ชาติก่อนเวินซื่อเป็นไข่มุกบนฝ่ามือของบิดาและเหล่าพี่ชาย แต่หลังจากที่บิดาพาน้องสาวกลับมา นางก็สูญเสียความรักไปทั้งหมด อีกทั้งยังโดนพวกพี่ชายมองว่าเป็นสตรีเจ้าเล่ห์เพราะแก่งแย่งความรักกับน้องสาว พี่ใหญ่บังคับให้นางคุกเข่าต่อหน้าผู้คน พี่รองตัดมือเท้าทั้งสองข้างของนาง พี่สามทรมานนางอย่างหนัก พี่สี่ทำลายโฉมหน้าและชื่อเสียงของนาง แม้แต่บิดาก็ไล่นางออกจากบ้าน สุดท้ายเวินซื่อเสียชีวิตอย่างน่าเวทนาด้วยน้ำมือของบิดาและพี่ชาย เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง นางเลือกที่จะละทิ้ง ขอพระราชโองการออกจากตระกูล ตัดขาดความสัมพันธ์ทางสายเลือด ใครจะรู้ว่าพวกพี่ชายกลับพากันนึกเสียใจ คุกเข่าอ้อนวอนให้นางลาสิกขา เวินซื่อส่ายหน้าอย่างเฉยชา “อมิตตาพุทธ ตระกูลเวินอันใด เวินซื่ออันใด พวกประสกจำคนผิดแล้ว”
View Moreขณะเดียวกันจวนเจิ้นกั๋วกงหลังเวินเยวี่ยถูกลงโทษโดยกฎประจำตระกูลฟาดแส้ไปห้าสิบที ก็หมดสติอย่างสิ้นเชิงแผ่นหลังเต็มไปด้วยเลือด ถูกฟาดจนเนื้อหนังปริแตก จนไม่กล้ามองดูสองวันมานี้ เวินเยวี่ยนอนร้องไห้เพราะความเจ็บปวดทั้งวันทั้งคืนทุกครั้งที่ใส่ยาทำให้นางเจ็บปวดจนอยากจะสับเวินซื่อที่อารามสุ่ยเยว่เป็นหมื่นชิ้น เพื่อให้อีกฝ่ายลิ้มรสความเจ็บปวดของตัวเองไม่ง่ายกว่าจะผ่านพ้นไปสองวัน เวินเยวี่ยที่นอนอยู่บนเตียงออกไปไหนไม่ได้ ได้ยินข่าวร้ายจากสาวใช้สาวใช้ที่มาใหม่ชื่อเซียงเหอ ส่วนหงอวี้หายตัวไปตั้งแต่สองวันก่อนผู้ที่ลงมือจัดการย่อมต้องเป็นเจิ้นกั๋วกงจวนเจิ้นกั๋วกงที่ใหญ่โตหากอยากให้สาวใช้สักคนหายไปอย่างเงียบเชียบ เป็นเรื่องที่ง่ายดายเหลือเกินทว่าฝีมือเช่นนี้ก็ทำให้เวินเยวี่ยรู้สึกหวาดกลัวเพราะนางรู้สึกว่าบิดากำลังตักเตือนนางไม่อย่างนั้นจะสังหารสาวใช้คนสนิทของนางโดยตรงได้อย่างไรเดิมทีเวินเยวี่ยตกใจจนสำรวมขึ้นบ้างแล้ว แต่หลังจากผ่านความทรมานสองวันมานี้ ความโกรธแค้นในใจเกิดขึ้นอีกครั้งโดยเฉพาะได้ยินข่าวจากเซียงเหอ ว่าพี่รองของนางเวินจื่อเฉินถึงกับตัดสัมพันธ์กับทุกคนในจวนเจิ
