สายตามองของฮันน่ามองไปที่ทะเลที่มีแสงรำไรจากดวงจันทร์ส่องบนผืนน้ำหัวใจของเธอจดจ่อรอฟัง เสียงของลินลี่่
“ตอนนี้ลินลี่ยังไม่สะดวกรับสาย รบกวนฝากข้อความไว้ค่ะ” เธอถอนหายใจยาวราวกับว่าคำตอบที่ได้ฟังทำให้เธอได้มีมีเวลาคิดอีกสักนิด เสียงตอบรับอัตโนมัติจากปลายสายทำให้ฮันน่าเกิดความรู้สึกทั้งโล่งใจและวิตกในเวลาเดียวกัน เธอวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะช้าๆ ราวกับว่าการเคลื่อนไหวที่รีบร้อนจะย้ำเตือนความไม่มั่นใจในใจของเธอ สายตาจ้องมองโทรศัพท์นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเธอพึมพำเบาๆ กับตัวเอง“ยังไม่ต้องตัดสินใจตอนนี้...”เวลาที่ได้เพิ่มมานี้เหมือนเป็นทั้งของขวัญและบททดสอบ เธอรู้ดีว่าในไม่ช้าคำตอบจะต้องถูกส่งออกไป แต่การได้รับโอกาสให้ทบทวนอีกครั้งก็ทำให้เธอเริ่มตั้งคำถามกับตัวเอง
……..แสงแรกของวันเริ่มสาดส่องบนขอบฟ้า แม้จะไม่เจิดจ้า แต่ก็เพียงพอที่จะเผยให้เห็นผืนทะเลที่กว้างใหญ่และสงบนิ่ง ฮันน่าก้าวเท้าลงบนทรายละเอียด ความเย็นของเม็ดทรายและสายลมที่พัดผ่านใบหน้าทำให้เธอรู้สึกเหมือนได้รับการปลอบประโลมเล็กน้อย ร่องรอยของค่ำคืนที่ไม่อาจข่มตาหลับฉายชัดบนใบหน้าของเธอ ดวงตาที่ล้าจ้องมองไปยังเส้นขอบฟ้า สายน้ำระยิบระยับในแสงอาทิตย์อ่อนโยนราวกับจะเชื้อเชิญให้เธอวางความกังวลลง และปล่อยให้ธรรมชาติช่วยเยียวยา
แต่ในหัวของเธอ คำถามยังคงวนเวียนไม่จบสิ้น เสียงของลินลี่และความลังเลในใจยังตามหลอกหลอน เส้นแบ่งระหว่างทางเลือกที่ปลอดภัยและเส้นทางที่อันตรายดูเหมือนจะพร่าเลือนทุกที
ฮันน่าหยุดยืนริมคลื่นที่ซัดเข้ามาแตะเท้า ความเย็นของน้ำทะเลกระตุ้นให้เธอตื่นจากความคิดที่ตีรวน เธอมองออกไปไกลจนสุดสายตา สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ราวกับพยายามซึมซับพลังจากทะเลและท้องฟ้าอันกว้างใหญ่
……….
ทุกเช้าของอาดัม เขาออกวิ่งตามถนนริมชายหาดรับแสงแรกของวันใหม่ที่กำลังเริ่มต้นขึ้น ใบหน้าที่ยิ้มแย้มและอบอุ่นของเขาดูเหมือนจะสะท้อนถึงความสุขที่เปล่งประกายอยู่ในใจราวกับว่าเขามีความสุขมากล้นจนสามารถแบ่งปันให้กับทุกคนที่เขาได้พบเห็นในระหว่างทางมือถือในมือของเขายังคงเก็บภาพความสวยงามที่ปรากฏอยู่รอบตัว ชายหาดที่ทอดยาวและน้ำทะเลที่เซาะเข้าหาฝั่ง สร้างความรู้สึกสดชื่นและมีชีวิตชีวา
เขาก้าวไปทีละก้าวเหยียบนพื้นทรายที่เขาหลงใหล น้ำทะเลเย็นสบายไหลมาสาดซัดเบาๆ แหย่เล่นกับปลายเท้าของเขา เสียงคลื่นกระซิบแผ่วเบาเข้ากับความสงบที่ล้อมรอบ ดวงตาของเขาเป็นประกายเมื่อมองเห็นปูตัวเล็กขยับตัวอยู่ไม่ไกล ความอยากรู้อยากเห็นทำให้เขาย่อตัวลงช้าๆ มือข้างหนึ่งยื่นไปอย่างระมัดระวังเพื่อสัมผัสเจ้าสิ่งมีชีวิตตัวจ้อย“อาดัม... อาดัม!” เสียงตะโกนดังก้องมาจากถนนชายหาดใต้ต้นปลา์ม ชายหนุ่มแน่นกล้ามเป็นมัดๆราวกับว่าเขาออกกำลังกายเป็นประจำ ยืนโบกมือเรียกอย่างกระตือรือร้น
เสียงนั้นดังกังวานไปถึงฮันน่า เธอนั่งอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าว ท่ามกลางลมทะเลที่พัดแผ่วเบา เธอหันมองตามเสียงด้วยความสงสัย ก่อนจะเห็นอาดัมส่งยิ้มกว้าง รอยยิ้มนั้นดูราวกับเปี่ยมไปด้วยความสุขและความหวังที่ส่องประกายเจิดจ้า ราวกับเขาพร้อมแบ่งปันทุกความรู้สึกอันอบอุ่นให้โลกทั้งใบ
