Share

บทที่ 5

Author: จิ้งซิง
“เวินซื่อ เจ้าบ้าไปแล้วหรือ?!”

เวินเยวี่ยที่เดิมทียังนึกว่ามีโอกาสแย่งกลับมาก็ร้องเสียงหลงด้วยความตกใจและโกรธเกรี้ยว

อารมณ์หวั่นไหวรุนแรงราวกับว่าสิ่งที่เวินซื่อตัดคือชุดของนาง

เวินซื่อขยับมือไม่หยุด รอยยิ้มบนใบหน้ายังคงไม่แปรเปลี่ยน “ตัดชุดอย่างไรเล่า พี่รองกับน้องหกเห็นแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดต้องมีปฏิกิริยารุนแรงถึงเพียงนี้?”

ดวงตาสองข้างของเวินจื่อเฉินพ่นไฟแล้ว “เจ้ายังกล้าถามข้าอีกหรือว่าเหตุใดถึงมีปฏิกิริยารุนแรงเช่นนี้?! ชุดนี้เป็นชุดที่ข้ากับพวกพี่ใหญ่ตั้งใจสั่งทำขึ้นมาเพื่อพิธีปักปิ่นของเจ้า ตอนนี้เจ้ากำลังทำอะไรอยู่? เหตุใดเจ้าต้องตัดมันจนเละด้วย?!”

“เพราะว่าไม่มีใครต้องการมันแล้ว”

เวินซื่อตัดลงไปดัง “ฉับ” อีกครั้ง “ข้าไม่ต้องการ น้องหกก็ไม่ต้องการ ของที่ไม่มีใครต้องการย่อมต้องจัดการทิ้ง”

สีหน้าของนางเย็นชาจนทำให้เวินจื่อเฉินแทบจะรู้สึกแปลกตา

ใครบอกว่าข้าไม่ต้องการ?!

เวินเยวี่ยโกรธจนแทบอยากจะกรีดร้อง

นางแค่จงใจบอกปัดเพื่อไม่ให้เวินจื่อเฉินสงสัยเท่านั้น

ใครจะคิดว่าเวินซื่อกลับเสียสติถึงเพียงนี้?!

ทั้ง ๆ ที่นางคิดไว้นานแล้วว่าวันนี้จะต้องสวมชุดพิธีการนี้ให้ได้ แต่ตอนนี้ถูกเวินซื่อทำลายหมดแล้ว!

นี่เป็นชุดพิธีการที่แพงที่สุดและดีที่สุดในเมืองหลวงนะ!

มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น!

เวินเยวี่ยปวดใจจนแทบหลั่งเลือด

“เจ้าบอกตั้งแต่เมื่อไรว่าเจ้าไม่ต้องการแล้ว? เจ้าเคยบอกว่าเจ้าชอบมากไม่ใช่หรือ? เจ้าทะนุถนอมชุดนี้ที่สุดไม่ใช่หรือ...”

เวินจื่อเฉินเดือดดาลอย่างยิ่ง

เวินซื่อกลับตัดบทเขาทันทีว่า “ข้าไม่ชอบแล้ว”

นางเอ่ยทวนทีละคำว่า “เมื่อก่อนเคยชอบ แต่ตอนนี้ข้าไม่ชอบแล้ว”

สิ่งที่ไม่ได้เป็นของนาง นางไม่ต้องการทั้งนั้น

“ฉับ”

เมื่อเวินซื่อตัดลงไปเป็นครั้งสุดท้าย ชุดพิธีการนั้นก็ถูกนางตัดจนเละไม่เป็นชิ้นดี

เฉกเช่นความสัมพันธ์ของนางกับพวกเวินจื่อเฉิน

ชาติที่แล้วนางอยากกอบกู้สถานการณ์มากเกินไป หากตระหนักได้เร็วหน่อย ตัดขาดทุกอย่างนี้เร็วหน่อย สุดท้ายนางก็คงไม่ลงเลยถึงขั้นนั้น

และชาตินี้ นางจะไม่ทำอะไรโง่งมเหมือนชาติที่แล้วอีกเป็นอันขาด!

“เอาเถิด พิธีปักปิ่นใกล้จะเริ่มแล้ว ในเมื่อพี่รองไม่อยากให้ข้าออกไป เช่นนั้นก็ขออภัยที่น้องไม่อยู่เป็นเพื่อนแล้ว”

หลังจากที่นางวางกรรไกรลงก็หันหลังให้กับพวกเขา เริ่มไล่คนด้วยน้ำเสียงค่อนข้างหมดความอดทน

เวินจื่อเฉินยืนนิ่งอยู่กับที่ ดวงตาสองข้างแดงก่ำจ้องมองเศษผ้าที่กระจัดกระจายเต็มพื้น

เขาเหมือนกับถูกคนทุบแรง ๆ สมองว่างเปล่าทันใด

ไม่...

ไม่ถูก

เหตุใดน้องห้าถึงกลายเป็นเช่นนี้?

เหตุใดนางต้องทำขนาดนี้?

หรือว่านางโกรธที่เขาให้นางมอบชุดพิธีการให้กับน้องหก?

หรือเป็นเพราะว่าเขาปรักปรำนาง?

แต่นี่เป็นเพราะนางทำผิดก่อนไม่ใช่หรือ?

นางมีสิทธิอะไรมาอารมณ์เสีย?!

เวินจื่อเฉินยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ

“ทั้งหมดต้องโทษพวกพี่ใหญ่ที่ตามใจเจ้าจนกลายเป็นเช่นไรแล้ว! ตอนนี้แม้แต่ความหวังดีของพวกพี่ชาย เจ้าก็ยังกล้าทำลาย ต่อไปเกรงว่าเจ้ายังคิดจะขบถด้วย!”

เวินจื่อเฉินนึกว่าเอ่ยเช่นนี้เวินซื่อจะมีปฏิกิริยา แต่เวินซื่อที่นั่งอยู่ตรงนั้นกลับไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมา

ท่าทีดูเหมือนขับไล่คนมาก ๆ

“ดี ๆๆ!”

เวินจื่อเฉินโกรธจนเอ่ยคำว่าดีติดต่อกันสามครั้ง เขาเอ่ยอย่างเกรี้ยวกราดว่า “เจ้ากล้าโกรธปั้นปึ่งใส่ข้า คอยดูนะ วันนี้ข้าจะต้องเรียกพวกพี่ใหญ่มาดูท่าทางดื้อดึงของเจ้า!”

