ชาติก่อนเวินซื่อเป็นไข่มุกบนฝ่ามือของบิดาและเหล่าพี่ชาย แต่หลังจากที่บิดาพาน้องสาวกลับมา นางก็สูญเสียความรักไปทั้งหมด อีกทั้งยังโดนพวกพี่ชายมองว่าเป็นสตรีเจ้าเล่ห์เพราะแก่งแย่งความรักกับน้องสาว พี่ใหญ่บังคับให้นางคุกเข่าต่อหน้าผู้คน พี่รองตัดมือเท้าทั้งสองข้างของนาง พี่สามทรมานนางอย่างหนัก พี่สี่ทำลายโฉมหน้าและชื่อเสียงของนาง แม้แต่บิดาก็ไล่นางออกจากบ้าน สุดท้ายเวินซื่อเสียชีวิตอย่างน่าเวทนาด้วยน้ำมือของบิดาและพี่ชาย เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง นางเลือกที่จะละทิ้ง ขอพระราชโองการออกจากตระกูล ตัดขาดความสัมพันธ์ทางสายเลือด ใครจะรู้ว่าพวกพี่ชายกลับพากันนึกเสียใจ คุกเข่าอ้อนวอนให้นางลาสิกขา เวินซื่อส่ายหน้าอย่างเฉยชา “อมิตตาพุทธ ตระกูลเวินอันใด เวินซื่ออันใด พวกประสกจำคนผิดแล้ว”
View Moreในฐานะบุตรสาวแห่งภรรยาเอกแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง เวินซื่อย่อมรู้จักของเหล่านี้อยู่แล้วและนางไม่เพียงแต่รู้จักเท่านั้น แต่เมื่อก่อนยังเคยใช้บ่อย ๆ อีกด้วยเพราะหลังจากที่มารดาล่วงลับไป จวนเจิ้นกั๋วกงก็มีนางเป็นบุตรสาวคนเดียว ดังนั้นในเวลานั้นเมื่อเวินเฉวียนเซิ่งได้รับสิ่งใดมาก็ตาม ก็จะมอบให้กับนางโดยตรงแต่ต่อมาเมื่อมีเวินเยวี่ยเข้ามาในสกุลเวินเวินเยวี่ยแค่เอ่ยคำเดียวว่าชอบ ปริมาณยาหยกหิมะที่ส่งมาที่ห้องนางก็ลดลงจากสามขวด สองขวด หนึ่งขวด จนสุดท้ายก็ไม่เคยได้รับมันอีกเลยในเวลานั้นเวินซื่อที่ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลยก็วิ่งไปหาเวินเฉวียนเซิ่งโดยตรงเพื่อถามบิดาของตนว่า ทำไมถึงมอบยาหยกหิมะแก่เวินเยวี่ย แต่นางกลับไม่มีสักขวดเลย?เวลานั้น ‘บิดาแสนดี’ พูดว่าอย่างไรนะ?เวินซื่อลองนึกดูสักครู่ใช่แล้ว ตอนนั้นเขาขมวดคิ้วพร้อมกับพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เพราะนางเป็นน้องสาวของเจ้า นางต้องลำบากลำบนมากมายตั้งแต่เด็ก เจ้าเป็นพี่สาวจะยอมเอื้อเฟื้อหน่อยไม่ได้หรือ?”ด้วยคำว่า ‘พี่สาว’ นำหน้า เวินซื่อจึงต้องยอมแม้ว่าในใจจะรู้สึกคับข้องเพียงใดก็ตามนางในเวลานั้นยังมีความคิดอย่างไร้เดียงสา...ช่างมันเถอะ
