส้นสูงดังสะท้อนก้องมาตามทางเดินยาวนอกห้อง ทุกก้าวการเดินนั้นราวกับกำลังย้ำเตือนถึงชะตากรรมที่กำลังจะมาถึง ทุกก้าว ยิ่งกระชั้นชิด เสมือนเสียงของนาฬิกาเรือนใหญ่ที่น
ภายในห้องพักฟื้นของโรงพยาบาล บรรยากาศเงียบงัน แสงไฟนวลตาส่องกระทบผนังสีขาวสะอาดตา ทว่ากลับให้ความรู้สึกโดดเดี่ยว อากาศอบอวลด้วยกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อเจือจาง เตียงคนไข้ถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบ ม่านสีขาวกั้นเป็นสัดส่วน อาดัมก้าวเข้ามาอย่างช้าๆสายตาของเขามองไปยังหญิงสาวที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง ผ้าพันแผลสีขาวพันรอบศีรษะของเธอ และขาของเธอถูกดามไว้อย่างแน่นหนา ร่องรอยบาดแผลและรอยฟกช้ำปรากฏให้เห็นบนผิวกายซีดเซียว ร่างกายของเธอดูเปราะบางราวกับอาจแตกสลายได้ทุกเมื่อ เสียงลมหายใจแผ่วเบาของเธอยืนยันว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็เป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด อาดัมรู้สึกเหมือนมีก้อนหินหนักๆ กดทับอยู่ในอก ราวกับแบกรับความรู้สึกผิดที่มองไม่เห็น เขายืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจเบาๆ สายตาไล่มองไปตามร่างของเธอ พลางครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เธอต้องเจ็บหนักขนาดนี้ เขารู้ว่าเธอรอดมาได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเธอจะผ่านมันไปได้โดยง่าย เสียงฝีเท้าของเขาเบาลงขณะก้าวถอยหลัง สุดท้ายอาดัมเลือกจะหมุนตัวเดินออกจากห้องแม้ความกังวลยังคงฝังแน่นอยู่ในใจ... เขาตรงกลับมาบ้านที่อบอุ่นเสียงฝีเท้าดังก้องทั่วห้องโถ่งทางเด
กลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ เรือสปีดโบ๊ทแล่นตัดผ่านเกลียวคลื่นอย่างรวดเร็ว เสียงเครื่องยนต์คำรามกลบความเงียบของท้องฟ้ายามเย็นที่กำลังมืดลง อาดัมนั่งเงียบอยู่ข้างฮันน่า ดวงตาของเขามองไปยังใบหน้าของฮันน่าที่เปื้อนไปด้วยเลือด เธอดูอ่อนล้าและไร้เรี่ยวแรงและในแววตาของเธอนั้นช่างเต็มไปด้วยความเจ็บปวด“คุณ…เข้มแข็งไว้นะ” อาดัมเอ่ยขึ้น ด้วยน้ำเสียงที่แฝงด้วยความห่วงใยลึกซึ้ง ขณะที่นันย์ตาเขามองเธอราวกับต้องการส่งกำลังใจทั้งหมดที่เขามีให้กับเธอ ปลายนิ้วของเขาแตะลงบนแขนของเธอเบา ๆ สัมผัสแผ่วเบาที่ไม่ได้ต้องการอะไร นอกจากให้เธอรู้ว่าเธอไม่ได้เผชิญกับสิ่งนี้เพียงลำพัง ฮันน่ามองอาดัม ก่อนพยักหน้าแม้ไม่มีคำพูดใดออกมา แต่แววตาของเธอนั้นรับรู้ถึงความห่วงใยของเขา และเธอจะพยายามอดทน ให้ถึ่งฝั่งเรือสปีดโบ๊ทเข้าใกล้ฝั่งมากขึ้น ทุกวินาทีเต็มไปด้วยความเร่งด่วน ไฟสีแดงของรถพยาบาลที่จอดรออยู่ที่ท่าเรือสะท้อนบนผิวน้ำ ราวกับประกาศความสำคัญของชีวิตที่กำลังแขวนอยู่บนเส้นด้ายทันทีที่เรือจอดเทียบที่ท่า คนขับเรือและเจ้าหน้าที่รีบเข้ามาช่วยอาดัมพยุงฮันน่าขึ้นไปยังรถพยาบาล เสียงไซเรนดังก้องเมื่อรถพุ่งออกจากท่าเรือ
