แชร์

บทที่ 5

ผู้เขียน: จิ้งซิง
“เวินซื่อ เจ้าบ้าไปแล้วหรือ?!”

เวินเยวี่ยที่เดิมทียังนึกว่ามีโอกาสแย่งกลับมาก็ร้องเสียงหลงด้วยความตกใจและโกรธเกรี้ยว

อารมณ์หวั่นไหวรุนแรงราวกับว่าสิ่งที่เวินซื่อตัดคือชุดของนาง

เวินซื่อขยับมือไม่หยุด รอยยิ้มบนใบหน้ายังคงไม่แปรเปลี่ยน “ตัดชุดอย่างไรเล่า พี่รองกับน้องหกเห็นแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดต้องมีปฏิกิริยารุนแรงถึงเพียงนี้?”

ดวงตาสองข้างของเวินจื่อเฉินพ่นไฟแล้ว “เจ้ายังกล้าถามข้าอีกหรือว่าเหตุใดถึงมีปฏิกิริยารุนแรงเช่นนี้?! ชุดนี้เป็นชุดที่ข้ากับพวกพี่ใหญ่ตั้งใจสั่งทำขึ้นมาเพื่อพิธีปักปิ่นของเจ้า ตอนนี้เจ้ากำลังทำอะไรอยู่? เหตุใดเจ้าต้องตัดมันจนเละด้วย?!”

“เพราะว่าไม่มีใครต้องการมันแล้ว”

เวินซื่อตัดลงไปดัง “ฉับ” อีกครั้ง “ข้าไม่ต้องการ น้องหกก็ไม่ต้องการ ของที่ไม่มีใครต้องการย่อมต้องจัดการทิ้ง”

สีหน้าของนางเย็นชาจนทำให้เวินจื่อเฉินแทบจะรู้สึกแปลกตา

ใครบอกว่าข้าไม่ต้องการ?!

เวินเยวี่ยโกรธจนแทบอยากจะกรีดร้อง

นางแค่จงใจบอกปัดเพื่อไม่ให้เวินจื่อเฉินสงสัยเท่านั้น

ใครจะคิดว่าเวินซื่อกลับเสียสติถึงเพียงนี้?!

ทั้ง ๆ ที่นางคิดไว้นานแล้วว่าวันนี้จะต้องสวมชุดพิธีการนี้ให้ได้ แต่ตอนนี้ถูกเวินซื่อทำลายหมดแล้ว!

นี่เป็นชุดพิธีการที่แพงที่สุดและดีที่สุดในเมืองหลวงนะ!

มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น!

เวินเยวี่ยปวดใจจนแทบหลั่งเลือด

“เจ้าบอกตั้งแต่เมื่อไรว่าเจ้าไม่ต้องการแล้ว? เจ้าเคยบอกว่าเจ้าชอบมากไม่ใช่หรือ? เจ้าทะนุถนอมชุดนี้ที่สุดไม่ใช่หรือ...”

เวินจื่อเฉินเดือดดาลอย่างยิ่ง

เวินซื่อกลับตัดบทเขาทันทีว่า “ข้าไม่ชอบแล้ว”

นางเอ่ยทวนทีละคำว่า “เมื่อก่อนเคยชอบ แต่ตอนนี้ข้าไม่ชอบแล้ว”

สิ่งที่ไม่ได้เป็นของนาง นางไม่ต้องการทั้งนั้น

“ฉับ”

เมื่อเวินซื่อตัดลงไปเป็นครั้งสุดท้าย ชุดพิธีการนั้นก็ถูกนางตัดจนเละไม่เป็นชิ้นดี

เฉกเช่นความสัมพันธ์ของนางกับพวกเวินจื่อเฉิน

ชาติที่แล้วนางอยากกอบกู้สถานการณ์มากเกินไป หากตระหนักได้เร็วหน่อย ตัดขาดทุกอย่างนี้เร็วหน่อย สุดท้ายนางก็คงไม่ลงเลยถึงขั้นนั้น

และชาตินี้ นางจะไม่ทำอะไรโง่งมเหมือนชาติที่แล้วอีกเป็นอันขาด!

“เอาเถิด พิธีปักปิ่นใกล้จะเริ่มแล้ว ในเมื่อพี่รองไม่อยากให้ข้าออกไป เช่นนั้นก็ขออภัยที่น้องไม่อยู่เป็นเพื่อนแล้ว”

หลังจากที่นางวางกรรไกรลงก็หันหลังให้กับพวกเขา เริ่มไล่คนด้วยน้ำเสียงค่อนข้างหมดความอดทน

เวินจื่อเฉินยืนนิ่งอยู่กับที่ ดวงตาสองข้างแดงก่ำจ้องมองเศษผ้าที่กระจัดกระจายเต็มพื้น

เขาเหมือนกับถูกคนทุบแรง ๆ สมองว่างเปล่าทันใด

ไม่...

ไม่ถูก

เหตุใดน้องห้าถึงกลายเป็นเช่นนี้?

เหตุใดนางต้องทำขนาดนี้?

หรือว่านางโกรธที่เขาให้นางมอบชุดพิธีการให้กับน้องหก?

หรือเป็นเพราะว่าเขาปรักปรำนาง?

แต่นี่เป็นเพราะนางทำผิดก่อนไม่ใช่หรือ?

นางมีสิทธิอะไรมาอารมณ์เสีย?!

เวินจื่อเฉินยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ

“ทั้งหมดต้องโทษพวกพี่ใหญ่ที่ตามใจเจ้าจนกลายเป็นเช่นไรแล้ว! ตอนนี้แม้แต่ความหวังดีของพวกพี่ชาย เจ้าก็ยังกล้าทำลาย ต่อไปเกรงว่าเจ้ายังคิดจะขบถด้วย!”

