ใกล้เกาะทองคำ บรรยากาศเหนือผืนน้ำสงบแต่แฝงไปด้วยความตึงเครียด บนเรือสายตรวจ เจ้าหน้าที่ทุกคนปฏิบัติหน้าที่อย่างเงียบงัน เสียงคลื่นกระทบตัวเรือดังก้องเป็นจังหวะสม่ำเสมอ แต่ในหัวของพวกเขาเต็มไปด้วยความกังวลและข้อสงสัย
เรือสปีทโบ๊ตต้องสงสัยที่ได้รับรายงานถูกตรวจค้นอย่างละเอียด ทุกช่องเก็บของ และมุมเล็กมุมน้อยถูกเปิดออกเพื่อตรวจสอบ เอกสารทุกแผ่นถูกอ่านอย่างถี่ถ้วน แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือความว่างเปล่าไม่มีสิ่งของผิดกฎหมายหรืออะไรที่ชวนให้คิดว่าเรือลำนี้เกี่ยวข้องกับการลักลอบเลยแม้แต่น้อย
เสียงถอนหายใจดังขึ้นเบา ๆ ท่ามกลางความผิดหวัง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งหันไปหาหัวหน้าทีม “ข้อมูลผิดพลาด…ครับหัวหน้า” เขาพูดขึ้นอย่างไม่แน่ใจด้วยน้ำเสียงที่สับสนและความรู้สึกสิ้นหวัง
หัวหน้าทีมยืนนิ่งอยู่ตรงสะพานเรือ ดวงตาของเขามองไกลออกไปยังผืนทะเลที่ทอดยาวสุดสายตา ใบหน้าเรียบนิ่ง แต่ภายในเขากำลังประมวลผลข้อมูล
“ไม่ใช่ความผิดพลาด…” เขาเอ่ยในที่สุด น้ำเสียงหนักแน่นของเขาทำให้ทุกคนหยุดนิ่งและหันมาฟังอย่างตั้งใจ “พวกเขาเปลี่ยนแผนแล้ว เราถูกเบี่ยงเบนความสนใจ”คำพูดนั้นทำให้ทั้งทีมตกอยู่ในความเงียบ ทุกคนเริ่มตระหนักว่าภารกิจนี้อาจเป็นส่วนหนึ่งของแผนการที่ซับซ้อนกว่าเดิม
หัวหน้าทีมหันกลับมามองลูกทีม สีหน้าเขาฉายความจริงจัง “ล้มเลิกแผนเดิม เราจะเปลี่ยนแผนใหม่ เราถูกนำทางผิดจุดตั้งแต่แรก ภารกิจนี้ล้มเหลว แต่ไม่ใช่จุดจบ” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง สายตาสบกับทุกคนอย่างหนักแน่น “เราจะรอข้อมูลใหม่จากสายลับอีกครั้ง ตอนนี้แยกย้ายและเตรียมพร้อม”“ครับ หัวหน้า.”ทีมงานสายตรวจเมื่อได้รับคำสั่งนั้นจึงสลายตัวอย่างเงียบเชียบ เพื่อรอคำสั่งและแผนการใหม่ของหัวหน้า.."ปู้ววววว" "ปู้ววววว"
เสียงของเรือเฟอร์รี่หมายเลข7 ดังก้องกังวานไปทั่วอ่าว เป็นสัญญาณ ว่า เรือ กำลังจะจอดเทียบท่าเวลา 9.AM ตามกำหนด เปลวแดดยามสายทอประกายอ่อนโยน แตะต้องผิวน้ำใสราวกระจก เสียงคลื่นกระทบเรือเบา ๆ ผสมกับเสียงนกนางนวลที่บินวนเหนือท่าเรือ เติมเต็มความมีชีวิตชีวาดั่งหาดสวรรค์ของเกาะแห่งนี้ผู้โดยสารคนอื่น ๆ ดูตื่นเต้นและเพลิดเพลินไปกับความงดงามรอบตัว บางคนหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายภาพ บางคนมองออกไปยังชายฝั่งที่มีหาดทรายสีขาวทอดยาว พร้อมด้วยต้นปาล์มเรียงรายสวยงามเหมือนภาพในโปสการ์ด
แต่ฮันน่ากลับแตกต่างออกไป เธอยืนนิ่งอยู่ริมดาดฟ้าของเรือโดยไม่สนใจสิ่งรอบตัว แม้ลมทะเลเย็นสดชื่นจะพัดผ่านมากระทบใบหน้า เธอกลับไม่ยอมปล่อยใจให้หลุดลอยไปกับความงามที่อยู่เบื้องหน้า สายตาของเธอเหม่อมองตรงไปยังท่าเรือด้วยความแน่วแน่ ดวงตาคู่นั้นฉายแววครุ่นคิดเพราะเธอมีภารกิจสำคัญที่ยังคอยอยู่
เสียงเครื่องยนต์เรือชะลอตัวลงเมื่อเรือเทียบท่า บรรดาผู้โดยสารเริ่มทยอยลงจากเรือกันอย่างมีระเบียบ แต่ละคนดูมีจุดหมายของตัวเอง ฮันน่าค่อย ๆ ก้าวตามลงไป เธอกระชับสายกระเป๋าในมือแน่น หัวใจเต้นแรงเล็กน้อยเมื่อปลายเท้าสัมผัสกับพื้นไม้ของท่าเรือ จุดเริ่มต้นของสิ่งที่กำลังรอเธออยู่ได้มาถึงแล้ว
ฮันน่าก้าวออกจากเรือด้วยความระแวดระวัง ทุกการเคลื่อนไหวของเธอเต็มไปด้วยความตื่นตัว มือข้างหนึ่งจับสายกระเป๋าน้ำตาลราคาแพงไว้อย่างมั่นคง ขณะที่อีกมือรีบล้วงเข้าไปหยิบมือถือที่สั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมา
ทันทีหน้าจอมือถือสว่าง ข้อความจากลินลี่ปรากฏบนหน้าจอ:"เธอถึงที่นั่นโดยปลอดภัยแล้วนะ ฮันน่า"
คำที่ดูเหมือนธรรมดานั้นกลับสะท้อนถึงความหมายซ่อนเร้นว่าการเดินทางของเธอยังไม่สิ้นสุด และแผนที่ถูกวางไว้กำลังดำเนินไป