ขณะนี้เวินซื่อประหม่ายิ่งกว่าเขาเสียอีกมุมปากฉีกแล้ว ยังบวมอีก!ใบหน้าที่งดงามไร้ที่ติเช่นนี้ หากต้องมาเสียโฉมเพราะนาง นั่นเป็นความผิดของนางชัดๆ !“ข้าจะไปเอายามาให้ท่านเดี๋ยวนี้ รีบทายาซะ อย่าให้เกิดเป็นรอยแผลเป็นเด็ดขาด”เวินซื่อหันหลังเตรียมกลับไปที่เรือนเล็ก จู๋เยวี่ยปรากฏตัวขึ้นตรงหน้านางทันที“จู๋เยวี่ย? ในที่สุดเจ้าก็กลับมา ทำไมถึงไปนานขนาดนี้?”จู๋เยวี่ยรีบเดินมาตรงหน้าเวินซื่อ “อู๋โยว รีบตามข้ามา มีคนนอกมาเยือนอารามสุ่ยเยว่ เป็นคนจากในวัง”“คนจากในวังหรือ?”เวินซื่อเลิกคิ้ว หันมองเป่ยเฉินหยวนที่อยู่ด้านหลังพบว่าเป่ยเฉินหยวนกำลังขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็ไม่รู้เรื่องนี้คงไปเอายาไม่ทันแล้วในไม่ช้าเวินซื่อก็กลับไปถึงอารามสุ่ยเยว่ เมื่อมาถึงนอกอารามเห็นม่อโฉวซือไท่รออยู่นอกประตูใหญ่ตามคาด และเสี่ยวเต๋อจื่อที่อยู่ไม่ไกล พร้อมกับรถม้าคันด้านหลังเขาที่เคยส่งนางมาอารามสุ่ยเยว่“บ่าวคารวะธิดาศักดิ์สิทธิ์”เมื่อเห็นเวินซื่อปรากฏตัว เสี่ยวเต๋อจื่อรีบเข้าไปทำความเคารพอย่างอ่อนน้อมเผชิญหน้ากับขันทีที่เป็นคนสนิทของฝ่าบาท แม้เขาจะทำความเคารพ เวินซื่อก็ไม่กล้ารับไว้ทั้ง
อ๋องผู้สำเร็จราชการแทนผู้ยิ่งใหญ่ ยากนักที่จะตกอยู่อากัปกิริยาพูดติดอ่างเช่นนี้หากให้ผู้ใต้บัญชาเหล่านั้นของเขาเห็นเข้า คงตกใจจนลูกตาถลนออกจากเบ้าทว่าโชคดี เขาเผยท่าทางวางตัวไม่ถูกเช่นนี้ต่อหน้าอู๋โยวเท่านั้นเป่ยเฉินหยวนถือโอกาสนอนลงข้างกายเวินซื่อ ในใจรู้สึกดีงามอย่างประหลาดได้ฟังคนที่ชอบสวดมนต์ให้จิตใจเขาสงบอยู่ข้างกายอย่างตั้งใจ ความรู้สึกเช่นนี้ราวกับถูกคนรักกล่อมให้นอนหลับ ในที่สุดเป่ยเฉินหยวนที่รู้สึกหวานละไมก็ผ่อนคลายความคิดที่ตึงเครียด ค่อยๆ จมดิ่งสู่ในนั้นหลังจากลมหายใจของเป่ยเฉินหยวนเริ่มราบเรียบ เสียงสวดมนต์ของเวินซื่อเล็กลงเรื่อยๆ ผ่านไปทีละนิด จนสุดท้ายเหลือเพียงเสียงลำธารไหลผ่านและสัมผัสของสายลมที่พัดเอื่อยเวินซื่อที่รู้สึกง่วงนอนขึ้นมาอย่างประหลาดจึงขยี้ตาช่างเถอะ งีบสักครู่ดีกว่าอีกเดี๋ยวจู๋เยวี่ยกลับมาต้องเรียกนางแน่นอนเวินซื่อคิดเช่นนั้น จึงขยับตัวเล็กน้อย แล้วนอนลงไปเช่นกันระยะห่างเว้นจากเป่ยเฉินหยวนประมาณหนึ่งคนกั้น ไม่ใกล้ไม่ไกลหลังจากนางนอนหลับ มิติแห่งนี้ราวกับมีเพียงทั้งสองคนเท่านั้นเมื่อเป่ยเฉินหยวนตื่นขึ้น พลันเห็นภาพที่ทำให้แทบหยุดหา