เวินจื่อเฉินนึกว่าเอ่ยเช่นนี้เวินซื่อจะมีปฏิกิริยา แต่เวินซื่อที่นั่งอยู่ตรงนั้นกลับไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมา

ท่าทีดูเหมือนขับไล่คนมาก ๆ

“ดี ๆๆ!”

เวินจื่อเฉินโกรธจนเอ่ยคำว่าดีติดต่อกันสามครั้ง เขาเอ่ยอย่างเกรี้ยวกราดว่า “เจ้ากล้าโกรธปั้นปึ่งใส่ข้า คอยดูนะ วันนี้ข้าจะต้องเรียกพวกพี่ใหญ่มาดูท่าทางดื้อดึงของเจ้า!”

เขากล่าวจบก็คว้าเครื่องประดับศีรษะที่เวินเยวี่ยเพิ่งหยิบขึ้นมาจากพื้น รวมทั้งรวบรวมเศษผ้าบนพื้นขึ้นมาทั้งหมด

“เอ๊ะ พี่รอง?!”

เวินเยวี่ยยังไม่ทันตั้งตัวก็เห็นเวินจื่อเฉินนำชุดพิธีการขาดรุ่งริ่งชุดนั้นหันตัวเดินออกไปอย่างรวดเร็ว

นางหันหน้ากลับไปถลึงตาใส่เวินซื่ออย่างไม่ยอมแพ้ หลังจากขบคิด สุดท้ายก็ยังไล่ตามออกไป

เมื่อพวกเขาจากไปแล้ว ห้องของเวินซื่อก็เงียบสงบลงในพริบตา

เงียบจนแทบได้ยินเสียงสาวใช้บางคนที่คิดว่าเสียงตัวเองเบามากกำลังแอบนินทากันอยู่บนระเบียงทางเดินที่ไม่ไกลจากด้านนอกห้อง

“อุ๊ย เมื่อกี้คนที่วิ่งออกมาจากห้องของคุณหนูห้าคือคุณชายรองกับคุณหนูหกไม่ใช่หรือ?”

“ดูเหมือนจะเป็นพวกเขานะ!”

“คิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นคุณชายรอง หากรู้แต่แรกข้าคงไปรอในห้องของคุณหนูห้าแล้ว”

“ช่างเถิด เมื่อครู่นี้ข้าได้ยินคุณชายรองตำหนิคุณหนูห้าเสียงดังอีกแล้ว เกรงว่าคุณหนูห้าคงจะทำอะไรคุณหนูหกอีกแล้ว คนจิตใจชั่วช้าเช่นนั้น เจ้ายังกล้าไปใกล้นางอีกหรือ? เจ้าไม่กลัวว่าสักวันนางจะไม่พอใจจนลงมือกับเจ้าหรือไร?”

“สวรรค์ น่ากลัวเหลือเกิน! หากเป็นเช่นนี้ ใครยังจะกล้าไปรับใช้นางอีกเล่า?”

ภายในห้อง เวินซื่อฟังคำพูดเหล่านี้อย่างเย็นชา

ท่ามกลางเสียงของสาวใช้หลายคนนั้น คนที่พูดมากหนึ่งในนั้นก็คือชุนเซียง สาวใช้คนสนิทของนาง

และเป็นสาวใช้ที่เตะนางแรง ๆ เพื่อเอาใจเวินเยวี่ยตอนที่นางถูกขังไว้ในห้องลับ

ตอนแรกชุนเซียงหักหลังนางตามคำสั่งของเวินเยวี่ย ช่วยเวินเยวี่ยขับไล่นางออกจากจวนกั๋วกง ดังนั้นจึงกลายเป็นคนสนิทที่ทำงานเก่งข้างกายเวินเยวี่ย

เมื่อก่อนเวินซื่อไม่รู้เลย แต่ตอนนี้คิดดูแล้วเกรงว่าเวลานี้ชุนเซียงคงจะไปขอพึ่งพาอาศัยเวินเยวี่ยนานแล้ว

และลอบยุยงข้ารับใช้ในเรือนนาง ทำให้ทุกคนหวาดกลัวและตีตัวออกหากกับนาง

จิตสังหารฉายขึ้นมาในแววตาของเวินซื่อ

นางจะไม่ยอมปล่อยเวินเยวี่ยกับคนสกุลเวินไป

เช่นเดียวกัน นางก็จะไม่ยอมปล่อยคนที่ทรยศนาง

“พวกเจ้าทั้งหลาย”

เสียงของเวินซื่อพลันดังขึ้นจากด้านหลังพวกสาวใช้หลายคน

พวกซุนเซียงหันหน้าไปมองก็เห็นเวินซื่อยืนอยู่ริมหน้าต่าง กำลังจ้องมองพวกนางด้วยสายตาทะมึน

พวกสาวใช้ที่เพิ่งถูกชุนเซียงขู่ให้ตกใจพลันหวาดกลัวจนรีบลุกขึ้นมา

“นอกจากชุนเซียงแล้ว คนอื่น ๆ กลับไปเก็บข้าวของเสีย ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่แล้ว อีกเดี๋ยวข้าจะเรียกคนมารับพวกเจ้า”

สาวใช้คนอื่น ๆ ยังไม่ทันตั้งสติ เอ่ยถามอย่างงุนงงเล็กน้อยว่า “เก็บข้าวของ? ไปที่ใดหรือเจ้าคะ? คุณหนูห้าจะเรียกใครมารับพวกเราหรือเจ้าคะ?”

