แต่เวลานี้ครอบครัวฮันน่าและชาวบ้านในชนบทแทบจะสิ้นหวังก็ว่าได้เมื่อถึงกลางฤดูร้อนที่แสนโหดร้ายจนทำให้ผู้คนท้อแท้กับอาชีพทำไร่ทำสวน
ท้องฟ้าสีครามที่เคยงดงามบัดนี้ถูกแทนที่ด้วยหมอกควันจางๆ ที่เกิดจากไอร้อนระอุ นาข้าวที่เคยเขียวขจีและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา กลับกลายเป็นเพียงทุ่งกว้างที่ปกคลุมด้วยความแห้งแล้ง ดินแตกระแหง สีน้ำตาลหม่น ฝุ่นทรายปลิวฟุ้งอยู่ในอากาศ เหมือนกับเสียงสะท้อนของธรรมชาติที่กำลังร้องไห้ในลำคลองที่เคยเต็มไปด้วยน้ำใสและฝูงปลาว่ายวน บัดนี้กลับกลายเป็นแค่ทางน้ำแคบๆ ที่แห้งขอด ปลาน้อยใหญ่ที่เคยมีให้จับกินทุกวัน เริ่มหร่อยหรอจนแทบจะมองไม่เห็น ความแร้นแค้นทำให้ชีวิตของชาวไร่ชาวนาหนักหนากว่าเดิม สถานการณ์การเงินของทุกครอบครัวในหมู่บ้านดิ่งลงเหว การขายผลผลิตที่เคยเป็นที่พึ่งในฤดูก่อนกลายเป็นเพียงฝันเลือนราง
ในบ้านไม้หลังเล็กที่ตั้งอยู่กลางทุ่งแห้งผาก สองปู่ย่าของฮันน่าก็ไม่ต่างจากธรรมชาติรอบตัว พวกท่านนับวันยิ่งแก่ชราลง กำลังวังชาที่เคยมีเริ่มหมดไป การเดินเหินกลายเป็นเรื่องยากยิ่ง ลำพังการใช้ชีวิตประจำวันก็เหนื่อยล้า การทำไร่ทำสวนที่เคยเป็นความภาคภูมิใจในอดีตก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป ท้องฟ้าและดินดูจะเป็นปรปักษ์กับพวกท่าน
แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงเป็นแสงสว่างในสายตาของปู่ย่าคือ ฮันน่า เธอคือความหวังและที่พึ่งพิงของครอบครัว ในยามที่ทุกสิ่งดูเหมือนจะมืดมน ฮันน่าคือคนที่ช่วยแบ่งเบาภาระ เธอช่วยทำนาในวันที่ดวงอาทิตย์แผดเผา ช่วยดูแลบ้านและจัดหาอาหารในวันที่ปู่ย่าไม่สามารถลุกออกจากที่นอนได้
แต่เมื่อฮันน่ามองไปที่บ้านไม้หลังเล็ก ทุ่งนาที่เคยเขียวชอุ่ม บัดนี้
เหมือนฝันที่ไม่อาจเป็นจริง ดวงตาเธอฉายแววเศร้าปนมุ่งมั่น ภาพของปู่ย่าที่โรยราด้วยวัยชราและความเหนื่อยล้าจากการทำไร่สวนยังติดอยู่ในใจเธอ
เมื่อความยากจนกัดกินชีวิตในชนบท และฝันที่จะพาครอบครัวให้พ้นจากความทุกข์ทนยังไม่จางหาย ฮันน่ารู้ดีว่าเธอจำเป็นต้องเลือกเส้นทางใหม่ เธอตัดสินใจครั้งสำคัญ เดินทางไปเมืองกรุง เมืองแห่งแสงสีและความหวังที่เธอได้ยินมาจากคนในหมู่บ้าน แม้จะไม่รู้ว่ารออยู่ข้างหน้าคืออะไร แต่เธอก็รู้ว่าที่นี่ไม่มีทางออกอื่นอีกแล้ว
เช้าวันหนึ่ง ฮันน่าเก็บสัมภาระใส่กระเป๋าผ้าใบเก่าที่เคยใช้มาหลายปี ของในนั้นมีเพียงไม่กี่ชิ้น เสื้อผ้า สมุดบันทึกเล่มโปรดเธอมองบ้านที่เคยเป็นที่หลบภัยอีกครั้งก่อนออกเดินทาง หัวใจเธอปวดร้าวกับการจากลาที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง
เส้นทางลูกรังทอดยาวออกจากหมู่บ้านสู่ถนนใหญ่ ฮันน่าก้าวเดินไปพร้อมลมร้อนที่พัดใบไม้ปลิว เธอเงยหน้ามองท้องฟ้าที่แผดเผา และบอกตัวเองในใจว่าเธอจะต้องผ่านพ้นทุกอย่างไปให้ได้ การเดินทางครั้งนี้ไม่ใช่แค่การย้ายที่อยู่ แต่เป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ ชีวิตที่เธอต้องเผชิญหน้ากับความไม่แน่นอนและความท้าทายเมื่อรถบัสพาเธอเข้าสู่เขตเมือง ฮันน่ามองเห็นสิ่งที่แตกต่างจากบ้านเกิดอย่างสิ้นเชิง อาคารสูงเสียดฟ้ารายล้อมไปด้วยเสียงรถยนต์และผู้คนที่เดินขวักไขว่ ท้องถนนดูพลุกพล่านไม่มีที่สิ้นสุด แสงไฟจากป้ายโฆษณาส่องสะท้อนกระจกของรถ เธอรู้สึกทั้งตื่นเต้นและหวาดกลัวในเวลาเดียวกัน
เธอเคยได้ยินเสียงร่ำลือถึงแสงไฟระยิบระยับ เสียงผู้คนที่จอแจ และโอกาสที่ซ่อนอยู่ในซอกมุมของเมืองนั้น แต่สำหรับเธอ เมืองหลวงคือสถานที่ที่เต็มไปด้วยสิ่งไม่คุ้นเคย การเดินทางครั้งนี้เหมือนการกระโดดลงไปในแม่น้ำเชี่ยวกรากที่เธอไม่รู้ว่าตัวเองจะว่ายข้ามไปได้หรือไม่