หลังจากวนหนึ่งรอบ เป่ยเฉินหยวนจึงวางนางไว้บนพื้นอีกครั้งทั้งยังเลือกวางไว้บนก้อนหินขนาดใหญ่ที่เรียบ เพื่อให้นางสามารถยืนอย่างมั่นคงเวินซื่อที่ขวัญผวาโดยไม่ได้รับอันตรายใดตบหน้าอกตัวเองเพื่อให้หายตกใจ พร้อมกล่าวขอบคุณ “โชคดีที่มีท่านอ๋องอยู่ ไม่อย่างนั้นเมื่อครู่ข้าต้องเคราะห์ร้ายแน่ๆ เลย”เมื่อวานหลังจากฝนตกลงมาหนึ่งครั้ง ทำให้อากาศวันนี้เริ่มเย็นลงหากยามนี้นางตกน้ำ เกรงว่าคงต้องไม่สบายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เป่ยเฉินหยวนยกมือดีดหน้าผากนางเบาๆ “เมื่อครู่ใครใช้ให้ท่านไม่ระวังล่ะ ทั้งที่รู้ว่าตัวเองยกไม่ไหว ยังตักน้ำมากขนาดนี้อีก”ครั้งนี้โชคดีที่มีเขาอยู่ เกิดครั้งหน้าเขาไม่อยู่ด้วยล่ะ?เวินซื่อจับหน้าผากตัวเอง ไม่กล้าบอกว่าเมื่อครู่ที่นางไม่ทันระวังความจริงเป็นเพราะเขา“เอาละ นำถังไม้มาให้ข้าเถอะ ท่านไปยืนดูอยู่ด้านข้างดีกว่า”เป่ยเฉินหยวนถลกแขนเสื้อและขากางเกงขึ้น จากนั้นไปยกถังไม้ขึ้นจากลำธาร ปล่อยให้เวินซื่อยืนอยู่ริมฝั่ง“หา? ให้ท่านทำหรือ? คงไม่เหมาะสมเท่าใดกระมัง?”เวินซื่อเบิกตาโต พร้อมกล่าวอย่างแปลกใจให้อ๋องผู้สำเร็จราชการแทนที่สูงส่งช่วยตักน้ำให้นาง นี่ไม่ใช่แค่ไ
เวินซื่อไม่นึกว่าจู๋เยวี่ยจะมาปลอบประโลมนางคราวนี้นางเผยรอยยิ้มออกมาจากภายในใจ “ขอบคุณเจ้ามากจู๋เยวี่ย ข้าต้องการมาก”จู๋เยวี่ยติดตามนางไปที่ริมลำธารเล็ก ๆ ทั้งสองนั่งลงเงียบ ๆเวินซื่อมองดูลำธารเล็ก ๆ สายนั้น หลังจากนิ่งเงียบอยู่นาน นางถึงเอ่ยขึ้นช้า ๆ“จู๋เยวี่ย เจ้าคือองครักษ์ลับที่ได้รับการฝึกฝนจากราชวงศ์ บางทีวันหนึ่งเจ้าอาจถูกโยกย้ายกลับไปคุ้มกันผู้อื่น แต่หากวันนั้นข้าพูดกับเจ้าว่า เจ้าอย่าไป ต่อไปให้คุ้มกันข้าเพียงผู้เดียว เจ้าจะรู้สึกว่าข้าเห็นแก่ตัวหรือไม่?”นางกลัวว่าจู๋เยวี่ยจะคิดมาก หลังจากตั้งคำถามแบบสมมติเสร็จแล้วก็รีบอธิบายว่า “ข้าไม่ได้จะไม่ให้เจ้าไปไหนจริง ๆ เพียงแต่วันนี้...”