Share

บทที่ 6

Author: จิ้งซิง
ผู้ที่มามีรูปร่างสูงสง่าราวกับไผ่สน สวมอาภรณ์เสื้อคลุมสีกรมท่า รูปลักษณ์สง่างาม โฉมหน้าหล่อเหลา

ชื่อของเขาคือเวินฉางอวิ้น เป็นพี่ใหญ่ของนาง และก็เป็นคุณชายใหญ่ของจวนกั๋วกง

“น้องห้า เจ้ารู้ความผิดหรือไม่?”

เวินฉางอวิ้นมองเวินซื่อด้วยสายตาเย็นชา

ความรู้สึกกดดันที่แผ่ลงมาจากด้านบนทำให้เวินซื่อแทบหายใจไม่ออกนิดหน่อย

เมื่อก่อนนางโง่งม คิดเพียงว่าเวินฉางอวิ้นรูปร่างสูงใหญ่ ถึงมอบความรู้สึกน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ให้นาง

ทว่าต่อมาจนกระทั่งเมื่อนางเห็นกับตาว่าเวินฉางอวิ้นก้มตัว ก้มหน้าให้สายตาอยู่ระดับเดียวกับเวินเยวี่ยเพียงเพื่อรับฟังความคับข้องใจจากปากของนาง เวินซื่อถึงได้เข้าใจว่าที่แท้ตนเองเป็นเพียงคนชั้นล่างที่ไม่เคยอยู่ในสายตาของพี่ใหญ่

“ข้าไม่เข้าใจคำพูดของพี่ใหญ่ ไม่ทราบว่าข้ามีความผิดอันใด ขอพี่ใหญ่โปรดชี้แจงด้วย”

ไม่ใช่ว่าเวินซื่อไม่เห็นชุดพิธีการที่เขาถืออยู่ในมือ

ดังนั้นไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเขามาเพราะเหตุใด

แต่แล้วอย่างไรเล่า?

ไม่ถามสักคำ มาถึงก็อยากให้นางยอมรับความผิด?

มีสิทธิอันใด?

เวินฉางอวิ้นทำสายตาเย็นชา แต่สายตาของเวินซื่อกลับเย็นชายิ่งกว่าเขา

เวินฉางอวิ้นขมวดคิ้วเล็กน้อย ใบหน้าเผยความไม่พอใจ “เจ้ามีนิสัยเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร? โอหังทำตัวอำเภอใจถึงเพียงนี้ ไม่รู้หรือว่ากำลังพูดไร”

“ข้าแค่ไม่รู้ว่าข้าทำผิดตรงไหนเท่านั้น นี่ก็ทำให้พี่ใหญ่โมโหแล้วหรือ? คำว่า ‘โอหังทำตัวอำเภอใจถึงเพียงนี้ ไม่รู้หรือว่ากำลังพูดไร’ ช่างทำให้น้องรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมยิ่งกว่าคนที่ถูกปรักปรำที่สุดในโลกอีก”

“เจ้ายังกล้าบอกว่าไม่รู้ตนเองทำผิดตรงไหนหรือ? แล้วนี่คืออะไร?”

เวินฉางอวิ้นโกรธจัด โยนชุดพิธีการมาอยู่ข้างเท้าของเวินซื่อ “พี่รองของเจ้าบอกว่าเจ้าตัดมันกับมือ เดิมทีข้าไม่เชื่อ ถึงอย่างไรชุดนี้ก็เป็นชุดพิธีการที่เจ้ารักทะนุถนอมมากที่สุด แต่ตอนนี้ดูอารมณ์ของเจ้าแล้ว ข้าก็อดไม่ได้ที่จะเชื่อ”

“ถูกต้อง ข้าตัดเองกับมือ ก็แค่ตัดชุดที่ไม่มีผู้ใดต้องการเท่านั้น หากพี่ใหญ่คิดว่านี่เป็นความผิดของข้า เช่นนั้นก็แล้วแต่พี่ใหญ่จะคิดอย่างไรเถิด”

ถึงอย่างไรในสายตาของเวินฉางอวิ้น ไม่ว่านางจะทำอย่างไรล้วนเป็นความผิดทั้งหมด

แตกต่างจากที่คาดเดาไว้ เวินฉางอวิ้นนึกว่านางจะเถียง เวินซื่อไม่เพียงไม่เถียง แต่ยอมรับโดยไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย

“ชุดที่ไม่มีผู้ใดต้องการ?”

เวินฉางอวิ้นยิ่งโกรธขึ้นเรื่อย ๆ “ชุดพิธีการนี้เป็นชุดที่ข้ากับพี่ชายอีกสามคนของเจ้าตั้งใจสั่งทำให้เจ้าร่วมกัน ตอนแรกเจ้าเอาแต่พูดว่าตนเองหวงแหนมันอย่างยิ่ง ตอนนี้กลับบอกว่าเป็นชุดที่ไม่มีผู้ใดต้องการหรือ?”

“ใช่!”

เวินซื่อหันหน้ากลับมาฉับพลัน นัยน์ตาสองข้างของนางมองตรงไปที่นัยน์ตาของเวินฉางอวิ้น ก่อนจะเอ่ยทีละคำ

“ก็แค่ไม่มี ผู้ใด ต้องการ”

นางกล่อมตัวเองอยู่ในใจไม่หยุดว่าให้ใจเย็น ๆ การต่อต้านคนอย่างเวินฉางอวิ้นไม่มีผลดีอะไรกับนางเลย

นางแค่ต้องอดทน อดทนอีก อดทนจนกระทั่งออกจากบ้านหลังนี้...

“อะไรกัน? พี่ใหญ่โกรธมากหรือ? อยากลงโทษข้า? อยากใช้กฎตระกูลกับข้า หรืออยากบังคับให้ข้าคุกเข่าเล่า?”

รอยยิ้มบนใบหน้าของเวินซื่อกว้างขึ้นเรื่อย ๆ

นางเหมือนแบ่งออกเป็นสองคนก็ไม่ปาน

คนหนึ่งเกลี้ยกล่อมตัวเองอยู่ในใจว่าให้ใจเย็น ๆ อีกคนกลับคลุ้มคลั่งเหมือนสมองสูญเสียการควบคุม

สุดท้ายนางเลือกปลดปล่อยตนเอง ระบายออกมาก็ระบายออกมาเถิด

อยากลงโทษก็ลงโทษ

ก็แค่คุกเข่าในพิธีปักปิ่นอีกครั้งเท่านั้น

ไม่ใช่ว่าไม่เคยถูกเวินฉางอวิ้นบังคับให้คุกเข่ามาก่อน

“พี่ใหญ่ชอบน้องสาวที่เชื่อฟังมากที่สุดไม่ใช่หรือ? ดีเลย ขอเพียงพี่ใหญ่เอ่ย ข้าจะคุกเข่าให้ท่านทันที จะให้คุกเข่าที่นี่? หรือว่าคุกเข่าข้างนอก? ไม่เช่นนั้นจะให้ไปที่พิธีปักปิ่นหรือไม่? ขอเพียงพี่ใหญ่เอ่ยคำเดียว ข้าคุกเข่าให้พี่ใหญ่ต่อหน้าผู้คนก็ได้? หรือพี่ใหญ่คิดว่าเช่นนี้ยังไม่เพียงพอ...”