….เธอกำมือแน่น รู้สึกถึงเนื้อผ้าหยาบ ๆ ของกระเป๋า สัมผัสถึงความฝันที่เปราะบาง เธอบอกตัวเองว่าเธอต้องเข้มแข็ง เธอเดินไปข้างหน้า แม้เท้าที่เปื้อนฝุ่นจะแสบและร้อนผ่าว แต่แววตาของเธอสะท้อนถึงความมุ่งมั่นที่ไม่อาจดับมอด
เธอได้งานเป็นสาวโรงงาน ทำงานในสายการผลิตซึ่งต้องยืนทั้งวัน เสียงเครื่องจักรดังตลอดเวลา แต่ฮันน่าไม่เคยบ่น เธอบอกตัวเองว่า นี่เป็นเพียงช่วงเวลาที่ต้องอดทนทุกเช้าก่อนฟ้าสาง ฮันน่าตื่นขึ้นมาพร้อมกับเสียงปลุกของนาฬิกาเรือนเล็กที่พกมาจากบ้าน ตรงเข้าไปตอกบัตรให้ทันเวลาก่อนเริ่ม
งานในโรงงานซ้ำซาก เช้าเข้ากะ เย็นเลิกงาน แต่สิ่งที่ฮันน่าทำให้ทุกวันพิเศษ คือ "จดหมาย" ถึงครอบครัว เธอเลือกคำอย่างระมัดระวังในทุกบรรทัด จดหมายของเธอไม่มีคำว่าท้อแท้ มีแต่คำว่า "สบายดี" และ "ไม่ต้องห่วง" แม้ในใจของเธอจะเต็มไปด้วยความคิดถึงไร่ คิดถึงกลิ่นฝนที่ตกลงบนดิน คิดถึงเสียงปู่ย่าที่พร่ำบ่นเธอเช้าเย็นขากลับ เธอมักเดินผ่านพื้นที่เงียบสงบในเขตโรงงาน มีต้นไม้ไม่กี่ต้นที่ยืนต้นโดดเดี่ยว และขอนไม้เก่าๆ ที่วางตัวอยู่ใกล้ๆ มันกลายเป็นมุมที่ฮันน่าชอบแวะพักทุกครั้งหลังเลิกงาน ที่ตรงนั้นเหมือนหลุดออกจากความวุ่นวายรอบข้าง เป็นพื้นที่เล็กๆ ที่มีเพียงเธอกับธรรมชาติฮันน่านั่งลงบนขอนไม้ด้วยความคุ้นเคย กระเป๋าผ้าสีซีดถูกวางลงข้างตัว เธอพิงแผ่นหลังกับต้นไม้ใหญ่ รู้สึกถึงผิวของเปลือกไม้ที่ขรุขระแต่ให้ความรู้สึกปลอดภัย ลมเย็นๆ ที่พัดผ่านเบาๆ พาเอากลิ่นของดินและหญ้าขึ้นมาเจือจางในอากาศ ที่นี่ไม่มีเสียงเครื่องจักร ไม่มีเสียงผู้คน มีเพียงเสียงใบไม้ที่พลิ้วไหวไปตามสายลม กับเสียงนกตัวเล็กๆ ที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้
เธอหยิบสมุดเล่มเล็กออกมาจากกระเป๋า สมุดเล่มนี้เป็นเหมือนเพื่อนสนิทที่ไม่เคยห่างหายไปไหน หัวใจของเธอเหมือนถูกคลายจากความตึงเครียดในทันที ขณะที่เธอเริ่มจรดปากกา เขียนความรู้สึกที่อัดแน่นมาตลอดวันลงไป
ที่นี่...เป็นเหมือนโลกส่วนตัวของเธอ เป็นมุมเล็กๆ ที่เธอสามารถพูดคุยกับตัวเองได้อย่างอิสระ เธอเขียนถึงความฝันที่ยังคงรอคอยวันเป็นจริง เขียนถึงบ้านที่เธอคิดถึง และเขียนถึงความตั้งใจที่เธอมีต่อครอบครัว
ขอนไม้เก่าๆ และเงาของต้นไม้ใหญ่ช่วยโอบอุ้มเธอจากความเหนื่อยล้า แสงแดดยามเย็นที่ลอดผ่านกิ่งไม้ลงมากระทบผิวเธอ เหมือนกำลังปลอบโยน ฮันน่าปิดสมุดหลังจากเขียนจบ เธอนั่งนิ่งสูดลมหายใจลึก เธอชอบที่นี่ ไม่ใช่เพียงเพราะมันเงียบสงบ แต่เพราะมันทำให้เธอรู้สึกว่าเธอมีที่ของตัวเองในโลกใบนี้
ถ้าอ่านแล้วชอบฝากกดติดตามเพิ่มลงคลัง ให้กำลังใจด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ
ฮันน่าใช้ชีวิตในเมืองที่ไม่คุ้นเคยด้วยความเหงาและโดดเดี่ยว แต่โชคดีที่เธอมีแจนเป็นเพื่อนสนิทในโรงงาน ความไว้ใจจึงเริ่มขึ้นทีละเล็กละน้อยจากการพูดคุยและการใช้เวลาอยู่ด้วยกัน“ฮันน่า คืนนี้ไปกับฉันได้ไหม? มีหนุ่มนัดเจอที่ร้านอาหาร ไม่ไกลจากที่นี่หรอก เขาบอกว่าอยากเจอเธอด้วย” แจนพูดพร้อมส่งสายตาอ้อนวอน ในห้องน้ำหญิงที่ทั้งสองแอบมาพักเบรกช่วงบ่าย ฮันน่ามองแจนด้วยความลังเล เธอไม่ค่อยชอบพบปะคนแปลกหน้า แต่ก็ไม่อยากทำให้แจนผิดหวัง“แล้ว...