เขากล่าวจบก็คว้าเครื่องประดับศีรษะที่เวินเยวี่ยเพิ่งหยิบขึ้นมาจากพื้น รวมทั้งรวบรวมเศษผ้าบนพื้นขึ้นมาทั้งหมด

“เอ๊ะ พี่รอง?!”

เวินเยวี่ยยังไม่ทันตั้งตัวก็เห็นเวินจื่อเฉินนำชุดพิธีการขาดรุ่งริ่งชุดนั้นหันตัวเดินออกไปอย่างรวดเร็ว

นางหันหน้ากลับไปถลึงตาใส่เวินซื่ออย่างไม่ยอมแพ้ หลังจากขบคิด สุดท้ายก็ยังไล่ตามออกไป

เมื่อพวกเขาจากไปแล้ว ห้องของเวินซื่อก็เงียบสงบลงในพริบตา

เงียบจนแทบได้ยินเสียงสาวใช้บางคนที่คิดว่าเสียงตัวเองเบามากกำลังแอบนินทากันอยู่บนระเบียงทางเดินที่ไม่ไกลจากด้านนอกห้อง

“อุ๊ย เมื่อกี้คนที่วิ่งออกมาจากห้องของคุณหนูห้าคือคุณชายรองกับคุณหนูหกไม่ใช่หรือ?”

“ดูเหมือนจะเป็นพวกเขานะ!”

“คิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นคุณชายรอง หากรู้แต่แรกข้าคงไปรอในห้องของคุณหนูห้าแล้ว”

“ช่างเถิด เมื่อครู่นี้ข้าได้ยินคุณชายรองตำหนิคุณหนูห้าเสียงดังอีกแล้ว เกรงว่าคุณหนูห้าคงจะทำอะไรคุณหนูหกอีกแล้ว คนจิตใจชั่วช้าเช่นนั้น เจ้ายังกล้าไปใกล้นางอีกหรือ? เจ้าไม่กลัวว่าสักวันนางจะไม่พอใจจนลงมือกับเจ้าหรือไร?”

“สวรรค์ น่ากลัวเหลือเกิน! หากเป็นเช่นนี้ ใครยังจะกล้าไปรับใช้นางอีกเล่า?”

ภายในห้อง เวินซื่อฟังคำพูดเหล่านี้อย่างเย็นชา

ท่ามกลางเสียงของสาวใช้หลายคนนั้น คนที่พูดมากหนึ่งในนั้นก็คือชุนเซียง สาวใช้คนสนิทของนาง

และเป็นสาวใช้ที่เตะนางแรง ๆ เพื่อเอาใจเวินเยวี่ยตอนที่นางถูกขังไว้ในห้องลับ

ตอนแรกชุนเซียงหักหลังนางตามคำสั่งของเวินเยวี่ย ช่วยเวินเยวี่ยขับไล่นางออกจากจวนกั๋วกง ดังนั้นจึงกลายเป็นคนสนิทที่ทำงานเก่งข้างกายเวินเยวี่ย

เมื่อก่อนเวินซื่อไม่รู้เลย แต่ตอนนี้คิดดูแล้วเกรงว่าเวลานี้ชุนเซียงคงจะไปขอพึ่งพาอาศัยเวินเยวี่ยนานแล้ว

และลอบยุยงข้ารับใช้ในเรือนนาง ทำให้ทุกคนหวาดกลัวและตีตัวออกหากกับนาง

จิตสังหารฉายขึ้นมาในแววตาของเวินซื่อ

นางจะไม่ยอมปล่อยเวินเยวี่ยกับคนสกุลเวินไป

เช่นเดียวกัน นางก็จะไม่ยอมปล่อยคนที่ทรยศนาง

“พวกเจ้าทั้งหลาย”

เสียงของเวินซื่อพลันดังขึ้นจากด้านหลังพวกสาวใช้หลายคน

พวกซุนเซียงหันหน้าไปมองก็เห็นเวินซื่อยืนอยู่ริมหน้าต่าง กำลังจ้องมองพวกนางด้วยสายตาทะมึน

พวกสาวใช้ที่เพิ่งถูกชุนเซียงขู่ให้ตกใจพลันหวาดกลัวจนรีบลุกขึ้นมา

“นอกจากชุนเซียงแล้ว คนอื่น ๆ กลับไปเก็บข้าวของเสีย ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่แล้ว อีกเดี๋ยวข้าจะเรียกคนมารับพวกเจ้า”

สาวใช้คนอื่น ๆ ยังไม่ทันตั้งสติ เอ่ยถามอย่างงุนงงเล็กน้อยว่า “เก็บข้าวของ? ไปที่ใดหรือเจ้าคะ? คุณหนูห้าจะเรียกใครมารับพวกเราหรือเจ้าคะ?”

เวินซื่อมองพวกนางอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ย่อมเรียกนายหน้าค้าทาสมารับ ไม่เช่นนั้นยังมีใครได้อีก?”

สาวใช้ทั้งหลายพากันหน้าถอดสี เบิกตาโตอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“คุณหนูห้าเอ่ยเช่นนี้หมายความว่าอันใด? พวกนางทำสิ่งใดผิด ท่านถึงปฏิบัติกับพวกนางเช่นนี้?!”

ซุนเซียงที่ถูกแยกออกมาคนเดียวยังตระหนักไม่ได้ถึงความร้ายแรง นางจดจำคำพูดที่เวินเยวี่ยกำชับนางได้ขึ้นใจ พูดแทนสาวใช้คนอื่น ๆ อย่างหนักแน่นมีเหตุผลชอบธรรม

“พวกนางไม่ได้ทำสิ่งใดผิด”

เวินซื่อยิ้มน้อย ๆ “แต่ว่าสมองไม่ค่อยกระจ่างนัก แยกแยะไม่ออกว่าใครเป็นเจ้านายของพวกนาง”

“พวกคนที่ไม่รู้แม้กระทั่งว่าเจ้านายของตนเองเป็นใคร เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องอยู่เรือนของข้าต่อไป เก็บของไสหัวไปแต่เนิ่น ๆ เสีย เพื่อไม่ให้สักวันข้าไม่พอใจจนลงมือกับพวกเจ้า”

เมื่อคำพูดประโยคสุดท้ายออกมา บรรดาสาวใช้รวมถึงซุนเซียงก็พากันหน้าซีดเผือด

หลังจากนั้น เวินซื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ นางจึงกล่าวอีกว่า

“แน่นอนว่าพวกเจ้าสามารถไปอ้อนวอนขอร้องน้องสาวแสนดีที่มีเมตตาบริสุทธิ์ของข้าได้เหมือนกัน ไม่แน่ว่านางอาจจะยินดีจ่ายราคางามซื้อพวกเจ้าจากในมือของข้าก็ได้?”