“ข้าหวังว่านั่นจะเป็นความจริง”แต่นางยังพูดไม่ทันจบ จู๋เยวี่ยก็เผยด้านที่แข็งกร้าวออกมาทันใด นางจับจ้องเวินซื่ออย่างแน่วแน่ “อู๋โยว ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นองครักษ์ลับที่ได้รับการฝึกฝนจากราชวงศ์ แต่ความเชื่อของพวกเราก็คือจงรักภักดีต่อนายเพียงคนเดียวไปชั่วชีวิต นับตั้งแต่ช่วงเวลาที่ท่านมอบนามให้ข้า ท่านก็เป็นคนเดียวที่ข้าจะมอบความจงรักภักดีไปตลอดชีวิต และข้าจะปกป้องท่านเพียงคนเดียวตลอดไป”มุมป
เขาเดินเท้าลงมาจากภูเขา ก่อนจะเลี้ยวไปยังหมู่บ้านที่อยู่ใกล้เชิงดอยภูเขาหนานขึ้นอีกหน่อยใช้เสื้อผ้าสวยล้ำค่าราคาแพงแลกเปลี่ยนเสื้อป่านเนื้อหยาบสองชุดตลอดจนเงินตำลึงจำนวนหนึ่งหมู่บ้านนอกเขตเมืองหลวงจะว่าใหญ่ก็ไม่ใช่ เล็กก็ไม่เชิงบางคนที่ดูของเป็นย่อมยินดีที่จะแลกเปลี่ยนกับเขาเวินจื่อเฉินใช้เงินตำลึงซื้อที่ดินเล็ก ๆ ผืนหนึ่งที่เชิงดอยภูเขาหนาน จากนั้นก็เริ่มกำหนดเป้าหมายในการติดตามและปกป้องน้องสาวของเขาที่นี่……“เขายังวางแผนที่จะสร้างบ้านที่เชิงเขาจริงหรือ?”เมื่อเวินซื่อรู้ข่าวนี้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย“ถูกต้อง อาจารย์ก็พูดไปอย่างนั้นเอง ไม่นึกว่าเขาจะเริ่มทำเช่นนี้เพื่อเจ้าจริง ๆ”ม่อโฉวซือไท่เอ่ยอย่างจนใจเวินซื่อเม้มริมฝีปากนางไม่ชอบที่จะได้ยินคำว่า ‘เพื่อนาง’ โดยเฉพาะเรื่องที่เวินจื่อเฉินออกจากจวนเจิ้นกั๋วกงนางไม่รู้ว่าเวินจื่อเฉินคิดอะไรอยู่กันแน่ นางเองก็ไม่ได้อยากรู้เช่นกันสรุปว่า ไม่ว่าเขาจะเสียใจทีหลังก็ดี หรือฉุกคิดขึ้นมาได้อย่างฉับพลันก็ตาม ก็อย่ามาดึงนางเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยนางเดินมาถึงจุดนี้แล้ว ถ้าจู่ ๆ คนพวกนี้เกิดนึกเสียใจทีหลัง หรือเกิดความสำนึกขึ้นมา
ขณะที่เวินจื่อเฉินถูกขับออกจากอารามสุ่ยเยว่ ในอกยังมียาถุงหนึ่งซุกไว้ขับลมเย็นและทาบาดแผลภายนอกเวินจื่อเฉินกอดยาถุงนั้นไว้แน่น ขณะที่หันหลังกลับกำลังจะไปก็ได้ยินเสียงของเวินฉางอวิ้น“น้องรอง!”ไม่ได้พบกันหนึ่งวัน เวินฉางอวิ้นไม่นึกว่าน้องชายจะหมดสารรูปเช่นนี้เขาคว้าร่มจากมือเด็กรับใช้มา แล้วรีบก้าวเข้าไปหาเวินจื่อเฉินหลังจากดึงน้องชายเข้ามาใต้ร่มแล้ว เวินฉางอวิ้นก็ตวาดอย่างโกรธจัด “สองวันที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า? มีอะไรก็ปรึกษากับข้าดี ๆ ก่อนมิได้หรือ ดูสภาพเจ้าตอนนี้สิ ทั้งกระด้างกระเดื่องกับท่านพ่อ ทั้งหนีออกจากบ้าน หนีออกมาหนึ่งวันหนึ่งคืนโดยไม่เอาอะไรติดตัวมาเลย ไม่เข้าท่าเลยสักนิด! เจ้าคิดว่าตัวเองยังเป็นเด็กอายุสามขวบอยู่อีกหรือ?!”