ชาติก่อนเวินซื่อเป็นไข่มุกบนฝ่ามือของบิดาและเหล่าพี่ชาย แต่หลังจากที่บิดาพาน้องสาวกลับมา นางก็สูญเสียความรักไปทั้งหมด อีกทั้งยังโดนพวกพี่ชายมองว่าเป็นสตรีเจ้าเล่ห์เพราะแก่งแย่งความรักกับน้องสาว พี่ใหญ่บังคับให้นางคุกเข่าต่อหน้าผู้คน พี่รองตัดมือเท้าทั้งสองข้างของนาง พี่สามทรมานนางอย่างหนัก พี่สี่ทำลายโฉมหน้าและชื่อเสียงของนาง แม้แต่บิดาก็ไล่นางออกจากบ้าน สุดท้ายเวินซื่อเสียชีวิตอย่างน่าเวทนาด้วยน้ำมือของบิดาและพี่ชาย เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง นางเลือกที่จะละทิ้ง ขอพระราชโองการออกจากตระกูล ตัดขาดความสัมพันธ์ทางสายเลือด ใครจะรู้ว่าพวกพี่ชายกลับพากันนึกเสียใจ คุกเข่าอ้อนวอนให้นางลาสิกขา เวินซื่อส่ายหน้าอย่างเฉยชา “อมิตตาพุทธ ตระกูลเวินอันใด เวินซื่ออันใด พวกประสกจำคนผิดแล้ว”
Lihat lebih banyakดังนั้นหลังจากที่เวินเยวี่ยรู้ว่าเวินฉางอวิ้นกำลังจัดเตรียมงานศพ นางก็รู้สึกตกใจมาก ไม่คาดคิดเช่นกันว่านางเพิ่งจากไปเพียงไม่กี่วัน เวินฉางอวิ้นก็กลายเป็นแบบนี้ไปเสียแล้วแต่เวินจื่อเยวี่ยไม่รู้ว่านางตกใจเรื่องนี้ เข้าใจผิดนึกว่านางไม่รู้เรื่องอะไรจริง ๆแต่ในดอกไม้สามกระถางนั้นมีสองกระถางที่นางเป็นคนให้ และไม่รู้เช่นกันว่าดอกไม้นั้นมาจากไหนกันแน่ บางทีอาจถูกใครหลอกใช้ ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดจากบิดา เขาควรสืบหาความจริงให้กระจ่างก่อนแล้วค่อยบอกบิดาอีกครั้งดีกว่าหลังจากไตร่ตรองแล้วเวินจื่อเยวี่ยก็เอ่ยขึ้น “หมอเถื่อนข้างนอกพวกนั้น มองสถานการณ์ที่แท้จริงของพี่ใหญ่ไม่ออกด้วยซ้ำ ต่อมาลูกก็ไปเชิญหมอหลวงหลี่มา ถึงรู้ว่าถูกพิษมาตั้งแต่เมื่อไหร่”“ถูกวางยาพิษอีกแล้วหรือ?”ตอนนี้ทันทีที่เวินเฉวียนเซิ่งได้ยินว่า “ถูกวางยาพิษ” ก็กระวนกระวายใจเป็นอย่างมากในเวลาเพียงครึ่งปี ลูกชายทั้งหลายของเขาเกือบจะโดนวางยาพิษกันหมดทุกคนแล้วหากยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าวันไหนจู่ ๆ มีใครถูกพิษตายไปเขาก็คงไม่รู้ด้วยซ้ำสีหน้าของเวินเฉวียนเซิ่งดูเศร้าหมอง แม้ว่าเจ้าสี่และเวินเยวี่ยจะรู้จักยาพิ