หลังจากนั้น อาดัมลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ร่างของเขาโดดเด่นตัดกับฉากหลังของแสงแรกของรุ่งอรุณที่สะท้อนลงบนผืนน้ำระยิบระยับ เขาหันกลับไปยังเพื่อนชายที่ยังคงยืนโบกมือเรียกอยู่ใต้เงาของต้นปาล์มฮันน่ามองตามอาดัมไปด้วยแววตาที่แฝงความสงสัย ดวงตาของเธอจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของเขา ราวกับพยายามค้นหาอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในท่าทางเหล่านั้น อาจเป็นความหมายของเสียงเรียกที่ดังขึ้นเมื่อครู่ หรือบางที อาจเป็นเพียงความอยากรู้ในสิ่งที่เขากำลังคิด เสียงคลื่นกระซิบและลมทะเลที่พัดไล้เส้นผมของเธอเพิ่มความสงบให้ช่วงเวลานั้น ขณะที่เธอนิ่งงันอยู่ในความคิดติ้ง ติ้ง ติ้ง
เสียงมือถือของเธอดังขึ้น แทรกความเงียบของความครุ่นคิด ฮันน่าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา พลันสายตาก็เห็นชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอ ลินลี่ เธอถอนหายใจแผ่วเบา ปลายนิ้วเลื่อนเปิดข้อความอย่างลังเล ก่อนอ่านข้อความที่ขึ้นมาใต้แสงแห่งอรุณที่เริ่มทอแสงอบอุ่น“ถ้าเธอพร้อม เจอกันที่บาร์เย็นนี้นะ”
เธออ่านข้อความนั้นช้าๆ แต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ฮันน่าปล่อยให้โทรศัพท์อยู่ในมือขณะที่ดวงตาหันไปมองทะเลอีกครั้ง ราวกับกำลังครุ่นคิดถึงคำตอบที่เหมาะสม ทว่าในใจของเธอรู้ดีอยู่แล้วว่า การที่เธอจะไปเจอลินลี่ในเย็นวันนี้ คือคำตอบที่เธอเลือกแล้วอย่างชัดเจนโดยไม่ต้องเอ่ยคำใด.
……อาดัมและวินนั่งอยู่ที่ร้านกาแฟเล็กๆ ที่ตกแต่งเรียบง่ายแต่ดูอบอุ่น เสียงพูดคุยของพวกเขาดังแว่วขึ้นเบาๆ ท่ามกลางบรรยากาศของร้านที่มีทั้งกลิ่นกาแฟหอมกรุ่นและเสียงเครื่องบดกาแฟที่ทำงานอยู่ไม่ไกล“เป็นไงเพื่อน วิน นายกลับมาเมื่อไหร่?” อาดัมถามพร้อมรอยยิ้มพลางยกแก้วกาแฟขึ้นจิบอย่างผ่อนคลาย
วินหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนตอบ “อาทิตย์ที่แล้ว พักอยู่โรงแรมแถวๆ นี้แหละ ดีใจมากเลยที่ได้เจอนายอีก นายยังเหมือนเดิมเป๊ะเลยนะ บอกตรงๆ การหานายไม่ยากเลย ฉันแค่ดักรอแถวๆ ที่นี่”
ทั้งคู่หัวเราะไปพร้อมกัน เสียงหัวเราะของวินเต็มไปด้วยความสุขและความอบอุ่นที่ได้พบเพื่อนเก่าหลังจากเวลาผ่านไปนาน
วินเอ่ยชวนด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น “คืนนี้ว่างไหม ไปแฮงค์เอ้าท์กันหน่อยสิ?”
อาดัมยิ้มกว้าง ขณะวางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะ “คืนนี้ฉันมีงานร้องเพลงที่โรงแรม Azure Horizon Hote ตรงหน้าหาดน่ะ ถ้าสนใจ ไปเจอฉันที่นั่นสิ ร่วมแจมด้วยกันยังคิดถึงวันเก่าๆตลอด”
วินพยักหน้าอย่างตื่นเต้น “แน่นอน! ฉันจะไปแน่ คิดถึงบรรยากาศเก่าๆในห้องซ้อมดนตรี ที่เราได้ร่วมสนุกกัน”
ทั้งคู่ยังคงพูดคุยกันอย่างออกรส ราวกับเวลาหลายปีที่ผ่านไปไม่ได้ทำให้มิตรภาพของพวกเขาจืดจางลงแม้แต่น้อย.