เวินซื่อมองพวกนางอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ย่อมเรียกนายหน้าค้าทาสมารับ ไม่เช่นนั้นยังมีใครได้อีก?”

สาวใช้ทั้งหลายพากันหน้าถอดสี เบิกตาโตอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“คุณหนูห้าเอ่ยเช่นนี้หมายความว่าอันใด? พวกนางทำสิ่งใดผิด ท่านถึงปฏิบัติกับพวกนางเช่นนี้?!”

ซุนเซียงที่ถูกแยกออกมาคนเดียวยังตระหนักไม่ได้ถึงความร้ายแรง นางจดจำคำพูดที่เวินเยวี่ยกำชับนางได้ขึ้นใจ พูดแทนสาวใช้คนอื่น ๆ อย่างหนักแน่นมีเหตุผลชอบธรรม

“พวกนางไม่ได้ทำสิ่งใดผิด”

เวินซื่อยิ้มน้อย ๆ “แต่ว่าสมองไม่ค่อยกระจ่างนัก แยกแยะไม่ออกว่าใครเป็นเจ้านายของพวกนาง”

“พวกคนที่ไม่รู้แม้กระทั่งว่าเจ้านายของตนเองเป็นใคร เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องอยู่เรือนของข้าต่อไป เก็บของไสหัวไปแต่เนิ่น ๆ เสีย เพื่อไม่ให้สักวันข้าไม่พอใจจนลงมือกับพวกเจ้า”

เมื่อคำพูดประโยคสุดท้ายออกมา บรรดาสาวใช้รวมถึงซุนเซียงก็พากันหน้าซีดเผือด

หลังจากนั้น เวินซื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ นางจึงกล่าวอีกว่า

“แน่นอนว่าพวกเจ้าสามารถไปอ้อนวอนขอร้องน้องสาวแสนดีที่มีเมตตาบริสุทธิ์ของข้าได้เหมือนกัน ไม่แน่ว่านางอาจจะยินดีจ่ายราคางามซื้อพวกเจ้าจากในมือของข้าก็ได้?”

พอดีเลย หากนางอยากออกไปจากสกุลเวิน ยังต้องเตรียมเงินในมือไว้ก่อน

เมื่อเวินซื่อปิดหน้าต่าง เพิ่งจะหันตัวมาก็สะดุ้งตกใจกับบุรุษผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้

เมื่อเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัดเจน ความเคียดแค้นชิงชันอย่างรุนแรงก็พรั่งพรูขึ้นมาในใจของเวินซื่อ

นางเอ่ยปากอย่างช้า ๆ ว่า “พี่ใหญ่”

บทที่เกี่ยวข้อง

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 6

    ผู้ที่มามีรูปร่างสูงสง่าราวกับไผ่สน สวมอาภรณ์เสื้อคลุมสีกรมท่า รูปลักษณ์สง่างาม โฉมหน้าหล่อเหลาชื่อของเขาคือเวินฉางอวิ้น เป็นพี่ใหญ่ของนาง และก็เป็นคุณชายใหญ่ของจวนกั๋วกง“น้องห้า เจ้ารู้ความผิดหรือไม่?” เวินฉางอวิ้นมองเวินซื่อด้วยสายตาเย็นชา ความรู้สึกกดดันที่แผ่ลงมาจากด้านบนทำให้เวินซื่อแทบหายใจไม่ออกนิดหน่อย เมื่อก่อนนางโง่งม คิดเพียงว่าเวินฉางอวิ้นรูปร่างสูงใหญ่ ถึงมอบความรู้สึกน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ให้นาง ทว่าต่อมาจนกระทั่งเมื่อนางเห็นกับตาว่าเวินฉางอวิ้นก้มตัว ก้มหน้าให้สายตาอยู่ระดับเดียวกับเวินเยวี่ยเพียงเพื่อรับฟังความคับข้องใจจากปากของนาง เวินซื่อถึงได้เข้าใจว่าที่แท้ตนเองเป็นเพียงคนชั้นล่างที่ไม่เคยอยู่ในสายตาของพี่ใหญ่ “ข้าไม่เข้าใจคำพูดของพี่ใหญ่ ไม่ทราบว่าข้ามีความผิดอันใด ขอพี่ใหญ่โปรดชี้แจงด้วย”ไม่ใช่ว่าเวินซื่อไม่เห็นชุดพิธีการที่เขาถืออยู่ในมือ ดังนั้นไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเขามาเพราะเหตุใด แต่แล้วอย่างไรเล่า?ไม่ถามสักคำ มาถึงก็อยากให้นางยอมรับความผิด?มีสิทธิอันใด?เวินฉางอวิ้นทำสายตาเย็นชา แต่สายตาของเวินซื่อกลับเย็นชายิ่งกว่าเขา เวินฉางอวิ้นขมวดค