เขาเป็นใครเหรอ?” ฮันน่าถามน้ำเสียงเรียบ แจนยิ้มทันทีราวกับรู้ว่าฮันน่าจะตอบตกลงในที่สุด“แค่ไปสนุกๆ เองน่า ฉันสัญญาว่าจะไม่ทำให้เธออึดอัด” แจนกล่าวด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น ฮันน่าพยักหน้าเบาๆ แม้ใจจะยังครุ่นคิด แต่เธอก็รู้สึกว่าแจนเป็นคนเดียวที่ทำให้ชีวิตในเมืองใหญ่นี้ดูมีชีวิตชีวามากขึ้นคืนนั้นอาจเป็นอีกครั้งที่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเธอแน่นแฟ้นขึ้น หรืออาจนำไปสู่เรื่องราวใหม่ที่ฮันน่าเองก็ไม่คาดคิด...หลังจากเลิกงาน ฮันน่าและแจนรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าและออกเดินทางไปยังจุดหมายที่อยู่ห่างออกไปโดยรถแท็กซี่บาร์แห่งนี้ตั้งอยู่ในซอยเปลี่ยวลึกฮันน่าเดินตามแจนเข้าไปในร้
“อยากกินอะไร สั่งเพิ่มได้เลยนะ เดี๋ยวผมเลี้ยงเอง” จอนห์พูดขึ้น พร้อมรอยยิ้ม ที่ดูเหมือนจะเป็นมิตรราวกลับว่าเขาเป็นเจ้ามือใหญ่ของเย็นนี้ แต่กลับทำให้ฮันน่ารู้สึกอึดอัดเธอไม่แน่ใจว่าคำพูดนั้นเป็นเพียงความหวังดี หรือเป็นการแฝงนัยบางอย่างแต่แล้วสถาณการณ์ยิ่งแย่ลงไปกว่าเดิมเมื่อจอนห์ลุกจากเก้าอี้และข้ามฝั่งมานั่งข้างเธอ ฮันน่ารู้สึกถึงแรงกดดันเพิ่มขึ้นเมื่อเขาเลื่อนมือออกมาพยายามล่วงเกินเธอจนเกินขอบเขตที่เธอรู้สึกสบายใจ จนฮันน่าต้องลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที “ฮันน่า..กลับก่อนดีกว่าค่ะ”“อยู่ต่ออีกหน่อยสิครับ”แต่แล้วเขาเอื้อมมือเข้ามาใกล้เธออีกครั้ง จนทำให้ความอดทนของฮันน่าหมดลงในทันทีเธอยกมือขึ้นเพี๊ยะ! เสียงฝ่ามือที่กระทบแก้มดังสนั่นไปทั่วบริเวณ ฮันน่าหายใจแรงด้วยความโกรธที่ก่อตัวขึ้นจากการกระทำที่ไม่เหมาะสมจอนห์ชะงักไปทันที ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ เขายกมือขึ้นแตะแก้มที่แดงเป็นรอยอย่างไม่เชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น เสียงในร้านที่เคยจอแจพลันเงียบกริบ ทุกสายตาในร้านต่างหันมามองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความสงสัยและตกตะลึงฮันน่ายืนตัวตรง แม้ร่างกายจะสั่นเล็กน้อย แต่ใบหน้าเธอฉายแววกร้าวและแน่วแน่ น้
หลังจากคืนนั้น ทุกสิ่งรอบตัวของฮันน่าดูเหมือนจะเปลี่ยนไปจนไม่เหลือเค้าเดิม ความสัมพันธ์ที่เคยเรียบง่ายและอบอุ่นกับแจน เพื่อนร่วมงานที่เคยเป็นเหมือนจุดพักใจเล็กๆ ท่ามกลางวันที่วุ่นวายบัดนี้กลับกลายเป็นคนเงียบงันและหลีกเลี่ยงสายตาสิ่งที่รุนแรงกว่าความเฉยชาจากแจนคือสายตาจากเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ที่ไม่เหมือนเดิม พวกเขามองเธอราวกับเธอเป็นคนนอก หรือแปลกหน้าที่ไม่ควรอยู่ตรงนั้น ทุกครั้งที่เธอเดินผ่าน เสียงซุบซิบดังขึ้นตามหลังเธอ แม้จะฟังไม่ถนัด แต่เธอสัมผัสได้ว่ามันเกี่ยวกับตัวเธอเธอรู้สึกเหมือนถูกกลืนหายไปในฝูงชนที่มองมาด้วยสายตาเย็นชา เหมือนทุกคนรอบตัวไม่ต้องการให้เธออยู่ที่นั่น ความเงียบรอบข้างที่ขัดแย้งกับเสียงซุบซิบที่แผ่วเบา กลายเป็นเสียงก้องในหัวใจของเธอ"มันเกิดอะไรขึ้น..?"คำถามนั้นวนเวียนอยู่ในหัว เธอพยายามปะติดปะต่อเหตุการณ์ที่นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงนี้ แต่ทุกอย่างกลับพร่าเลือนราวหมอกปกคลุม สภาพแวดล้อมที่เคยคุ้นเคย กลายเป็นพื้นที่แปลกหน้า เสียงหัวเราะที่เคยได้ยินบ่อยครั้ง ตอนนี้กลับฟังเหมือนเสียงหัวเราะเยาะความจริงที่เธอไม่อาจปฏิเสธได้คือ เธอเป็นเพียงเด็กสาวที่ใสซื่อจากต่างจังหว