พอดีเลย หากนางอยากออกไปจากสกุลเวิน ยังต้องเตรียมเงินในมือไว้ก่อน

เมื่อเวินซื่อปิดหน้าต่าง เพิ่งจะหันตัวมาก็สะดุ้งตกใจกับบุรุษผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้

เมื่อเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัดเจน ความเคียดแค้นชิงชันอย่างรุนแรงก็พรั่งพรูขึ้นมาในใจของเวินซื่อ

นางเอ่ยปากอย่างช้า ๆ ว่า “พี่ใหญ่”
Continue to read this book for free
Scan code to download App

Related chapters

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 6

    ผู้ที่มามีรูปร่างสูงสง่าราวกับไผ่สน สวมอาภรณ์เสื้อคลุมสีกรมท่า รูปลักษณ์สง่างาม โฉมหน้าหล่อเหลาชื่อของเขาคือเวินฉางอวิ้น เป็นพี่ใหญ่ของนาง และก็เป็นคุณชายใหญ่ของจวนกั๋วกง“น้องห้า เจ้ารู้ความผิดหรือไม่?” เวินฉางอวิ้นมองเวินซื่อด้วยสายตาเย็นชา ความรู้สึกกดดันที่แผ่ลงมาจากด้านบนทำให้เวินซื่อแทบหายใจไม่ออกนิดหน่อย เมื่อก่อนนางโง่งม คิดเพียงว่าเวินฉางอวิ้นรูปร่างสูงใหญ่ ถึงมอบความรู้สึกน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ให้นาง ทว่าต่อมาจนกระทั่งเมื่อนางเห็นกับตาว่าเวินฉางอวิ้นก้มตัว ก้มหน้าให้สายตาอยู่ระดับเดียวกับเวินเยวี่ยเพียงเพื่อรับฟังความคับข้องใจจากปากของนาง เวินซื่อถึงได้เข้าใจว่าที่แท้ตนเองเป็นเพียงคนชั้นล่างที่ไม่เคยอยู่ในสายตาของพี่ใหญ่ “ข้าไม่เข้าใจคำพูดของพี่ใหญ่ ไม่ทราบว่าข้ามีความผิดอันใด ขอพี่ใหญ่โปรดชี้แจงด้วย”ไม่ใช่ว่าเวินซื่อไม่เห็นชุดพิธีการที่เขาถืออยู่ในมือ ดังนั้นไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเขามาเพราะเหตุใด แต่แล้วอย่างไรเล่า?ไม่ถามสักคำ มาถึงก็อยากให้นางยอมรับความผิด?มีสิทธิอันใด?เวินฉางอวิ้นทำสายตาเย็นชา แต่สายตาของเวินซื่อกลับเย็นชายิ่งกว่าเขา เวินฉางอวิ้นขมวดค

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 7

    ชุยเส้าเจ๋อก้าวเท้าเดินมาทางเวินซื่อ ท่าทางดูเกรี้ยวกราดหมายจะหาเรื่องเมื่อมองไปทางด้านหลังของเขาอีกก็เห็นเวินเยวี่ยอ้าปากพูดว่า “อย่าเลย” ด้วยความหวาดกลัว แต่ไม่ได้ทำท่าจะฉุดรั้งชุยเส้าเจ๋อเลยสักนิดหลังจากที่สบสายตาของเวินซื่อ ดวงตาของนางถึงขนาดฉายแววกระหยิ่มยิ้มย่องเห็นได้ชัดว่าการที่นางสามารถยุให้ชุยเส้าเจ๋อออกหน้าเพื่อนางได้ง่าย ๆ นั้นทำให้นางภาคภูมิใจเอามาก ๆแต่ว่าน่าเสียดายมาก ยังไม่ทันที่ชุยเส้าเจ๋อจะเดินเข้ามาใกล้เวินซื่อ เสียงทุ้มหนึ่งดังมาจากทางด้านปะรำพิธี...“เจ้าห้า เจ้าหก ถึงฤกษ์งามยามดีแล้ว ยังไม่รีบมาเตรียมตัวทำพิธีปักปิ่นอีก” เวินซื่อหันหน้าไปมองบนปะรำพิธี บุรุษวัยกลางคนสวมชุดเสื้อคลุมยาวสีเขียวดูสง่าผ่าเผยเปี่ยมไปด้วยความรู้กำลังนั่งอยู่ตำแหน่งประธาน มองพวกนางสองคนด้วยสีหน้าเย็นชานี่คือบิดาของนาง เจิ้นกั๋วกงเวินเฉวียนเซิ่งเวลานี้ต่อให้ชุยเส้าเจ๋ออยากหาเรื่องนางอีกเพียงใด ก็ได้แต่ถอยหลังไปเท่านั้นเวินซื่อเดินขึ้นไปบนปะรำพิธีโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อเวินซื่อขึ้นมาบนปะรำพิธีก็ควงแขนนางด้วยใบหน้ายิ้มแย้มราวกับบุปผา จงใจทำตัวสนิทสนม“พี่หญิงห้