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 7

    ชุยเส้าเจ๋อก้าวเท้าเดินมาทางเวินซื่อ ท่าทางดูเกรี้ยวกราดหมายจะหาเรื่องเมื่อมองไปทางด้านหลังของเขาอีกก็เห็นเวินเยวี่ยอ้าปากพูดว่า “อย่าเลย” ด้วยความหวาดกลัว แต่ไม่ได้ทำท่าจะฉุดรั้งชุยเส้าเจ๋อเลยสักนิดหลังจากที่สบสายตาของเวินซื่อ ดวงตาของนางถึงขนาดฉายแววกระหยิ่มยิ้มย่องเห็นได้ชัดว่าการที่นางสามารถยุให้ชุยเส้าเจ๋อออกหน้าเพื่อนางได้ง่าย ๆ นั้นทำให้นางภาคภูมิใจเอามาก ๆแต่ว่าน่าเสียดายมาก ยังไม่ทันที่ชุยเส้าเจ๋อจะเดินเข้ามาใกล้เวินซื่อ เสียงทุ้มหนึ่งดังมาจากทางด้านปะรำพิธี...“เจ้าห้า เจ้าหก ถึงฤกษ์งามยามดีแล้ว ยังไม่รีบมาเตรียมตัวทำพิธีปักปิ่นอีก” เวินซื่อหันหน้าไปมองบนปะรำพิธี บุรุษวัยกลางคนสวมชุดเสื้อคลุมยาวสีเขียวดูสง่าผ่าเผยเปี่ยมไปด้วยความรู้กำลังนั่งอยู่ตำแหน่งประธาน มองพวกนางสองคนด้วยสีหน้าเย็นชานี่คือบิดาของนาง เจิ้นกั๋วกงเวินเฉวียนเซิ่งเวลานี้ต่อให้ชุยเส้าเจ๋ออยากหาเรื่องนางอีกเพียงใด ก็ได้แต่ถอยหลังไปเท่านั้นเวินซื่อเดินขึ้นไปบนปะรำพิธีโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อเวินซื่อขึ้นมาบนปะรำพิธีก็ควงแขนนางด้วยใบหน้ายิ้มแย้มราวกับบุปผา จงใจทำตัวสนิทสนม“พี่หญิงห้

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 8

    เมื่อเวินฉางอวิ้นเดินขึ้นมาบนปะรำพิธี สายตาทอดมองไปที่น้องสาวทั้งสองคน เดิมทียังลังเลอยู่บ้างแต่เมื่อสบสายตาคาดหวังของเวินเยวี่ย เขาก็คลายหัวคิ้วในพริบตาหัวเราะอย่างไม่มีทางเลือกช่างเถิด หากจะโทษก็ได้แต่โทษน้องห้าที่ไม่ได้รับความชื่นชอบเองใครใช้ให้นางมีนิสัยอิจฉาริษยา ไม่ยอมให้น้องหกเลยสักนิดเล่าดังนั้นเวินฉางอวิ้นจึงไม่ลังเลอีกต่อไป เดินผ่านหน้าเวินซื่อแล้วยื่นดอกไม้ให้เวินเยวี่ยจากนั้นก็เป็นเวินจื่อเฉิน เวินจื่อเยวี่ย เวินอวี้จือ...รวมถึงคนสกุลเวิน ทุกคนต่างก็มอบดอกไม้ให้เวินเยวี่ย ก็เหมือนกับชาติที่แล้ว...เวินซื่อผู้โดดเดี่ยวกับเวินเยวี่ยที่ล้อมรอบไปด้วยดอกไม้สดและคำอวยพรเวินซื่อไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย ถึงอย่างไรนางก็รู้ผลสรุปเช่นนี้มานานแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่คาดหวังใด ๆ อีกต่อไปอย่างแน่นอนหลังจากคนเหล่านั้นก็เป็นชุยเส้าเจ๋อ เทียบกับดอกไม้หนึ่งดอกที่คนอื่นมอบให้แล้ว เขาหอบดอกไม้บานหลากสีสันกำใหญ่เต็ม ๆ ไม่มองเวินซื่อสักแวบเดียว ก่อนจะยัดใส่อ้อมแขนของเวินเยวี่ยโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย“น้องเยวี่ยเอ๋อร์ ดอกฉยงฮวาอวยพรวันเกิด ดนตรีเสียงสวรรค์ห้อมล้อมคว

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 9

    “ไม่ได้นะ!”“ไม่มีทาง!” แค่คำสาบานเดียวเท่านั้น เดิมที่นึกว่าชุยเส้าเจ๋อน่าจะรับปากได้ แต่ใครก็คิดไม่ถึงว่าชุยเส้าเจ๋อจะมีปฏิกิริยารุนแรงถึงเพียงนั้นสิ่งที่แปลกประหลาดยิ่งกว่านั้นคือ คนที่มีปฏิกิริยารุนแรงเช่นเดียวกันยังมีอีกคน“น้องหก?” พวกเวินฉางอวิ้นมองไปทางเวินเยวี่ยด้วยความประหลาดใจ เวินเยวี่ยมีสีหน้าแข็งทื่อเมื่อตระหนักได้ว่าเมื่อครู่นี้นางยั้งสติไม่อยู่มากเกินไป นางจึงรีบเก็บงำอารมณ์ ฝืนยิ้มมุมปากพลางเอ่ยว่า “ไม่ใช่นะ...คือว่า ข้า...ข้าแค่รู้สึกว่าเงื่อนไขที่พี่หญิงเสนอออกมานี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยเหมาะสมมากนัก หะ...หากต่อไปพี่เส้าเจ๋อเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาเล่า? ดังนั้น พี่หญิงเหลือทางถอยให้ตนเองหน่อยไม่ดีกว่าหรือ?”เวินฉางอวิ้นผู้เป็นพี่ใหญ่ขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกว่าคำพูดนี้ของนางดูแปลกพิกลนิด ๆเวินจื่อเยวี่ยผู้เป็นพี่สามไม่มีปฏิกิริยาอะไรเวินอวี้จือผู้เป็นพี่สี่กลับมองเวินเยวี่ยและมองชุยเส้าเจ๋ออย่างใคร่ครวญ เทียบกับพวกเขาแล้ว เวินจื่อเฉินผู้เป็นพี่รองเชื่อในตัวเวินเยวี่ยโดยสิ้นเชิงว่ามีจิตใจบริสุทธิ์ เขาจึงไม่ได้คิดมากมายเช่นนั้น “พอได้แล้วน้องหก ข้ารู้ว่าเจ้าเป