เวินซื่อยั่วยุเวินฉางอวิ้นประโยคแล้วประโยคเล่า จนกระทั่งเวินฉางอวิ้นอดทนไม่ไหวอีกต่อไป...

“พอได้แล้ว!”

เวินฉางอวิ้นมองนางอย่างตกใจระคนสงสัย เอ่ยถามว่า “เวินซื่อ เจ้าบ้าไปแล้วหรือ?”

ท่าทางของเวินซื่อในตอนนี้แทบจะล้มล้างความเข้าใจเดิมที่เวินฉางอวิ้นมีต่อน้องสาวผู้นี้

ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนนางเคารพพี่ชายถึงเพียงนั้น เชื่อฟังถึงเพียงนั้น แม้ว่าต่อมานางจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นคิดมาก ชอบแย่งความรัก ชอบอิจฉา แต่ก็ไม่เคยไม่เห็นพี่ชายอยู่ในสายตาอย่างเช่นวันนี้เลย

ราวกับว่าบ้าไปแล้วจริง ๆ

เวินซื่อถูกขัดบท รอยยิ้มบนใบหน้าก็ค่อย ๆ เลือนหายไป

เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาไม่เข้าใจของเวินฉางอวิ้น นางก็เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ใช่ ข้าแค่บ้าไปแล้ว”

ถูกพวกท่านบีบให้เป็นบ้า

เวินฉางอวิ้นอ้าปาก อยากจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่มองแววตาเย็นชาเป็นพิเศษของเวินซื่อ เขาก็ขมวดคิ้วช้า ๆ ไม่เอ่ยวาจาอยู่เนิ่นนาน

จนกระทั่งเวินซื่อหมดความอดทนเล็กน้อย เขาถึงค่อยเอ่ยปากกล่าวว่า “พิธีปักปิ่นใกล้จะเริ่มแล้ว ไปกันเถิด”

แต่เขาเหมือนกลัวว่าอีกเดี๋ยวเวินซื่อจะเป็นบ้าเช่นนี้ในพิธีปักปิ่น เขาจึงเอ่ยเสริมเหมือนกับเตือนว่า

“มีแขกเหรื่อมากมายอยู่ที่เรือนด้านหน้า เจ้า...ระวังกิริยาวาจาของตนเองบ้าง อย่าให้สกุลเวินของเราอับอายขายหน้า”

เมื่อเวินฉางอวิ้นเดินออกไปหลายเมตร แต่ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านหลัง เขาจึงหันหน้ากลับไปดู ก่อนจะพบว่าเวินซื่อไม่ขยับเขยื้อนเลย

“เหตุใดถึงไม่ไป?”

“พี่รองไม่อนุญาต”

“เหลวไหล”

เวินฉางอวิ้นคิดเพียงว่าเวินซื่อกำลังงอน “วันนี้เป็นวันสำคัญของเจ้ากับน้องหก จะขาดไปไม่ได้”

เวินซื่อมองเขาอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ข้าบอกแล้วว่าพี่รองไม่อนุญาต นี่พี่ใหญ่จะบังคับข้าให้ได้หรือ? หากเป็นเช่นนี้ อีกประเดี๋ยวข้าไปแล้ว หากพี่รองจะตบตีข้า พี่ใหญ่จะขวางแทนข้าหรือไม่? หากไม่ขวาง เช่นนั้นข้าไม่ไปจะดีกว่า จะได้ไม่ถูกตบตีอีก”

เวินฉางอวิ้นหมดความอดทนแล้ว “พี่รองของเจ้าโมโหร้าย แค่ไม่เคยตบตีคนโดยไร้เหตุผล...”

“พี่ใหญ่ตาบอดไปแล้วหรือ?”

เวินซื่อใช้คำพูดเฉียบคมฝืนตัดบทเขา แล้วเอียงใบหน้า “ใบหน้าของข้ายังบวมอยู่เลยนะ? พี่ใหญ่มองไม่เห็น หรือว่าพี่ใหญ่รังเกียจที่จะมอง?”

เวินฉางอวิ้นเพ่งมอง ใบหน้าของเวินซื่อบวมแดงนิดหน่อยจริง ๆ ด้วย หากเดินออกไปเช่นนี้เลย เกรงว่าใครมองเห็นเข้า วันหน้าอาจจะลือคำพูดอะไรที่ไม่น่าฟังก็เป็นได้

เมื่อครู่นี้เขาเอาแต่โกรธเรื่องเวินซื่อตัดชุดพิธีการจนเละ ไม่ได้สังเกตเรื่องพวกนี้เลย

ตอนนี้เห็นแล้ว เขาก็อดขมวดคิ้วอีกครั้งไม่ได้

หรือว่าจื่อเฉินจะลงมือกับน้องห้าจริง ๆ?

เขารู้ว่าน้องรองเป็นคนเจ้าอารมณ์ชอบลงไม้ลงมือนิดหน่อย น้องห้าไม่เชื่อฟังเท่าน้องหกจริง ๆ แต่ว่าต่อให้น้องห้ากระทำความผิดก็ไม่ควรตบตีนางในวันงานสำคัญเช่นนี้ มีเรื่องอะไรรอให้ผ่านไปก่อนแล้วค่อยตีไม่ได้หรือ?

ช่างไม่รู้จักกาลเทศะเอาเสียเลย

เวินฉางอวิ้นที่มีปฏิกิริยาแรกก็คือปกป้องชื่อเสียงของจวนกั๋วกงคิดเช่นนี้

เดิมทีเวินฉางอวิ้นอยากให้เวินซื่อไปแต่งหน้าสักเล็กน้อย ปกปิดรอยแดงบนใบหน้า แต่ว่ามีคนมาเร่งข้างนอกอีกแล้ว

เขาจึงได้แต่พูดกับเวินซื่อว่า “อีกประเดี๋ยวเจ้าระวังปกปิดเสียหน่อย หากใครถามก็บอกว่าหกล้ม เข้าใจหรือไม่?”