เวินหย่าลี่ที่แน่ใจแล้วว่าโจรที่ขโมยยาหยกหิมะไปคือเวินซื่อโกรธจัดจนด่าทอเสียงดัง...“โชคดีที่นางได้รับการแต่งตั้งจากฝ่าบาทให้เป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ฝูหมิงอะไรไปบวชชีที่อารามแม่ชี อ้างว่ากำลังฝึกบำเพ็ญสวดขอพร ผลปรากฏว่าได้เรียนรู้วิธีลักเล็กขโมยน้อยแทน อับอายขายหน้าเป็นที่สุด!”“พี่ใหญ่พูดถูกจริง ๆ ทำเรื่องอัปยศอดสูเช่นนี้ สมควรแล้วที่จะถอดแซ่เวินออกจากนาง ไม่ให้นางกระทำการในนามของสกุลเวินอีกในอนาคต เพื่อไม่ให้ชื่อเสียงของจวนเจิ้นกั๋วกงต้องแปดเปื้อนเสียหาย”“ท่านแม่ ไม่ใช่เวินซื่อ...”ชุยเส้าเจ๋อไม่นึกเลยว่าเวินหย่าลี่จะสงสัยเวินซื่อโดยไม่ลังเลแม้แต่นิดเขาเอ่ยปากอย่างยากลำบาก คิดว่าควรล้างมลทินให้เวินซื่อสักหน่อยถึงจะถูกแต่พูดไปเพียงไม่กี่คำ กลับพูดต่อไปไม่ได้ขึ้นมาอย่างกะทันหันถ้าจะล้างมลทิน เขาก็ต้องบอกมารดาสิว่า ยาหยกหิมะสามขวดนั่นเขามอบให้น้องหญิงเยวี่ยเอ๋อร์ไปหมดแล้ว?หากมารดาของเขานึกว่าน้องหญิงเยวี่ยเอ๋อร์ยุยงแล้วเขาจะทำอย่างไร?มารดาของเขาจะไม่หันกลับมาด่าทอน้องหญิงเยวี่ยเอ๋อร์เหมือนกับที่ด่าทอเวินซื่อในตอนนี้หรือ?อาจเป็นไปได้ด้วยซ้ำว่าพอรู้เรื่องนี้แล้วต่อไปมารดาของเ
ยาหยกหิมะนี้เป็นของเชื้อพระวงศ์ใช้กันในวัง ขวดเล็ก ๆ เพียงขวดเดียวก็มีมูลค่าสูงมากครอบครัวขุนนางธรรมดาและประชาชนทั่วไปไม่สามารถใช้ได้ นอกจากเหล่านางสนมจะพระราชทานเป็นรางวัลให้เท่านั้น ครอบครัวขุนนางระดับล่างและเหล่านางในถึงจะมีสิทธิ์ใช้เวินหย่าลี่อาศัยบารมีพี่ใหญ่ของนาง บวกกับสามีในฐานะจงหย่งโหวซึ่งในมือกุมอำนาจที่แท้จริง ดังนั้นไทเฮาจึงเรียกนางเข้าวังอยู่เป็นครั้งคราว ประทานของอย่างยาหยกหิมะอยู่ไม่น้อยทั้งสามขวดนี้คือของดีที่องค์ไทเฮาได้ประทานให้นาง เมื่อตอนที่นางเข้าวังคราวก่อนแม้แต่เวินหย่าลี่เองก็ตัดใจใช้มันไม่ลง ถึงได้นำยาหยกหิมะทั้งสามขวดไปเก็บไว้ในห้องเก็บของแต่สิ่งที่นางนึกไม่ถึงก็คือ ยาหยกหิมะทั้งสามขวดถูกเก็บเข้าไปในตอนเช้า ตอนบ่ายก็ถูกลูกชายของนางส่งไปที่จวนเจิ้นกั๋วกงทั้งหมด ปรากฏอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งของเวินเยวี่ยชุยเส้าเจ๋อก็รู้ว่ามารดาของเขาห่วงแหนยาหยกหิมะนั่นเพียงใด แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกใครใช้ให้เขาพูดผิดไปที่จวนเจิ้นกั๋วกงในวันนั้น ทำให้น้องหญิงเยวี่ยเอ๋อร์โกรธอยู่หลายวัน ไม่ว่าจะเอาอกเอาใจเพียงใดเพียงใดก็ไม่หายพอดีในตอนนั้นได้ยินมารดาของเขาพูดถึงยาหยกห