ไม่ทันที่เธอจะเก็บโทรศัพท์ลง ข้อความถัดไปก็เด้งขึ้นมา:
"เดินไปขึ้นรถกระบะสีดำแผ่นป้ายทะเบียน 666 เขาจะพาเธอไปยังที่พัก ชายวัยกลางคนผิวคล้ำแดดรูปร่างใหญ่ สวมแว่นตา ยืนรออยู่"
ฮันน่าชะงักเท้า ดวงตาเธอฉายแววระวังอีกครั้งก่อนจะเงยหน้าขึ้น สายตาของเธอจับจ้องไปยังรถกระบะสีดำคันหนึ่งที่จอดรออยู่บริเวณทางออกของท่าเรือ ภาพชายวัยกลางคนผิวคล้ำ แว่นตาดำสะท้อนแสงแดด ตรงกับคำบรรยายในข้อความทุกประการ
เธอสูดลมหายใจลึก รวบรวมความกล้า ก่อนเดินตรงไปหาชายคนนั้น เสียงรองเท้ากระทบพื้นดังเบา ๆ บนทางเดินที่ทอดยาว เธอหยุดยืนตรงหน้าเขา แล้วพูดเสียงเรียบแต่มั่นใจ:
"ฉันฮันน่า"
ชายคนนั้นพยักหน้าเบา ๆ พร้อมเปิดประตูรถให้ด้วยท่าทางสุภาพแต่ไร้รอยยิ้ม:
"เชิญครับ"
ฮันน่าก้าวขึ้นรถ ความเงียบที่ครอบงำภายในห้องโดยสารทำให้เธอรู้สึกถึงบรรยากาศที่ชวนให้อึดอัด เธอวางกระเป๋าหนังใบหรูไว้บนตัก มือข้างหนึ่งกำสายกระเป๋าไว้แน่นจนรู้สึกถึงเนื้อสัมผัสของมัน ดวงตาเธอจ้องมองออกไปนอกหน้าต่าง ทิวทัศน์ของเกาะทองคำค่อย ๆ เลื่อนผ่านไปช้า ๆ
ภูเขาสูงชันที่เรียงตัวกันเป็นแนวยาวโอบล้อมพื้นที่บางส่วนของเกาะ ดูแล้วช่างน่าสวยงามและน่ากังวล เมื่อสายลมพัดผ่านใบไม้ในสวนใหญ่ที่ทอดตัวเป็นทางเข้าสู่รีสอร์ต ต้นไม้โยกเอนไปมาเบา ๆ ราวกับจะเตือนให้เธอระวังสิ่งที่รออยู่ข้างหน้า
ฮันน่าอดไม่ได้ที่จะเลื่อนสายตากลับมามองชายคนขับ เขาเป็นชายร่างใหญ่ ผิวคล้ำจากการกรำแดด สวมแว่นตาดำที่ปิดบังความรู้สึกในดวงตาของเขาไว้อย่างสมบูรณ์ ความเงียบที่เขามอบให้นั้นไม่ได้ช่วยให้เธอรู้สึกผ่อนคลาย ตรงกันข้าม มันกลับทำให้บรรยากาศในรถเต็มไปด้วยความตึงเครียด
เธอพยายามสูดลมหายใจลึก ๆ เพื่อควบคุมความกลัวที่เริ่มก่อตัวในใจ เสียงของล้อรถที่บดผ่านทางดินกลบความคิดวุ่นวายของเธอไปชั่วครู่ ฮันน่ารู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะปล่อยให้ความกังวลครอบงำ เธอปรับตัวนั่งให้มั่นคงขึ้น และมองออกไปข้างหน้า จิตใจเริ่มเตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น
แล้วเสียงเครื่องยนต์ดับลงเมื่อรถกระบะจอดนิ่งสนิทตรงหน้าทางเข้ารีสอร์ตที่ตั้งอยู่กลางหุบเขา
“ถึงแล้วครับ”เธอพยักหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงสั้น ๆ “ค่ะ” แล้วเอื้อมมือไปเปิดประตู เธอก้าวลงจากรถอย่างระมัดระวัง สัมผัสแรกจากพื้นดินที่แข็งทำให้เธอรู้สึกถึงความจริงจังขอสถานการณ์
ฮันน่าก้าวถอยออกมาสองสามก้าว ราวกับต้องการใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีเพื่อประเมินสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เธอยืนแน่นิ่ง สายตาจ้องรีสอร์ตที่ตั้งตระหง่านกลางสวนปาล์มเขียวชอุ่ม อาคารทรงทันสมัยผสมผสานกระจกและไม้เนื้อแข็ง ดูเรียบหรูแต่แฝงความลึกลับในแบบที่ชวนให้ระแวง
แสงแดดยามสายสะท้อนผิวกระจกอาคารเป็นประกายจาง ๆ ทว่ากลับไม่ลดความรู้สึกเยือกเย็นที่แทรกเข้ามาในหัวใจของเธอ เสียงคลื่นทะเลจากระยะไกลดังแผ่ว ๆ คลอไปกับเสียงลมที่พัดใบปาล์มไหวสะท้อนความโดดเดี่ยวของสถานที่ซึ่งเหมือนถูกซ่อนเร้นอยู่ในมุมลึกของโลกใบนี้
ตัวรีสอร์ตตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ดูเหมือนเป็นจุดยุทธศาสตร์ เข้าถึงได้ยาก มีเพียงเส้นทางเล็ก ๆ คดเคี้ยวผ่านหุบเขามาถึงตรงนี้ ฮันน่ารู้ดีว่าสถานที่นี้ไม่ได้ถูกเลือกมาโดยบังเอิญ มันเป็นทั้งที่หลบซ่อนและที่เฝ้าระวังในตัวเอง
เธอหันมองรอบตัวอีกครั้ง มือหนึ่งกำสายกระเป๋าแน่นเหมือนเป็นเกราะป้องกันจิตใจ ก่อนจะสูดลมหายใจลึก กลั้นความประหม่าและความกลัวที่ซ่อนอยู่ในใจแล้วก้าวเท้าเข้าไปสู่ประตูทางเข้าของรีสอร์ต….