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 8

    เมื่อเวินฉางอวิ้นเดินขึ้นมาบนปะรำพิธี สายตาทอดมองไปที่น้องสาวทั้งสองคน เดิมทียังลังเลอยู่บ้างแต่เมื่อสบสายตาคาดหวังของเวินเยวี่ย เขาก็คลายหัวคิ้วในพริบตาหัวเราะอย่างไม่มีทางเลือกช่างเถิด หากจะโทษก็ได้แต่โทษน้องห้าที่ไม่ได้รับความชื่นชอบเองใครใช้ให้นางมีนิสัยอิจฉาริษยา ไม่ยอมให้น้องหกเลยสักนิดเล่าดังนั้นเวินฉางอวิ้นจึงไม่ลังเลอีกต่อไป เดินผ่านหน้าเวินซื่อแล้วยื่นดอกไม้ให้เวินเยวี่ยจากนั้นก็เป็นเวินจื่อเฉิน เวินจื่อเยวี่ย เวินอวี้จือ...รวมถึงคนสกุลเวิน ทุกคนต่างก็มอบดอกไม้ให้เวินเยวี่ย ก็เหมือนกับชาติที่แล้ว...เวินซื่อผู้โดดเดี่ยวกับเวินเยวี่ยที่ล้อมรอบไปด้วยดอกไม้สดและคำอวยพรเวินซื่อไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย ถึงอย่างไรนางก็รู้ผลสรุปเช่นนี้มานานแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่คาดหวังใด ๆ อีกต่อไปอย่างแน่นอนหลังจากคนเหล่านั้นก็เป็นชุยเส้าเจ๋อ เทียบกับดอกไม้หนึ่งดอกที่คนอื่นมอบให้แล้ว เขาหอบดอกไม้บานหลากสีสันกำใหญ่เต็ม ๆ ไม่มองเวินซื่อสักแวบเดียว ก่อนจะยัดใส่อ้อมแขนของเวินเยวี่ยโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย“น้องเยวี่ยเอ๋อร์ ดอกฉยงฮวาอวยพรวันเกิด ดนตรีเสียงสวรรค์ห้อมล้อมคว

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 9

    “ไม่ได้นะ!”“ไม่มีทาง!” แค่คำสาบานเดียวเท่านั้น เดิมที่นึกว่าชุยเส้าเจ๋อน่าจะรับปากได้ แต่ใครก็คิดไม่ถึงว่าชุยเส้าเจ๋อจะมีปฏิกิริยารุนแรงถึงเพียงนั้นสิ่งที่แปลกประหลาดยิ่งกว่านั้นคือ คนที่มีปฏิกิริยารุนแรงเช่นเดียวกันยังมีอีกคน“น้องหก?” พวกเวินฉางอวิ้นมองไปทางเวินเยวี่ยด้วยความประหลาดใจ เวินเยวี่ยมีสีหน้าแข็งทื่อเมื่อตระหนักได้ว่าเมื่อครู่นี้นางยั้งสติไม่อยู่มากเกินไป นางจึงรีบเก็บงำอารมณ์ ฝืนยิ้มมุมปากพลางเอ่ยว่า “ไม่ใช่นะ...คือว่า ข้า...ข้าแค่รู้สึกว่าเงื่อนไขที่พี่หญิงเสนอออกมานี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยเหมาะสมมากนัก หะ...หากต่อไปพี่เส้าเจ๋อเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาเล่า? ดังนั้น พี่หญิงเหลือทางถอยให้ตนเองหน่อยไม่ดีกว่าหรือ?”เวินฉางอวิ้นผู้เป็นพี่ใหญ่ขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกว่าคำพูดนี้ของนางดูแปลกพิกลนิด ๆเวินจื่อเยวี่ยผู้เป็นพี่สามไม่มีปฏิกิริยาอะไรเวินอวี้จือผู้เป็นพี่สี่กลับมองเวินเยวี่ยและมองชุยเส้าเจ๋ออย่างใคร่ครวญ เทียบกับพวกเขาแล้ว เวินจื่อเฉินผู้เป็นพี่รองเชื่อในตัวเวินเยวี่ยโดยสิ้นเชิงว่ามีจิตใจบริสุทธิ์ เขาจึงไม่ได้คิดมากมายเช่นนั้น “พอได้แล้วน้องหก ข้ารู้ว่าเจ้าเป

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 10

    “พวกท่านกล่าวถูกต้อง ข้าไม่ใช่น้องสาวของข้า และข้าก็ไม่ได้ใจดีเหมือนนาง ทุกคนที่เคยรังแกข้าและเคยเหยียดหยามข้า ข้าจะเอาคืนให้หมด” น้ำเสียงของเวินซื่อเย็นชา นางมองชุยเส้าเจ๋อ จากนั้นก็เอ่ยคำพูดที่ชาติก่อนนางนึกเสียใจนับครั้งไม่ถ้วนที่ไม่อาจเอ่ยออกมาต่อหน้าผู้คนด้วยปากของตัวเอง...“ชุยเส้าเจ๋อ ท่านอยากถอนหมั้นไม่ใช่หรือ? ได้ ข้าตกลง และไม่ต้องให้ท่านตกลงเงื่อนไขใด ๆ ด้วย เพียงแต่ว่าหลังจากนี้ไป ข้าเวินซื่อไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับจวนจงหย่งโหวของพวกท่านอีกต่อไปแล้ว!”เมื่อสิ้นคำพูดของนาง ทั่วทั้งงานก็เงียบกริบแม้แต่ชุยเส้าเจ๋อก็อดตกตะลึงไม่ได้ ยะ....ยอมตกลงเช่นนี้เลย?เขานึกว่าเรื่องการถอนหมั้นในวันนี้จะไม่มีทางราบรื่นเป็นอันขาด เขานึกว่าเวินซื่อคงไม่ยินยอมง่าย ๆนึกว่าเวินซื่อจะตามตื๊อ จะร้องไห้โวยวาย...ก่อนจะมาชุยเส้าเจ๋อเคยคิดถึงความเป็นไปได้มากมาย แต่สิ่งเดียวที่เขาไม่เคยคิดก็คือเวินซื่อจะยอมตกลงง่ายดายเช่นนี้จริง ๆไม่สิ ก็ไม่ถือว่าง่ายดาย นางยังตบเขาหนึ่งฉาดด้วย เมื่อคิดถึงตรงนี้ ชุยเส้าเจ๋อที่รู้สึกเสียหน้าก็ทำหน้าเคร่งขรึมทันที เขาลูบแก้มที่แสบร้อนของตัวเอง