“แหกปากอะไร มีผีที่ไหนกันเล่า?”ชุยเส้าเจ๋อเกาใบหน้าและลำคอของตัวเอง พลางสวมเสื้อคลุม ดุด่าสาวใช้คนนั้นด้วยความหงุดหงิด“ไม่ใช่เจ้าค่ะ ท่านซื่อจื่อ บนหน้าของท่าน เป็น...เป็นอะไรไป?!”หลังจากสาวใช้ตระหนักว่าที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่ผีที่ใช้เสียงของชุยเส้าเจ๋อ แต่เป็นซื่อจื่อของพวกนางเอง สีหน้าของนางก็ยิ่งทวีความหวาดกลัวทันที“บนหน้าของข้าหรือ?”ชุยเส้าเจ๋อที่ยังไม่รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นขมวดคิ้วด้วยความสับสน เมื่อสาวใช้เอากระจกทองแดงมาอยู่ตรงหน้าเขา มองเห็นใบหน้าที่โชกเลือดอยู่ในกระจกนั้น ชุยเส้าเจ๋อก็หน้าถอดสีทันที“นี่มันเรื่องอะไรกัน? เกิดอะไรขึ้นกับใบหน้าของข้า?!”ใบหน้าที่เคยสง่างามหล่อเหลา ตอนนี้ไม่เพียงแต่เต็มไปด้วยเลือดเท่านั้น แต่ยังบวมแดง บวมจนแทบจะเหมือนหัวหมูอยู่แล้วและไม่ใช่แค่ใบหน้าของเขาเท่านั้น แต่รวมถึงคอ มือ และเท้าทั้งสองของเขา จนถึงขั้นทั่วร่างกายล้วนอยู่ในสภาพเดียวกับใบหน้าเมื่อดูอย่างถี่ถ้วน บริเวณที่มีคราบเลือดเหล่านั้นมากที่สุดชัดเจนว่าเป็นบริเวณที่เขาเกาอย่างแรงเมื่อครู่!ชุยเส้าเจ๋อตื่นตระหนกในทันที “ยังมัวยืนอึ้งอยู่ตรงนี้ทำไมเล่า ยังไม่รีบไปตามหมอมาให้ข้
“ใช่แล้วท่านอ๋อง ลงมาเร็วเข้า รีบขึ้นรถไปพูดคุยกับธิดาศักดิ์สิทธิ์ พัฒนาความสัมพันธ์หน่อยสิพ่ะย่ะค่ะ”เป่ยเฉินหยวนที่ถูกทั้งสองไล่ลงจากม้า “?”“พวกเจ้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไรกันอยู่?”เขาขมวดคิ้วกล่าวว่า “อู๋โยวและอาจารย์ของนางนั่งอยู่บนรถม้าด้วยกัน แล้วข้าจะเข้าไปร่วมสนุกอะไรด้วย?”เฮ้อ!ลืมเรื่องนี้ไปเลยรู้อย่างนี้จะเตรียมรถม้าเพิ่มไว้อีกหนึ่งคัน คันหนึ่งสำหรับม่อโฉวซือไท่คนเดียว อีกคันหนึ่งสำหรับท่านอ๋องของพวกเขากับธิดาศักดิ์สิทธิ์ถึงจะถูก!