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 10

    “พวกท่านกล่าวถูกต้อง ข้าไม่ใช่น้องสาวของข้า และข้าก็ไม่ได้ใจดีเหมือนนาง ทุกคนที่เคยรังแกข้าและเคยเหยียดหยามข้า ข้าจะเอาคืนให้หมด” น้ำเสียงของเวินซื่อเย็นชา นางมองชุยเส้าเจ๋อ จากนั้นก็เอ่ยคำพูดที่ชาติก่อนนางนึกเสียใจนับครั้งไม่ถ้วนที่ไม่อาจเอ่ยออกมาต่อหน้าผู้คนด้วยปากของตัวเอง...“ชุยเส้าเจ๋อ ท่านอยากถอนหมั้นไม่ใช่หรือ? ได้ ข้าตกลง และไม่ต้องให้ท่านตกลงเงื่อนไขใด ๆ ด้วย เพียงแต่ว่าหลังจากนี้ไป ข้าเวินซื่อไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับจวนจงหย่งโหวของพวกท่านอีกต่อไปแล้ว!”เมื่อสิ้นคำพูดของนาง ทั่วทั้งงานก็เงียบกริบแม้แต่ชุยเส้าเจ๋อก็อดตกตะลึงไม่ได้ ยะ....ยอมตกลงเช่นนี้เลย?เขานึกว่าเรื่องการถอนหมั้นในวันนี้จะไม่มีทางราบรื่นเป็นอันขาด เขานึกว่าเวินซื่อคงไม่ยินยอมง่าย ๆนึกว่าเวินซื่อจะตามตื๊อ จะร้องไห้โวยวาย...ก่อนจะมาชุยเส้าเจ๋อเคยคิดถึงความเป็นไปได้มากมาย แต่สิ่งเดียวที่เขาไม่เคยคิดก็คือเวินซื่อจะยอมตกลงง่ายดายเช่นนี้จริง ๆไม่สิ ก็ไม่ถือว่าง่ายดาย นางยังตบเขาหนึ่งฉาดด้วย เมื่อคิดถึงตรงนี้ ชุยเส้าเจ๋อที่รู้สึกเสียหน้าก็ทำหน้าเคร่งขรึมทันที เขาลูบแก้มที่แสบร้อนของตัวเอง

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 11

    เวินฉางอวิ้นแสดงสีหน้าที่ไม่เห็นด้วยกฎประจำตระกูลของสกุลเวินไม่ใช่แส้ทั่วไป แต่เป็นแส้เหล็กที่สั่งทำพิเศษ เฆี่ยนตีห้าสิบที ชายวัยกลางคนยังต้องนอนพักสิบวันถึงครึ่งเดือน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนาง?ในดวงตาของเวินเยวี่ยที่ยืนอยู่ข้างๆ เต็มไปด้วยความสุขคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเวินซื่อจะรนหาที่ตายเอง!นางต้องลองคิดดูว่า จะให้ท่านพ่อตอบตกอย่างไรดี แค่ท่านพ่อตอบตกลง เฆี่ยนห้าสิบที สามารถทำให้เวินซื่อเหลือแค่ครึ่งชีวิตแน่นอน!แต่สิ่งที่เวินเยวี่ยยิ่งคาดคิดไม่ถึงคือ นางไม่จำเป็นต้องลงมือ ตอนที่เวินเฉวียนเซิ่งถามเวินซื่อ นางกลับรนหาที่ตายเองอีกครั้ง“เจ้าเอาจริงหรือ?”เวินเฉวียนเซิ่งก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าเวินซื่อจะเป็นคนเสนอขอรับโทษเอง อีกทั้งยังเป็นการลงโทษที่หนักเช่นนี้เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย นึกถึงอุบายที่เวินซื่อใช้ชิงความโปรดปรานในยามปกติ เขาหรี่ตาแล้วเตือน“ข้าเกลียดคนที่เล่นละครต่อหน้าข้าที่สุด”เมื่อเวินซื่อเงยหน้าก็ประสานกับสายตาที่น่ารังเกียจของเขา นางหัวเราะเบาๆ ทีหนึ่ง ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยการหัวเราะเยาะตัวเอง “ข้าต้องทำอย่างไรจึงจะไม่ใช่คนที่แสร้งเล่นละครในสายตาท่านพ่อ?” คือต้อง ‘เชื