“ไม่ใช่หนีออกจากบ้าน”เวินจื่อเฉินแก้ไขคำพูดของเวินฉางอวิ้นให้ถูกต้องอย่างใจเย็น“เลิกพูดจาเหลวไหลได้แล้ว”เวินฉางอวิ้นเกลี้ยกล่อมปากเปียกปากแฉะด้วยความหวังดี “หรือว่าเจ้าอยากสละตำแหน่งคุณชายสามแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง แล้ววิ่งไปเป็นประชาชนคนธรรมดาข้างนอกจริง ๆ“ประชาชนคนธรรมดามีอะไรไม่ดีหรือ?”เวินจื่อเฉินหอบยาไว้ในอก เขายิ้มบาง ๆ “พี่ให
“เจ้าค่ะ”หลังจากที่ม่อโฉวซือไท่พยักหน้าตอบตกลง ก็ถามนางด้วยความลังเล“เจ้า...เจ้าจะไปดูเขาหน่อยหรือไม่?”ในขณะนี้เขายังอยู่ข้างนอกประตู รู้ว่าเขามีไข้ แต่ม่อโฉวซือไท่ก็ไม่ได้ให้คนเคลื่อนย้ายเขาเข้ามาทันทีเด็กเหล่านี้เป็นลูกของจื่อจวินไม่ผิดแน่ แต่จะพูดอย่างไร นางก็โปรดปรานศิษย์รักของนางมากกว่าอยู่ดีหากศิษย์ไม่ยอมตอบตกลง เดิมทีนางก็คิดที่จะปล่อยเลยตามเลย แต่ไม่นึกว่าศิษย์ของนางจะปล่อยวางได้เร็วขนาดนี้ถ้าเวินซื่อไม่ตกลงที่จะไปม่อโฉวซือไท่ย่อมไม่บังคับอยู่แล้วหลังจากส่งคนไปส่งจดหมายถึงจวนเจิ้นกั๋วกงในเมืองหลวง ม่อโฉวซือไท่ก็ให้คนเคลื่อนย้ายเวินจื่อเฉินเข้ามาในวิหารของอารามสุ่ยเยว่นางคิดว่าอันที่จริงอีกประเดี๋ยวก็จะมีคนมารับกลับไปอยู่แล้ว ปล่อยไว้ในวิหารจะสะดวกกว่าดังนั้นจึงเริ่มรักษาเวินจื่อเฉินที่นี่เลยแต่เมื่อนางทำให้ไข้สูงของเวินจื่อเฉินลดลงได้แล้ว ก็ไม่เห็นมีใครจากจวนเจิ้นกั๋วกงมาเลยสักคนในขณะที่ท้องฟ้าภายนอกค่อย ๆ มืดลง นางจะโยนเวินจื่อเฉินออกไปนอกประตูก็ไม่ได้ แต่จะปล่อยไว้ในวิหารตลอดก็ไม่ได้อีก ดังนั้นสุดท้ายก็จัดห้องใหม่ให้เขาได้พักฟื้นเวลาเที่ยงคืน ร่างผอม