เกาเย่าและสหายคิดไว้เป็นอย่างดี แต่กลับไม่คิดว่าต่อให้มีรถม้าเพิ่มอีกคัน เวินซื่อก็จะไม่นั่งกับเป่ยเฉินหยวนตามลำพัง เพราะถึงอย่างไรแล้วต่อให้พวกเขาสองคนมีจิตใจบริสุทธิ์ แต่คนอื่น ๆ จะไม่คิดเช่นนี้ดังนั้นยามใดควรหลีกเลี่ยงความสงสัยก็หลีกเลี่ยงดีกว่าอย่างน้อยนี่คือสิ่งที่เวินซื่อคิดหลังจากที่เป่ยเฉินหยวนได้ม้าคืนมา ก็นำกองทัพธงดำไปส่งเวินซื่อและม่อโฉวซือไท่เวินซื่อหมอบอยู่ข้างหน้าต่างรถ มองดูถนนหนทางที่พลุกพล่านข้างนอกไปตามทางเนื่องจากวันนี้เป่ยเฉินหยวนมีปัญหามากพออยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อครู่นางจึงไม่ได้พูดถึงการไปเดินเล่นหรืออะไรท
“ธิดาศักดิ์สิทธิ์ เป็นข้าน้อยที่ตามใจมากเกินไป จึงทำให้ลูกชายของข้าน้อยเอาแต่ใจและไม่รู้จักคิดถึงเพียงนี้ ธิดาศักดิ์สิทธิ์โปรดให้อภัยด้วย ต่อไปข้าน้อยจะอบรมสั่งสอนอย่างเข้มงวด ไม่สร้างปัญหาใด ๆ แก่องค์ธิดาศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป”น้ำเสียงของจงหย่งโหวจริงจังซ้ำยังแฝงการตำหนิตัวเองเล็กน้อยเห็นได้ชัดว่าเขาตระหนักดีว่า ภรรยาและบุตรชายของตัวเองทำกับเวินซื่อเกินไปเพียงใดเมื่อเห็นจงหย่งโหวแสดงท่าทีเช่นนี้ออกมา ต่อให้เวินซื่อจะเกลียดชังชุยเส้าเจ๋อมากสักแค่ไหนก็ตาม นางก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเพราะหากจะว่าไปแล้ว เมื่อก่อนนี้คนที่ดีกับนางมากที่สุดในจวนจงหย่งโหว ก็เป็นท่านโหวผู้นี้ที่ปกติดูไม่เป็นมิตรนัก แต่ในเวลาส่วนตัวกลับเป็นมิตรเป็นอย่างมาก“ท่านโหวลุกขึ้นเถิด ความผิดของผู้อื่นไม่เกี่ยวกับท่าน ข้าเองก็ไม่เคยนึกตำหนิท่านโหวมาก่อนเลย ดังนั้นท่านโหวไม่จำเป็นต้องตำหนิตัวเอง”“สำหรับชุยซื่อจื่อ...”เวินซื่อเหลือบมองชุยเส้าเจ๋อที่ใบหน้ายังคงเต็มไปด้วยความอัปยศและขุ่นเคือง นางเอ่ยอย่างราบเรียบ “ข้ากับเขามีอุปสรรคด้านการสื่อสาร ไม่สามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนกันได้ รบกวนท่านโหวช่วยบอกเขาว่า ต่อไปอย่าใช้คำว
เวินซื่อหลุบตาลงมองเวินจื่อเฉินที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้านาง ดวงตากระตุกเล็กน้อย ก่อนจะเบือนสายตาออกไปคนอื่น ๆ ก็มองไปที่เวินจื่อเฉินด้วยความประหลาดใจเช่นกันเวินจื่อเยวี่ยถึงกับขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ “พี่รอง?”“เจ้าสาม ยังจำคำพูดที่ท่านพ่อต้องการให้พวกเราถ่ายทอดได้ใช่ไหม?”