ฮันน่าก้าวลงจากรถทัวร์พร้อมกระเป๋าใบเดิม สายลมจากท้องทุ่งนาที่โอบล้อมด้วยภูเขาอันคุ้นตาพัดผ่านใบหน้า ราวกับต้อนรับการกลับมาของเธอ แต่ความรู้สึกในใจกลับแตกต่าง เธอเร่งรีบเดินตามถนนเส้นเล็กที่ทอดยาวไปยังบ้านไม้หลังเก่าที่เคยอาศัย หวังเพียงจะได้เห็นหน้าปู่เป็นครั้งสุดท้าย แต่เมื่อมาถึง เสียงพระสวดเบา ๆ จากในบ้านกลับทำให้เธอรู้ว่า เธอมาช้าเกินไปในบ้านที่อบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความอาลัย ฮันน่าก้าวเข้ามาท่ามกลางญาติพี่น้องที่นั่งกันเงียบ ๆ ทุกคนมองมาที่เธอด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความเสียใจและเห็นอกเห็นใจ แต่ในใจของเธอ ทุกอย่างกลับเต็มไปด้วยความว่างเปล่าเท้าของเธอเหมือนถูกโซ่ล่ามไว้ แต่สุดท้าย ฮันน่าก็พาตัวเองเดินไปจนถึงหน้าโลงศพ ภาพถ่ายของปู่ในกรอบไม้เรียบง่ายตั้งตระหง่านอยู่ด้านบน รอยยิ้มในภาพนั้นเป็นสิ่งเดียวที่ยังคงปลอบโยนเธอในวินาทีนี้ ฮันน่าค่อย ๆ ก้มลงพนมมือ น้ำตาที่กลั้นไว้ตลอดทางไหลรินลงอาบแก้มอย่างไม่อาจห้ามได้เธอพึมพำแผ่วเบาราวกับปู่จะได้ยิน "หนูกลับมาแล้วนะปู่ ขอให้ปู่หลับให้สบาย ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรอีกแล้ว" เสียงของเธอสั่นเครือ แต่เปี่ยมไปด้วยความอาลัยในพระคุณของปู่ที่ได้เลี้ยงเธ
10 ปีผ่านไป ณ เมืองที่ไม่เคยหลับใหล ซึ่งเต็มไปด้วยแสงสีและความคึกคัก ท้องฟ้ายามเย็นเปลี่ยนเป็นสีส้มอมแดง ทาบทับผืนน้ำทะเลสะท้อนเงาแสงสุดท้ายของวัน อาดัม หนุ่มหล่อมาดเซอร์ ดวงตาคมเข้มเหมือนมีเรื่องราวสะท้อนอยู่ในนั้น สะพายกีตาร์ตัวเก่งไว้บนหลัง พร้อมจักรยานคันโปรดที่เขาใช้เดินทางอย่างเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยเสรีภาพเสียงล้อจักรยานบดไปบนถนนเลียบชายหาดคลอด้วยเสียงคลื่นที่ซัดเข้าฝั่งอย่างแผ่วเบา กลิ่นน้ำทะเลและสายลมเย็นสดชื่นพัดผ่านผิวหน้า ปลุกทุกความรู้สึกให้ตื่นตัว เขาไม่รีบร้อน แต่ปล่อยให้ทุกวินาทีของการเดินทางซึมซับความสวยงามของธรรมชาติรอบตัวอาดัมจอดจักรยานคู่ใจริมชายหาดอีกครั้งเมื่อเขาหันมอง แสงอาทิตย์ที่กำลังลาลับขอบฟ้าทอแสงสีทองสะท้อนบนผิวน้ำทะเลเป็นภาพที่สวยงามเกินบรรยายชวนให้เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ถ่ายภาพช่วงเวลานี้ไว้แล้วโพสต์ลงโซเชียลมีเดียที่มีผู้ติดตามจำนวนหนึ่งที่รอคอยความเคลื่อนไหวของชายหนุ่มเจ้าเสน่ห์คนนี้ พร้อมคำบรรยายที่สะท้อนความคิดสร้างสรรค์และความรู้สึกที่อยากให้ทุกคนได้สัมผัส“บางครั้งชีวิตก็เหมือนแสงอาทิตย์ยามเย็น อาจดูเหมือนสิ้นสุด แต่ก็ยังคงทิ้งความงดงามไว้ให้เราได
แต่ในอีกโลกหนึ่ง ของสาวผู้โดดเดี่ยว เธอยืนนิ่งบนระเบียงของคอนโดสูงที่มองเห็นเมืองทั้งเมืองจากมุมมองอันกว้างใหญ่ ชุดนอนสีขาวที่เธอสวมดูเรียบง่าย ท่ามกลางแสงจันทร์ที่ตกกระทบบนผิวผมยาวสลวยของเธอ ราวกับตัวเธอกลมกลืนไปกับความสงบของราตรีสายตาของเธอทอดลงไปยังพื้นเบื้องล่าง ที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาจากไฟถนนและแสงสะท้อนจากหน้าต่างนับไม่ถ้วนของอาคารใกล้เคียง แม้ความเคลื่อนไหวของเมืองจะเต็มไปด้วยพลัง แต่ดูเหมือนว่าไม่มีสิ่งใดสามารถรบกวนภวังค์ในจิตใจของเธอได้แก้ววิสกี้ในมือของฮันน่าสั่นไหวขณะที่เธอเงยหน้าขึ้นดื่มมันจนหมดในอึกเดียว รสขมของแอลกอฮอล์ไหลลงสู่ลำคอ แต่กลับไม่สามารถลบล้างความเจ็บปวดที่ฝังลึกในใจเธอได้ ความทรงจำที่ตามหลอกหลอนมานับสิบปีกัดกินจิตใจของเธอราวกับเปลวไฟที่ไม่มีวันดับเธอยืนหลับตาอยู่อย่างนั้น สายลมแห่งรัตติกาลพัดผ่านใบหน้าของเธอ แต่แล้วความเงียบเหงานั้นก็ถูกทำลายด้วยเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือ เธอสะดุ้งก่อนจะรีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดูหน้าจอที่ส่องแสงในความมืดแสดงชื่อหนึ่งขึ้นมาน้ำหนักของชื่อบนหน้าจอนั้นทำให้เธอหยุดนิ่ง ราวกับเวลาถูกแช่แข็งในช่วงวินาทีที่ยาวนาน เธอจ้องมองชื่อน