ดังนั้นเวินซื่อจึงมีความคิดเกี่ยวกับยาพิษชนิดใหม่ขึ้นมาอย่างรวดเร็วนางได้รวบรวมสมุนไพรกว่าสิบชนิดตามตำราพิษอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงแบ่งสัดส่วนทีละชนิดปั้นยาเม็ดสีดำมืดออกมาได้หนึ่งเม็ดอย่างรวดเร็วทันทีที่ทำเสร็จ เวินซื่อก็รีบหยิบยาเม็ดนั้นบรรจุใส่ขวดหยกขนาดเล็กของสิ่งนี้มีลักษณะเฉพาะที่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับยาเชื่อฟังที่ได้รับการปรับปรุงก่อนหน้านี้นั่นก็คือยาเชื่อฟังไร้สีไร้กลิ่น ในขณะที่ยาเม็ดนี้มีรสชาติที่เข้มข้นมากและส่วนผสมที่เป็นพิษของมันนั้นไม่ได้อยู่ในเม็ดยา แต่อยู่ในกลิ่นหอมที่เข้มข้นเหล่านี้ทันทีที่เวินซื่อได้กลิ่นเพียงเล็กน้อย นางก็รู้สึกว่าอารมณ์ของตัวเองแปลก ๆ ไปราวกับท้องฟ้ากำลังจะถล่ม หม่นหมองขึ้นมาในทันทีโชคดีที่ยังอยู่ภายในมิติ เวินซื่อสังเกตเห็นว่ามีความผิดปกติก็รีบวิ่งไปที่ริมลำธารเล็ก ๆ แล้วพุ่งลงน้ำอย่างฉับพลัน“ตูม” เวินซื่อถูกน้ำในลำธารที่เปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณห่อหุ้มไว้หลังจากถูกชะล้างด้วยพลังวิญญาณ กลิ่นหอมที่ส่งผลต่ออารมณ์ของนางจึงถูกกำจัดออกไปอย่างหมดสิ้น“มีฤทธิ์ครอบงำจิตใจอย่างแท้จริง เวลาใช้ต้องระวังสักหน่อยแล้ว”ขณะที่เวินซื่อเ
“หม่ำ ๆๆ”“กินสิ พี่หญิง เหตุใดท่านถึงไม่กินเล่า?” ภายในห้องลับที่มืดสลัว เวินซื่อบาดเจ็บไปทั่วทั้งร่าง นอนคว่ำอยู่บนพื้นหายใจรวยริน โซ่เหล็กบนตัวนางส่งเสียงดังเคร้ง รัดคอและแขนขาของนางไว้ จนทำให้นางสลัดไม่หลุดเบื้องหน้าของนางมีดรุณีน้อยสวมชุดสีเหลืองอ่อนถืออาหารสุนัขไว้ในมือ หยอกล้อนางราวกับกำลังหยอกสุนัขก็มิปาน ส่วนดรุณีน้อยที่ยิ้มแย้มราวกับบุปผาผู้นี้คือน้องสาวของนาง...เวินเยวี่ยเวินเยวี่ยเอ่ยกับสาวใช้ที่อยู่ข้างหลังอย่างไม่พอใจว่า “ดูสิ พี่หญิงของข้าช่างไร้ประโยชน์เสียจริง แม้แต่สุนัขก็ยังเป็นให้ดีไม่ได้ คุณหนูอย่างข้าป้อนให้นางกินด้วยตัวเอง นางยังกล้าไม่กินอีกหรือ?” สาวใช้ก้าวเข้ามาเตะคนที่อยู่บนพื้นทันทีเตะจนคนร้องคราง สาวใช้ถึงค่อยเอ่ยเอาใจเวินเยวี่ยว่า “คุณหนูอย่าไปโต้เถียงกับนางเลยเจ้าค่ะ เกรงว่าสุนัขตัวนี้ยังคงคิดว่าตนเองเป็นบุตรสาวภรรยาเอกของจวนกั๋วกง”เวินเยวี่ยหัวเราะเยาะ “เวินซื่อนับว่าเป็นบุตรสาวภรรยาเอกของประเภทไหน? แม้แต่ท่านพ่อกับพวกท่านพี่ก็ไม่ยอมรับนางแล้ว การได้เป็นสุนัขก็นับว่าเป็นเกียรติที่คุณหนูอย่างข้ามอบให้นาง”“น่าเสียดายที่ไม่รู้จักเจียมตัว”...
Comments