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 11

    เวินฉางอวิ้นแสดงสีหน้าที่ไม่เห็นด้วยกฎประจำตระกูลของสกุลเวินไม่ใช่แส้ทั่วไป แต่เป็นแส้เหล็กที่สั่งทำพิเศษ เฆี่ยนตีห้าสิบที ชายวัยกลางคนยังต้องนอนพักสิบวันถึงครึ่งเดือน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนาง?ในดวงตาของเวินเยวี่ยที่ยืนอยู่ข้างๆ เต็มไปด้วยความสุขคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเวินซื่อจะรนหาที่ตายเอง!นางต้องลองคิดดูว่า จะให้ท่านพ่อตอบตกอย่างไรดี แค่ท่านพ่อตอบตกลง เฆี่ยนห้าสิบที สามารถทำให้เวินซื่อเหลือแค่ครึ่งชีวิตแน่นอน!แต่สิ่งที่เวินเยวี่ยยิ่งคาดคิดไม่ถึงคือ นางไม่จำเป็นต้องลงมือ ตอนที่เวินเฉวียนเซิ่งถามเวินซื่อ นางกลับรนหาที่ตายเองอีกครั้ง“เจ้าเอาจริงหรือ?”เวินเฉวียนเซิ่งก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าเวินซื่อจะเป็นคนเสนอขอรับโทษเอง อีกทั้งยังเป็นการลงโทษที่หนักเช่นนี้เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย นึกถึงอุบายที่เวินซื่อใช้ชิงความโปรดปรานในยามปกติ เขาหรี่ตาแล้วเตือน“ข้าเกลียดคนที่เล่นละครต่อหน้าข้าที่สุด”เมื่อเวินซื่อเงยหน้าก็ประสานกับสายตาที่น่ารังเกียจของเขา นางหัวเราะเบาๆ ทีหนึ่ง ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยการหัวเราะเยาะตัวเอง “ข้าต้องทำอย่างไรจึงจะไม่ใช่คนที่แสร้งเล่นละครในสายตาท่านพ่อ?” คือต้อง ‘เชื

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 12

    นางใช้ร่างกายที่ผอมบางรับแส้ที่อยู่ข้างหลังทั้งเช่นนี้เวินฉางอวิ้นก้มมอง พลางเฆี่ยนตีอย่างไร้ความปรานี ราวกับต้องการเฆี่ยนกระดูกของเวินซื่อให้แหลกทั้งร่างเวินซื่อรู้สึกถึงความเจ็บแล้วแต่น่าเสียดาย ความเจ็บบนร่างกายไม่สามารถเทียบกับความเจ็บในก้นบึ้งหัวใจดังนั้นแส้ของเวินฉางอวิ้นไม่เพียงไม่สามารถเฆี่ยนกระดูกของเวินซื่อแหลก กลับกันยิ่งทำให้ความเกลียดชังที่โกรธแค้นในใจนางควบแน่นมากขึ้นต่อให้ต้องตาย นางก็จะไม่ละเว้นเวินเยวี่ยกับทุกคนในสกุลเวินเด็ดขาด!ห้าสิบทีไม่ขาดไม่เกินแม้แต่ทีเดียวตอนที่เวินฉางอวิ้นเฆี่ยนครั้งสุดท้าย ผิวหนังบนหลังของเวินซื่อปริแตกและมีเลือดไหลนานแล้ว เสื้อผ้าท่อนบนของนางถูกย้อมเป็นสีแดงและเปียกโชกด้วยเลือดเวินฉางอวิ้นมองเลือดที่หยดลงมาจากแส้ แล้วมองเวินซื่อที่ไม่ส่งเสียงแม้แต่น้อย และยืนหยัดไม่ล้มจนถึงแส้สุดท้ายแวบหนึ่งไม่รู้เพราะเหตุใด เขารู้สึกจุกในอกอย่างน่าประหลาดเวินฉางอวิ้นที่ไม่ต้องการอยู่ดูอีก โยนแส้ให้คนรับใช้ หลังจากขมวดคิ้ว กล่าวทิ้งท้ายประโยคหนึ่ง “เจ้าลองพิจารณาตัวเองอยู่ที่นี่ให้ดี” จากนั้นก็พาคนรับใช้ไปจากโถงบรรพชนแล้วทันทีที่เขาไป

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 13

    หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม เวินซื่อก็มายืนอยู่ในห้องทรงพระอักษรของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันการเข้าวังหลวงของนาง สามารถกล่าวได้ว่าเรียบง่ายและสบายมากเพราะในมือของนางยังมียันต์คุ้มภัยอีกชิ้นที่ท่านแม่เหลือไว้ให้นาง…นั่นก็คือป้ายคำสั่งที่อดีตฮ่องเต้ประทานชาติที่แล้วป้ายคำสั่งชิ้นนี้ถูกบ่าวไพร่ที่คอยรับใช้ข้างกาย หรือก็คือชุนเซียงขโมยไปให้เวินเยวี่ย จนทำให้นางจนหนทางโชคดีที่นางเกิดใหม่ในชาตินี้ ป้ายคำสั่งยังไม่ถูกขโมยดังนั้นนางจึงสามารถอาศัยป้ายคำสั่งของอดีตฮ่องเต้ มายืนอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้หนุ่มองค์นี้ “หม่อมฉันเวินซื่อ ถวายบังคมฝ่าบาท”“เวินซื่อ? เราจำได้ว่าเจ้าคือลูกสาวคนที่ห้าของเจิ้นกั๋วกงใช่หรือไม่?”ฮ่องเต้ที่นั่งอยู่ด้านหลังของโต๊ะทรงพระอักษรวางฎีกาลง แล้วมองเวินซื่อที่คุกเข่าอยู่บนพื้นแวบหนึ่งฮ่องเต้องค์นี้คือพระราชโอรสองค์ที่เก้าของอดีตฮ่องเต้ ขณะขึ้นครองราชย์มีพระชนมายุเพียงสิบเอ็ดชันษา ต่อให้เป็นปัจจุบันก็มีพระชนมายุเพียงสิบห้าชันษาแม้อายุเท่ากับเวินซื่อ แต่ความน่าเกรงขามบนร่างกายที่สวมชุดมังกรของเขาทำให้ไม่สามารถมองข้าม และถึงขั้นให้ความรู้สึกกดขี่อย่างคลุมเครือเวินซื่