ในห้องน้ำเล็กๆของโรงแรม แสงสีส้มอมทองส่องลงมาจากไฟบนเพดาน เสียงจากปลายสายดังลอดออกมาจากลำโพงมือถือที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์ข้างอ่างล้างหน้า คำพูดที่เต็มไปด้วยแรงกดดันและความเร่งเร้าเหมือนบีบคั้นฮันน่าในทุกลมหายใจ"ฮันน่า ตกลงเธอจะเคลียร์เงินวันไหน ขอความชัดเจนหน่อยได้ไหม ไม่ใช่ให้รอไปวันๆ"เสียงนั้นกระแทกหูเธอซ้ำๆ ฮันน่าจับขอบอ่างล้างหน้าแน่นจนข้อนิ้วเปลี่ยนสี ความเงียบที่แทรกระหว่างคำพูดนั้นเหมือนกับจะกดดันเธอยิ่งกว่าเสียงตะคอก"ฮันน่า ...ฮันน่า"เสียงปลายสายยังคงเรียกชื่อเธอ ทว่าฮันน่าไม่ได้ตอบอะไรกลับ เธอก้มหน้ามองมือที่สั่นเล็กน้อยก่อนจะปล่อยให้สายนั้นตัดไป เสียง "ตี๊ด ตี๊ด ตี้ด" แทรกผ่านเข้ามาในความเงียบ เธอเงยหน้าขึ้นมองตัวเองในกระจก สบสายตากับเงาสะท้อนที่ดูอ่อนล้าและเต็มไปด้วยความสับสน"อดทนสิฮันน่า..." เธอบอกตัวเองในใจ ราวกับพยายามยึดเหนี่ยวคำปลอบโยนเล็กๆ เพื่อก้าวผ่านช่วงเวลานี้ไป เธอหลับตาลง สูดลมหายใจเข้าลึก และถอนหายใจออกมาอย่างช้าๆจากนั้นเธอเอื้อมไปหยิบขวดยาที่วางอยู่ข้างๆ บนเคาน์เตอร์ เปิดฝาและเทมันออกมา เธอจ้องเม็ดกลมๆอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะโยนเข้าปากตามด้วยน้ำที่อยู่ในแก้วพล
ในห้องรับรองที่เปี่ยมด้วยแสงไฟสลัว ฮันน่ายืนนิ่งตรงหน้าลินลี่ สายตาของเธอจับจ้องหญิงตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์ ทุกเส้นผม ทุกท่วงท่าของลินลี่ส่งผ่านภาพลักษณ์ที่แตกต่างจากสิ่งที่ฮันน่าเคยเห็นเมื่อครั้งก่อนในบาร์ สตรีที่อยู่ตรงหน้าดูทรงพลังและแน่วแน่เกินกว่าจะเป็นคนธรรมดาที่ใครจะมองข้ามเธอเคยรู้จักลินลี่เพียงผิวเผิน การพูดคุยกันเพียงเสี้ยวหนึ่งในเส้นทางของโชคชะตา แต่ในคืนนี้ ลินลี่กลับฉายภาพที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ลินลี่นั่งไขว้ห้างอยู่บนโซฟาหรูด้วยท่าทีที่ราวกับกำลังปกครองอาณาจักรเล็กๆ ของตัวเอง กลิ่นหอมบางของน้ำหอมผสมควันบุหรี่ลอยอวลในอากาศ ทำให้บรรยากาศรอบตัวหล่อนดูหนักแน่นและเย้ายวนฮันน่าไม่สามารถละสายตาไปจากเธอได้ ความมั่นใจที่แผ่ออกมาจากลินลี่มันเป็นรังสีที่ทำให้ฮันน่าอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกดดันเธอสูดหายใจลึก ควบคุมความรู้สึกของตัวเองไว้ ก่อนจะพูดออกมาเสียงเรียบ“สวัสดี, ลินลี่” ลินลี่จ้องมองฮันน่าด้วยสายตาคมกริบราวกับต้องการสำรวจทุกอณูของหญิงสาวตรงหน้า ยั่งลึกลงไปข้างในความคิดและความรู้สึกทั้งหมดอย่างไม่ให้คลาดสักเสี้ยวนาที“นั่งสิ ฮันน่า” ลินลี่เอ่ยเสียงนุ่ม แต่แฝงด้วยน้ำเส
ฮันน่าก้าวออกจากซอยแห่งแสงสีและความลับ เธอรู้สึกเหมือนหลุดพ้นจากความอึดอัดบางอย่าง แต่ภายในใจยังวุ่นวายคิดเรื่องงานของลินลี่ที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า …..เธอก้าวเดินไปบนถนนริมชายหาดอย่างเชื้องช้าให้สายลมเย็นจากทะเลพัดผ่านใบหน้า เสียงคลื่นกระทบชายฝั่งดังแผ่วเบาเป็นฉากหลังในความมืดที่กระซิบปลอบประโลมในคืนที่เดียวดาย เธอสูดหายใจเข้าลึกเพื่อสงบใจ แต่กลับรู้สึกว่าความกดดันในใจยิ่งเพิ่มขึ้น เธอพยายามตั้งสติ ดึงตัวเองเข้าสู่เส้นทางที่กำลังเดินไปข้างหน้าที่มี แสงไฟจากผับและบาร์ที่เรียงรายเป็นทางยาวส่องแสงนวลใต้ดวงไฟที่กระพริบ เหมือนเป็นสัญญาณเรียกร้องให้เธอและผู้คนเข้ามาสัมผัสค่ำคืนของเมืองแห่งนี้ทุกมุมถนนเต็มไปด้วยสีสัน เสียงหัวเราะ และดนตรีที่ผสมผสานกันเป็นดั่งเสียงเรียกของค่ำคืนที่ยาวนานเธอเดินทอดน่องไปบนไหล่ทางริมต้นมะพร้าว เรียงยาวเป็นเงาสลัว ความกดดันและความเหนื่อยล้าภายในหลอมรวมเป็นความอึดอัด คงจะมีเพียงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ดูเหมือนจะเป็นสิ่งเดียวที่สามารถทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายและช่วยให้ค่ำคืนนี้ผ่านไปเร็วขึ้น…..เสียงเพลงบรรเลงจากลานบาร์ของโรงแรมห้าดาวดังขึ้นมาจากระยะไกล้ ท่วงทำนองนั้