ฮันน่านั่งอยู่บนเก้าอี้บาร์ ข้อศอกเท้าบนเคาน์เตอร์ไม้เรียบลื่น แก้ววิสกี้ในมือสะท้อนแสงไฟส้มนวลเหนือศีรษะ เปล่งประกายวูบไหวราวกับกำลังเลียนแบบความรู้สึกที่ไม่มั่นคงในใจเธอเอง เธอมองเครื่องดื่มในมือด้วยสายตาที่นิ่งงัน ไร้ซึ่งชีวิตชีวา เหมือนกำลังจ้องลงไปในความว่างเปล่าที่สะท้อนอยู่ในนั้นเสียงพูดคุยจากผู้คนรอบข้างและเสียงเพลงบรรเลงคลอในบาร์ดูเหมือนจะลอยห่างออกไป กลายเป็นแค่เสียงเบื้องหลังที่ไม่มีความหมาย สายลมอ่อนจากเครื่องปรับอากาศพัดเส้นผมของเธอพลิ้วเบา แต่ไม่มีอะไรเลยที่ทำให้เธอรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวในจิตใจแก้วเมรัยในมือยังคงส่งกลิ่นหอมฉุนของแอลกอฮอล์ที่ลอยกรุ่นขึ้นมา กระทบกับลมหายใจลึกที่ปลดปล่อยออกจากอกที่หนักสายตาของฮันน่าจับจ้องไปยังขอบแก้วใสที่มีคราบไอน้ำเกาะเป็นหย่อม คล้ายหัวใจที่มีรอยร้าวรานแต่ยังคงกักเก็บบางสิ่งไว้ข้างใน แม้รสชาติขมจะซัดสาดลงลำคอ มันกลับกลายเป็นเพื่อนปลอบโยนที่เงียบงัน ไม่มีคำพูดใดแต่เข้าใจอย่างลึกซึ้ง …..,“ฮันน่า” เสียงเรียกแผ่วเบาพร้อมมือสะกิดให้เธอหันมามอง ฮันน่าสะดุ้งเล้กน้อยพลางเอ่ยชื่อในลำคอ“ลินลี่” ฮันน่ายิ้มเจื่อนๆทักทายลินลี่ คนรู้จักซึ่งเธอ
สายตามองของฮันน่ามองไปที่ทะเลที่มีแสงรำไรจากดวงจันทร์ส่องบนผืนน้ำหัวใจของเธอจดจ่อรอฟัง เสียงของลินลี่่ “ตอนนี้ลินลี่ยังไม่สะดวกรับสาย รบกวนฝากข้อความไว้ค่ะ” เธอถอนหายใจยาวราวกับว่าคำตอบที่ได้ฟังทำให้เธอได้มีมีเวลาคิดอีกสักนิด เสียงตอบรับอัตโนมัติจากปลายสายทำให้ฮันน่าเกิดความรู้สึกทั้งโล่งใจและวิตกในเวลาเดียวกัน เธอวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะช้าๆ ราวกับว่าการเคลื่อนไหวที่รีบร้อนจะย้ำเตือนความไม่มั่นใจในใจของเธอ สายตาจ้องมองโทรศัพท์นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเธอพึมพำเบาๆ กับตัวเอง“ยังไม่ต้องตัดสินใจตอนนี้...” เวลาที่ได้เพิ่มมานี้เหมือนเป็นทั้งของขวัญและบททดสอบ เธอรู้ดีว่าในไม่ช้าคำตอบจะต้องถูกส่งออกไป แต่การได้รับโอกาสให้ทบทวนอีกครั้งก็ทำให้เธอเริ่มตั้งคำถามกับตัวเอง ……..แสงแรกของวันเริ่มสาดส่องบนขอบฟ้า แม้จะไม่เจิดจ้า แต่ก็เพียงพอที่จะเผยให้เห็นผืนทะเลที่กว้างใหญ่และสงบนิ่ง ฮันน่าก้าวเท้าลงบนทรายละเอียด ความเย็นของเม็ดทรายและสายลมที่พัดผ่านใบหน้าทำให้เธอรู้สึกเหมือนได้รับการปลอบประโลมเล็กน้อย ร่องรอยของค่ำคืนที่ไม่อาจข่มตาหลับฉายชัดบนใบหน้าของเธอ ดวงตาที่ล้าจ้องมองไปยังเส้นขอบฟ้า สายน้ำระย
อาดัมเชื่อว่า... อาการป่วยของฮันน่าไม่สามารถรักษาได้ด้วยยาเพียงอย่างเดียว มันต้องการบางสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้น คือ ความรัก และ หัวใจ เขาเชื่ออย่างยิ่งว่าเขาจะเป็นคนที่เยียวยาเธอได้ ไม่ใช่ด้วยคำพูดหวานหูหรือคำสัญญาที่เลื่อนลอย แต่ด้วยการอยู่เคียงข้างเธอทุกวัน ทุกวินาที คอยประคองเธอขึ้นจากความเจ็บปวด ให้เธอเห็นว่าโลกใบนี้ยังมีที่ให้เธอยืนอยู่ได้ …………….. แสงแรกของพระอาทิตย์สาดส่องเข้ามา กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ถูกวางรออยู่กลางห้อง รอคอยการเดินทางครั้งสำคัญที่กำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า แต่ก่อนที่พวกเขาจะก้าวออกไปจากที่นี่ ฮันน่ามีบางสิ่งที่ต้องเผชิญ บางสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจ ประตูห้องน้ำเปิดกว้าง... ฮันน่ายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ขวดยาในมือถูกกำไว้แน่นจนฝ่ามือสั่นระริก เธอค่อยๆ เปิดฝาขวด เทเม็ดยาสีขาวจำนวนมากลงบนมือ เธอจ้องมันนิ่งงัน หัวใจเต้นแรง ความลังเลและความกลัวตีตื้นขึ้นมา นี่คือสิ่งที่เธอพึ่งพามาตลอด… สิ่งที่ช่วยให้เธอหลับในคืนที่ฝันร้าย สิ่งที่กดเสียงในหัวให้เงียบลง แต่วันนี้ เธอจะปล่อยมันไป เธอหันมองอาดัม เขายืนอยู่ข้างๆ ดวงตาของเขาส่งผ่านความมั่นใจและความเข้าใจ ไม่มี