“ท่านพ่อ รีบกลับไปเถอะ ลูกไม่อยากรออยู่ในนรกแห่งนี้อีกแล้วเจ้าค่ะ!”เวินเยวี่ยรีบวิ่งช้าบ้างเร็วบ้างออกไปข้างนอก เดิมทีคิดว่าน่าจะมีรถม้าคอยพวกเขาอยู่ข้างนอกแต่กลับพบว่าไม่มีใครอยู่ข้างนอกเลย“ให้ตายสิ พวกพี่ใหญ่ไม่รู้หรือว่าวันนี้พวกเราจะออกมา? ไม่รู้ว่าต้องมารับพวกเรา”เวลานี้เวินเยวี่ยเต็มไปด้วยความอัดอั้นตันใจ พอเห็นว่าไม่มีรถก็เอ่ยปากตัดพ้อทันทีเวินเฉวียนเซิ่งที่เดินตามมาชายตามองนางแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ “พี่สามของเจ้าถูกกักบริเวณ พี่สี่พักฟื้นขา พี่ใหญ่ของเจ้าช่วงนี้ก็ไม่ค่อยสบาย จะมารับพวกเราได้อย่างไร?”เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้เวินเยวี่ยถึงตระหนักได้ในที่สุด ก่อนจะเอ่ยด้วยความโมโห “ลูก...ลูกก็ลืมไปเหมือนกันนี่นา”ขณะที่นางพูดไปเช่นนี้ ความรู้สึกผิดก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าแวบหนึ่งนางเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ก่อนหน้านี้ได้ส่งกระถางดอกไม้สองใบไปให้พี่ใหญ่ เมื่อคำนวณเวลาดูแล้วน่าจะใกล้ถึงเวลาออกฤทธิ์แล้วหลังจากที่นางกลับไปก็จะใช้ยาถอนพิษกึ่งสำเร็จรูปที่แม่ของนางทิ้งไว้ให้ สุดท้ายค่อยลงมือช่วยชีวิตเวินฉางอวิ้นอีกครั้งแบบนี้พี่น้องสกุลเวินทั้งสามคนที่เหลือก็จะได้รับ “
“เจ้าว่าอะไรนะ? เข้าวัง?”เมื่อเวินซื่อได้ยินเรื่องนี้ หัวใจก็สั่นไหว“เจ้าจะเข้าวังไปเป็นพระสนมหรือ?”หลินเนี่ยนฉือเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นังเด็กแสบอย่าดูถูกข้านะ ข้าไม่ได้เข้าวังไปเป็นพระสนม แต่เข้าวังไปเป็นฮองเฮา”นางยิ้มตาหยี พูดกับเวินซื่อ “อีกไม่นานข้าจะเข้าวังไปเป็นฮองเฮาแล้ว ถึงเวลานั้นเจ้าเห็นข้าก็ต้องทำความเคารพข้าแต่โดยดี หากทำความเคารพไม่สวย ข้าจะให้เจ้าอุ่นเตียงนอนให้ข้า”เวินซื่อกลอกตาใส่นางอีกครั้ง “มาพูดเรื่องสำคัญดีกว่า อย่ามาดื้อกับข้า”“นี่ล่ะเรื่องสำคัญ ถูกต้องแล้ว”หลินเนี่ยนฉือกอดเวินซื่อที่ห่อตัวอยู่ในผ้าห่มกล่าวว่า “หลังจากที่สกุลหลินของเราถูกโยกย้ายออกไปแล้ว อิงจากเวลาโยกย้าย หากต้องการกลับเมืองหลวงให้เร็วขึ้นก็ต้องมีโอกาส มิฉะนั้นก็ต้องรอไปอย่างน้อยสิบถึงยี่สิบปี จนกว่าพ่อของข้าจะเข้ารับตำแหน่ง สร้างผลงานให้เฉิดฉายต่อหน้าฝ่าบาท ถึงจะสามารถถูกโยกย้ายกลับมา แต่สกุลหลินของเราไม่อาจรอได้นานขนาดนั้น”“เจ้าก็รู้ว่า เมืองหลวงนั้นมีแต่การแย่งชิง เวลานี้ฝ่าบาทยังเยาว์นัก ถึงเวลาขอกำลังคนช่วยเหลือแล้ว หากสกุลหลินของเราไม่กลับให้เร็วกว่านี้ ก็อย่าพูดถึงการรอคอยยี่สิบปี