เสียงมือถือดัง "ครืด... ครืด..." สั่นอยู่บนโต๊ะข้างเตียงในยามเช้าตรู่ ปลุกให้ฮันน่าที่กำลังหลับใหลค่อยๆ ตื่นขึ้นมา เธอลืมตาอย่างเชื่องช้า ความงัวเงียยังฉาบทับเปลือกตาและจิตใจ ร่างของเธอขยับเล็กน้อยก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์แสงจากหน้าจอทำให้เธอต้องหรี่ตา พลางใช้มืออีกข้างบังบางส่วนไว้ เธอเพ่งมองข้อความที่เด้งขึ้นมาบนหน้าจอ เป็นข้อความจาก "ลินลี่""เจอกันที่บาร์ของฉันเย็นนี้"ฮันน่าถอนหายใจเฮือกใหญ่ ราวกับเหนื่อยล้าในใจ เธอยกมือกุมขมับพลางพึมพำกับตัวเอง“ฉันต้องกลับไปที่ซอยนั้นอีกแล้ว...”เสียงของเธอแผ่วเบา แต่เต็มไปด้วยความกดดันที่ยากจะปฏิเสธ สถานที่ที่ลินลี่หมายถึงไม่ใช่ที่ที่เธออยากกลับไป แต่งานนี้กลับเป็นสิ่งที่เธอหลีกเลี่ยงไม่ได้ เงินที่เธอใช้ไปแล้ว และเงินอีกส่วนที่ยังรออยู่หลังงานสำเร็จ เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับเธอในตอนนี้เธอกลั้นหายใจลึก พยายามผลักความลังเลออกจากหัว ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาอีกครั้ง นิ้วของเธอค้างอยู่บนหน้าจอชั่วขณะ เหมือนกำลังตัดสินใจบางอย่าง แต่แล้วเธอก็พิมพ์ข้อความสั้นๆ ตอบกลับไป"ตกลง ลินลี่ แล้วเจอกัน"เธอวางโทรศัพท์ลงข้างตัว หันหน้าไปจ้องเพดาน สายตาว่างเปล
ในยามหัวค่ำ ย่านท่องเที่ยวของถนนริมทะเล ร้านค้าบาร์และสถานบันเทิงแต่งแต้มด้วยไฟนีออนหลากสีส่องแสงระยิบระยับ เสียงเพลงและเสียงหัวเราะของผู้คนดังคลออยู่ในอากาศ หญิงสาวในชุดสะดุดตายืนเรียกลูกค้าอยู่หน้าร้าน เผยรอยยิ้มที่ถูกฝึกมาเพื่อดึงดูดสายตา ฮันน่าเดินลัดเลาะไปบนถนนที่เปียกชื้นเพื่อไปยังซอยลับที่ทอดตัวเงียบงันในย่านที่วุ่นวาย ที่ตั้งของ บาร์ลินลี่ สถานที่นัดหมายเสียงเพลงแผ่วเบาดังออกมาจากบาร์ แม้ประตูจะปิดสนิท กลิ่นบุหรี่และกลิ่นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลอยอ้อยอิ่งในอากาศ ประสานกับเสียงกระดิ่งเฉลิมฉลองวันขอบคุณพระเจ้าดังกังวานเป็นจังหวะเหมือนบทเพลงต้อนรับแขก หรืออาจเป็นสัญญาณเตือนใจสำหรับผู้ที่กล้าก้าวเข้ามา ทันใดนั้น เสียง เพล้ง! ขวดกระแทกพื้นดังสะท้อนก้องไปทั่วซอย ฮันน่าหยุดชะงัก ร่างของเธอนิ่งสนิทในชั่วขณะ ก่อนจะหันมองไปยังต้นเสียงด้วยนัยน์ตาตื่นตัวที่ด้านหน้าบาร์แห่งหนึ่ง ชายสองคนในสภาพเมาหนักกำลังโวยวายใส่กันอย่างไม่ลดละ เสียงตะโกนหยาบคายและการแกว่งมือไปมาของพวกเขาดูเหมือนพร้อมจะปะทะได้ทุกเมื่อ ใบหน้าของทั้งคู่แดงก่ำจากฤทธิ์แอลกอฮอล์พลันประตูบาร์เปิดออกอย่างแรง ชายร่างใหญ่สองคนท
บรรยากาศในบ้านอาดัมเริ่มเงียบสงบลง หลังจากเสียงหัวเราะและความสนุกสนานของปาร์ตี้วันขอบคุณพระเจ้าค่อยๆ จางหายไป กลิ่นหอมอ่อนๆ ของอาหารที่ยังหลงเหลือในอากาศผสมกับความอบอุ่นจากแสงไฟในบ้าน เพื่อนๆ หลายคนทยอยกันกลับ บางคนช่วยคุณแม่ของอาดัมเก็บจานชาม บางคนกวาดบ้านพร้อมพูดคุยเรื่องราวในค่ำคืนที่เพิ่งผ่านไปวิน เพื่อนสนิทของอาดัม เดินเข้ามาพร้อมหยิบเสื้อคลุมที่วางพาดเก้าอี้ขึ้นมา ก่อนจะหันไปพูดกับอาดัมด้วยน้ำเสียงจริงจังแต่แฝงด้วยความคาดหวัง"อาดัม พรุ่งนี้นายว่างไหม? เราข้ามเกาะไปเที่ยวที่เกาะทองกันสักคืนดีไหม? ฉันอยากรำลึกถึงวันเก่าๆ เพราะเดี๋ยวอีกสองสามวันฉันต้องกลับแล้ว"อาดัมที่กำลังเก็บกีตาร์ใส่กระเป๋าหยุดมือชั่วครู่ เขาเงยหน้าขึ้นมองวินด้วยรอยยิ้มกว้าง แววตาฉายชัดถึงความยินดีที่เพื่อนสนิทเอ่ยปากชวน"ได้สิเพื่อน วิน ฉันว่างอยู่ งั้นเราขึ้นเรือรอบแรกกันเลยไหม? รอบ 8 โมงเช้า เจอกันที่ท่าเรือ"วินหัวเราะเบาๆ ขณะสวมเสื้อคลุม "ตกลง งั้นเจอกันพรุ่งนี้!" เขายื่นมือไปหาอาดัม ทั้งสองยกมือประกบกันอย่างแน่นหนา ก่อนที่เสียงหัวเราะและรอยยิ้มของพวกเขาจะเติมเต็มห้องที่เงียบสงบ"งั้นฉันไปก่อนนะ พรุ่งนี้