บรรยากาศที่เปิดโล่งของล็อบบี้รีสอร์ตกลางสวนปาล์ม สียงคลื่นกระทบฝั่งดังแว่วมาไกลๆราวกับคำทักทายของมหาสมุทร เสียงลมพัดผ่านกิ่งใบของต้นไม้เกิดเป็นเสียงกระซิบที่แผ่วเบา คล้ายดนตรีธรรมชาติที่บรรเลงประสานกันอย่างลงตัว แสงแดดอุ่นยามสายลอดผ่านเพดานกระจกใสด้านบน สาดส่องลงมา ทอดเงาเป็นลวดลายอ่อนช้อยบนพื้นหินขัดสีเทาที่เปี่ยมด้วยความประณีตเฟอร์นิเจอร์ไม้สีน้ำตาลถูกจัดวางไว้อย่างมีสไตล์และลงตัว ที่สะท้อนถึงความกลมกลืนระหว่างธรรมชาติและความทันสมัย เสียงรองเท้าของฮันน่ากระทบพื้นเบาๆ ในจังหวะที่มั่นคง ตรงไปยังที่เคาน์เตอร์รับรองกลางล็อบบี้ พนักงานสาวสวมเสื้อสูทสีขาวสะอาดทับเสื้อเชิ้ตเนื้อเบาสีฟ้าอ่อน ใบหน้าผ่องใสถูกแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มต้อนรับอย่างอ่อนน้อม เธอยืนสง่างามหลังเคาน์เตอร์ไม้เรียบหรู มือวางพร้อมบริการฮันน่าหยุดอยู่ด้านหน้าเค้าน์เตอร์ สูดลมหายใจลึกเพื่อรวบรวมสมาธิ ขณะที่หัวใจเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจแต่ยังแฝงด้วยความตื่นเต้น“สวัสดีค่ะ ฉันฮันน่าเข้าเช็กอินค่ะ”“สักครู่นะคะ” เสียงของเธอราวกับสายลมเย็นที่พัดผ่านกลางฤดูร้อน ก่อนหยิบเอกสารเช็กอินมาตรวจสอบอย่างต
ปี 1985 “ฮันน่า..ฮันน่า!”เสียงผู้หญิงคนหนึ่งตะโกนเรียกชื่อเด็กน้อยดังลอยมาจากในบ้านแต่ฮันน่ายังคงก้มหน้าก้มตาเล่นของเล่นอยู่บนพื้นดินหน้าบ้านอย่างไม่สนใจ ใบหน้าเล็กๆ ของเธอเต็มไปด้วยความสุขและจินตนาการที่ไร้ขอบเขตในโลกส่วนตัวของเธอเองตามประสาเด็กอายุ 4 ปี เดือน ลูกพี่ลูกน้องที่อายุมากกว่าฮันน่าหลายปีปลุกเธอจากความสนุกเล็กๆ น้อยๆ นั้น "ฮันน่า แม่เรียกแล้วนะ" ฮันน่าหันไปมองยังไม่ทันขานรับเสียงใดๆ ทันใด หญิงสาวคนหนึ่งเดินตรงมาด้วยท่าทางมั่นใจอายุราว 20 ปีแต่งตัวด้วยเสื้อตัวใหม่สีสดใส ชายเสื้อถูกเก็บเข้าในกางเกงยีนเอวสูงอย่างเนี้ยบ ริมปากเคลือบลิปสติกสีแดงสดใบหน้าของเธอเรียบเฉยจนแทบจะไร้อารมณ์ ท่าทางของเธอดูเคร่งขรึมและจริงจัง และนั่นก็คือ จูเลีย แม่ของฮันน่า “ไปกันได้แล้วนะ ฮันน่า ไหนชิ้นไหนของลูก เอาไปเล่นที่นู่นด้วยนะ”จูเลีย พูดพลางหยิบของเล่นที่ฮันน่าถืออยู่ในมือเก็บใส่ลงกระเป๋าข้างในนั้นเต็มไปด้วยเสื้อผ้าของลูกสาวที่พับอย่างระมัดระวังแล้ว เธอจูงมือเล็กๆ ของลูกสาวออกไปด้วยสายตาเย็นชา "แต๊ก... แต๊ก... แต๊ก..." เสียงมอไซค์คันเก่า เสียงนั้นดังสนั่นเหมือนเสียงคำรามที่แทรกผ่านความเง
เมื่อฤดูทำไร่ทำสวนได้ผ่านพ้นไป ความวุ่นวายจากการเก็บเกี่ยวก็ทุเลาลง แต่สำหรับฮันน่า งานยังไม่จบเพียงเท่านั้น วันหยุดของเธอยังคงเต็มไปด้วยงานรับจ้างเล็กๆ น้อยๆ ทุกบาททุกสตางค์ที่ได้มาถูกเก็บหอมรอมริบเพื่อค่าใช้จ่ายในการไปโรงเรียนแต่ในบางวันเสาร์อาทิตย์ที่งานไม่หนักจนเกินไป ฮันน่าก็พอจะมีช่วงเวลาที่ได้ผ่อนคลายบ้าง ช่วงเวลานั้น เธอจะได้นั่งดูรายการโทรทัศน์ในห้องนั่งเล่นเล็กๆ ของบ้าน ความสุขเล็กๆ นี้คือช่วงเวลาที่ฮันน่าได้หลบหนีจากโลกแห่งความรับผิดชอบและความกดดัน เธอจะดูโทรทัศน์ด้วยสายตาเปล่งประกาย ไม่ว่าจะเป็นรายการเกี่ยวกับการ์ตูน นิทาน หรือเรื่องราวจากต่างแดนที่เธอไม่เคยสัมผัส มันทำให้เธอได้เปิดโลกในจินตนาการของเด็กบ้านนอกคนหนึ่งที่ยังคงมีความฝันและความหวังเล็กๆ ซ่อนอยู่ในใจ วันหยุดสัปดาห์ก็มาถึงอีกครั้งวันนี้เป็นวันที่ไม่มีงานจิปาถะใดๆ ที่ต้องทำ ฮันน่ารู้สึกดีใจที่วันนี้เธอได้มีเวลาว่างเป็นของตัวเอง เธอได้นั่งลงอย่างสบายใจบนพื้นไม้เย็นๆ ในห้องนั่งเล่นเล็กๆ โทรทัศน์เก่าเครื่องนั้นที่ตั้งอยู่ตรงมุมห้อง ฮันน่านั่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์เก่าๆ มือเล็กๆ ของเธอค่อยๆ หมุนปุ่มปรับช่องไปทีละนิด