หกล้ม?

หกล้มอย่างไรถึงโดนแค่ใบหน้าข้างเดียว แถมยังทิ้งรอยฝ่ามืออีก?

เวินซื่อไม่รู้สึกผิดหวังต่อปฏิกิริยาตอบสนองเช่นนี้ของเวินฉางอวิ้นเลยสักนิดเดียว นางถึงขนาดคุ้นชินนานแล้ว

“ได้เจ้าค่ะ ขอเพียงพี่ใหญ่ขวางพี่รองแทนข้า เช่นนั้น ข้า จะ ทำ ตามที่พี่ใหญ่บอก”

นางอยากดูว่าทุกคนจะตาบอดเหมือนคนสกุลเวินหรือไม่

ผ่านไปไม่นาน เวินซื่อเดินตามเวินฉางอวิ้นมาถึงเรือนด้านหน้า

เวลานี้เรือนด้านหน้าของจวนกั๋วกงมีผู้คนคับคั่ง คึกคักอย่างยิ่ง

ทันทีที่เวินซื่อเพิ่งปรากฏตัว สายตารอบด้านก็ทอดมองมาที่นาง

ในนั้นมีทั้งเหยียดหยาม เยาะหยันและชมเรื่องสนุก

เวินซื่อจับสายตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งร้ายหนึ่งในนั้นได้อย่างเฉียบคม นางมองตามไปก็เห็นเวินเยวี่ยกำลังยืนอยู่กับบุรุษที่หล่อเหลาสดใสมีความเด็ดเดี่ยวเยือกเย็น

และเจ้าของสายตามุ่งร้ายนั้นก็คือบุรุษผู้นั้นเอง

ชื่อของเขาคือชุยเส้าเจ๋อ ซื่อจื่อแห่งจวนจงหย่งโหว

และเป็นคู่หมั้นที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กของนาง

Related chapters

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 7

    ชุยเส้าเจ๋อก้าวเท้าเดินมาทางเวินซื่อ ท่าทางดูเกรี้ยวกราดหมายจะหาเรื่องเมื่อมองไปทางด้านหลังของเขาอีกก็เห็นเวินเยวี่ยอ้าปากพูดว่า “อย่าเลย” ด้วยความหวาดกลัว แต่ไม่ได้ทำท่าจะฉุดรั้งชุยเส้าเจ๋อเลยสักนิดหลังจากที่สบสายตาของเวินซื่อ ดวงตาของนางถึงขนาดฉายแววกระหยิ่มยิ้มย่องเห็นได้ชัดว่าการที่นางสามารถยุให้ชุยเส้าเจ๋อออกหน้าเพื่อนางได้ง่าย ๆ นั้นทำให้นางภาคภูมิใจเอามาก ๆแต่ว่าน่าเสียดายมาก ยังไม่ทันที่ชุยเส้าเจ๋อจะเดินเข้ามาใกล้เวินซื่อ เสียงทุ้มหนึ่งดังมาจากทางด้านปะรำพิธี...“เจ้าห้า เจ้าหก ถึงฤกษ์งามยามดีแล้ว ยังไม่รีบมาเตรียมตัวทำพิธีปักปิ่นอีก” เวินซื่อหันหน้าไปมองบนปะรำพิธี บุรุษวัยกลางคนสวมชุดเสื้อคลุมยาวสีเขียวดูสง่าผ่าเผยเปี่ยมไปด้วยความรู้กำลังนั่งอยู่ตำแหน่งประธาน มองพวกนางสองคนด้วยสีหน้าเย็นชานี่คือบิดาของนาง เจิ้นกั๋วกงเวินเฉวียนเซิ่งเวลานี้ต่อให้ชุยเส้าเจ๋ออยากหาเรื่องนางอีกเพียงใด ก็ได้แต่ถอยหลังไปเท่านั้นเวินซื่อเดินขึ้นไปบนปะรำพิธีโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อเวินซื่อขึ้นมาบนปะรำพิธีก็ควงแขนนางด้วยใบหน้ายิ้มแย้มราวกับบุปผา จงใจทำตัวสนิทสนม“พี่หญิงห้

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 8

    เมื่อเวินฉางอวิ้นเดินขึ้นมาบนปะรำพิธี สายตาทอดมองไปที่น้องสาวทั้งสองคน เดิมทียังลังเลอยู่บ้างแต่เมื่อสบสายตาคาดหวังของเวินเยวี่ย เขาก็คลายหัวคิ้วในพริบตาหัวเราะอย่างไม่มีทางเลือกช่างเถิด หากจะโทษก็ได้แต่โทษน้องห้าที่ไม่ได้รับความชื่นชอบเองใครใช้ให้นางมีนิสัยอิจฉาริษยา ไม่ยอมให้น้องหกเลยสักนิดเล่าดังนั้นเวินฉางอวิ้นจึงไม่ลังเลอีกต่อไป เดินผ่านหน้าเวินซื่อแล้วยื่นดอกไม้ให้เวินเยวี่ยจากนั้นก็เป็นเวินจื่อเฉิน เวินจื่อเยวี่ย เวินอวี้จือ...รวมถึงคนสกุลเวิน ทุกคนต่างก็มอบดอกไม้ให้เวินเยวี่ย ก็เหมือนกับชาติที่แล้ว...เวินซื่อผู้โดดเดี่ยวกับเวินเยวี่ยที่ล้อมรอบไปด้วยดอกไม้สดและคำอวยพรเวินซื่อไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย ถึงอย่างไรนางก็รู้ผลสรุปเช่นนี้มานานแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่คาดหวังใด ๆ อีกต่อไปอย่างแน่นอนหลังจากคนเหล่านั้นก็เป็นชุยเส้าเจ๋อ เทียบกับดอกไม้หนึ่งดอกที่คนอื่นมอบให้แล้ว เขาหอบดอกไม้บานหลากสีสันกำใหญ่เต็ม ๆ ไม่มองเวินซื่อสักแวบเดียว ก่อนจะยัดใส่อ้อมแขนของเวินเยวี่ยโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย“น้องเยวี่ยเอ๋อร์ ดอกฉยงฮวาอวยพรวันเกิด ดนตรีเสียงสวรรค์ห้อมล้อมคว