“มาโดนจั๊กจี้จากข้าสักที!”“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ผิดไปแล้ว ผิดไปแล้ว ธิดาศักดิ์สิทธิ์โปรดให้อภัยข้าน้อยด้วย ต่อไปข้าน้อยไม่กล้าอีกแล้ว! ฮ่า ๆ ๆ ๆ...”หลินเนี่ยนฉือไม่เกรงกลัวอะไรเลย ยกเว้นการจั๊กจี้ของเวินซื่อทั้งสองหัวเราะร่วนด้วยกันอีกครั้งในทันทีเสียงหัวเราะแห่งความสุขดังไปทั่วเรือนเล็กจู๋เยวี่ยที่ยอดหลังคามองดูครู่หนึ่งด้วยควากอยากรู้อยากเห็น จากนั้นก็ถอนสายตากลับช่างเถอะ ๆ ไม่อยากดูทั้งสองคนในห้องเริ่มคุยกันอีกครั้งหลินเนี่ยนฉือเพียงแค่เคยได้ยินมาก่อน ตอนนี้มาถึงเรือนของเวินซื่อแล้ว แน่นอนว่านางต้องการฟังเวินซื่อพูดเรื่องนั้นด้วยตัวเองนางแค่ต้องการรับรู้ ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมาอาซื่อมีเรื่องคับข้องใจแค่ไหนนางไม่เคยรู้เลยแม้แต่นิดเดียวเวินซื่อที่ไม่อาจขัดใจนางได้จึงต้องเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงหกเดือนที่ผ่านมาอย่างช้า ๆตั้งแต่เวินเยวี่ยถูกเวินเฉวียนเซิ่งพาเข้ามาในสกุลเวิน ทีละเรื่อง ทีละอย่างเมื่อพูดถึงตอนสุดท้ายสีหน้าของหลินเนี่ยนฉือก็ดำทะมึนเป็นก้นหม้อ ตบแผ่นกระดานเตียงของเวินซื่อดัง “ปัง” จนแทบจะพังลง จากนั้นหลินเนี่ยนฉือก็เด้งขึ้นจากเตียง หยิบเสื้อผ้าออกมาสวมใส่พลาง
หมอหลวงหลี่ ท่านกำลังพูดเรื่องอะไร? ดอกไม้พวกนี้จะมีพิษได้อย่างไร?”เวินจื่อเยวี่ยเกือบคิดว่าเป็นภาพหลอนของตัวเองเสียแล้วแต่หมอหลวงหลี่ยังคงยืนยันว่า “คุณชายสามสกุลเวิน ข้ามองไม่ผิดแน่ แม้ว่าจะไม่รู้ว่านี่คือดอกไม้ชนิดใด แต่กลิ่นหอมของดอกไม้นี้ดูเหมือนจะเป็นยาพิษร้ายแรงประเภทกล่อมประสาท หลังจากได้กลิ่นหอมของดอกไม้เป็นเวลานาน พิษนี้จะค่อย ๆ ซึมเข้าสู่ร่างกายของคุณชายใหญ่ ทั้งหมดสามต้น พิษรุนแรงขึ้นสามเท่า ไม่แปลกใจที่ร่างกายของคุณชายใหญ่จะทรุดลงอย่างรวดเร็วเช่นนี้”หลังจากฟังเขาพูดจนจบ สีหน้าของเวินจื่อเยวี่ยก็บึ้งตึงไม่รู้ว่าทำไม แต่เขานึกถึงเป็ดทอดกรอบที่เวินจื่อให้เขากินเมื่อตอนนั้นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกไม่ ๆ ๆ เป็นไปไม่ได้เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน น้องหกได้อธิบายให้เขาฟังตั้งแต่แรกแล้วว่า นางวางยาพิษตัวเองเพียงเพราะความโกรธและหวาดกลัว ในเมื่อพี่ใหญ่ไม่เคยเปิดเผยภูมิหลังของนาง จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไปยั่วยุน้องหกได้ น้องหกมีเหตุผลอะไรถึงต้องวางยาพิษพี่ใหญ่ด้วย?ช้าก่อน เวินจื่อเยวี่ยนึกอะไรออกทันใดเขามองไปที่อันเซิ่งอย่างดุดัน “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าอีกกระถางหนึ่งเป็นของใครนะ?”