ในโลกส่วนตัวที่ฮันน่าสร้างขึ้นทุกอย่างเต็มไปด้วยสีสันและจินตนาการอันไร้ขอบเขต โลกใบนี้คือที่ที่เธอได้หลบหนีจากความเหนื่อยล้าและความโดดเดี่ยวในชีวิตจริง ความสุขเล็กๆ ที่เธอเฝ้ารอทุกสัปดาห์คือรายการ “เพื่อนของเด็กๆ”ที่ออกอากาศช่วงบ่ายของทุกเสาร์และอาทิตย์ซึ่งก็ทำให้เธอว่างจากการทำงานในบ้านตอนเช้าแล้วก็ตั้งตารอราวกับเป็นช่วงเวลาที่พิเศษของเธอ รายได้เล็กๆ น้อยๆ จากการรับจ้างที่เธอเก็บหอมรอมริบสำหรับไว้เป็นค่าขนมไปโรงเรียนแต่ก็เพียงพอที่จะให้เธอได้ทำสิ่งหนึ่งที่เธอตั้งใจเธอยอมที่จะอดกินขนมเพื่อใช้เงินที่เก็บไว้ซื้อตราไปรษณียากรและซองจดหมายที่เธอตั้งใจเขียนจ่าหน้าซองถึงตัวเองตามผู้ดำเนินรายการได้แนะนำเพื่อให้ทางรายการจะได้ส่งของขวัญให้กับเด็กๆ ทุกคน ซองเอกสารสีน้ำตาลที่มาพร้อมกับอากรแสตมป์สีสันสดใสถูกส่งมาถึงมือฮันน่า เธอจับมันด้วยมือเล็กๆ ที่สั่นเล็กน้อยจากความตื่นเต้น สายตาจดจ่ออยู่ที่ชื่อของเธอที่เขียนด้วยลายมือบรรจงบนมุมซอง นั่นคือลายมือของเธอเอง... ดวงตากลมโตจับจ้องไปที่ภายใน จนในที่สุด... สิ่งที่เธอเฝ้ารอคอยก็ปรากฏออกมา ภาพนิทานแสนงดงามพร้อมสมุดระบายสีเล่มเล็กๆ ที่มีเรื่องราวเกี่ยว
7 ปีผ่านไป…ฮันน่าโตเป็นสาวน้อยวัยรุ่นที่มีชีวิตเรียบง่ายในชนบท เธอใช้วันหยุดเสาร์อาทิตย์ช่วยปู่ย่าทำไร่ไถนาตามประสาคนในครอบครัวที่หาเช้ากินค่ำ แต่เมื่อกลับมาบ้าน เธอมักจะแอบหลบอยู่ในห้องนอนเล็กๆ ของตัวเอง โลกส่วนตัวที่เธอสร้างขึ้นยังคงเต็มไปด้วยการขีดเขียนนิยายน้ำเน่าเล่มแล้วเล่มเล่าลงบนสมุดเก่าๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของเจ้าชาย เจ้าหญิง หรือชีวิตแสนสุขที่เธอจินตนาการขึ้นเพื่อหลีกหนีจากความเหงาและความโดดเดี่ยวที่เกาะกินใจในห้องเล็กๆ นั้น เธอรู้สึกเหมือนได้ปลดปล่อยตัวเองจากโลกภายนอก มีเพียงแต่เสียงดินสอขูดขีดบนกระดาษและเรื่องราวในหัวของเธอคือสิ่งเดียวที่ทำให้วันเวลาผ่านไปอย่างมีความหมายแต่แล้ว เสียงของหญิงชราก็ดังขึ้นจากหน้าประตูห้อง "ฮันน่า ได้เวลาออกจากห้องแล้วนะ" เสียงนั้นเข้มงวด เรียกให้เธอออกมาจากโลกส่วนตัว เสียงฝีเท้าของหญิงชราดังชัดเจนขึ้นเมื่อเธอเดินมาเคาะประตูซ้ำฮันน่าเงยหน้าขึ้นจากสมุดที่เธอกำลังเขียน นิ้วเล็กๆ ของเธอยังคงจับดินสอแน่น เธอถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะไม้เก่าที่เต็มไปด้วยรอยขูดขีด เธอเดินออกมาพร้อมกับเสื้อผ้าเก่าๆ ที่มีกลิ่นอายของบ้านไร่ติดตัว"ไปหาปูหาป
แล้ววันนี้ก็มาถึงครูใหญ่ผู้เข้มงวดนั่งประจำโต๊ะในห้องปกครอง ใบหน้าดุดันและสายตาเย็นชา จับจ้องไปที่ฮันน่า ราวกับทุกคำพูดเป็นคำพิพากษา"เราจะไม่สามารถเก็บเธอไว้ในระบบทุนได้อีกต่อไป" ครูใหญ่พูดเสียงหนักแน่น "การไม่ปฏิบัติตามกฎและความประพฤติที่ไม่เหมาะสมไม่เป็นที่ยอมรับ เธอต้องเข้าใจว่าสิ่งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัว แต่เกี่ยวข้องกับภาพลักษณ์ของโรงเรียน"ฮันน่าก้มหน้าลง น้ำตาไหลเงียบๆ ลงบนมือที่วางอยู่บนตัก เสียงของครูใหญ่ที่กล่าวคำตัดสินดังก้องในหูของเธอ ราวกับเสียงฟ้าผ่าที่ทำลายทุกความหวังในใจลงในพริบตา "เราจะไม่สามารถอนุญาตให้ฮันน่าเรียนต่อได้อีก..." คำพูดนั้นจบลง แต่ความหนักหนาของมันยังคงกดทับเธอไว้เธอพยายามจะกลั้นน้ำตา แต่ความเสียใจที่ท่วมท้นเกินจะทนก็ทำให้ไหลพรั่งพรูออกมา ใบหน้าของเธอก้มต่ำ มองเห็นเพียงเงาของตัวเองที่สะท้อนกับพื้นห้อง เงานั้นดูสั่นไหวและพร่าเลือนราวกับสะท้อนถึงหัวใจที่แตกสลาย ความผิดหวังที่ถาโถมเข้ามาซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนคลื่นลูกใหญ่ เธอไม่รู้ว่าจะลุกขึ้นจากความรู้สึกนี้ได้อย่างไร เสียงสะอื้นที่เธอพยายามกลั้นไว้กลับหลุดออกมาเป็นระยะ ความรู้สึกอับอาย ผิดหวัง และเสียใจ