สามเดือนผ่านไป.. ตลอดสามเดือนที่ผ่านมา ฮันน่าอาศัยอยู่กับอาดัม แม้จะยังต้องใช้ไม้เท้าพยุงตัวเอง และต้องทานยารักษาอาการทางจิตควบคู่ไปด้วย เธอก็ยังคงไปพบแพทย์ตามนัด โดยมีอาดัมคอยดูแลอยู่ไม่ห่างแม้กายจะค่อยๆ ฟื้นตัว แต่หัวใจของเธอยังคงกลัวและหวาดระแวง... เงาของ "ลินลี่" และคำขู่ในวันนั้นยังตามหลอกหลอนเธอเสมอ ทำให้บางคืนเธอสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก พร้อมกับเสียงหายใจหอบหนักแต่ไม่ว่าเมื่อไรที่เธอตื่นขึ้นมา เธอมักจะพบว่า อาดัมยังอยู่ตรงนั้นเขาไม่เคยห่างไปไหนเธออาจจะยังลังเลและหวาดกลัว แต่สำหรับอาดัม… ยิ่งวันเวลาผ่านไป เขากลับแน่ใจมากขึ้น"เขารักเธอเข้าแล้ว..."กลางดึกที่เงียบสงัด ความเงียบโรยตัวไปทั่วทั้งบ้าน“กรี๊ดดด!!”เสียงกรีดร้องดังลั่น ทำลายความสงบในชั่วพริบตาฮันน่าสะดุ้งตื่นขึ้นมา ดวงตาเบิกกว้าง ร่างกายของเธอสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ น้ำตาไหลอาบแก้มเป็นสาย ลมหายใจของเธอหอบหนักราวกับขาดอากาศ เงาของฝันร้ายยังคงตามหลอกหลอน ภาพเลือนรางจากอดีตซ้อนทับเข้ามาไม่หยุดเธอพยายามควบคุมตัวเอง สูดลมหายใจลึกแม้จะไม่ช่วยอะไรเลยเธอเอื้อมไปจับไม้พยุง ก่อนค่อยๆ พยุงร่างกายที่อ่อนแรงไปยังห้องน้ำ ก้า
ท้องฟ้ายามค่ำคืนเงียบสงบ มีเพียงเสียงลมพัดแผ่วเบาลอดผ่านหน้าต่างห้องของอาดัม เขายืนถือโทรศัพท์ไว้แนบหู ปลายสายนั้นคือวิน เพื่อนสนิทที่โทรมาจากต่างแดน เพราะหลังจากเหตุการ์ณ์ที่เกาะทองคำวันนั้นวินได้บินกลับไปอย่างกระทันหัน "นายแน่ใจเหรอ...อาดัม?" เสียงของวินชัดเจนผ่านใบหูของอาดัมในขณะที่ทั้งสองได้คุยกันมาได้สักพักแล้วจนมาถึงช่วงสุดท้ายก่อนจะวางสายลง “แน่ใจสิ…”อาดัมตอบกลับด้วยความมั่นใจขณะที่ดวงตาคมกริบของเขาฉายแววความแน่วแน่มั่นคง ถึงแม้เขาจะรู้จักเธอแค่เพียงหนึ่งสัปดาห์ก็ตาม แต่บางอย่างในตัวเธอทำให้เขาตัดสินใจได้โดยไม่ลังเล เมื่อวินได้ยินคำตอบที่ราวกลั่นออกมาจากหัวใจของอาดัมแล้ว เขาก็เอ่ยด้วยด้วยน้ำเสียงแห่งความยินดี “เมื่อนายมั่นใจและเชื่อมั่นแล้ว ฉันก็เชื่อในตัวนายเช่นกันว่านายนั้นทำได้ดี” วินตอบกลับแล้วหันมองดูเวลาบนข้อมือที่ใกล้เข้ากะทำงานไปทุกที“ ไว้คุยกันใหม่ ฉันต้องเข้าทำงานแล้ว ขอพระเจ้าอวยพร นายกับฮันน่า นะ" “ขอบใจมากเพื่อน ..วิน! แล้วเจอกัน ” .. ตุ๊ด.. ตุ๊ด.. ตุ๊ด..………….เมื่อวางสายไปแล้ว อาดัมถอนหายใจออกมาช้าๆ พลางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามราตรี แสงดาวระยิบระยับสะท้อ
ยามหัวค่ำในห้องพักฟื้น อากาศเย็นจากเครื่องปรับอากาศแผ่ซ่านลึกเข้าไปถึงกระดูก ฮันน่า นอนนิ่งอยู่บนเตียง แม้ร่างกายยังคงเจ็บปวดจากบาดแผลที่ยังไม่หายดี แต่ถึงกระนั้นความเจ็บปวดจากร่างกายนั้นเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่กัดกินเธออยู่ภายในความกลัว ที่เหมือนเงาดำซึ่งคืบคลานเข้ามารัดแน่นจนหายใจแทบไม่ออกเธอรู้ดีว่าการหนีจาก ลินลี่ ไม่ใช่เรื่องง่าย... ไม่สิ มันเป็นไปไม่ได้เลย เพราะที่นี่ไม่ใช่ที่สำหรับคนอย่างเธอ นี่คือเมืองที่ลินลี่ครอบครองทุกสิ่งหญิงผู้มีอิทธิพล ผู้ทรงพลังยิ่งกว่ากฎหมายและความยุติธรรม ไม่มีมุมใดของเมืองนี้ที่จะหลบพ้นสายตาของเธอได้หัวใจของฮันน่าเต้นแรงในอก ดวงตาจ้องมองเงาตรงประตูหน้าห้องที่ดูเหมือนจะขยับเคลื่อนไหวตามเสียงฝีเท้าในจินตนาการของเธอ ทุกวินาทีราวกับกำลังรอคอยหายนะที่จะมาถึงโดยไม่มีวันเลี่ยงได้เธอไม่ได้หวังปาฏิหาริย์อีกต่อไป... ในเมืองของลินลี่ คนที่หนีไปได้ มีเพียงเงา หรือซากศพตึก... ตึก...