ประการแรกคือพูดไม่ออกจริง ๆ และประการที่สองก็คือไม่มีแรงจะโน้มน้าวแล้วเขาเพิ่งโบกมือหย็อย ๆ ตรงหน้าก็มืดลง หมดสติไปอีกครั้ง“พี่ใหญ่?!”เวินจื่อเยวี่ยที่เห็นเวินฉางอวิ้นหมดสติอย่างกะทันหันเป็นครั้งแรกก็ตกใจทันใด เมื่อเขาพลิกตัวกลับมา หลังจากเห็นใบหน้าซีดเผือดราวกับคนตาย เขาก็ยิ่งหวาดกลัวมากขึ้นเกิดอะไรขึ้น?พี่ใหญ่ป่วยเป็นอะไรกันแน่?เหตุใดถึงดูอ่อนแอเพียงนี้?!หลังจากที่หมอมาถึงและตรวจอาการของเวินฉางอวิ้นแล้ว ก็ขมวดคิ้วส่ายหน้า ก่อนจะเอ่ยกับเวินจื่อเยวี่ยประโยคหนึ่ง “เตรียมตัวจัดงานศพโดยเร็วที่สุดเถอะ”“ท่านว่ายังไงนะ?!”เวินจื่อเยวี่ยตกใจหน้าถอดสีทันที “อะไรคือเตรียมงานศพ? พี่ชายของข้าแค่ป่วยเท่านั้น ท่านไม่รักษาเขาให้ดี ๆ ก็ยังพอทน แต่ยังกล้าสาปแช่งเขาอีกหรือ?!”หมอชราผู้นั้นรีบบอกว่า “ไม่ใช่ว่าข้าไม่ยอมช่วย แต่คุณชายใหญ่สกุลเวินป่วยหนักจนหมดทางรักษา ข้าไร้เรี่ยวแรงที่จะพลิกสถานการณ์ได้แล้ว”“หากคุณชายสามไม่เชื่อ ก็ลองหาคนอื่นที่เก่งกว่าข้า หาคนอื่นที่เก่งกว่าข้ามาก็แล้วกัน”จากนั้นหมอชราก็สะพายล่วมยาวิ่งหนีไปทิ้งเวินจื่อเยวี่ยไว้ให้อยู่ตามลำพังหน้าเตียงของเวินฉางอว
สุดท้าย เวินจื่อเยวี่ยก็ยังยืนกรานปฏิเสธที่จะพิมพ์ลายนิ้วมือลงบนจดหมายถอนหมั้นหลินเนี่ยนฉือไม่อยากเสียเวลากับเขาอีกต่อไป รู้สึกว่าพูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ เสียเวลาในการตามอาซื่อกลับไปรำลึกความหลัง ดังนั้นจึงตามเวินซื่อกลับไปที่อารามสุ่ยเยว่ทันทีเมื่อเห็นหลินเนี่ยนฉือพาเวินซื่อออกไปโดยไม่เหลียวหลัง เวินจื่อเยวี่ยก็รู้สึกคับข้องใจเป็นอย่างมากมองดูพวกนางจากไปตาปริบ ๆ เวินจื่อเยวี่ยกำหมัดแน่น ก่อนจะหันหลังไปเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน“แค่ก ๆ ๆ…”ในขณะนี้จู่ ๆ เขาก็ได้ยินเสียงไอดังมาจากด้านข้าง เมื่อหันไปมองก็เห็นเวินฉางอวิ้นปิดปากไออย่างรุนแรง“พี่ใหญ่ ท่านป่วยเป็นอะไร ทำไมถึงไอหนักขนาดนี้...พี่ใหญ่?!”