ณ.จังหวัดหนึ่งทางภาคอีสาน บรรยากาศยามเช้าของหมู่บ้านเงียบสงบ เสียงไก่ขันคลอไปกับเสียงพูดคุยในตลาดเล็กๆ ที่ผู้คนมารวมตัวกันจับจ่ายใช้สอยกันตามปกติ แต่ในวันนี้ มีภาพที่แตกต่างออกไป ชายหนุ่มสูงยาวคนหนึ่ง ใบหน้ามีแววตาใสซื่อ แต่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เขาคือ อาดัม หนุ่มน้อยลูกครึ่งที่พูดไทยไม่ชัดนัก มือข้างหนึ่งถือหนังสือพระธรรม ขณะที่อีกข้างหนึ่งโบกเรียกความสนใจจากผู้คน“คุณ...อยากขึ้นสวรรค์ไหม? พูดตามผม...”อาดัม หนุ่มน้อยใบหน้าสดใสที่สะท้อนความมุ่งมั่น ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน น้ำเสียงของเขาแฝงความกระตือรือร้น แม้จะติดสำเนียงแปลกๆ แต่ความจริงใจที่แสดงออกทางแววตาและน้ำเสียงของเขา ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนบางคนหยุดเดิน และเริ่มมองไปที่เขาด้วยความสนใจ“พูดตามผมครับ...” เขากล่าวต่อ พลางหยิบหนังสือเล่มเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋า “บนโลกนี้ เราอาจมีทั้งความสุขและความทุกข์ แต่บนสวรรค์ จะมีแต่ความสุขที่สมบูรณ์แบบ...”ผู้คนเริ่มรุมล้อมรอบตัวเขา บางคนยิ้มอย่างอ่อนโยน บางคนมองด้วยความสงสัย แต่ไม่มีใครเดินหนีไปไกล อาดัมไม่ใช่เพียงแค่พูด แต่แววตาและท่าทางของเขาบอกชัดว่าเขาเชื่อมั่นในสิ่งที่เขากำลังสื่อสาร
กลางกรุงที่พลุกพล่าน ท้องฟ้าสีครามถูกขับเน้นด้วยเส้นขอบฟ้าของตึกสูงรายรอบเสียงรถยนต์และฝูงชนที่เดินขวักไขว่สร้างบรรยากาศที่เต็มไปด้วยพลังของเมืองหลวง ใจกลางความวุ่นวาย สองพ่อลูกยืนอยู่ริมฟุตาบาธในเสื้อผ้าที่เรียบง่าย ฝุ่นจับรองเท้าสะพายกีต้าร์คู่ใจข้างหลัง ดวงตาของอาดัมเปี่ยมไปด้วยความหวัง ลึกซึ้งและสุกใส ราวกับแสงประกายเล็กๆ ที่ส่องผ่านม่านเมฆหมอกแต่เขามองตรงไปข้างหน้าอย่างแน่วแน่ ตึกกระจกสูงระฟ้าที่สะท้อนแสงแดดยามบ่ายดูเหมือนจะเป็นมากกว่าอาคารมันเป็นเป้าหมาย เป็นปลายทางของความฝันที่เขาและพ่อร่วมกันสร้าง ดวงตาคู่นั้นไม่เพียงสะท้อนภาพความทะเยอทะยาน แต่ยังแฝงไว้ด้วยความเชื่อมั่นในพลังของเสียงเพลงและอนาคตที่ยังไม่ถูกกำหนด อาดัมและพ่อก้าวเข้าไปในตึกสูงตระหง่าน ประตูอัตโนมัติเปิดออก ล็อบบี้กว้างขวางที่ปูด้วยหินอ่อนเงาวับ แสงไฟนีออนสาดส่องให้ทุกอย่างดูหรูหราและเต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม เสียงรองเท้าของพวกเขากระทบพื้นดังกังวานในพื้นที่ที่ดูจะกว้างใหญ่เกินกว่าที่คุ้นเคย อาดัมเหลือบมองรอบตัวด้วยความตื่นเต้น ขณะที่พ่อมองตรงไปยังแผงปุ่มเรียกลิฟต์ ด้วยใบหน้าที่แฝงความมุ่งมั่นเมื่อประตูลิฟต์เปิ
บรรยากาศที่เปิดโล่งของล็อบบี้รีสอร์ตกลางสวนปาล์ม สียงคลื่นกระทบฝั่งดังแว่วมาไกลๆราวกับคำทักทายของมหาสมุทร เสียงลมพัดผ่านกิ่งใบของต้นไม้เกิดเป็นเสียงกระซิบที่แผ่วเบา คล้ายดนตรีธรรมชาติที่บรรเลงประสานกันอย่างลงตัว แสงแดดอุ่นยามสายลอดผ่านเพดานกระจกใสด้านบน สาดส่องลงมา ทอดเงาเป็นลวดลายอ่อนช้อยบนพื้นหินขัดสีเทาที่เปี่ยมด้วยความประณีตเฟอร์นิเจอร์ไม้สีน้ำตาลถูกจัดวางไว้อย่างมีสไตล์และลงตัว ที่สะท้อนถึงความกลมกลืนระหว่างธรรมชาติและความทันสมัย เสียงรองเท้าของฮันน่ากระทบพื้นเบาๆ ในจังหวะที่มั่นคง ตรงไปยังที่เคาน์เตอร์รับรองกลางล็อบบี้ พนักงานสาวสวมเสื้อสูทสีขาวสะอาดทับเสื้อเชิ้ตเนื้อเบาสีฟ้าอ่อน ใบหน้าผ่องใสถูกแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มต้อนรับอย่างอ่อนน้อม เธอยืนสง่างามหลังเคาน์เตอร์ไม้เรียบหรู มือวางพร้อมบริการฮันน่าหยุดอยู่ด้านหน้าเค้าน์เตอร์ สูดลมหายใจลึกเพื่อรวบรวมสมาธิ ขณะที่หัวใจเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจแต่ยังแฝงด้วยความตื่นเต้น“สวัสดีค่ะ ฉันฮันน่าเข้าเช็กอินค่ะ”“สักครู่นะคะ” เสียงของเธอราวกับสายลมเย็นที่พัดผ่านกลางฤดูร้อน ก่อนหยิบเอกสารเช็กอินมาตรวจสอบอย่างต