ตึกเสียงรองเท้าส้นสูงดังสะท้อนก้องมาตามทางเดินยาวนอกห้อง ทุกก้าวการเดินนั้นราวกับกำลังย้ำเตือนถึงชะตากรรมที่กำลังจะมาถึง ทุกก้าว ยิ่งกระชั้นชิด เสมือนเสียงของนาฬิกาเรือนใหญ่ที่น
ภายในห้องพักฟื้นของโรงพยาบาล บรรยากาศเงียบงัน แสงไฟนวลตาส่องกระทบผนังสีขาวสะอาดตา ทว่ากลับให้ความรู้สึกโดดเดี่ยว อากาศอบอวลด้วยกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อเจือจาง เตียงคนไข้ถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบ ม่านสีขาวกั้นเป็นสัดส่วน อาดัมก้าวเข้ามาอย่างช้าๆสายตาของเขามองไปยังหญิงสาวที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง ผ้าพันแผลสีขาวพันรอบศีรษะของเธอ และขาของเธอถูกดามไว้อย่างแน่นหนา ร่องรอยบาดแผลและรอยฟกช้ำปรากฏให้เห็นบนผิวกายซีดเซียว ร่างกายของเธอดูเปราะบางราวกับอาจแตกสลายได้ทุกเมื่อ เสียงลมหายใจแผ่วเบาของเธอยืนยันว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็เป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด อาดัมรู้สึกเหมือนมีก้อนหินหนักๆ กดทับอยู่ในอก ราวกับแบกรับความรู้สึกผิดที่มองไม่เห็น เขายืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจเบาๆ สายตาไล่มองไปตามร่างของเธอ พลางครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เธอต้องเจ็บหนักขนาดนี้ เขารู้ว่าเธอรอดมาได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเธอจะผ่านมันไปได้โดยง่าย เสียงฝีเท้าของเขาเบาลงขณะก้าวถอยหลัง สุดท้ายอาดัมเลือกจะหมุนตัวเดินออกจากห้องแม้ความกังวลยังคงฝังแน่นอยู่ในใจ... เขาตรงกลับมาบ้านที่อบอุ่นเสียงฝีเท้าดังก้องทั่วห้องโถ่งทางเด
กลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ เรือสปีดโบ๊ทแล่นตัดผ่านเกลียวคลื่นอย่างรวดเร็ว เสียงเครื่องยนต์คำรามกลบความเงียบของท้องฟ้ายามเย็นที่กำลังมืดลง อาดัมนั่งเงียบอยู่ข้างฮันน่า ดวงตาของเขามองไปยังใบหน้าของฮันน่าที่เปื้อนไปด้วยเลือด เธอดูอ่อนล้าและไร้เรี่ยวแรงและในแววตาของเธอนั้นช่างเต็มไปด้วยความเจ็บปวด“คุณ…เข้มแข็งไว้นะ” อาดัมเอ่ยขึ้น ด้วยน้ำเสียงที่แฝงด้วยความห่วงใยลึกซึ้ง ขณะที่นันย์ตาเขามองเธอราวกับต้องการส่งกำลังใจทั้งหมดที่เขามีให้กับเธอ ปลายนิ้วของเขาแตะลงบนแขนของเธอเบา ๆ สัมผัสแผ่วเบาที่ไม่ได้ต้องการอะไร นอกจากให้เธอรู้ว่าเธอไม่ได้เผชิญกับสิ่งนี้เพียงลำพัง ฮันน่ามองอาดัม ก่อนพยักหน้าแม้ไม่มีคำพูดใดออกมา แต่แววตาของเธอนั้นรับรู้ถึงความห่วงใยของเขา และเธอจะพยายามอดทน ให้ถึ่งฝั่งเรือสปีดโบ๊ทเข้าใกล้ฝั่งมากขึ้น ทุกวินาทีเต็มไปด้วยความเร่งด่วน ไฟสีแดงของรถพยาบาลที่จอดรออยู่ที่ท่าเรือสะท้อนบนผิวน้ำ ราวกับประกาศความสำคัญของชีวิตที่กำลังแขวนอยู่บนเส้นด้ายทันทีที่เรือจอดเทียบที่ท่า คนขับเรือและเจ้าหน้าที่รีบเข้ามาช่วยอาดัมพยุงฮันน่าขึ้นไปยังรถพยาบาล เสียงไซเรนดังก้องเมื่อรถพุ่งออกจากท่าเรือ