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 9

    “ไม่ได้นะ!”“ไม่มีทาง!” แค่คำสาบานเดียวเท่านั้น เดิมที่นึกว่าชุยเส้าเจ๋อน่าจะรับปากได้ แต่ใครก็คิดไม่ถึงว่าชุยเส้าเจ๋อจะมีปฏิกิริยารุนแรงถึงเพียงนั้นสิ่งที่แปลกประหลาดยิ่งกว่านั้นคือ คนที่มีปฏิกิริยารุนแรงเช่นเดียวกันยังมีอีกคน“น้องหก?” พวกเวินฉางอวิ้นมองไปทางเวินเยวี่ยด้วยความประหลาดใจ เวินเยวี่ยมีสีหน้าแข็งทื่อเมื่อตระหนักได้ว่าเมื่อครู่นี้นางยั้งสติไม่อยู่มากเกินไป นางจึงรีบเก็บงำอารมณ์ ฝืนยิ้มมุมปากพลางเอ่ยว่า “ไม่ใช่นะ...คือว่า ข้า...ข้าแค่รู้สึกว่าเงื่อนไขที่พี่หญิงเสนอออกมานี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยเหมาะสมมากนัก หะ...หากต่อไปพี่เส้าเจ๋อเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาเล่า? ดังนั้น พี่หญิงเหลือทางถอยให้ตนเองหน่อยไม่ดีกว่าหรือ?”เวินฉางอวิ้นผู้เป็นพี่ใหญ่ขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกว่าคำพูดนี้ของนางดูแปลกพิกลนิด ๆเวินจื่อเยวี่ยผู้เป็นพี่สามไม่มีปฏิกิริยาอะไรเวินอวี้จือผู้เป็นพี่สี่กลับมองเวินเยวี่ยและมองชุยเส้าเจ๋ออย่างใคร่ครวญ เทียบกับพวกเขาแล้ว เวินจื่อเฉินผู้เป็นพี่รองเชื่อในตัวเวินเยวี่ยโดยสิ้นเชิงว่ามีจิตใจบริสุทธิ์ เขาจึงไม่ได้คิดมากมายเช่นนั้น “พอได้แล้วน้องหก ข้ารู้ว่าเจ้าเป

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 10

    “พวกท่านกล่าวถูกต้อง ข้าไม่ใช่น้องสาวของข้า และข้าก็ไม่ได้ใจดีเหมือนนาง ทุกคนที่เคยรังแกข้าและเคยเหยียดหยามข้า ข้าจะเอาคืนให้หมด” น้ำเสียงของเวินซื่อเย็นชา นางมองชุยเส้าเจ๋อ จากนั้นก็เอ่ยคำพูดที่ชาติก่อนนางนึกเสียใจนับครั้งไม่ถ้วนที่ไม่อาจเอ่ยออกมาต่อหน้าผู้คนด้วยปากของตัวเอง...“ชุยเส้าเจ๋อ ท่านอยากถอนหมั้นไม่ใช่หรือ? ได้ ข้าตกลง และไม่ต้องให้ท่านตกลงเงื่อนไขใด ๆ ด้วย เพียงแต่ว่าหลังจากนี้ไป ข้าเวินซื่อไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับจวนจงหย่งโหวของพวกท่านอีกต่อไปแล้ว!”เมื่อสิ้นคำพูดของนาง ทั่วทั้งงานก็เงียบกริบแม้แต่ชุยเส้าเจ๋อก็อดตกตะลึงไม่ได้ ยะ....ยอมตกลงเช่นนี้เลย?เขานึกว่าเรื่องการถอนหมั้นในวันนี้จะไม่มีทางราบรื่นเป็นอันขาด เขานึกว่าเวินซื่อคงไม่ยินยอมง่าย ๆนึกว่าเวินซื่อจะตามตื๊อ จะร้องไห้โวยวาย...ก่อนจะมาชุยเส้าเจ๋อเคยคิดถึงความเป็นไปได้มากมาย แต่สิ่งเดียวที่เขาไม่เคยคิดก็คือเวินซื่อจะยอมตกลงง่ายดายเช่นนี้จริง ๆไม่สิ ก็ไม่ถือว่าง่ายดาย นางยังตบเขาหนึ่งฉาดด้วย เมื่อคิดถึงตรงนี้ ชุยเส้าเจ๋อที่รู้สึกเสียหน้าก็ทำหน้าเคร่งขรึมทันที เขาลูบแก้มที่แสบร้อนของตัวเอง

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 11

    เวินฉางอวิ้นแสดงสีหน้าที่ไม่เห็นด้วยกฎประจำตระกูลของสกุลเวินไม่ใช่แส้ทั่วไป แต่เป็นแส้เหล็กที่สั่งทำพิเศษ เฆี่ยนตีห้าสิบที ชายวัยกลางคนยังต้องนอนพักสิบวันถึงครึ่งเดือน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนาง?ในดวงตาของเวินเยวี่ยที่ยืนอยู่ข้างๆ เต็มไปด้วยความสุขคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเวินซื่อจะรนหาที่ตายเอง!นางต้องลองคิดดูว่า จะให้ท่านพ่อตอบตกอย่างไรดี แค่ท่านพ่อตอบตกลง เฆี่ยนห้าสิบที สามารถทำให้เวินซื่อเหลือแค่ครึ่งชีวิตแน่นอน!แต่สิ่งที่เวินเยวี่ยยิ่งคาดคิดไม่ถึงคือ นางไม่จำเป็นต้องลงมือ ตอนที่เวินเฉวียนเซิ่งถามเวินซื่อ นางกลับรนหาที่ตายเองอีกครั้ง“เจ้าเอาจริงหรือ?”เวินเฉวียนเซิ่งก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าเวินซื่อจะเป็นคนเสนอขอรับโทษเอง อีกทั้งยังเป็นการลงโทษที่หนักเช่นนี้เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย นึกถึงอุบายที่เวินซื่อใช้ชิงความโปรดปรานในยามปกติ เขาหรี่ตาแล้วเตือน“ข้าเกลียดคนที่เล่นละครต่อหน้าข้าที่สุด”เมื่อเวินซื่อเงยหน้าก็ประสานกับสายตาที่น่ารังเกียจของเขา นางหัวเราะเบาๆ ทีหนึ่ง ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยการหัวเราะเยาะตัวเอง “ข้าต้องทำอย่างไรจึงจะไม่ใช่คนที่แสร้งเล่นละครในสายตาท่านพ่อ?” คือต้อง ‘เชื