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 12

    นางใช้ร่างกายที่ผอมบางรับแส้ที่อยู่ข้างหลังทั้งเช่นนี้เวินฉางอวิ้นก้มมอง พลางเฆี่ยนตีอย่างไร้ความปรานี ราวกับต้องการเฆี่ยนกระดูกของเวินซื่อให้แหลกทั้งร่างเวินซื่อรู้สึกถึงความเจ็บแล้วแต่น่าเสียดาย ความเจ็บบนร่างกายไม่สามารถเทียบกับความเจ็บในก้นบึ้งหัวใจดังนั้นแส้ของเวินฉางอวิ้นไม่เพียงไม่สามารถเฆี่ยนกระดูกของเวินซื่อแหลก กลับกันยิ่งทำให้ความเกลียดชังที่โกรธแค้นในใจนางควบแน่นมากขึ้นต่อให้ต้องตาย นางก็จะไม่ละเว้นเวินเยวี่ยกับทุกคนในสกุลเวินเด็ดขาด!ห้าสิบทีไม่ขาดไม่เกินแม้แต่ทีเดียวตอนที่เวินฉางอวิ้นเฆี่ยนครั้งสุดท้าย ผิวหนังบนหลังของเวินซื่อปริแตกและมีเลือดไหลนานแล้ว เสื้อผ้าท่อนบนของนางถูกย้อมเป็นสีแดงและเปียกโชกด้วยเลือดเวินฉางอวิ้นมองเลือดที่หยดลงมาจากแส้ แล้วมองเวินซื่อที่ไม่ส่งเสียงแม้แต่น้อย และยืนหยัดไม่ล้มจนถึงแส้สุดท้ายแวบหนึ่งไม่รู้เพราะเหตุใด เขารู้สึกจุกในอกอย่างน่าประหลาดเวินฉางอวิ้นที่ไม่ต้องการอยู่ดูอีก โยนแส้ให้คนรับใช้ หลังจากขมวดคิ้ว กล่าวทิ้งท้ายประโยคหนึ่ง “เจ้าลองพิจารณาตัวเองอยู่ที่นี่ให้ดี” จากนั้นก็พาคนรับใช้ไปจากโถงบรรพชนแล้วทันทีที่เขาไป

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 13

    หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม เวินซื่อก็มายืนอยู่ในห้องทรงพระอักษรของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันการเข้าวังหลวงของนาง สามารถกล่าวได้ว่าเรียบง่ายและสบายมากเพราะในมือของนางยังมียันต์คุ้มภัยอีกชิ้นที่ท่านแม่เหลือไว้ให้นาง…นั่นก็คือป้ายคำสั่งที่อดีตฮ่องเต้ประทานชาติที่แล้วป้ายคำสั่งชิ้นนี้ถูกบ่าวไพร่ที่คอยรับใช้ข้างกาย หรือก็คือชุนเซียงขโมยไปให้เวินเยวี่ย จนทำให้นางจนหนทางโชคดีที่นางเกิดใหม่ในชาตินี้ ป้ายคำสั่งยังไม่ถูกขโมยดังนั้นนางจึงสามารถอาศัยป้ายคำสั่งของอดีตฮ่องเต้ มายืนอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้หนุ่มองค์นี้ “หม่อมฉันเวินซื่อ ถวายบังคมฝ่าบาท”“เวินซื่อ? เราจำได้ว่าเจ้าคือลูกสาวคนที่ห้าของเจิ้นกั๋วกงใช่หรือไม่?”ฮ่องเต้ที่นั่งอยู่ด้านหลังของโต๊ะทรงพระอักษรวางฎีกาลง แล้วมองเวินซื่อที่คุกเข่าอยู่บนพื้นแวบหนึ่งฮ่องเต้องค์นี้คือพระราชโอรสองค์ที่เก้าของอดีตฮ่องเต้ ขณะขึ้นครองราชย์มีพระชนมายุเพียงสิบเอ็ดชันษา ต่อให้เป็นปัจจุบันก็มีพระชนมายุเพียงสิบห้าชันษาแม้อายุเท่ากับเวินซื่อ แต่ความน่าเกรงขามบนร่างกายที่สวมชุดมังกรของเขาทำให้ไม่สามารถมองข้าม และถึงขั้นให้ความรู้สึกกดขี่อย่างคลุมเครือเวินซื่

บทล่าสุด

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 198

    ยังไม่ทันที่เวินซื่อจะได้เอ่ยขึ้น เป่ยเฉินหยวนขมวดคิ้วเอ่ยขึ้นก่อนก่อนหน้านี้ใช่ว่าราชวงศ์ต้าหมิงจะไม่เคยเผชิญภัยแล้ง พิธีขอฝนก็จัดขึ้นแล้วหลายครั้ง แต่ล้วนจัดขึ้นในเมืองหลวงฮ่องเต้น้อยถอนหายใจ “เพื่อให้ราษฎรวางใจ”ปีนี้ภัยแล้งของจินโจวกินเวลายาวนานถึงสามเดือน ต่อให้ทางราชสำนักส่งความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง เสบียงอาหารไม่ขาด ทว่าภัยแล้งที่ยาวนานท้ายที่สุดอาจทรมานจนทำให้กลายเป็นบ้าในเวลาอย่างนี้สมควรจัดพิธีขอฝนที่ทำให้ใจราษฎรสงบ อย่างน้อยถือว่าให้ความหวังราษฎรบ้างดังนั้นในยามนี้ธิดาศักดิ์สิทธิ์ฝูหมิงที่ปรากฏตัวกะทันหันจึงกลายเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งของผู้ว่าเมืองจินโจวทันทีพิธีขอฝนซึ่งประกอบพิธีโดยธิดาศักดิ์สิทธิ์ฝูหมิงคนแรกของราชวงศ์ต้าหมิง เพื่อขอพรให้ราษฎรชาวจินโจว ย่อมต้องปลอบประโลมจิตใจของเหล่าราษฎรจินโจวได้แน่นอนหลังจากเข้าใจเหตุผลแล้ว เวินซื่อพยักหน้ารับเรื่องนี้อย่างไม่ลังเล“ฝ่าบาทไม่ต้องตรัสแล้วเพคะ ขอพรเพื่อบ้านเมืองขอพรเพื่อราษฎร เป็นหน้าที่ของธิดาศักดิ์สิทธิ์อย่างหม่อมฉันอยู่แล้ว อย่างไรหม่อมฉันเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่ฝ่าบาทแต่งตั้งด้วยพระองค์เองนะเพคะ”บรรดาศั