ท้องฟ้าเริ่มแปรเปลี่ยนจากใสป็นสีดำครึ้มคลุมเคลือ บรรยากาศในหุบเขาข้างทะเลช่างเงียบสงบดูเหมือนทุกสิ่งหยุดนิ่งแต่มีเพียงเสียงเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ของฮันน่าที่ดังก้องสะท้อนในความว่างเปล่า เธอบิดเร่งความเร็วขึ้นทางลาดชัน เสียงลมหายใจถี่กระชั้นของเธอผสมผสานกับเสียงไซเรนรถสายตรวจที่ดังแว่วมาไกลๆ ทุกเสียงเหมือนเหล็กปลายแหลมทิ่มแทงหัวใจ สร้างความกดดันให้เธอจนแทบระเบิด ความหวาดระแวงไหลเวียนในสายเลือดอย่างไม่มีสิ้นสุดจนมาถึงริมผาสูง เบื้องหน้าคือมหาสมุทรที่กว้างสุดลูกหูลูกตา ฮันน่าจอดมอเตอร์ไซค์และทอดสายตามองลงไปยังน้ำทะเลที่นิ่งเงียบ และไร้ขอบเขต ในขณะที่หัวใจเธอกลับเต็มไปด้วยความวุ่นวายราวพายุหมุน เสียงข้อความ "ติ้ง ติ้ง" ดังจากโทรศัพท์มือถือในมือ เป็นข้อความจากลินลี่ที่เหมือนเสียงเรียกครั้งสุดท้ายดึงเธอกลับมาสู่ความจริง“พอกันที ลินลี่” เธอเอ่ยเสียงเบา แต่เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว พลางมือขว้างโทรศัพท์ในมือออกไปสุดแรง มันพุ่งผ่านอากาศแล้วหายลับลงสู่ทะเลลึก ราวกับตัดสายใยสุดท้ายที่ผูกเธอไว้กับชีวิตเดิมดวงตาเลื่อนไปที่กระเป๋าสัมภาระข้างตัวด้วยแววตาแน่วแน่ ก่อนจะคว้ามันขึ้นและโยนมันลงไปตามโทรศ
เรือเฟอร์รี่เคลื่อนเทียบเข้าฝั่งอย่างช้าๆ เสียงคลื่นกระทบกับท่าเรือดังราวจังหวะกลอง สอดประสานกับเสียงนกนางนวลร้องที่ลอยตัวอยู่เหนือชายฝั่ง อาดัมและวินก้าวลงจากเรือด้วยใบหน้าที่เริงร่า วิญญาณและร่างสัมผัสได้ถึงพลังแห่งธรรมชาติของเกาะทองคำ ทันทีที่เท้าลงบนผืนดิน กลิ่นลมทะเลสดชื่นอบอวลอยู่ในอากาศ พัดพาเอาความสบายใจมาสู่พวกเขา แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องกระทบกับผิวน้ำทะเลเป็นประกายระยิบระยับ เกาะแห่งนี้ดูเหมือนจะโอบรับพวกเขาด้วยความอบอุ่นอาดัมยืดตัวขึ้น สูดลมหายใจลึก รู้สึกถึงความบริสุทธิ์ของอากาศบนเกาะที่ราวดั่งสวรรค์แห่งนี้ เขาหันมาทางวินด้วยใบหน้าตื่นเต้นแล้วเอ่ยขึ้นว่า“เราเช่ารถมอไซค์กันวิน มีร้านเช่าตรงที่หน้าท่าเรือ จะได้ขับรถชมรอบๆเกาะ”เสียงพูดของอาดัมฟังดูสดใสและเต็มไปด้วยพลัง วินพยักหน้าด้วยรอยยิ้มกว้าง แล้ว ทั้งคู่มุ่งหน้าไปยังร้านเช่ามอเตอร์ไซค์ ใกล้ๆ ท่าเรือที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ที่กำลังหารถเช่าหรือมองหาไกด์นำเที่ยวหลังจากจัดการเรื่องการเช่ามอเตอร์ไซค์เรียบร้อยแล้ว ทั้งสองขี่มันออกไปบนถนนเล็กๆ ที่ตัดผ่านชายฝั่ง น้ำทะเลสีฟ้าใสสะท้อนอยู่ที่ปลายสายตา สายลมพัดผ่านใบหน้าขอ
บรรยากาศที่เปิดโล่งของล็อบบี้รีสอร์ตกลางสวนปาล์ม สียงคลื่นกระทบฝั่งดังแว่วมาไกลๆราวกับคำทักทายของมหาสมุทร เสียงลมพัดผ่านกิ่งใบของต้นไม้เกิดเป็นเสียงกระซิบที่แผ่วเบา คล้ายดนตรีธรรมชาติที่บรรเลงประสานกันอย่างลงตัว แสงแดดอุ่นยามสายลอดผ่านเพดานกระจกใสด้านบน สาดส่องลงมา ทอดเงาเป็นลวดลายอ่อนช้อยบนพื้นหินขัดสีเทาที่เปี่ยมด้วยความประณีตเฟอร์นิเจอร์ไม้สีน้ำตาลถูกจัดวางไว้อย่างมีสไตล์และลงตัว ที่สะท้อนถึงความกลมกลืนระหว่างธรรมชาติและความทันสมัย เสียงรองเท้าของฮันน่ากระทบพื้นเบาๆ ในจังหวะที่มั่นคง ตรงไปยังที่เคาน์เตอร์รับรองกลางล็อบบี้ พนักงานสาวสวมเสื้อสูทสีขาวสะอาดทับเสื้อเชิ้ตเนื้อเบาสีฟ้าอ่อน ใบหน้าผ่องใสถูกแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มต้อนรับอย่างอ่อนน้อม เธอยืนสง่างามหลังเคาน์เตอร์ไม้เรียบหรู มือวางพร้อมบริการฮันน่าหยุดอยู่ด้านหน้าเค้าน์เตอร์ สูดลมหายใจลึกเพื่อรวบรวมสมาธิ ขณะที่หัวใจเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจแต่ยังแฝงด้วยความตื่นเต้น“สวัสดีค่ะ ฉันฮันน่าเข้าเช็กอินค่ะ”“สักครู่นะคะ” เสียงของเธอราวกับสายลมเย็นที่พัดผ่านกลางฤดูร้อน ก่อนหยิบเอกสารเช็กอินมาตรวจสอบอย่างต