ใกล้เกาะทองคำ บรรยากาศเหนือผืนน้ำสงบแต่แฝงไปด้วยความตึงเครียด บนเรือสายตรวจ เจ้าหน้าที่ทุกคนปฏิบัติหน้าที่อย่างเงียบงัน เสียงคลื่นกระทบตัวเรือดังก้องเป็นจังหวะสม่ำเสมอ แต่ในหัวของพวกเขาเต็มไปด้วยความกังวลและข้อสงสัยเรือสปีทโบ๊ตต้องสงสัยที่ได้รับรายงานถูกตรวจค้นอย่างละเอียด ทุกช่องเก็บของ และมุมเล็กมุมน้อยถูกเปิดออกเพื่อตรวจสอบ เอกสารทุกแผ่นถูกอ่านอย่างถี่ถ้วน แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือความว่างเปล่าไม่มีสิ่งของผิดกฎหมายหรืออะไรที่ชวนให้คิดว่าเรือลำนี้เกี่ยวข้องกับการลักลอบเลยแม้แต่น้อยเสียงถอนหายใจดังขึ้นเบา ๆ ท่ามกลางความผิดหวัง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งหันไปหาหัวหน้าทีม “ข้อมูลผิดพลาด…ครับหัวหน้า” เขาพูดขึ้นอย่างไม่แน่ใจด้วยน้ำเสียงที่สับสนและความรู้สึกสิ้นหวังหัวหน้าทีมยืนนิ่งอยู่ตรงสะพานเรือ ดวงตาของเขามองไกลออกไปยังผืนทะเลที่ทอดยาวสุดสายตา ใบหน้าเรียบนิ่ง แต่ภายในเขากำลังประมวลผลข้อมูล “ไม่ใช่ความผิดพลาด…” เขาเอ่ยในที่สุด น้ำเสียงหนักแน่นของเขาทำให้ทุกคนหยุดนิ่งและหันมาฟังอย่างตั้งใจ “พวกเขาเปลี่ยนแผนแล้ว เราถูกเบี่ยงเบนความสนใจ”คำพูดนั้นทำให้ทั้งทีมตกอยู่ในความเงียบ ทุกคนเริ่มตระหนักว่าภ
บรรยากาศที่เปิดโล่งของล็อบบี้รีสอร์ตกลางสวนปาล์ม สียงคลื่นกระทบฝั่งดังแว่วมาไกลๆราวกับคำทักทายของมหาสมุทร เสียงลมพัดผ่านกิ่งใบของต้นไม้เกิดเป็นเสียงกระซิบที่แผ่วเบา คล้ายดนตรีธรรมชาติที่บรรเลงประสานกันอย่างลงตัว แสงแดดอุ่นยามสายลอดผ่านเพดานกระจกใสด้านบน สาดส่องลงมา ทอดเงาเป็นลวดลายอ่อนช้อยบนพื้นหินขัดสีเทาที่เปี่ยมด้วยความประณีตเฟอร์นิเจอร์ไม้สีน้ำตาลถูกจัดวางไว้อย่างมีสไตล์และลงตัว ที่สะท้อนถึงความกลมกลืนระหว่างธรรมชาติและความทันสมัย เสียงรองเท้าของฮันน่ากระทบพื้นเบาๆ ในจังหวะที่มั่นคง ตรงไปยังที่เคาน์เตอร์รับรองกลางล็อบบี้ พนักงานสาวสวมเสื้อสูทสีขาวสะอาดทับเสื้อเชิ้ตเนื้อเบาสีฟ้าอ่อน ใบหน้าผ่องใสถูกแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มต้อนรับอย่างอ่อนน้อม เธอยืนสง่างามหลังเคาน์เตอร์ไม้เรียบหรู มือวางพร้อมบริการฮันน่าหยุดอยู่ด้านหน้าเค้าน์เตอร์ สูดลมหายใจลึกเพื่อรวบรวมสมาธิ ขณะที่หัวใจเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจแต่ยังแฝงด้วยความตื่นเต้น“สวัสดีค่ะ ฉันฮันน่าเข้าเช็กอินค่ะ”“สักครู่นะคะ” เสียงของเธอราวกับสายลมเย็นที่พัดผ่านกลางฤดูร้อน ก่อนหยิบเอกสารเช็กอินมาตรวจสอบอย่างต
บรรยากาศที่เปิดโล่งของล็อบบี้รีสอร์ตกลางสวนปาล์ม สียงคลื่นกระทบฝั่งดังแว่วมาไกลๆราวกับคำทักทายของมหาสมุทร เสียงลมพัดผ่านกิ่งใบของต้นไม้เกิดเป็นเสียงกระซิบที่แผ่วเบา คล้ายดนตรีธรรมชาติที่บรรเลงประสานกันอย่างลงตัว แสงแดดอุ่นยามสายลอดผ่านเพดานกระจกใสด้านบน สาดส่องลงมา ทอดเงาเป็นลวดลายอ่อนช้อยบนพื้นหินขัดสีเทาที่เปี่ยมด้วยความประณีตเฟอร์นิเจอร์ไม้สีน้ำตาลถูกจัดวางไว้อย่างมีสไตล์และลงตัว ที่สะท้อนถึงความกลมกลืนระหว่างธรรมชาติและความทันสมัย เสียงรองเท้าของฮันน่ากระทบพื้นเบาๆ ในจังหวะที่มั่นคง ตรงไปยังที่เคาน์เตอร์รับรองกลางล็อบบี้ พนักงานสาวสวมเสื้อสูทสีขาวสะอาดทับเสื้อเชิ้ตเนื้อเบาสีฟ้าอ่อน ใบหน้าผ่องใสถูกแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มต้อนรับอย่างอ่อนน้อม เธอยืนสง่างามหลังเคาน์เตอร์ไม้เรียบหรู มือวางพร้อมบริการฮันน่าหยุดอยู่ด้านหน้าเค้าน์เตอร์ สูดลมหายใจลึกเพื่อรวบรวมสมาธิ ขณะที่หัวใจเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจแต่ยังแฝงด้วยความตื่นเต้น“สวัสดีค่ะ ฉันฮันน่าเข้าเช็กอินค่ะ”“สักครู่นะคะ” เสียงของเธอราวกับสายลมเย็นที่พัดผ่านกลางฤดูร้อน ก่อนหยิบเอกสารเช็กอินมาตรวจสอบอย่างต
ใกล้เกาะทองคำ บรรยากาศเหนือผืนน้ำสงบแต่แฝงไปด้วยความตึงเครียด บนเรือสายตรวจ เจ้าหน้าที่ทุกคนปฏิบัติหน้าที่อย่างเงียบงัน เสียงคลื่นกระทบตัวเรือดังก้องเป็นจังหวะสม่ำเสมอ แต่ในหัวของพวกเขาเต็มไปด้วยความกังวลและข้อสงสัยเรือสปีทโบ๊ตต้องสงสัยที่ได้รับรายงานถูกตรวจค้นอย่างละเอียด ทุกช่องเก็บของ และมุมเล็กมุมน้อยถูกเปิดออกเพื่อตรวจสอบ เอกสารทุกแผ่นถูกอ่านอย่างถี่ถ้วน แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือความว่างเปล่าไม่มีสิ่งของผิดกฎหมายหรืออะไรที่ชวนให้คิดว่าเรือลำนี้เกี่ยวข้องกับการลักลอบเลยแม้แต่น้อยเสียงถอนหายใจดังขึ้นเบา ๆ ท่ามกลางความผิดหวัง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งหันไปหาหัวหน้าทีม “ข้อมูลผิดพลาด…ครับหัวหน้า” เขาพูดขึ้นอย่างไม่แน่ใจด้วยน้ำเสียงที่สับสนและความรู้สึกสิ้นหวังหัวหน้าทีมยืนนิ่งอยู่ตรงสะพานเรือ ดวงตาของเขามองไกลออกไปยังผืนทะเลที่ทอดยาวสุดสายตา ใบหน้าเรียบนิ่ง แต่ภายในเขากำลังประมวลผลข้อมูล “ไม่ใช่ความผิดพลาด…” เขาเอ่ยในที่สุด น้ำเสียงหนักแน่นของเขาทำให้ทุกคนหยุดนิ่งและหันมาฟังอย่างตั้งใจ “พวกเขาเปลี่ยนแผนแล้ว เราถูกเบี่ยงเบนความสนใจ”คำพูดนั้นทำให้ทั้งทีมตกอยู่ในความเงียบ ทุกคนเริ่มตระหนักว่าภ
บรรยากาศในบ้านอาดัมเริ่มเงียบสงบลง หลังจากเสียงหัวเราะและความสนุกสนานของปาร์ตี้วันขอบคุณพระเจ้าค่อยๆ จางหายไป กลิ่นหอมอ่อนๆ ของอาหารที่ยังหลงเหลือในอากาศผสมกับความอบอุ่นจากแสงไฟในบ้าน เพื่อนๆ หลายคนทยอยกันกลับ บางคนช่วยคุณแม่ของอาดัมเก็บจานชาม บางคนกวาดบ้านพร้อมพูดคุยเรื่องราวในค่ำคืนที่เพิ่งผ่านไปวิน เพื่อนสนิทของอาดัม เดินเข้ามาพร้อมหยิบเสื้อคลุมที่วางพาดเก้าอี้ขึ้นมา ก่อนจะหันไปพูดกับอาดัมด้วยน้ำเสียงจริงจังแต่แฝงด้วยความคาดหวัง"อาดัม พรุ่งนี้นายว่างไหม? เราข้ามเกาะไปเที่ยวที่เกาะทองกันสักคืนดีไหม? ฉันอยากรำลึกถึงวันเก่าๆ เพราะเดี๋ยวอีกสองสามวันฉันต้องกลับแล้ว"อาดัมที่กำลังเก็บกีตาร์ใส่กระเป๋าหยุดมือชั่วครู่ เขาเงยหน้าขึ้นมองวินด้วยรอยยิ้มกว้าง แววตาฉายชัดถึงความยินดีที่เพื่อนสนิทเอ่ยปากชวน"ได้สิเพื่อน วิน ฉันว่างอยู่ งั้นเราขึ้นเรือรอบแรกกันเลยไหม? รอบ 8 โมงเช้า เจอกันที่ท่าเรือ"วินหัวเราะเบาๆ ขณะสวมเสื้อคลุม "ตกลง งั้นเจอกันพรุ่งนี้!" เขายื่นมือไปหาอาดัม ทั้งสองยกมือประกบกันอย่างแน่นหนา ก่อนที่เสียงหัวเราะและรอยยิ้มของพวกเขาจะเติมเต็มห้องที่เงียบสงบ"งั้นฉันไปก่อนนะ พรุ่งนี้