Latest chapter

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 450

    “อืม นอกจากชาวนาผู้เช่าที่ดินแล้ว ให้จ้างองครักษ์เพิ่มด้วย จัดวางไว้ทุกที่ หลังจากนี้ หากเกิดเรื่องทำลายแปลงสมุนไพรแบบคราวก่อนอีก ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็จับตัวส่งทางการได้เลย”“ขอรับ คุณหนูวางใจเถิด บ่าวได้คัดเลือกกลุ่มแรกไว้แล้ว อีกไม่นานก็จะสามารถจัดคนลงไปได้”ประสิทธิภาพในการทำงานของพ่อบ้านหลานนั้นยอดเยี่ยมจริงๆหลังจากฟังเรื่องทั้งหมดแล้ว เวินซื่อก็แสร้งทำเป็นไปที่ห้องครัวเล็ก จากนั้นก็ถือถังใบหนึ่งเดินออกมา“ในนี้คือยาน้ำที่ข้าปรุงขึ้น หลังจากเจือจางแล้วนำไปรดในแปลงสมุนไพรทั้งหมด จะสามารถเพิ่มอัตราการรอดและสรรพคุณทางยาของสมุนไพรได้”ครึ่งหนึ่งของสิ่งที่อยู่ในถังไม้นั้นคือ น้ำทิพย์จากลำธารในมิติของนางเพื่อตบตาผู้คน นางได้ปรุงยาน้ำที่ช่วยรักษาสมุนไพรขึ้นมาจริงๆ เมื่อผสมกับน้ำทิพย์แล้ว ก็กลายเป็นน้ำสีเขียวเข้ม ดูแล้วไม่มีปัญหาใดๆ เลย“ขอรับ คุณหนูวางใจเถิด”ก่อนที่พ่อบ้านหลานจะจากไป เวินซื่อก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงเอ่ยกำชับ “ส่งคนไปจับตาดูความเคลื่อนไหวของจวนเจิ้นกั๋วกง หากมีอะไรผิดปกติให้รีบมารายงานทันที”“ขอรับ!”หลังจากนั้น พ่อบ้านหลานก็ถือถังน้ำนั้นออกไปแทบจะทันทีที่พ่อบ้าน

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 449

    “คำพูดของเจ้าช่างเหลวไหลสิ้นดี!”เวินฉางอวิ้นมองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา “อะไรคือการมองว่าเจ้าเป็นคนปกติ? พวกเราพี่น้อง ใครบ้างที่ไม่มองว่าเจ้าเป็นคนปกติ? อีกอย่าง ถ้าน้องห้ารังเกียจเจ้าจริง จะดูแลเจ้ามานานขนาดนั้นได้อย่างไร? นางไม่มีความดีความชอบก็ต้องมีความเหนื่อยยากบ้างกระมัง แต่นี่กลับแลกกับความรู้สึกของเจ้าไม่ได้สักนิดเลยหรือ?”“ข้าบอกแล้วว่า ข้าก็ไม่ได้รังเกียจนาง เพียงแต่มันก็แค่นั้น นี่ก็ถือว่าเห็นแก่ที่นางดูแลข้ามานานขนาดนั้นแล้ว”เวินอวี้จือกล่าวอย่างเย็นชา น้ำเสียงราวกับเป็นการให้ทานเวินฉางอวิ้นก็ทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว“เจ้ามัน...เจ้ามันเกินเยียวยาจริงๆ !”ด้วยความโกรธ เวินฉางอวิ้นจึงสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป“พี่ใหญ่ ยาของท่าน...”เวินอวี้จือตะโกนเรียกเขาจากด้านหลังน่าเสียดายที่เวินฉางอวิ้นเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่หันกลับมามองและออกจากเรือนเล็กของเขาไปแล้วเวินอวี้จือถือยาในมือ ขมวดคิ้วเล็กน้อยเขาไม่เข้าใจเขาพูดความจริงทั้งหมดแท้ๆ แต่เหตุใดพี่ใหญ่ถึงต้องคอยช่วยพูดแทนเวินซื่อนั่น?คนที่ควรจะรู้สึกน้อยใจไม่ควรจะเป็นเขาหรอกหรือ?เวินอวี้จือยืนอยู่ที่เดิม คร

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 448

    เวินอวี้จือกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ข้าแค่ไม่ได้รู้สึกอะไรกับนางเท่านั้น กฎประจำตระกูลของสกุลเวินเรา ก็ไม่ได้มีข้อไหนที่ระบุว่าพวกเราพี่น้องต้องรักใคร่กลมเกลียวกันมิใช่หรือ?”แน่นอนว่าไม่มีกฎประจำตระกูลเช่นนี้แต่เมื่อก่อนน้องสี่ก็ไม่ได้มีท่าทีเช่นนี้กับน้องห้านี่นา?เวินฉางอวิ้นที่รู้สึกว่าอาจจะมีเรื่องเข้าใจผิดอะไรบางอย่าง จึงเอ่ยถามอย่างละเอียด “เป็นเพราะน้องห้าทำอะไร? หรือว่าเจ้าได้ยินอะไรมา?”เวินอวี้จือที่รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย หยุดการกระทำในมืออีกครั้ง“ก็ได้ ในเมื่อพี่ใหญ่อยากรู้ เช่นนั้นข้าก็จะบอกท่าน แต่เรื่องนี้ข้าจะพูดเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ต่อไปอย่าได้พูดถึงเรื่องนี้ต่อหน้าข้าอีก”“ได้ เจ้าพูดมา”เวินฉางอวิ้นพยักหน้ารับเวินอวี้จือจึงกล่าวอย่างเย็นชา “เมื่อก่อนท่าทีที่ข้ามีต่อเวินซื่อนั้นก็ไม่ใช่แบบนี้จริงๆ เพราะตอนนั้นข้าป่วยบ่อย นางก็คอยดูแลข้าอยู่ที่บ้านเป็นประจำ ตามหลักแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคนควรจะดีพอสมควร แต่น่าเสียดาย ที่คนบางคนทำเหมือนจริง แต่ใจกลับไม่จริง”“ใจไม่จริงอะไร?”เวินฉางอวิ้นเอ่ยถามด้วยความสงสัยในตอนนั้นเอง เวินอวี้จือเงยหน้าขึ้นมอ