ใกล้เกาะทองคำ บรรยากาศเหนือผืนน้ำสงบแต่แฝงไปด้วยความตึงเครียด บนเรือสายตรวจ เจ้าหน้าที่ทุกคนปฏิบัติหน้าที่อย่างเงียบงัน เสียงคลื่นกระทบตัวเรือดังก้องเป็นจังหวะสม่ำเสมอ แต่ในหัวของพวกเขาเต็มไปด้วยความกังวลและข้อสงสัยเรือสปีทโบ๊ตต้องสงสัยที่ได้รับรายงานถูกตรวจค้นอย่างละเอียด ทุกช่องเก็บของ และมุมเล็กมุมน้อยถูกเปิดออกเพื่อตรวจสอบ เอกสารทุกแผ่นถูกอ่านอย่างถี่ถ้วน แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือความว่างเปล่าไม่มีสิ่งของผิดกฎหมายหรืออะไรที่ชวนให้คิดว่าเรือลำนี้เกี่ยวข้องกับการลักลอบเลยแม้แต่น้อยเสียงถอนหายใจดังขึ้นเบา ๆ ท่ามกลางความผิดหวัง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งหันไปหาหัวหน้าทีม “ข้อมูลผิดพลาด…ครับหัวหน้า” เขาพูดขึ้นอย่างไม่แน่ใจด้วยน้ำเสียงที่สับสนและความรู้สึกสิ้นหวังหัวหน้าทีมยืนนิ่งอยู่ตรงสะพานเรือ ดวงตาของเขามองไกลออกไปยังผืนทะเลที่ทอดยาวสุดสายตา ใบหน้าเรียบนิ่ง แต่ภายในเขากำลังประมวลผลข้อมูล “ไม่ใช่ความผิดพลาด…” เขาเอ่ยในที่สุด น้ำเสียงหนักแน่นของเขาทำให้ทุกคนหยุดนิ่งและหันมาฟังอย่างตั้งใจ “พวกเขาเปลี่ยนแผนแล้ว เราถูกเบี่ยงเบนความสนใจ”คำพูดนั้นทำให้ทั้งทีมตกอยู่ในความเงียบ ทุกคนเริ่มตระหนักว่าภ
บรรยากาศในบ้านอาดัมเริ่มเงียบสงบลง หลังจากเสียงหัวเราะและความสนุกสนานของปาร์ตี้วันขอบคุณพระเจ้าค่อยๆ จางหายไป กลิ่นหอมอ่อนๆ ของอาหารที่ยังหลงเหลือในอากาศผสมกับความอบอุ่นจากแสงไฟในบ้าน เพื่อนๆ หลายคนทยอยกันกลับ บางคนช่วยคุณแม่ของอาดัมเก็บจานชาม บางคนกวาดบ้านพร้อมพูดคุยเรื่องราวในค่ำคืนที่เพิ่งผ่านไปวิน เพื่อนสนิทของอาดัม เดินเข้ามาพร้อมหยิบเสื้อคลุมที่วางพาดเก้าอี้ขึ้นมา ก่อนจะหันไปพูดกับอาดัมด้วยน้ำเสียงจริงจังแต่แฝงด้วยความคาดหวัง"อาดัม พรุ่งนี้นายว่างไหม? เราข้ามเกาะไปเที่ยวที่เกาะทองกันสักคืนดีไหม? ฉันอยากรำลึกถึงวันเก่าๆ เพราะเดี๋ยวอีกสองสามวันฉันต้องกลับแล้ว"อาดัมที่กำลังเก็บกีตาร์ใส่กระเป๋าหยุดมือชั่วครู่ เขาเงยหน้าขึ้นมองวินด้วยรอยยิ้มกว้าง แววตาฉายชัดถึงความยินดีที่เพื่อนสนิทเอ่ยปากชวน"ได้สิเพื่อน วิน ฉันว่างอยู่ งั้นเราขึ้นเรือรอบแรกกันเลยไหม? รอบ 8 โมงเช้า เจอกันที่ท่าเรือ"วินหัวเราะเบาๆ ขณะสวมเสื้อคลุม "ตกลง งั้นเจอกันพรุ่งนี้!" เขายื่นมือไปหาอาดัม ทั้งสองยกมือประกบกันอย่างแน่นหนา ก่อนที่เสียงหัวเราะและรอยยิ้มของพวกเขาจะเติมเต็มห้องที่เงียบสงบ"งั้นฉันไปก่อนนะ พรุ่งนี้
ในยามหัวค่ำ ย่านท่องเที่ยวของถนนริมทะเล ร้านค้าบาร์และสถานบันเทิงแต่งแต้มด้วยไฟนีออนหลากสีส่องแสงระยิบระยับ เสียงเพลงและเสียงหัวเราะของผู้คนดังคลออยู่ในอากาศ หญิงสาวในชุดสะดุดตายืนเรียกลูกค้าอยู่หน้าร้าน เผยรอยยิ้มที่ถูกฝึกมาเพื่อดึงดูดสายตา ฮันน่าเดินลัดเลาะไปบนถนนที่เปียกชื้นเพื่อไปยังซอยลับที่ทอดตัวเงียบงันในย่านที่วุ่นวาย ที่ตั้งของ บาร์ลินลี่ สถานที่นัดหมายเสียงเพลงแผ่วเบาดังออกมาจากบาร์ แม้ประตูจะปิดสนิท กลิ่นบุหรี่และกลิ่นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลอยอ้อยอิ่งในอากาศ ประสานกับเสียงกระดิ่งเฉลิมฉลองวันขอบคุณพระเจ้าดังกังวานเป็นจังหวะเหมือนบทเพลงต้อนรับแขก หรืออาจเป็นสัญญาณเตือนใจสำหรับผู้ที่กล้าก้าวเข้ามา ทันใดนั้น เสียง เพล้ง! ขวดกระแทกพื้นดังสะท้อนก้องไปทั่วซอย ฮันน่าหยุดชะงัก ร่างของเธอนิ่งสนิทในชั่วขณะ ก่อนจะหันมองไปยังต้นเสียงด้วยนัยน์ตาตื่นตัวที่ด้านหน้าบาร์แห่งหนึ่ง ชายสองคนในสภาพเมาหนักกำลังโวยวายใส่กันอย่างไม่ลดละ เสียงตะโกนหยาบคายและการแกว่งมือไปมาของพวกเขาดูเหมือนพร้อมจะปะทะได้ทุกเมื่อ ใบหน้าของทั้งคู่แดงก่ำจากฤทธิ์แอลกอฮอล์พลันประตูบาร์เปิดออกอย่างแรง ชายร่างใหญ่สองคนท
เสียงมือถือดัง "ครืด... ครืด..." สั่นอยู่บนโต๊ะข้างเตียงในยามเช้าตรู่ ปลุกให้ฮันน่าที่กำลังหลับใหลค่อยๆ ตื่นขึ้นมา เธอลืมตาอย่างเชื่องช้า ความงัวเงียยังฉาบทับเปลือกตาและจิตใจ ร่างของเธอขยับเล็กน้อยก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์แสงจากหน้าจอทำให้เธอต้องหรี่ตา พลางใช้มืออีกข้างบังบางส่วนไว้ เธอเพ่งมองข้อความที่เด้งขึ้นมาบนหน้าจอ เป็นข้อความจาก "ลินลี่""เจอกันที่บาร์ของฉันเย็นนี้"ฮันน่าถอนหายใจเฮือกใหญ่ ราวกับเหนื่อยล้าในใจ เธอยกมือกุมขมับพลางพึมพำกับตัวเอง“ฉันต้องกลับไปที่ซอยนั้นอีกแล้ว...”เสียงของเธอแผ่วเบา แต่เต็มไปด้วยความกดดันที่ยากจะปฏิเสธ สถานที่ที่ลินลี่หมายถึงไม่ใช่ที่ที่เธออยากกลับไป แต่งานนี้กลับเป็นสิ่งที่เธอหลีกเลี่ยงไม่ได้ เงินที่เธอใช้ไปแล้ว และเงินอีกส่วนที่ยังรออยู่หลังงานสำเร็จ เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับเธอในตอนนี้เธอกลั้นหายใจลึก พยายามผลักความลังเลออกจากหัว ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาอีกครั้ง นิ้วของเธอค้างอยู่บนหน้าจอชั่วขณะ เหมือนกำลังตัดสินใจบางอย่าง แต่แล้วเธอก็พิมพ์ข้อความสั้นๆ ตอบกลับไป"ตกลง ลินลี่ แล้วเจอกัน"เธอวางโทรศัพท์ลงข้างตัว หันหน้าไปจ้องเพดาน สายตาว่างเปล
ฮันน่าก้าวออกจากซอยแห่งแสงสีและความลับ เธอรู้สึกเหมือนหลุดพ้นจากความอึดอัดบางอย่าง แต่ภายในใจยังวุ่นวายคิดเรื่องงานของลินลี่ที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า …..เธอก้าวเดินไปบนถนนริมชายหาดอย่างเชื้องช้าให้สายลมเย็นจากทะเลพัดผ่านใบหน้า เสียงคลื่นกระทบชายฝั่งดังแผ่วเบาเป็นฉากหลังในความมืดที่กระซิบปลอบประโลมในคืนที่เดียวดาย เธอสูดหายใจเข้าลึกเพื่อสงบใจ แต่กลับรู้สึกว่าความกดดันในใจยิ่งเพิ่มขึ้น เธอพยายามตั้งสติ ดึงตัวเองเข้าสู่เส้นทางที่กำลังเดินไปข้างหน้าที่มี แสงไฟจากผับและบาร์ที่เรียงรายเป็นทางยาวส่องแสงนวลใต้ดวงไฟที่กระพริบ เหมือนเป็นสัญญาณเรียกร้องให้เธอและผู้คนเข้ามาสัมผัสค่ำคืนของเมืองแห่งนี้ทุกมุมถนนเต็มไปด้วยสีสัน เสียงหัวเราะ และดนตรีที่ผสมผสานกันเป็นดั่งเสียงเรียกของค่ำคืนที่ยาวนานเธอเดินทอดน่องไปบนไหล่ทางริมต้นมะพร้าว เรียงยาวเป็นเงาสลัว ความกดดันและความเหนื่อยล้าภายในหลอมรวมเป็นความอึดอัด คงจะมีเพียงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ดูเหมือนจะเป็นสิ่งเดียวที่สามารถทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายและช่วยให้ค่ำคืนนี้ผ่านไปเร็วขึ้น…..เสียงเพลงบรรเลงจากลานบาร์ของโรงแรมห้าดาวดังขึ้นมาจากระยะไกล้ ท่วงทำนองนั้