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 12

    นางใช้ร่างกายที่ผอมบางรับแส้ที่อยู่ข้างหลังทั้งเช่นนี้เวินฉางอวิ้นก้มมอง พลางเฆี่ยนตีอย่างไร้ความปรานี ราวกับต้องการเฆี่ยนกระดูกของเวินซื่อให้แหลกทั้งร่างเวินซื่อรู้สึกถึงความเจ็บแล้วแต่น่าเสียดาย ความเจ็บบนร่างกายไม่สามารถเทียบกับความเจ็บในก้นบึ้งหัวใจดังนั้นแส้ของเวินฉางอวิ้นไม่เพียงไม่สามารถเฆี่ยนกระดูกของเวินซื่อแหลก กลับกันยิ่งทำให้ความเกลียดชังที่โกรธแค้นในใจนางควบแน่นมากขึ้นต่อให้ต้องตาย นางก็จะไม่ละเว้นเวินเยวี่ยกับทุกคนในสกุลเวินเด็ดขาด!ห้าสิบทีไม่ขาดไม่เกินแม้แต่ทีเดียวตอนที่เวินฉางอวิ้นเฆี่ยนครั้งสุดท้าย ผิวหนังบนหลังของเวินซื่อปริแตกและมีเลือดไหลนานแล้ว เสื้อผ้าท่อนบนของนางถูกย้อมเป็นสีแดงและเปียกโชกด้วยเลือดเวินฉางอวิ้นมองเลือดที่หยดลงมาจากแส้ แล้วมองเวินซื่อที่ไม่ส่งเสียงแม้แต่น้อย และยืนหยัดไม่ล้มจนถึงแส้สุดท้ายแวบหนึ่งไม่รู้เพราะเหตุใด เขารู้สึกจุกในอกอย่างน่าประหลาดเวินฉางอวิ้นที่ไม่ต้องการอยู่ดูอีก โยนแส้ให้คนรับใช้ หลังจากขมวดคิ้ว กล่าวทิ้งท้ายประโยคหนึ่ง “เจ้าลองพิจารณาตัวเองอยู่ที่นี่ให้ดี” จากนั้นก็พาคนรับใช้ไปจากโถงบรรพชนแล้วทันทีที่เขาไป

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 13

    หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม เวินซื่อก็มายืนอยู่ในห้องทรงพระอักษรของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันการเข้าวังหลวงของนาง สามารถกล่าวได้ว่าเรียบง่ายและสบายมากเพราะในมือของนางยังมียันต์คุ้มภัยอีกชิ้นที่ท่านแม่เหลือไว้ให้นาง…นั่นก็คือป้ายคำสั่งที่อดีตฮ่องเต้ประทานชาติที่แล้วป้ายคำสั่งชิ้นนี้ถูกบ่าวไพร่ที่คอยรับใช้ข้างกาย หรือก็คือชุนเซียงขโมยไปให้เวินเยวี่ย จนทำให้นางจนหนทางโชคดีที่นางเกิดใหม่ในชาตินี้ ป้ายคำสั่งยังไม่ถูกขโมยดังนั้นนางจึงสามารถอาศัยป้ายคำสั่งของอดีตฮ่องเต้ มายืนอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้หนุ่มองค์นี้ “หม่อมฉันเวินซื่อ ถวายบังคมฝ่าบาท”“เวินซื่อ? เราจำได้ว่าเจ้าคือลูกสาวคนที่ห้าของเจิ้นกั๋วกงใช่หรือไม่?”ฮ่องเต้ที่นั่งอยู่ด้านหลังของโต๊ะทรงพระอักษรวางฎีกาลง แล้วมองเวินซื่อที่คุกเข่าอยู่บนพื้นแวบหนึ่งฮ่องเต้องค์นี้คือพระราชโอรสองค์ที่เก้าของอดีตฮ่องเต้ ขณะขึ้นครองราชย์มีพระชนมายุเพียงสิบเอ็ดชันษา ต่อให้เป็นปัจจุบันก็มีพระชนมายุเพียงสิบห้าชันษาแม้อายุเท่ากับเวินซื่อ แต่ความน่าเกรงขามบนร่างกายที่สวมชุดมังกรของเขาทำให้ไม่สามารถมองข้าม และถึงขั้นให้ความรู้สึกกดขี่อย่างคลุมเครือเวินซื่

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 14

    ช่างเถอะ ไม่ว่าจะเห็นแก่ใคร ตราบใดที่มีโอกาสก็พอ“ฝ่าบาทโปรดชี้แนะด้วยเพคะ”เวินซื่อกล่าวอย่างนอบน้อมฮ่องเต้น้อยลุกขึ้น เดินไปที่ตรงหน้าเวินซื่อ แล้วคืนป้ายคำสั่งให้นาง“ในช่วงสองปีมานี้ ทางใต้ของแคว้นเกิดภัยพิบัติอย่างต่อเนื่อง ราษฎรทุกข์ร้อน เราค่อนข้างกังวล จำเป็นต้องมีใครสักคน คอยอธิษฐานขอพรให้แคว้นและราษฎรจากใจจริง”“หม่อมฉันยินดีเพคะ!”เวินซื่อตอบตกลงทันทีฮ่องเต้น้อยกลับส่ายศีรษะด้วยรอยยิ้ม “เจ้ายินดียังไม่พอ อารามสุ่ยเยว่บนภูเขาหนานที่อยู่นอกเมืองหลวง ผู้ดูแลอารามคือซือไท่ที่มีคุณธรรมและบุญบารมีสูงส่ง ถ้าหากซือไท่ท่านนั้นก็เห็นด้วยเช่นกัน เราจะตอบตกลงเจ้า” “เพคะ ขอบพระทัยฝ่าบาท!”“อย่าเพิ่งด่วนขอบคุณ ถ้าหากซือไท่ไม่เห็นด้วย เราจะไม่อนุโลมเจ้า”กล่าวจบ ฮ่องเต้น้อยก็โบกมือ “ไปเถอะ เรารอข่าวจากเจ้า”สำหรับเวินซื่อ ตอนนี้นางไม่มีทางเลือกอื่นแล้วดังนั้นไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ขอแค่สามารถไปจากสกุลเวิน ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟ นางก็จะลองดูสักตั้งในตอนที่เวินซื่อหมุนกายเตรียมจากไป จู่ๆ ฮ่องเต้น้อยก็เรียกนางอีก“รอก่อน”เวินซื่อหยุดฝีเท้า หันกลับไปมองด้วยความสงสัยเมื่อเห็น