ในยามหัวค่ำ ย่านท่องเที่ยวของถนนริมทะเล ร้านค้าบาร์และสถานบันเทิงแต่งแต้มด้วยไฟนีออนหลากสีส่องแสงระยิบระยับ เสียงเพลงและเสียงหัวเราะของผู้คนดังคลออยู่ในอากาศ หญิงสาวในชุดสะดุดตายืนเรียกลูกค้าอยู่หน้าร้าน เผยรอยยิ้มที่ถูกฝึกมาเพื่อดึงดูดสายตา ฮันน่าเดินลัดเลาะไปบนถนนที่เปียกชื้นเพื่อไปยังซอยลับที่ทอดตัวเงียบงันในย่านที่วุ่นวาย ที่ตั้งของ บาร์ลินลี่ สถานที่นัดหมายเสียงเพลงแผ่วเบาดังออกมาจากบาร์ แม้ประตูจะปิดสนิท กลิ่นบุหรี่และกลิ่นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลอยอ้อยอิ่งในอากาศ ประสานกับเสียงกระดิ่งเฉลิมฉลองวันขอบคุณพระเจ้าดังกังวานเป็นจังหวะเหมือนบทเพลงต้อนรับแขก หรืออาจเป็นสัญญาณเตือนใจสำหรับผู้ที่กล้าก้าวเข้ามา ทันใดนั้น เสียง เพล้ง! ขวดกระแทกพื้นดังสะท้อนก้องไปทั่วซอย ฮันน่าหยุดชะงัก ร่างของเธอนิ่งสนิทในชั่วขณะ ก่อนจะหันมองไปยังต้นเสียงด้วยนัยน์ตาตื่นตัวที่ด้านหน้าบาร์แห่งหนึ่ง ชายสองคนในสภาพเมาหนักกำลังโวยวายใส่กันอย่างไม่ลดละ เสียงตะโกนหยาบคายและการแกว่งมือไปมาของพวกเขาดูเหมือนพร้อมจะปะทะได้ทุกเมื่อ ใบหน้าของทั้งคู่แดงก่ำจากฤทธิ์แอลกอฮอล์พลันประตูบาร์เปิดออกอย่างแรง ชายร่างใหญ่สองคนท
เสียงมือถือดัง "ครืด... ครืด..." สั่นอยู่บนโต๊ะข้างเตียงในยามเช้าตรู่ ปลุกให้ฮันน่าที่กำลังหลับใหลค่อยๆ ตื่นขึ้นมา เธอลืมตาอย่างเชื่องช้า ความงัวเงียยังฉาบทับเปลือกตาและจิตใจ ร่างของเธอขยับเล็กน้อยก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์แสงจากหน้าจอทำให้เธอต้องหรี่ตา พลางใช้มืออีกข้างบังบางส่วนไว้ เธอเพ่งมองข้อความที่เด้งขึ้นมาบนหน้าจอ เป็นข้อความจาก "ลินลี่""เจอกันที่บาร์ของฉันเย็นนี้"ฮันน่าถอนหายใจเฮือกใหญ่ ราวกับเหนื่อยล้าในใจ เธอยกมือกุมขมับพลางพึมพำกับตัวเอง“ฉันต้องกลับไปที่ซอยนั้นอีกแล้ว...”เสียงของเธอแผ่วเบา แต่เต็มไปด้วยความกดดันที่ยากจะปฏิเสธ สถานที่ที่ลินลี่หมายถึงไม่ใช่ที่ที่เธออยากกลับไป แต่งานนี้กลับเป็นสิ่งที่เธอหลีกเลี่ยงไม่ได้ เงินที่เธอใช้ไปแล้ว และเงินอีกส่วนที่ยังรออยู่หลังงานสำเร็จ เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับเธอในตอนนี้เธอกลั้นหายใจลึก พยายามผลักความลังเลออกจากหัว ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาอีกครั้ง นิ้วของเธอค้างอยู่บนหน้าจอชั่วขณะ เหมือนกำลังตัดสินใจบางอย่าง แต่แล้วเธอก็พิมพ์ข้อความสั้นๆ ตอบกลับไป"ตกลง ลินลี่ แล้วเจอกัน"เธอวางโทรศัพท์ลงข้างตัว หันหน้าไปจ้องเพดาน สายตาว่างเปล
ฮันน่าก้าวออกจากซอยแห่งแสงสีและความลับ เธอรู้สึกเหมือนหลุดพ้นจากความอึดอัดบางอย่าง แต่ภายในใจยังวุ่นวายคิดเรื่องงานของลินลี่ที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า …..เธอก้าวเดินไปบนถนนริมชายหาดอย่างเชื้องช้าให้สายลมเย็นจากทะเลพัดผ่านใบหน้า เสียงคลื่นกระทบชายฝั่งดังแผ่วเบาเป็นฉากหลังในความมืดที่กระซิบปลอบประโลมในคืนที่เดียวดาย เธอสูดหายใจเข้าลึกเพื่อสงบใจ แต่กลับรู้สึกว่าความกดดันในใจยิ่งเพิ่มขึ้น เธอพยายามตั้งสติ ดึงตัวเองเข้าสู่เส้นทางที่กำลังเดินไปข้างหน้าที่มี แสงไฟจากผับและบาร์ที่เรียงรายเป็นทางยาวส่องแสงนวลใต้ดวงไฟที่กระพริบ เหมือนเป็นสัญญาณเรียกร้องให้เธอและผู้คนเข้ามาสัมผัสค่ำคืนของเมืองแห่งนี้ทุกมุมถนนเต็มไปด้วยสีสัน เสียงหัวเราะ และดนตรีที่ผสมผสานกันเป็นดั่งเสียงเรียกของค่ำคืนที่ยาวนานเธอเดินทอดน่องไปบนไหล่ทางริมต้นมะพร้าว เรียงยาวเป็นเงาสลัว ความกดดันและความเหนื่อยล้าภายในหลอมรวมเป็นความอึดอัด คงจะมีเพียงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ดูเหมือนจะเป็นสิ่งเดียวที่สามารถทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายและช่วยให้ค่ำคืนนี้ผ่านไปเร็วขึ้น…..เสียงเพลงบรรเลงจากลานบาร์ของโรงแรมห้าดาวดังขึ้นมาจากระยะไกล้ ท่วงทำนองนั้