ท้องฟ้าเริ่มแปรเปลี่ยนจากใสป็นสีดำครึ้มคลุมเคลือ บรรยากาศในหุบเขาข้างทะเลช่างเงียบสงบดูเหมือนทุกสิ่งหยุดนิ่งแต่มีเพียงเสียงเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ของฮันน่าที่ดังก้องสะท้อนในความว่างเปล่า เธอบิดเร่งความเร็วขึ้นทางลาดชัน เสียงลมหายใจถี่กระชั้นของเธอผสมผสานกับเสียงไซเรนรถสายตรวจที่ดังแว่วมาไกลๆ ทุกเสียงเหมือนเหล็กปลายแหลมทิ่มแทงหัวใจ สร้างความกดดันให้เธอจนแทบระเบิด ความหวาดระแวงไหลเวียนในสายเลือดอย่างไม่มีสิ้นสุดจนมาถึงริมผาสูง เบื้องหน้าคือมหาสมุทรที่กว้างสุดลูกหูลูกตา ฮันน่าจอดมอเตอร์ไซค์และทอดสายตามองลงไปยังน้ำทะเลที่นิ่งเงียบ และไร้ขอบเขต ในขณะที่หัวใจเธอกลับเต็มไปด้วยความวุ่นวายราวพายุหมุน เสียงข้อความ "ติ้ง ติ้ง" ดังจากโทรศัพท์มือถือในมือ เป็นข้อความจากลินลี่ที่เหมือนเสียงเรียกครั้งสุดท้ายดึงเธอกลับมาสู่ความจริง“พอกันที ลินลี่” เธอเอ่ยเสียงเบา แต่เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว พลางมือขว้างโทรศัพท์ในมือออกไปสุดแรง มันพุ่งผ่านอากาศแล้วหายลับลงสู่ทะเลลึก ราวกับตัดสายใยสุดท้ายที่ผูกเธอไว้กับชีวิตเดิมดวงตาเลื่อนไปที่กระเป๋าสัมภาระข้างตัวด้วยแววตาแน่วแน่ ก่อนจะคว้ามันขึ้นและโยนมันลงไปตามโทรศ
เรือเฟอร์รี่เคลื่อนเทียบเข้าฝั่งอย่างช้าๆ เสียงคลื่นกระทบกับท่าเรือดังราวจังหวะกลอง สอดประสานกับเสียงนกนางนวลร้องที่ลอยตัวอยู่เหนือชายฝั่ง อาดัมและวินก้าวลงจากเรือด้วยใบหน้าที่เริงร่า วิญญาณและร่างสัมผัสได้ถึงพลังแห่งธรรมชาติของเกาะทองคำ ทันทีที่เท้าลงบนผืนดิน กลิ่นลมทะเลสดชื่นอบอวลอยู่ในอากาศ พัดพาเอาความสบายใจมาสู่พวกเขา แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องกระทบกับผิวน้ำทะเลเป็นประกายระยิบระยับ เกาะแห่งนี้ดูเหมือนจะโอบรับพวกเขาด้วยความอบอุ่นอาดัมยืดตัวขึ้น สูดลมหายใจลึก รู้สึกถึงความบริสุทธิ์ของอากาศบนเกาะที่ราวดั่งสวรรค์แห่งนี้ เขาหันมาทางวินด้วยใบหน้าตื่นเต้นแล้วเอ่ยขึ้นว่า“เราเช่ารถมอไซค์กันวิน มีร้านเช่าตรงที่หน้าท่าเรือ จะได้ขับรถชมรอบๆเกาะ”เสียงพูดของอาดัมฟังดูสดใสและเต็มไปด้วยพลัง วินพยักหน้าด้วยรอยยิ้มกว้าง แล้ว ทั้งคู่มุ่งหน้าไปยังร้านเช่ามอเตอร์ไซค์ ใกล้ๆ ท่าเรือที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ที่กำลังหารถเช่าหรือมองหาไกด์นำเที่ยวหลังจากจัดการเรื่องการเช่ามอเตอร์ไซค์เรียบร้อยแล้ว ทั้งสองขี่มันออกไปบนถนนเล็กๆ ที่ตัดผ่านชายฝั่ง น้ำทะเลสีฟ้าใสสะท้อนอยู่ที่ปลายสายตา สายลมพัดผ่านใบหน้าขอ
บรรยากาศที่เปิดโล่งของล็อบบี้รีสอร์ตกลางสวนปาล์ม สียงคลื่นกระทบฝั่งดังแว่วมาไกลๆราวกับคำทักทายของมหาสมุทร เสียงลมพัดผ่านกิ่งใบของต้นไม้เกิดเป็นเสียงกระซิบที่แผ่วเบา คล้ายดนตรีธรรมชาติที่บรรเลงประสานกันอย่างลงตัว แสงแดดอุ่นยามสายลอดผ่านเพดานกระจกใสด้านบน สาดส่องลงมา ทอดเงาเป็นลวดลายอ่อนช้อยบนพื้นหินขัดสีเทาที่เปี่ยมด้วยความประณีตเฟอร์นิเจอร์ไม้สีน้ำตาลถูกจัดวางไว้อย่างมีสไตล์และลงตัว ที่สะท้อนถึงความกลมกลืนระหว่างธรรมชาติและความทันสมัย เสียงรองเท้าของฮันน่ากระทบพื้นเบาๆ ในจังหวะที่มั่นคง ตรงไปยังที่เคาน์เตอร์รับรองกลางล็อบบี้ พนักงานสาวสวมเสื้อสูทสีขาวสะอาดทับเสื้อเชิ้ตเนื้อเบาสีฟ้าอ่อน ใบหน้าผ่องใสถูกแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มต้อนรับอย่างอ่อนน้อม เธอยืนสง่างามหลังเคาน์เตอร์ไม้เรียบหรู มือวางพร้อมบริการฮันน่าหยุดอยู่ด้านหน้าเค้าน์เตอร์ สูดลมหายใจลึกเพื่อรวบรวมสมาธิ ขณะที่หัวใจเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจแต่ยังแฝงด้วยความตื่นเต้น“สวัสดีค่ะ ฉันฮันน่าเข้าเช็กอินค่ะ”“สักครู่นะคะ” เสียงของเธอราวกับสายลมเย็นที่พัดผ่านกลางฤดูร้อน ก่อนหยิบเอกสารเช็กอินมาตรวจสอบอย่างต
ใกล้เกาะทองคำ บรรยากาศเหนือผืนน้ำสงบแต่แฝงไปด้วยความตึงเครียด บนเรือสายตรวจ เจ้าหน้าที่ทุกคนปฏิบัติหน้าที่อย่างเงียบงัน เสียงคลื่นกระทบตัวเรือดังก้องเป็นจังหวะสม่ำเสมอ แต่ในหัวของพวกเขาเต็มไปด้วยความกังวลและข้อสงสัยเรือสปีทโบ๊ตต้องสงสัยที่ได้รับรายงานถูกตรวจค้นอย่างละเอียด ทุกช่องเก็บของ และมุมเล็กมุมน้อยถูกเปิดออกเพื่อตรวจสอบ เอกสารทุกแผ่นถูกอ่านอย่างถี่ถ้วน แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือความว่างเปล่าไม่มีสิ่งของผิดกฎหมายหรืออะไรที่ชวนให้คิดว่าเรือลำนี้เกี่ยวข้องกับการลักลอบเลยแม้แต่น้อยเสียงถอนหายใจดังขึ้นเบา ๆ ท่ามกลางความผิดหวัง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งหันไปหาหัวหน้าทีม “ข้อมูลผิดพลาด…ครับหัวหน้า” เขาพูดขึ้นอย่างไม่แน่ใจด้วยน้ำเสียงที่สับสนและความรู้สึกสิ้นหวังหัวหน้าทีมยืนนิ่งอยู่ตรงสะพานเรือ ดวงตาของเขามองไกลออกไปยังผืนทะเลที่ทอดยาวสุดสายตา ใบหน้าเรียบนิ่ง แต่ภายในเขากำลังประมวลผลข้อมูล “ไม่ใช่ความผิดพลาด…” เขาเอ่ยในที่สุด น้ำเสียงหนักแน่นของเขาทำให้ทุกคนหยุดนิ่งและหันมาฟังอย่างตั้งใจ “พวกเขาเปลี่ยนแผนแล้ว เราถูกเบี่ยงเบนความสนใจ”คำพูดนั้นทำให้ทั้งทีมตกอยู่ในความเงียบ ทุกคนเริ่มตระหนักว่าภ
บรรยากาศในบ้านอาดัมเริ่มเงียบสงบลง หลังจากเสียงหัวเราะและความสนุกสนานของปาร์ตี้วันขอบคุณพระเจ้าค่อยๆ จางหายไป กลิ่นหอมอ่อนๆ ของอาหารที่ยังหลงเหลือในอากาศผสมกับความอบอุ่นจากแสงไฟในบ้าน เพื่อนๆ หลายคนทยอยกันกลับ บางคนช่วยคุณแม่ของอาดัมเก็บจานชาม บางคนกวาดบ้านพร้อมพูดคุยเรื่องราวในค่ำคืนที่เพิ่งผ่านไปวิน เพื่อนสนิทของอาดัม เดินเข้ามาพร้อมหยิบเสื้อคลุมที่วางพาดเก้าอี้ขึ้นมา ก่อนจะหันไปพูดกับอาดัมด้วยน้ำเสียงจริงจังแต่แฝงด้วยความคาดหวัง"อาดัม พรุ่งนี้นายว่างไหม? เราข้ามเกาะไปเที่ยวที่เกาะทองกันสักคืนดีไหม? ฉันอยากรำลึกถึงวันเก่าๆ เพราะเดี๋ยวอีกสองสามวันฉันต้องกลับแล้ว"อาดัมที่กำลังเก็บกีตาร์ใส่กระเป๋าหยุดมือชั่วครู่ เขาเงยหน้าขึ้นมองวินด้วยรอยยิ้มกว้าง แววตาฉายชัดถึงความยินดีที่เพื่อนสนิทเอ่ยปากชวน"ได้สิเพื่อน วิน ฉันว่างอยู่ งั้นเราขึ้นเรือรอบแรกกันเลยไหม? รอบ 8 โมงเช้า เจอกันที่ท่าเรือ"วินหัวเราะเบาๆ ขณะสวมเสื้อคลุม "ตกลง งั้นเจอกันพรุ่งนี้!" เขายื่นมือไปหาอาดัม ทั้งสองยกมือประกบกันอย่างแน่นหนา ก่อนที่เสียงหัวเราะและรอยยิ้มของพวกเขาจะเติมเต็มห้องที่เงียบสงบ"งั้นฉันไปก่อนนะ พรุ่งนี้