เวินจื่อเฉินคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ตัวตรงเรียบร้อย เขาพูดโดยไม่เหลียวหลัง “พวกเจ้าเพิ่งพูดกับน้องห้าชัดเจนว่าอย่ากระทำการในนามของสกุลเวินอีกต่อไป ซ้ำยังบอกนางด้วยว่าห้ามใช้แซ่เวินอีก ดังนั้นตอนนี้น้องห้าจึงมายืนอยู่ตรงหน้าพวกเราในฐานะธิดาศักดิ์สิทธิ์ ที่ควรสำเหนียกตัวตนให้ดีไม่ใช่พวกเราหรอกหรือ?”คำพูดของเวินจื่อเฉินทำให้ทั้งเวินจื่อเยวี่ยและเวินเยวี่ยเป็นใบ้พูดไม่ออก ไม่มีใครสามารถโต้แย้งได้หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เวินจื่อเยวี่ยก็ค่อย ๆ หันร่างไป ก่อนจะคุกเข่าลงต่อเวินซื่อ“เวินจื่อเยวี่ย...คำนับธิดาศักดิ์สิทธิ์”แตกต่างจากการสีหน้าท่าทางที่เด็ดเดี่ยวของเวินจื่อเฉินเวลาที่เวินจื่อเยวี่ยพูดนั้นสายตายิ่งเยือกเย็นราวกับจุ่มลงในน้ำแข็ง“ทำไม พวกเจ้าทั้งสามไม่ยอมรับสถานะของธิดาศักดิ์สิทธิ์หรือ?”เป่ยเฉินหยวน
หลังจากพูดจบ ชุยเส้าเจ๋อถึงได้รู้ตัวว่าดูเหมือนจะพูดมากเกินไปหน่อยเขามองไปยังเวินซื่อโดยสัญชาตญาณ ราวกับคิดว่านางเจ็บปวดกับคำพูดของตัวเองแต่เวินซื่อกลับไม่มีการแสดงออกใด ๆ“จวนจงหย่งโหววิเศษอะไรเช่นนี้!”ม่อโฉวซือไท่สีหน้าเย็นชาเวินจื่อเฉินโกรธจัดจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันสายตาของเวินเยวี่ยภาคภูมิใจจนสุดจะเปรียบเปรย มองดูเวินซื่อ แล้วมองไปที่ชุยเส้าเจ๋อในที่สุดเจ้าโง่คนนี้ก็รู้ว่าต้องเลือกใครส่วนเวินจื่อเยวี่ยที่อยู่ข้าง ๆ ก็ยิ้มเยาะพูดขึ้นมาประโยคหนึ่ง “ถูกผู้อื่นรังเกียจถึงเพียงนี้ จะโทษใครได้?”“เจ้าสาม เจ้าหุบปากเสีย”เวินจื่อเฉินถลึงตาใส่เขาแต่เวินจื่อเยวี่ยกลับไม่ฟังเขาเลย ซ้ำยังย้อนถามว่า “ข้าพูดผิดไปหรือ? วันนี้นางมาถึงจุดนี้แล้ว ถูกขับไล่ออกจากสกุลเวิน ถูกท่านพ่อถอดแซ่ ถูกถอนหมั้น ถูกหยามหน้า...ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะนางก่อกรรมทำเข็ญมากเกินไปในอดีต สมควรได้รับมันแล้วหรอกหรือ?”“ข้าบอกให้เจ้าหุบปาก!”เวินจื่อเฉินตะคอกด้วยความโกรธออกมาทันที อารมณ์ที่ปะทุขึ้นมาของเขาสยบเวินจื่อเยวี่ยลงได้ในที่สุดแต่เวินจื่อเยวี่ยแค่หุบปากลง เบือนใบหน้าอึมครึมชั่วร้ายออกไปอีกทาง“หยา