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 447

    เวินอวี้จือเงยหน้าขึ้นมองแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้น “ใช่ น้องหกมอบให้ข้าเมื่อสองวันก่อน”เขาเหมือนจะค้นพบอะไรบางอย่าง จึงหันไปถามเวินฉางอวิ้น “พี่ใหญ่ก็ได้รับดอกไม้จากน้องหกเหมือนกันหรือ?”เวินฉางอวิ้นพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรอีกเมื่อเห็นท่าทีเย็นชาของเวินฉางอวิ้นที่มีต่อเวินเยวี่ย เวินอวี้จือก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้น “พี่ใหญ่ น้องหกนางทำผิดพลาดไป แต่นางก็สำนึกผิดจริงๆ แล้ว”เวินฉางอวิ้นมองดูกระถางดอกไม้นั้นแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “อาจจะ”“ไม่ใช่อาจจะ แต่เป็นจริง”เวินอวี้จือหยุดมือที่กำลังทำอยู่ “พี่ใหญ่ น้องหกนางมีจิตใจบริสุทธิ์มาตั้งแต่เกิด ก่อนหน้านี้ก็เติบโตมาจากข้างนอกอีก ไม่รู้ประสีประสา ทำผิดพลาดไปบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา เพียงแค่นางรู้สำนึกผิดและแก้ไขก็พอแล้วมิใช่หรือ? พี่ใหญ่จะถือสาอะไรนางอีกเล่า?”“จิตใจบริสุทธิ์มาตั้งแต่เกิดหรือ?”เวินฉางอวิ้นได้ยินคำพูดนี้ ก็หันไปสบตากับเวินอวี้จือ“น้องสี่ เจ้าคิดว่านางมีจิตใจบริสุทธิ์มาตั้งแต่เกิดจริงๆ หรือ?”เวินฉางอวิ้นจ้องมองเข้าไปในดวงตาของเขาแล้วเอ่ยถามเช่นนี้เวินอวี้จือชะงักไปเล็กน้อยจนแทบสังเกตไม่เห็น จากนั้นก็กล่าวด้วยสีหน

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 446

    เมื่อเห็นว่าในที่สุดคนก็เข้าใจแล้ว เวินเฉวียนเซิ่งจึงพยักหน้าช้าๆ “อืม ทำตามที่ข้าบอก ตอนนี้อย่าเพิ่งไปยั่วยุเวินซื่อ รอจนถึงเวลาที่เหมาะสม เช่นนั้นแล้วจะไม่มีโอกาสให้เจ้าได้ระบายความแค้นหรือ?”“เจ้าค่ะๆ! ขอบคุณท่านพ่อที่ชี้แนะ!”“อวี้จือ ช่วยเหลือน้องสาวของเจ้าให้ดี เรื่องนี้มอบหมายให้พวกเจ้าสองคนทำร่วมกัน นี่เป็นโอกาสสุดท้าย หากพวกเจ้ายังไปก่อเรื่องอื่นอีก ก็อย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้า”“ขอรับ ท่านพ่อ!”“...”หลังจากที่ออกจากเรือนเล็กของเวินเยวี่ย เวินอวี้จือก็เดินกลับไปพลางคิดเรื่องต่างๆ ไปด้วยในตอนนั้นเอง...“ตุบ!”“โอ๊ย!”“เจ็บเหลือเกิน!”เวินอวี้จือชนเข้ากับคนคนหนึ่ง ร่างกายที่อ่อนแอของเขาก็ล้มลงไปกองกับพื้นทันทีโชคดีที่ไม่ได้ล้มแรงนักเงยหน้าขึ้นมอง ก็พบว่าอีกฝ่ายคือเวินฉางอวิ้น“พี่ใหญ่? ท่านไม่เป็นไรนะ? เมื่อครู่ข้ากำลังคิดอะไรเพลินๆ ไม่ได้มองทาง”เวินอวี้จือลุกขึ้นจากพื้น ยื่นมือไปพยุงเวินฉางอวิ้น“ไม่เป็นไรๆ ข้าก็ไม่ได้สังเกต ไม่ทันระวังจึงชนเจ้าแล้ว น้องสี่ เจ้าไม่ได้เจ็บตรงไหนใช่หรือไม่?”เวินฉางอวิ้นส่ายหน้า ลุกขึ้นยืนจากพื้นอย่างยากลำบากเมื่อเวินอวี้จือมอง

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 445

    “เป็นไปได้อย่างไร?!”เวินอวี้จือยังคงไม่เชื่อเวินเฉวียนเซิ่งกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ถ้าเจ้าไม่เชื่อ เจ้าก็ไสหัวไปดูที่ดินที่กุยอวิ๋นเองสิ ตอนนี้แปลงสมุนไพรเหล่านั้นถูกปลูกด้วยสมุนไพรใหม่อีกครั้งจนเต็มไปหมดแล้ว”สีหน้าของเวินอวี้จือย่ำแย่ลงในทันทีเดิมทีคิดว่าอย่างน้อยตนเองน่าจะเอาคืนได้บ้างในเรื่องแปลงสมุนไพร แต่คาดไม่ถึงว่าเขาก็ยังคงพ่ายแพ้อยู่ดีหรือว่าเวินซื่อก็มีตำรายาพิษของหมอปีศาจราชันพิษอยู่ในมือ?สีหน้าของเวินเยวี่ยที่อยู่ข้างๆ ก็ดูย่ำแย่เช่นกันเจ้าคนขี้โรคผู้นี้เหตุใดยังคงไร้ประโยชน์เช่นนี้?ก่อนหน้านี้ เพื่อที่จะเอาใจนาง เวินจื่อเยวี่ยจึงนำคำพูดที่เวินอวี้จือพูดกับเขามาบอกนางด้วยเช่นกันตอนนั้นเวินอวี้จือยังพูดอย่างมั่นอกมั่นใจว่า “นอกจากหมอปีศาจราชันพิษจะมาแก้พิษด้วยตนเอง ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีใครสามารถรักษาแปลงสมุนไพรของเวินซื่อได้” แต่ตอนนี้กลับถูกแก้ไขได้อย่างง่ายดาย?หรือว่ารอบตัวเวินซื่อจะมีหมอปีศาจราชันพิษซ่อนตัวอยู่?!เวินเยวี่ยชะงักไปครู่หนึ่งนางครุ่นคิดทบทวนดูว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ แต่หลังจากนั้นก็ส่ายหน้าก็แค่แม่ชีไม่กี่คนที่อยู่ข้างกายเวินซื่อ จะเป็