เวินจื่อเยวี่ยเพิ่งก้าวขึ้นหน้าไปเพื่อช่วยตบหลังให้เวินฉางอวิ้น แต่วินาทีต่อมาก็เห็นเวินฉางอวิ้น “ไอเป็นเลือด”!“พี่ใหญ่ ท่านเป็นอะไรไป?! รีบตามหมอมาที รีบไปตามหมอมา!”เมื่อเวินจื่อเยวี่ยเห็นเลือดเต็มมือเวินฉางอวิ้น รูม่านตาก็หดตัวลงทันใด ตะโกนลั่นไม่หยุดอย่างร้อนอกร้อนใจในเวลานี้เวินฉางอวิ้นกลับคว้ามือของเขาไว้ พลางส่ายศีรษะด้วยใบหน้าซีดเผือด “ไม่ ไม่ต้องตามหมอ…”“ไม่ต้องตามหมอหมายค
เห็นแล้วหลินเนี่ยนฉือก็ตื่นเต้นดีใจยิ่งขึ้น อดไม่ใจไม่ไหวจริง ๆ พลางยื่นมือออกไปลูบคลำเวินซื่อพักหนึ่งเวินซื่อ “…”“ผัวะ!”นางยกมือขึ้นตบอีกครั้ง ปัดมือของใครบางคนที่รุ่มร่ามอยู่บนตัวนางออกไป “ยืนนิ่ง ๆ ห้ามมือไม้อยู่ไม่สุข”หลินเนี่ยนฉือเอ่ยเสียง “อ้อ” แล้วเบะปากไม่พูดอะไรอีกท่าทางสนิทชิดเชื้อของทั้งสองเวินจื่อเยวี่ยเห็นแล้วไฟโทสะก็ยิ่งทวีมากขึ้น “หญิงสองคนยื้อยุดฉุดกระชากกันไม่เข้าท่าเลย เห็นแล้วน่าสะอิดสะเอียนจริง ๆ”ทันทีที่เขาพูดออกมาเช่นนี้ ก็ถูกทั้งเวินซื่อและหลินเนี่ยนฉือถลึงตาใส่ทันที“คนที่มีจิตใจสกปรกเห็นอะไรก็สกปรกไปหมด มิตรภาพระหว่างข้ากับอาซื่อยาวนานกว่าสิบปีเต็ม ๆ ใกล้ชิดกันบ้างจะเป็นไรไป เกี่ยวอะไรกับคนนอกอย่างท่านด้วย?”หลินเนี่ยนฉือดูหมิ่นเขาอย่างแรงเสียยกใหญ่เวินซื่อกลับดูมีสีหน้าเฉยชา “ข้าไม่ได้เป็นคนของจวนเจิ้นกั๋วกงของพวกท่าน และไม่ใช่คราวของพวกท่านจวนเจิ้นกั๋วกงที่จะมาจัดการ”ความหมายโดยนัยก็คือ…ยุ่งเรื่องคนอื่น!“พี่ใหญ่ ท่านดูนังเด็กแสบสองคนนี่สิ พวกนางกำลังจะทะเลาะกันครึกโครมแล้ว ท่านจะไม่พูดอะไรเพื่อช่วยน้องชายสักคำหรือ?!”เดิมทีเวินจื่อเยวี่ยต
“อาซื่อ!”ดวงตาของหลินเนี่ยนฉือเป็นประกายขึ้นมาทันที พุ่งตัวเข้าไปหาเวินซื่อซึ่งกำลังก้าวเท้าเดินเข้ามาด้วยความดีใจ“อ๊ะ เดี๋ยวก่อน!”พอเวินซื่อเห็นท่าทางยกมือของนาง ก็พลันนึกบางอย่างขึ้นมาได้ สีหน้าจึงเปลี่ยนไปวินาทีต่อมา นางยังไม่ทันได้ห้าม ก็ถูกหลินเนี่ยนฉือคว้าเอวแล้วยกตัวขึ้นกอด จากนั้นก็หมุนตัวอยู่กับที่หลายรอบ จนเวินซื่อตาลาย“ฮ่าๆ ฮ่าๆ อาซื่อ ในที่สุดก็ได้เจอเจ้าแล้ว! แยกกันนานขนาดนี้ข้าคิดถึงเจ้าใจจะขาดแล้ว เจ้าคิดถึงข้าบ้างหรือไม่ รีบพูดเร็วเข้า ถ้าไม่พูดข้าจะไม่ปล่อยเจ้าลง!”ความรู้สึกที่คุ้นเคย คนที่คุ้นเคยเวินซื่อโอบคอของหลินเนี่ยนฉือไว้ รีบเอ่ยขึ้น “คิดถึง คิดถึงสิ ต้องคิดถึงเจ้าอยู่แล้ว ดังนั้นรีบปล่อยข้าลงเถอะ หากเจ้าหมุนอีกสักสองรอบ ข้าได้อาเจียนออกมาจริงๆ แน่!”ปรากฏว่าหลินเนี่ยนฉือกลับหัวเราะเสียงดังพลางกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นก็หมุนอีกรอบ!”จากนั้นก็ยกเวินซื่อขึ้นหมุนอีกรอบหนึ่งด้วยความตื่นเต้น ไม่มากไม่น้อย กำลังพอดีทำให้นางพอใจ หมุนจนนางเวียนหัวตอนที่เท้าของเวินซื่อเหยียบลงถึงพื้น ขาก็อ่อนแรงไปหมดไม่ได้ถูกหลินเนี่ยนฉือจับหมุนเช่นนี้มานานแล้ว พอจู่ๆ ต
“หม่ำ ๆๆ”“กินสิ พี่หญิง เหตุใดท่านถึงไม่กินเล่า?” ภายในห้องลับที่มืดสลัว เวินซื่อบาดเจ็บไปทั่วทั้งร่าง นอนคว่ำอยู่บนพื้นหายใจรวยริน โซ่เหล็กบนตัวนางส่งเสียงดังเคร้ง รัดคอและแขนขาของนางไว้ จนทำให้นางสลัดไม่หลุดเบื้องหน้าของนางมีดรุณีน้อยสวมชุดสีเหลืองอ่อนถืออาหารสุนัขไว้ในมือ หยอกล้อนางราวกับกำลังหยอกสุนัขก็มิปาน ส่วนดรุณีน้อยที่ยิ้มแย้มราวกับบุปผาผู้นี้คือน้องสาวของนาง...เวินเยวี่ยเวินเยวี่ยเอ่ยกับสาวใช้ที่อยู่ข้างหลังอย่างไม่พอใจว่า “ดูสิ พี่หญิงของข้าช่างไร้ประโยชน์เสียจริง แม้แต่สุนัขก็ยังเป็นให้ดีไม่ได้ คุณหนูอย่างข้าป้อนให้นางกินด้วยตัวเอง นางยังกล้าไม่กินอีกหรือ?” สาวใช้ก้าวเข้ามาเตะคนที่อยู่บนพื้นทันทีเตะจนคนร้องคราง สาวใช้ถึงค่อยเอ่ยเอาใจเวินเยวี่ยว่า “คุณหนูอย่าไปโต้เถียงกับนางเลยเจ้าค่ะ เกรงว่าสุนัขตัวนี้ยังคงคิดว่าตนเองเป็นบุตรสาวภรรยาเอกของจวนกั๋วกง”เวินเยวี่ยหัวเราะเยาะ “เวินซื่อนับว่าเป็นบุตรสาวภรรยาเอกของประเภทไหน? แม้แต่ท่านพ่อกับพวกท่านพี่ก็ไม่ยอมรับนางแล้ว การได้เป็นสุนัขก็นับว่าเป็นเกียรติที่คุณหนูอย่างข้ามอบให้นาง”“น่าเสียดายที่ไม่รู้จักเจียมตัว”...
Komen