Latest chapter

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 198

    ยังไม่ทันที่เวินซื่อจะได้เอ่ยขึ้น เป่ยเฉินหยวนขมวดคิ้วเอ่ยขึ้นก่อนก่อนหน้านี้ใช่ว่าราชวงศ์ต้าหมิงจะไม่เคยเผชิญภัยแล้ง พิธีขอฝนก็จัดขึ้นแล้วหลายครั้ง แต่ล้วนจัดขึ้นในเมืองหลวงฮ่องเต้น้อยถอนหายใจ “เพื่อให้ราษฎรวางใจ”ปีนี้ภัยแล้งของจินโจวกินเวลายาวนานถึงสามเดือน ต่อให้ทางราชสำนักส่งความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง เสบียงอาหารไม่ขาด ทว่าภัยแล้งที่ยาวนานท้ายที่สุดอาจทรมานจนทำให้กลายเป็นบ้าในเวลาอย่างนี้สมควรจัดพิธีขอฝนที่ทำให้ใจราษฎรสงบ อย่างน้อยถือว่าให้ความหวังราษฎรบ้างดังนั้นในยามนี้ธิดาศักดิ์สิทธิ์ฝูหมิงที่ปรากฏตัวกะทันหันจึงกลายเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งของผู้ว่าเมืองจินโจวทันทีพิธีขอฝนซึ่งประกอบพิธีโดยธิดาศักดิ์สิทธิ์ฝูหมิงคนแรกของราชวงศ์ต้าหมิง เพื่อขอพรให้ราษฎรชาวจินโจว ย่อมต้องปลอบประโลมจิตใจของเหล่าราษฎรจินโจวได้แน่นอนหลังจากเข้าใจเหตุผลแล้ว เวินซื่อพยักหน้ารับเรื่องนี้อย่างไม่ลังเล“ฝ่าบาทไม่ต้องตรัสแล้วเพคะ ขอพรเพื่อบ้านเมืองขอพรเพื่อราษฎร เป็นหน้าที่ของธิดาศักดิ์สิทธิ์อย่างหม่อมฉันอยู่แล้ว อย่างไรหม่อมฉันเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่ฝ่าบาทแต่งตั้งด้วยพระองค์เองนะเพคะ”บรรดาศั

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 197

    ดังนั้น จากนั้นไม่นานจึงมีฎีกาจากจินโจว อีกทั้งยังมีรับสั่งจากฝ่าบาทให้เวินซื่อเข้าเฝ้าภายในห้องทรงพระอักษร วังหลวงเวินซื่อทำความเคารพอย่างสง่างาม“หม่อมฉันเวินซื่อถวายพระพรฝ่าบาท ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปีเพคะ”“ธิดาศักดิ์สิทธิ์ฝูหมิงรีบลุกขึ้นเถอะ”ไม่ได้พบกันสักระยะหนึ่ง ฮ่องเต้น้อยชักจะคิดถึงธิดาศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งแห่งราชวงศ์ต้าหมิงที่แต่งตั้งขึ้นเองอยู่บ้างแม้จะมีเสด็จอาคอยมองดูอยู่ แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคที่เขาจะห่วงใยเวินซื่อสักสองสามคำ“ได้ยินมาว่าช่วงนี้ธิดาศักดิ์สิทธิ์ฝูหมิงมีเรื่องเกี่ยวพันกับจวนเจิ้นกั๋วกงไม่ว่างเว้น เสียเปรียบหรือไม่?”เมื่อได้รับความห่วงใยจากฮ่องเต้น้อย เวินซื่อส่ายหน้า ยิ้มแล้วกล่าวเสียงเรียบ “โชคดีที่ฝ่าบาทให้ท่านอ๋องคอยดูแลหม่อมฉัน แม้จะถูกปรักปรำ แต่สุดท้ายก็คืนความบริสุทธิ์ให้หม่อมฉันเพคะ”เสด็จอาคอยดูแลธิดาเทพหรือ?เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้เขาเคยได้ยินมาหลายครั้งก่อนหน้าได้ยินมาแล้วว่าเสด็จอาไปเยือนจวนจงหย่งโหว เพื่อออกหน้าแทนธิดาศักดิ์สิทธิ์จึงเป็นฝ่ายไปเยือนเอง และช่วยไขคดี สุดท้ายไม่เพียงสืบพบว่าหัวขโมยคือซื่อจื่อจวนจง

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 196

    เวินเยวี่ยถลึงตาในพริบตา “เจ้าพูดเหลวไหลอะไร! เจ้ารู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร!?”อันหลันซินแค่นหัวเราะ “ตอนนี้ข่าวลือแพร่ไปทั่วเมืองหลวงแล้ว เจ้าเวินเยวี่ยวางยาทำร้ายพี่ชาย ถูกเจิ้นกั๋วกงใช้กฎประจำตระกูลลงโทษฟาดแส้ห้าสิบครั้ง อีกทั้งยังถูกกักบริเวณสำนึกผิดอีกสามเดือนเชียว”“เจ้า!”ให้ตายสิ!ท่านพ่อมีคำสั่ง ไม่ให้ผู้ใดเผยแพร่เรื่องนี้ออกไปแล้วมิใช่หรือ?หรือจะเป็นนังคนชั้นต่ำอย่างเวินซื่อ? !นางช่างชั่วช้าตามที่คาดการณ์ไว้!ถึงกับกล้าทำลายชื่อเสียงของนาง!น่าเสียดายที่เรื่องนี้เวินซื่อไม่ได้เป็นคนทำ ขณะนั้นมีคนอยู่ในเหตุการณ์มากมายเวินเฉวียนเซิ่งสั่งการคนในจวนได้ แต่กลับสั่งการเป่ยเฉินหยวนและคนที่เขาพามาด้วยไม่ได้เพียงสายตาของอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน ทหารใต้อาณัติเขาก็รู้ทันทีในวันหยุดพักราชการออกไปดื่มเหล้าจนปากสว่างไม่ได้หรือ?ออกไปทานอาหารข้างนอกแล้วตอนคุยกันเผลอพูดเสียงดังไม่ได้หรือ?อย่างไรพวกเขาก็ไม่ได้ตั้งใจ แค่เจตนาไม่ได้หรือ?หลังจากผ่านไปวันสองวัน จึงเป็นที่รู้กันไปทั่วเมืองหลวงตามที่คาดไว้แม้แต่ตอนท่านอ๋องมาฝึกพวกเขายังสีหน้าดูดีอย่างหาได้ยากกองทัพธงดำที่อยู่