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 197

    ดังนั้น จากนั้นไม่นานจึงมีฎีกาจากจินโจว อีกทั้งยังมีรับสั่งจากฝ่าบาทให้เวินซื่อเข้าเฝ้าภายในห้องทรงพระอักษร วังหลวงเวินซื่อทำความเคารพอย่างสง่างาม“หม่อมฉันเวินซื่อถวายพระพรฝ่าบาท ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปีเพคะ”“ธิดาศักดิ์สิทธิ์ฝูหมิงรีบลุกขึ้นเถอะ”ไม่ได้พบกันสักระยะหนึ่ง ฮ่องเต้น้อยชักจะคิดถึงธิดาศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งแห่งราชวงศ์ต้าหมิงที่แต่งตั้งขึ้นเองอยู่บ้างแม้จะมีเสด็จอาคอยมองดูอยู่ แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคที่เขาจะห่วงใยเวินซื่อสักสองสามคำ“ได้ยินมาว่าช่วงนี้ธิดาศักดิ์สิทธิ์ฝูหมิงมีเรื่องเกี่ยวพันกับจวนเจิ้นกั๋วกงไม่ว่างเว้น เสียเปรียบหรือไม่?”เมื่อได้รับความห่วงใยจากฮ่องเต้น้อย เวินซื่อส่ายหน้า ยิ้มแล้วกล่าวเสียงเรียบ “โชคดีที่ฝ่าบาทให้ท่านอ๋องคอยดูแลหม่อมฉัน แม้จะถูกปรักปรำ แต่สุดท้ายก็คืนความบริสุทธิ์ให้หม่อมฉันเพคะ”เสด็จอาคอยดูแลธิดาเทพหรือ?เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้เขาเคยได้ยินมาหลายครั้งก่อนหน้าได้ยินมาแล้วว่าเสด็จอาไปเยือนจวนจงหย่งโหว เพื่อออกหน้าแทนธิดาศักดิ์สิทธิ์จึงเป็นฝ่ายไปเยือนเอง และช่วยไขคดี สุดท้ายไม่เพียงสืบพบว่าหัวขโมยคือซื่อจื่อจวนจง

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 196

    เวินเยวี่ยถลึงตาในพริบตา “เจ้าพูดเหลวไหลอะไร! เจ้ารู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร!?”อันหลันซินแค่นหัวเราะ “ตอนนี้ข่าวลือแพร่ไปทั่วเมืองหลวงแล้ว เจ้าเวินเยวี่ยวางยาทำร้ายพี่ชาย ถูกเจิ้นกั๋วกงใช้กฎประจำตระกูลลงโทษฟาดแส้ห้าสิบครั้ง อีกทั้งยังถูกกักบริเวณสำนึกผิดอีกสามเดือนเชียว”“เจ้า!”ให้ตายสิ!ท่านพ่อมีคำสั่ง ไม่ให้ผู้ใดเผยแพร่เรื่องนี้ออกไปแล้วมิใช่หรือ?หรือจะเป็นนังคนชั้นต่ำอย่างเวินซื่อ? !นางช่างชั่วช้าตามที่คาดการณ์ไว้!ถึงกับกล้าทำลายชื่อเสียงของนาง!น่าเสียดายที่เรื่องนี้เวินซื่อไม่ได้เป็นคนทำ ขณะนั้นมีคนอยู่ในเหตุการณ์มากมายเวินเฉวียนเซิ่งสั่งการคนในจวนได้ แต่กลับสั่งการเป่ยเฉินหยวนและคนที่เขาพามาด้วยไม่ได้เพียงสายตาของอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน ทหารใต้อาณัติเขาก็รู้ทันทีในวันหยุดพักราชการออกไปดื่มเหล้าจนปากสว่างไม่ได้หรือ?ออกไปทานอาหารข้างนอกแล้วตอนคุยกันเผลอพูดเสียงดังไม่ได้หรือ?อย่างไรพวกเขาก็ไม่ได้ตั้งใจ แค่เจตนาไม่ได้หรือ?หลังจากผ่านไปวันสองวัน จึงเป็นที่รู้กันไปทั่วเมืองหลวงตามที่คาดไว้แม้แต่ตอนท่านอ๋องมาฝึกพวกเขายังสีหน้าดูดีอย่างหาได้ยากกองทัพธงดำที่อยู่

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 195

    คุณหนูรองจวนราชเลขาฝ่ายขวาคือบุตรอนุภรรยา นามว่าอันหลันซินเมื่อหลายปีก่อนตอนเวินซื่อจมน้ำนางเคยช่วยชีวิต นับจากนั้นเวินซื่อจึงถือว่าอันหลันซินเป็นสหาย กระทั่งแนะนำนางให้สหายรักของตนรู้จัก ซึ่งก็คือปราชญ์หญิงในรัชกาลปัจจุบันหลินเมี่ยวฉือเพราะมีบุญคุณในครั้งนั้น เวินซื่อและหลินเมี่ยวฉือจึงเป็นอันหลันซินเป็นคนกันเองมาโดยตลอดรู้ว่านางคือบุตรอนุภรรยา ไม่ได้รับความห่วงใยจากมารดาใหญ่ อีกทั้งถูกพี่น้องคนอื่นรังแก ทั้งสองจึงไปกู้หน้าให้นางถึงจวนด้วยตัวเองรู้ว่าเงินเดือนนางไม่พอใช้ ต้องใช้สอยอย่างประหยัด ดังนั้นไม่ว่าจะกินของดีที่ไหนก็ต้องเก็บไว้ให้นางหนึ่งส่วน มีที่ไหนน่าสนุกก็พานางไปด้วยรู้ว่าไม่มีใครจัดการเรื่องงานแต่งให้นาง เวินซื่อจึงขอร้องบิดา ไหว้วานฮูหยินเฒ่าที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง ช่วยให้นางได้หมั้นหมายกับตระกูลที่ดีจนกระทั่งเมื่อครึ่งปีก่อน ไม่รู้เหตุใดท่าทีของอันหลันซินเปลี่ยนไปฉับพลัน นางนัดแนะเวินซื่อออกมาเที่ยวเพียงลำพัง ทว่ากลับผลักนางตกน้ำด้วยตัวเอง ซ้ำยังยืนมองให้นางจมลงไปในทะเลสาบหากไม่มีคนเดินผ่านมาพอดี แล้วได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือของเวินซื่อ เกรงว่ายามนั้นนา