ในห้องรับรองที่เปี่ยมด้วยแสงไฟสลัว ฮันน่ายืนนิ่งตรงหน้าลินลี่ สายตาของเธอจับจ้องหญิงตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์ ทุกเส้นผม ทุกท่วงท่าของลินลี่ส่งผ่านภาพลักษณ์ที่แตกต่างจากสิ่งที่ฮันน่าเคยเห็นเมื่อครั้งก่อนในบาร์ สตรีที่อยู่ตรงหน้าดูทรงพลังและแน่วแน่เกินกว่าจะเป็นคนธรรมดาที่ใครจะมองข้ามเธอเคยรู้จักลินลี่เพียงผิวเผิน การพูดคุยกันเพียงเสี้ยวหนึ่งในเส้นทางของโชคชะตา แต่ในคืนนี้ ลินลี่กลับฉายภาพที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ลินลี่นั่งไขว้ห้างอยู่บนโซฟาหรูด้วยท่าทีที่ราวกับกำลังปกครองอาณาจักรเล็กๆ ของตัวเอง กลิ่นหอมบางของน้ำหอมผสมควันบุหรี่ลอยอวลในอากาศ ทำให้บรรยากาศรอบตัวหล่อนดูหนักแน่นและเย้ายวนฮันน่าไม่สามารถละสายตาไปจากเธอได้ ความมั่นใจที่แผ่ออกมาจากลินลี่มันเป็นรังสีที่ทำให้ฮันน่าอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกดดันเธอสูดหายใจลึก ควบคุมความรู้สึกของตัวเองไว้ ก่อนจะพูดออกมาเสียงเรียบ“สวัสดี, ลินลี่” ลินลี่จ้องมองฮันน่าด้วยสายตาคมกริบราวกับต้องการสำรวจทุกอณูของหญิงสาวตรงหน้า ยั่งลึกลงไปข้างในความคิดและความรู้สึกทั้งหมดอย่างไม่ให้คลาดสักเสี้ยวนาที“นั่งสิ ฮันน่า” ลินลี่เอ่ยเสียงนุ่ม แต่แฝงด้วยน้ำเส
ในห้องน้ำเล็กๆของโรงแรม แสงสีส้มอมทองส่องลงมาจากไฟบนเพดาน เสียงจากปลายสายดังลอดออกมาจากลำโพงมือถือที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์ข้างอ่างล้างหน้า คำพูดที่เต็มไปด้วยแรงกดดันและความเร่งเร้าเหมือนบีบคั้นฮันน่าในทุกลมหายใจ"ฮันน่า ตกลงเธอจะเคลียร์เงินวันไหน ขอความชัดเจนหน่อยได้ไหม ไม่ใช่ให้รอไปวันๆ"เสียงนั้นกระแทกหูเธอซ้ำๆ ฮันน่าจับขอบอ่างล้างหน้าแน่นจนข้อนิ้วเปลี่ยนสี ความเงียบที่แทรกระหว่างคำพูดนั้นเหมือนกับจะกดดันเธอยิ่งกว่าเสียงตะคอก"ฮันน่า ...ฮันน่า"เสียงปลายสายยังคงเรียกชื่อเธอ ทว่าฮันน่าไม่ได้ตอบอะไรกลับ เธอก้มหน้ามองมือที่สั่นเล็กน้อยก่อนจะปล่อยให้สายนั้นตัดไป เสียง "ตี๊ด ตี๊ด ตี้ด" แทรกผ่านเข้ามาในความเงียบ เธอเงยหน้าขึ้นมองตัวเองในกระจก สบสายตากับเงาสะท้อนที่ดูอ่อนล้าและเต็มไปด้วยความสับสน"อดทนสิฮันน่า..." เธอบอกตัวเองในใจ ราวกับพยายามยึดเหนี่ยวคำปลอบโยนเล็กๆ เพื่อก้าวผ่านช่วงเวลานี้ไป เธอหลับตาลง สูดลมหายใจเข้าลึก และถอนหายใจออกมาอย่างช้าๆจากนั้นเธอเอื้อมไปหยิบขวดยาที่วางอยู่ข้างๆ บนเคาน์เตอร์ เปิดฝาและเทมันออกมา เธอจ้องเม็ดกลมๆอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะโยนเข้าปากตามด้วยน้ำที่อยู่ในแก้วพล
สายตามองของฮันน่ามองไปที่ทะเลที่มีแสงรำไรจากดวงจันทร์ส่องบนผืนน้ำหัวใจของเธอจดจ่อรอฟัง เสียงของลินลี่่ “ตอนนี้ลินลี่ยังไม่สะดวกรับสาย รบกวนฝากข้อความไว้ค่ะ” เธอถอนหายใจยาวราวกับว่าคำตอบที่ได้ฟังทำให้เธอได้มีมีเวลาคิดอีกสักนิด เสียงตอบรับอัตโนมัติจากปลายสายทำให้ฮันน่าเกิดความรู้สึกทั้งโล่งใจและวิตกในเวลาเดียวกัน เธอวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะช้าๆ ราวกับว่าการเคลื่อนไหวที่รีบร้อนจะย้ำเตือนความไม่มั่นใจในใจของเธอ สายตาจ้องมองโทรศัพท์นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเธอพึมพำเบาๆ กับตัวเอง“ยังไม่ต้องตัดสินใจตอนนี้...” เวลาที่ได้เพิ่มมานี้เหมือนเป็นทั้งของขวัญและบททดสอบ เธอรู้ดีว่าในไม่ช้าคำตอบจะต้องถูกส่งออกไป แต่การได้รับโอกาสให้ทบทวนอีกครั้งก็ทำให้เธอเริ่มตั้งคำถามกับตัวเอง ……..แสงแรกของวันเริ่มสาดส่องบนขอบฟ้า แม้จะไม่เจิดจ้า แต่ก็เพียงพอที่จะเผยให้เห็นผืนทะเลที่กว้างใหญ่และสงบนิ่ง ฮันน่าก้าวเท้าลงบนทรายละเอียด ความเย็นของเม็ดทรายและสายลมที่พัดผ่านใบหน้าทำให้เธอรู้สึกเหมือนได้รับการปลอบประโลมเล็กน้อย ร่องรอยของค่ำคืนที่ไม่อาจข่มตาหลับฉายชัดบนใบหน้าของเธอ ดวงตาที่ล้าจ้องมองไปยังเส้นขอบฟ้า สายน้ำระย