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 195

    คุณหนูรองจวนราชเลขาฝ่ายขวาคือบุตรอนุภรรยา นามว่าอันหลันซินเมื่อหลายปีก่อนตอนเวินซื่อจมน้ำนางเคยช่วยชีวิต นับจากนั้นเวินซื่อจึงถือว่าอันหลันซินเป็นสหาย กระทั่งแนะนำนางให้สหายรักของตนรู้จัก ซึ่งก็คือปราชญ์หญิงในรัชกาลปัจจุบันหลินเมี่ยวฉือเพราะมีบุญคุณในครั้งนั้น เวินซื่อและหลินเมี่ยวฉือจึงเป็นอันหลันซินเป็นคนกันเองมาโดยตลอดรู้ว่านางคือบุตรอนุภรรยา ไม่ได้รับความห่วงใยจากมารดาใหญ่ อีกทั้งถูกพี่น้องคนอื่นรังแก ทั้งสองจึงไปกู้หน้าให้นางถึงจวนด้วยตัวเองรู้ว่าเงินเดือนนางไม่พอใช้ ต้องใช้สอยอย่างประหยัด ดังนั้นไม่ว่าจะกินของดีที่ไหนก็ต้องเก็บไว้ให้นางหนึ่งส่วน มีที่ไหนน่าสนุกก็พานางไปด้วยรู้ว่าไม่มีใครจัดการเรื่องงานแต่งให้นาง เวินซื่อจึงขอร้องบิดา ไหว้วานฮูหยินเฒ่าที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง ช่วยให้นางได้หมั้นหมายกับตระกูลที่ดีจนกระทั่งเมื่อครึ่งปีก่อน ไม่รู้เหตุใดท่าทีของอันหลันซินเปลี่ยนไปฉับพลัน นางนัดแนะเวินซื่อออกมาเที่ยวเพียงลำพัง ทว่ากลับผลักนางตกน้ำด้วยตัวเอง ซ้ำยังยืนมองให้นางจมลงไปในทะเลสาบหากไม่มีคนเดินผ่านมาพอดี แล้วได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือของเวินซื่อ เกรงว่ายามนั้นนา

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 194

    ขณะเดียวกันจวนเจิ้นกั๋วกงหลังเวินเยวี่ยถูกลงโทษโดยกฎประจำตระกูลฟาดแส้ไปห้าสิบที ก็หมดสติอย่างสิ้นเชิงแผ่นหลังเต็มไปด้วยเลือด ถูกฟาดจนเนื้อหนังปริแตก จนไม่กล้ามองดูสองวันมานี้ เวินเยวี่ยนอนร้องไห้เพราะความเจ็บปวดทั้งวันทั้งคืนทุกครั้งที่ใส่ยาทำให้นางเจ็บปวดจนอยากจะสับเวินซื่อที่อารามสุ่ยเยว่เป็นหมื่นชิ้น เพื่อให้อีกฝ่ายลิ้มรสความเจ็บปวดของตัวเองไม่ง่ายกว่าจะผ่านพ้นไปสองวัน เวินเยวี่ยที่นอนอยู่บนเตียงออกไปไหนไม่ได้ ได้ยินข่าวร้ายจากสาวใช้สาวใช้ที่มาใหม่ชื่อเซียงเหอ ส่วนหงอวี้หายตัวไปตั้งแต่สองวันก่อนผู้ที่ลงมือจัดการย่อมต้องเป็นเจิ้นกั๋วกงจวนเจิ้นกั๋วกงที่ใหญ่โตหากอยากให้สาวใช้สักคนหายไปอย่างเงียบเชียบ เป็นเรื่องที่ง่ายดายเหลือเกินทว่าฝีมือเช่นนี้ก็ทำให้เวินเยวี่ยรู้สึกหวาดกลัวเพราะนางรู้สึกว่าบิดากำลังตักเตือนนางไม่อย่างนั้นจะสังหารสาวใช้คนสนิทของนางโดยตรงได้อย่างไรเดิมทีเวินเยวี่ยตกใจจนสำรวมขึ้นบ้างแล้ว แต่หลังจากผ่านความทรมานสองวันมานี้ ความโกรธแค้นในใจเกิดขึ้นอีกครั้งโดยเฉพาะได้ยินข่าวจากเซียงเหอ ว่าพี่รองของนางเวินจื่อเฉินถึงกับตัดสัมพันธ์กับทุกคนในจวนเจิ

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 193

    ขณะนี้เวินซื่อประหม่ายิ่งกว่าเขาเสียอีกมุมปากฉีกแล้ว ยังบวมอีก!ใบหน้าที่งดงามไร้ที่ติเช่นนี้ หากต้องมาเสียโฉมเพราะนาง นั่นเป็นความผิดของนางชัดๆ !“ข้าจะไปเอายามาให้ท่านเดี๋ยวนี้ รีบทายาซะ อย่าให้เกิดเป็นรอยแผลเป็นเด็ดขาด”เวินซื่อหันหลังเตรียมกลับไปที่เรือนเล็ก จู๋เยวี่ยปรากฏตัวขึ้นตรงหน้านางทันที“จู๋เยวี่ย? ในที่สุดเจ้าก็กลับมา ทำไมถึงไปนานขนาดนี้?”จู๋เยวี่ยรีบเดินมาตรงหน้าเวินซื่อ “อู๋โยว รีบตามข้ามา มีคนนอกมาเยือนอารามสุ่ยเยว่ เป็นคนจากในวัง”“คนจากในวังหรือ?”เวินซื่อเลิกคิ้ว หันมองเป่ยเฉินหยวนที่อยู่ด้านหลังพบว่าเป่ยเฉินหยวนกำลังขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็ไม่รู้เรื่องนี้คงไปเอายาไม่ทันแล้วในไม่ช้าเวินซื่อก็กลับไปถึงอารามสุ่ยเยว่ เมื่อมาถึงนอกอารามเห็นม่อโฉวซือไท่รออยู่นอกประตูใหญ่ตามคาด และเสี่ยวเต๋อจื่อที่อยู่ไม่ไกล พร้อมกับรถม้าคันด้านหลังเขาที่เคยส่งนางมาอารามสุ่ยเยว่“บ่าวคารวะธิดาศักดิ์สิทธิ์”เมื่อเห็นเวินซื่อปรากฏตัว เสี่ยวเต๋อจื่อรีบเข้าไปทำความเคารพอย่างอ่อนน้อมเผชิญหน้ากับขันทีที่เป็นคนสนิทของฝ่าบาท แม้เขาจะทำความเคารพ เวินซื่อก็ไม่กล้ารับไว้ทั้ง