ในห้องรับรองที่เปี่ยมด้วยแสงไฟสลัว ฮันน่ายืนนิ่งตรงหน้าลินลี่ สายตาของเธอจับจ้องหญิงตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์ ทุกเส้นผม ทุกท่วงท่าของลินลี่ส่งผ่านภาพลักษณ์ที่แตกต่างจากสิ่งที่ฮันน่าเคยเห็นเมื่อครั้งก่อนในบาร์ สตรีที่อยู่ตรงหน้าดูทรงพลังและแน่วแน่เกินกว่าจะเป็นคนธรรมดาที่ใครจะมองข้ามเธอเคยรู้จักลินลี่เพียงผิวเผิน การพูดคุยกันเพียงเสี้ยวหนึ่งในเส้นทางของโชคชะตา แต่ในคืนนี้ ลินลี่กลับฉายภาพที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ลินลี่นั่งไขว้ห้างอยู่บนโซฟาหรูด้วยท่าทีที่ราวกับกำลังปกครองอาณาจักรเล็กๆ ของตัวเอง กลิ่นหอมบางของน้ำหอมผสมควันบุหรี่ลอยอวลในอากาศ ทำให้บรรยากาศรอบตัวหล่อนดูหนักแน่นและเย้ายวนฮันน่าไม่สามารถละสายตาไปจากเธอได้ ความมั่นใจที่แผ่ออกมาจากลินลี่มันเป็นรังสีที่ทำให้ฮันน่าอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกดดันเธอสูดหายใจลึก ควบคุมความรู้สึกของตัวเองไว้ ก่อนจะพูดออกมาเสียงเรียบ“สวัสดี, ลินลี่” ลินลี่จ้องมองฮันน่าด้วยสายตาคมกริบราวกับต้องการสำรวจทุกอณูของหญิงสาวตรงหน้า ยั่งลึกลงไปข้างในความคิดและความรู้สึกทั้งหมดอย่างไม่ให้คลาดสักเสี้ยวนาที“นั่งสิ ฮันน่า” ลินลี่เอ่ยเสียงนุ่ม แต่แฝงด้วยน้ำเส
ในห้องน้ำเล็กๆของโรงแรม แสงสีส้มอมทองส่องลงมาจากไฟบนเพดาน เสียงจากปลายสายดังลอดออกมาจากลำโพงมือถือที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์ข้างอ่างล้างหน้า คำพูดที่เต็มไปด้วยแรงกดดันและความเร่งเร้าเหมือนบีบคั้นฮันน่าในทุกลมหายใจ"ฮันน่า ตกลงเธอจะเคลียร์เงินวันไหน ขอความชัดเจนหน่อยได้ไหม ไม่ใช่ให้รอไปวันๆ"เสียงนั้นกระแทกหูเธอซ้ำๆ ฮันน่าจับขอบอ่างล้างหน้าแน่นจนข้อนิ้วเปลี่ยนสี ความเงียบที่แทรกระหว่างคำพูดนั้นเหมือนกับจะกดดันเธอยิ่งกว่าเสียงตะคอก"ฮันน่า ...ฮันน่า"เสียงปลายสายยังคงเรียกชื่อเธอ ทว่าฮันน่าไม่ได้ตอบอะไรกลับ เธอก้มหน้ามองมือที่สั่นเล็กน้อยก่อนจะปล่อยให้สายนั้นตัดไป เสียง "ตี๊ด ตี๊ด ตี้ด" แทรกผ่านเข้ามาในความเงียบ เธอเงยหน้าขึ้นมองตัวเองในกระจก สบสายตากับเงาสะท้อนที่ดูอ่อนล้าและเต็มไปด้วยความสับสน"อดทนสิฮันน่า..." เธอบอกตัวเองในใจ ราวกับพยายามยึดเหนี่ยวคำปลอบโยนเล็กๆ เพื่อก้าวผ่านช่วงเวลานี้ไป เธอหลับตาลง สูดลมหายใจเข้าลึก และถอนหายใจออกมาอย่างช้าๆจากนั้นเธอเอื้อมไปหยิบขวดยาที่วางอยู่ข้างๆ บนเคาน์เตอร์ เปิดฝาและเทมันออกมา เธอจ้องเม็ดกลมๆอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะโยนเข้าปากตามด้วยน้ำที่อยู่ในแก้วพล
สายตามองของฮันน่ามองไปที่ทะเลที่มีแสงรำไรจากดวงจันทร์ส่องบนผืนน้ำหัวใจของเธอจดจ่อรอฟัง เสียงของลินลี่่ “ตอนนี้ลินลี่ยังไม่สะดวกรับสาย รบกวนฝากข้อความไว้ค่ะ” เธอถอนหายใจยาวราวกับว่าคำตอบที่ได้ฟังทำให้เธอได้มีมีเวลาคิดอีกสักนิด เสียงตอบรับอัตโนมัติจากปลายสายทำให้ฮันน่าเกิดความรู้สึกทั้งโล่งใจและวิตกในเวลาเดียวกัน เธอวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะช้าๆ ราวกับว่าการเคลื่อนไหวที่รีบร้อนจะย้ำเตือนความไม่มั่นใจในใจของเธอ สายตาจ้องมองโทรศัพท์นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเธอพึมพำเบาๆ กับตัวเอง“ยังไม่ต้องตัดสินใจตอนนี้...” เวลาที่ได้เพิ่มมานี้เหมือนเป็นทั้งของขวัญและบททดสอบ เธอรู้ดีว่าในไม่ช้าคำตอบจะต้องถูกส่งออกไป แต่การได้รับโอกาสให้ทบทวนอีกครั้งก็ทำให้เธอเริ่มตั้งคำถามกับตัวเอง ……..แสงแรกของวันเริ่มสาดส่องบนขอบฟ้า แม้จะไม่เจิดจ้า แต่ก็เพียงพอที่จะเผยให้เห็นผืนทะเลที่กว้างใหญ่และสงบนิ่ง ฮันน่าก้าวเท้าลงบนทรายละเอียด ความเย็นของเม็ดทรายและสายลมที่พัดผ่านใบหน้าทำให้เธอรู้สึกเหมือนได้รับการปลอบประโลมเล็กน้อย ร่องรอยของค่ำคืนที่ไม่อาจข่มตาหลับฉายชัดบนใบหน้าของเธอ ดวงตาที่ล้าจ้องมองไปยังเส้นขอบฟ้า สายน้ำระย