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 444

    และยังมีบางส่วนที่เป็นที่ดินที่ซื้อเพิ่มเติมอีกหลังจากที่เวินอวี้จือดูจบแล้ว ก็เงยหน้าขึ้นมองเวินเฉวียนเซิ่งด้วยความสงสัย “ท่านพ่อ เวินซื่อซื้อเมล็ดพันธุ์และต้นกล้าสมุนไพรมากมายขนาดนี้ไปทำไม? นางไม่ได้ปลูกสมุนไพรไว้เต็มที่ดินที่กุยอวิ๋นหมดแล้วหรือ? เหตุใดยังต้องปลูกอีก?”เวินเฉวียนเซิ่งหัวเราะเยาะ “เรื่องแค่นี้ยังดูไม่ออกอีกหรือ? สมองพวกเจ้าสู้เวินซื่อไม่ได้จริงๆ ไม่แปลกใจเลยที่พ่ายแพ้ให้นางครั้งแล้วครั้งเล่า”เวินเฉวียนเซิ่งกล่าวอย่างเย็นชา “ด้วยฐานะและชื่อเสียงของเวินซื่อในตอนนี้ ตำแหน่งธิดาศักดิ์สิทธิ์ของนางอาจจะอาศัยโชคและเรื่องบังเอิญทำให้รุ่งโรจน์ได้ชั่วคราว แต่ไม่มีทางยั่งยืนแน่นอน เพราะว่านางไม่ได้มีวิชาความสามารถพิเศษอะไรจริงๆ ดังนั้น นางจึงต้องคิดหาวิธีอื่นเพื่อรักษาชื่อเสียงธิดาศักดิ์สิทธิ์ของนางไว้”“จากที่ผ่านมาหลายครั้ง เห็นได้ชัดว่าเวินซื่อเลือกที่จะเดินในเส้นทางการแพทย์ อย่างเช่น ธิดาศักดิ์สิทธิ์ใช้วิชาแพทย์ช่วยเหลือผู้คนอะไรทำนองนั้น แต่การที่จะให้วิชาแพทย์เก่งกาจขึ้นอย่างรวดเร็ว มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านการแพทย์นั้นเป็นไปไม่ได้ ต้องใช้เวลาอย่างน้อยห้าถึงหกปีจึงจะ

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 443

    ในชั่วขณะนั้น เวินอวี้จือเหงื่อกาฬแตกพลั่กแต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกยังดีที่น้องหกไม่เป็นอะไรเวินอวี้จือหันกลับไปมองเวินเฉวียนเซิ่ง ฝืนยิ้มเล็กน้อย “ท่านพ่อโปรดอภัย เป็นลูกที่ได้กลิ่นคาวเลือด จึงพูดออกไปด้วยความตื่นตระหนก”“ไม่ใช่พูดผิด แต่พูดสิ่งที่อยู่ในใจเจ้าออกมากระมัง”เวินเฉวียนเซิ่งแค่นเสียงเย็นอย่าคิดว่าเขาไม่รู้ บุตรชายที่อ่อนแอขี้โรคคนนี้ เป็นบุตรชายที่เย็นชาที่สุดในบรรดาบุตรชายทั้งสี่คนไม่ว่าจะเป็นพี่ชายน้องสาวทั้งหลาย รวมถึงบิดาอย่างเขา ก็ไม่ได้มีความรู้สึกผูกพันอะไรมากนักมีเพียงบุตรสาวคนเล็กคนนี้ที่เขาพาตัวกลับมา เวินอวี้จือกลับใส่ใจบุตรสาวคนเล็กคนนี้เป็นอย่างมากแต่ก็ไม่เป็นไร บุตรชายที่มีร่างกายอ่อนแอเช่นนี้ สำหรับเขาแล้วไม่มีประโยชน์อะไรเลยผู้สืบทอดที่เขาหมายตาไว้มีเพียงคนเดียวเท่านั้นอีกสามคนที่เหลือ ขอเพียงอยู่อย่างสงบก็พอแล้วเวินเฉวียนเซิ่งเดินผ่านเวินอวี้จือเข้าไปนั่งลงจากนั้นก็เรียกองครักษ์ลับออกมา จัดการกับศีรษะของหวังชางแต่ภายในห้องนี้ก็ยังมีร่องรอยของเลือดหลงเหลืออยู่ไม่น้อยดูแล้วก็ยังคงน่าขนลุกอยู่บ้างเวินเยวี่ยรู้

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 442

    เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเวินเยวี่ย เวินเฉวียนเซิ่งที่เดิมทีไม่คิดจะสนใจ สุดท้ายก็จำต้องนำเงินไปยังที่ว่าการซุ่นเทียนใครจะไปรู้ว่าพอไปถึงที่นั่นแล้ว เห็นยอดรวมของทรัพย์สินที่ขโมยที่ผู้ว่าการซุ่นเทียนคิดออกมา มีมูลค่ามากถึงหนึ่งหมื่นกว่าตำลึง“เจ้าคนสารเลวนั่นมันขโมยอะไรไปบ้าง? เหตุใดถึงได้มากมายขนาดนี้?!”ผู้ว่าการซุ่นเทียนมองเวินเฉวียนเซิ่งด้วยสายตาที่ค่อนข้างซับซ้อนสายตานี้ทำให้เวินเฉวียนเซิ่งรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมาทันทีเป็นจริงดังคาด วินาทีต่อมาก็ได้ยินผู้ว่าการซุ่นเทียนเอ่ยขึ้น “คนผู้นี้ชื่อหวังชาง ก่อนหน้านี้ถูกบุตรสาวคนเล็กของท่านจัดแจงให้ไปเป็นผู้ดูแลร้านที่ร้านเฟิ่งอวิ๋น แต่เมื่อไม่นานมานี้ ร้านเฟิ่งอวิ๋นเปลี่ยนเจ้าของ เจ้าของคนใหม่พบว่าคนผู้นี้ไม่เพียงแต่มีความประพฤติไม่เหมาะสมเท่านั้น ก่อนหน้านี้ก็ยังมีพฤติกรรมทุจริต จึงได้ไล่หวังชางออก ใครจะไปรู้ว่าหวังชางอาศัยความเป็นญาติห่างๆ ของท่านเจิ้นกั๋วกง อาศัยช่วงที่คนของเจ้าของร้านไม่อยู่ ยังคงดื้อด้านอยู่ที่ร้านเฟิ่งอวิ๋นไม่ยอมไป ทั้งยังแอบขโมยเครื่องประดับล้ำค่าไปหลายชิ้น สุดท้ายถูกคนของเจ้าของร้านจับได้ มีทั้งพยานบุ

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status