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 192

    อ๋องผู้สำเร็จราชการแทนผู้ยิ่งใหญ่ ยากนักที่จะตกอยู่อากัปกิริยาพูดติดอ่างเช่นนี้หากให้ผู้ใต้บัญชาเหล่านั้นของเขาเห็นเข้า คงตกใจจนลูกตาถลนออกจากเบ้าทว่าโชคดี เขาเผยท่าทางวางตัวไม่ถูกเช่นนี้ต่อหน้าอู๋โยวเท่านั้นเป่ยเฉินหยวนถือโอกาสนอนลงข้างกายเวินซื่อ ในใจรู้สึกดีงามอย่างประหลาดได้ฟังคนที่ชอบสวดมนต์ให้จิตใจเขาสงบอยู่ข้างกายอย่างตั้งใจ ความรู้สึกเช่นนี้ราวกับถูกคนรักกล่อมให้นอนหลับ ในที่สุดเป่ยเฉินหยวนที่รู้สึกหวานละไมก็ผ่อนคลายความคิดที่ตึงเครียด ค่อยๆ จมดิ่งสู่ในนั้นหลังจากลมหายใจของเป่ยเฉินหยวนเริ่มราบเรียบ เสียงสวดมนต์ของเวินซื่อเล็กลงเรื่อยๆ ผ่านไปทีละนิด จนสุดท้ายเหลือเพียงเสียงลำธารไหลผ่านและสัมผัสของสายลมที่พัดเอื่อยเวินซื่อที่รู้สึกง่วงนอนขึ้นมาอย่างประหลาดจึงขยี้ตาช่างเถอะ งีบสักครู่ดีกว่าอีกเดี๋ยวจู๋เยวี่ยกลับมาต้องเรียกนางแน่นอนเวินซื่อคิดเช่นนั้น จึงขยับตัวเล็กน้อย แล้วนอนลงไปเช่นกันระยะห่างเว้นจากเป่ยเฉินหยวนประมาณหนึ่งคนกั้น ไม่ใกล้ไม่ไกลหลังจากนางนอนหลับ มิติแห่งนี้ราวกับมีเพียงทั้งสองคนเท่านั้นเมื่อเป่ยเฉินหยวนตื่นขึ้น พลันเห็นภาพที่ทำให้แทบหยุดหา

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 191

    หลังจากวนหนึ่งรอบ เป่ยเฉินหยวนจึงวางนางไว้บนพื้นอีกครั้งทั้งยังเลือกวางไว้บนก้อนหินขนาดใหญ่ที่เรียบ เพื่อให้นางสามารถยืนอย่างมั่นคงเวินซื่อที่ขวัญผวาโดยไม่ได้รับอันตรายใดตบหน้าอกตัวเองเพื่อให้หายตกใจ พร้อมกล่าวขอบคุณ “โชคดีที่มีท่านอ๋องอยู่ ไม่อย่างนั้นเมื่อครู่ข้าต้องเคราะห์ร้ายแน่ๆ เลย”เมื่อวานหลังจากฝนตกลงมาหนึ่งครั้ง ทำให้อากาศวันนี้เริ่มเย็นลงหากยามนี้นางตกน้ำ เกรงว่าคงต้องไม่สบายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เป่ยเฉินหยวนยกมือดีดหน้าผากนางเบาๆ “เมื่อครู่ใครใช้ให้ท่านไม่ระวังล่ะ ทั้งที่รู้ว่าตัวเองยกไม่ไหว ยังตักน้ำมากขนาดนี้อีก”ครั้งนี้โชคดีที่มีเขาอยู่ เกิดครั้งหน้าเขาไม่อยู่ด้วยล่ะ?เวินซื่อจับหน้าผากตัวเอง ไม่กล้าบอกว่าเมื่อครู่ที่นางไม่ทันระวังความจริงเป็นเพราะเขา“เอาละ นำถังไม้มาให้ข้าเถอะ ท่านไปยืนดูอยู่ด้านข้างดีกว่า”เป่ยเฉินหยวนถลกแขนเสื้อและขากางเกงขึ้น จากนั้นไปยกถังไม้ขึ้นจากลำธาร ปล่อยให้เวินซื่อยืนอยู่ริมฝั่ง“หา? ให้ท่านทำหรือ? คงไม่เหมาะสมเท่าใดกระมัง?”เวินซื่อเบิกตาโต พร้อมกล่าวอย่างแปลกใจให้อ๋องผู้สำเร็จราชการแทนที่สูงส่งช่วยตักน้ำให้นาง นี่ไม่ใช่แค่ไ

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 190

    เวินซื่อไม่นึกว่าจู๋เยวี่ยจะมาปลอบประโลมนางคราวนี้นางเผยรอยยิ้มออกมาจากภายในใจ “ขอบคุณเจ้ามากจู๋เยวี่ย ข้าต้องการมาก”จู๋เยวี่ยติดตามนางไปที่ริมลำธารเล็ก ๆ ทั้งสองนั่งลงเงียบ ๆเวินซื่อมองดูลำธารเล็ก ๆ สายนั้น หลังจากนิ่งเงียบอยู่นาน นางถึงเอ่ยขึ้นช้า ๆ“จู๋เยวี่ย เจ้าคือองครักษ์ลับที่ได้รับการฝึกฝนจากราชวงศ์ บางทีวันหนึ่งเจ้าอาจถูกโยกย้ายกลับไปคุ้มกันผู้อื่น แต่หากวันนั้นข้าพูดกับเจ้าว่า เจ้าอย่าไป ต่อไปให้คุ้มกันข้าเพียงผู้เดียว เจ้าจะรู้สึกว่าข้าเห็นแก่ตัวหรือไม่?”นางกลัวว่าจู๋เยวี่ยจะคิดมาก หลังจากตั้งคำถามแบบสมมติเสร็จแล้วก็รีบอธิบายว่า “ข้าไม่ได้จะไม่ให้เจ้าไปไหนจริง ๆ เพียงแต่วันนี้...”“ข้าหวังว่านั่นจะเป็นความจริง”แต่นางยังพูดไม่ทันจบ จู๋เยวี่ยก็เผยด้านที่แข็งกร้าวออกมาทันใด นางจับจ้องเวินซื่ออย่างแน่วแน่ “อู๋โยว ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นองครักษ์ลับที่ได้รับการฝึกฝนจากราชวงศ์ แต่ความเชื่อของพวกเราก็คือจงรักภักดีต่อนายเพียงคนเดียวไปชั่วชีวิต นับตั้งแต่ช่วงเวลาที่ท่านมอบนามให้ข้า ท่านก็เป็นคนเดียวที่ข้าจะมอบความจงรักภักดีไปตลอดชีวิต และข้าจะปกป้องท่านเพียงคนเดียวตลอดไป”มุมป

Scan code to read on App
DMCA.com Protection Status