จู๋เยวี่ยที่หลบซ่อนอยู่ในมุมลับ “...”จะให้ปรากฏตัวก็แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้เพราะถึงอย่างไรจากสถานการณ์นี้แค่เห็นก็รู้แล้วว่าไม่สามารถออกไปทำให้เจ้านายเสียเรื่องดังนั้นเมื่อเวินซื่อตะโกนไปรอบ ๆ ก็ไม่มีใครออกมา“ชุยซื่อจื่อ ทีนี้เจ้าเห็นแล้วใช่ไหม ข้าไม่รู้จักจู๋เยวี่ยอะไรนั่นจริง ๆเวินซื่อส่ายหัว ทำท่าทางจริงจังมากม่อโฉวซือไท่ที่ดูอยู่ข้าง ๆ ยังอดเบือนหน้าหนีไม่ได้กลัวว่าตัวเองจะหัวเราะส่งเสียงออกมาชุยเส้าเจ๋อถลึงตาใส่อย่างโกรธเกรี้ยว “เจ้าอย่ามาหลอกข้า! ข้าถูกจู๋เยวี่ยนั่นซ้อมจนบาดเจ็บไปทั้งตัว ขาก็เกือบจะถูกตีจนพิการแล้ว ตอนนี้เจ้ามาบอกว่าไม่รู้จักเช่นนั้นหรือ? เจ้ากำลังหลอกใคร!”“บาดเจ็บไปทั้งตัว? ไหนล่ะ?”เวินซื่อเลิกคิ้วขึ้น “บนตัวชุยซื่อจื่อมีบาดแผลด้วยหรือ?”ชุยเส้าเจ๋อเอ่ยขึ้นทันที “เจ้าดูหน้าข้าสิ! มองบาดแผลบนตัวข้า บนแขนของข้า บน...หือ? บาดแผลของข้าล่ะ?”ชี้ไปที่ใบหน้าของตัวเอง ม้วนแขนเสื้อขึ้นเพื่อเปิดแผลให้นางดู ปรากฏว่ายังพูดไม่ทันจบ ชุยเส้าเจ๋อก็สังเกตเห็นความผิดปกติเขาจดจำได้อย่างชัดเจนว่าตัวเองถูกคนปิดหน้าที่ชื่อจู๋เยวี่ยทุบตีไปทั่วร่างจนถึงตอนนี้เขา
“หม่ำ ๆๆ”“กินสิ พี่หญิง เหตุใดท่านถึงไม่กินเล่า?” ภายในห้องลับที่มืดสลัว เวินซื่อบาดเจ็บไปทั่วทั้งร่าง นอนคว่ำอยู่บนพื้นหายใจรวยริน โซ่เหล็กบนตัวนางส่งเสียงดังเคร้ง รัดคอและแขนขาของนางไว้ จนทำให้นางสลัดไม่หลุดเบื้องหน้าของนางมีดรุณีน้อยสวมชุดสีเหลืองอ่อนถืออาหารสุนัขไว้ในมือ หยอกล้อนางราวกับกำลังหยอกสุนัขก็มิปาน ส่วนดรุณีน้อยที่ยิ้มแย้มราวกับบุปผาผู้นี้คือน้องสาวของนาง...เวินเยวี่ยเวินเยวี่ยเอ่ยกับสาวใช้ที่อยู่ข้างหลังอย่างไม่พอใจว่า “ดูสิ พี่หญิงของข้าช่างไร้ประโยชน์เสียจริง แม้แต่สุนัขก็ยังเป็นให้ดีไม่ได้ คุณหนูอย่างข้าป้อนให้นางกินด้วยตัวเอง นางยังกล้าไม่กินอีกหรือ?” สาวใช้ก้าวเข้ามาเตะคนที่อยู่บนพื้นทันทีเตะจนคนร้องคราง สาวใช้ถึงค่อยเอ่ยเอาใจเวินเยวี่ยว่า “คุณหนูอย่าไปโต้เถียงกับนางเลยเจ้าค่ะ เกรงว่าสุนัขตัวนี้ยังคงคิดว่าตนเองเป็นบุตรสาวภรรยาเอกของจวนกั๋วกง”เวินเยวี่ยหัวเราะเยาะ “เวินซื่อนับว่าเป็นบุตรสาวภรรยาเอกของประเภทไหน? แม้แต่ท่านพ่อกับพวกท่านพี่ก็ไม่ยอมรับนางแล้ว การได้เป็นสุนัขก็นับว่าเป็นเกียรติที่คุณหนูอย่างข้ามอบให้นาง”“น่าเสียดายที่ไม่รู้จักเจียมตัว”...
Comments