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 194

    ขณะเดียวกันจวนเจิ้นกั๋วกงหลังเวินเยวี่ยถูกลงโทษโดยกฎประจำตระกูลฟาดแส้ไปห้าสิบที ก็หมดสติอย่างสิ้นเชิงแผ่นหลังเต็มไปด้วยเลือด ถูกฟาดจนเนื้อหนังปริแตก จนไม่กล้ามองดูสองวันมานี้ เวินเยวี่ยนอนร้องไห้เพราะความเจ็บปวดทั้งวันทั้งคืนทุกครั้งที่ใส่ยาทำให้นางเจ็บปวดจนอยากจะสับเวินซื่อที่อารามสุ่ยเยว่เป็นหมื่นชิ้น เพื่อให้อีกฝ่ายลิ้มรสความเจ็บปวดของตัวเองไม่ง่ายกว่าจะผ่านพ้นไปสองวัน เวินเยวี่ยที่นอนอยู่บนเตียงออกไปไหนไม่ได้ ได้ยินข่าวร้ายจากสาวใช้สาวใช้ที่มาใหม่ชื่อเซียงเหอ ส่วนหงอวี้หายตัวไปตั้งแต่สองวันก่อนผู้ที่ลงมือจัดการย่อมต้องเป็นเจิ้นกั๋วกงจวนเจิ้นกั๋วกงที่ใหญ่โตหากอยากให้สาวใช้สักคนหายไปอย่างเงียบเชียบ เป็นเรื่องที่ง่ายดายเหลือเกินทว่าฝีมือเช่นนี้ก็ทำให้เวินเยวี่ยรู้สึกหวาดกลัวเพราะนางรู้สึกว่าบิดากำลังตักเตือนนางไม่อย่างนั้นจะสังหารสาวใช้คนสนิทของนางโดยตรงได้อย่างไรเดิมทีเวินเยวี่ยตกใจจนสำรวมขึ้นบ้างแล้ว แต่หลังจากผ่านความทรมานสองวันมานี้ ความโกรธแค้นในใจเกิดขึ้นอีกครั้งโดยเฉพาะได้ยินข่าวจากเซียงเหอ ว่าพี่รองของนางเวินจื่อเฉินถึงกับตัดสัมพันธ์กับทุกคนในจวนเจิ

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 193

    ขณะนี้เวินซื่อประหม่ายิ่งกว่าเขาเสียอีกมุมปากฉีกแล้ว ยังบวมอีก!ใบหน้าที่งดงามไร้ที่ติเช่นนี้ หากต้องมาเสียโฉมเพราะนาง นั่นเป็นความผิดของนางชัดๆ !“ข้าจะไปเอายามาให้ท่านเดี๋ยวนี้ รีบทายาซะ อย่าให้เกิดเป็นรอยแผลเป็นเด็ดขาด”เวินซื่อหันหลังเตรียมกลับไปที่เรือนเล็ก จู๋เยวี่ยปรากฏตัวขึ้นตรงหน้านางทันที“จู๋เยวี่ย? ในที่สุดเจ้าก็กลับมา ทำไมถึงไปนานขนาดนี้?”จู๋เยวี่ยรีบเดินมาตรงหน้าเวินซื่อ “อู๋โยว รีบตามข้ามา มีคนนอกมาเยือนอารามสุ่ยเยว่ เป็นคนจากในวัง”“คนจากในวังหรือ?”เวินซื่อเลิกคิ้ว หันมองเป่ยเฉินหยวนที่อยู่ด้านหลังพบว่าเป่ยเฉินหยวนกำลังขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็ไม่รู้เรื่องนี้คงไปเอายาไม่ทันแล้วในไม่ช้าเวินซื่อก็กลับไปถึงอารามสุ่ยเยว่ เมื่อมาถึงนอกอารามเห็นม่อโฉวซือไท่รออยู่นอกประตูใหญ่ตามคาด และเสี่ยวเต๋อจื่อที่อยู่ไม่ไกล พร้อมกับรถม้าคันด้านหลังเขาที่เคยส่งนางมาอารามสุ่ยเยว่“บ่าวคารวะธิดาศักดิ์สิทธิ์”เมื่อเห็นเวินซื่อปรากฏตัว เสี่ยวเต๋อจื่อรีบเข้าไปทำความเคารพอย่างอ่อนน้อมเผชิญหน้ากับขันทีที่เป็นคนสนิทของฝ่าบาท แม้เขาจะทำความเคารพ เวินซื่อก็ไม่กล้ารับไว้ทั้ง

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 192

    อ๋องผู้สำเร็จราชการแทนผู้ยิ่งใหญ่ ยากนักที่จะตกอยู่อากัปกิริยาพูดติดอ่างเช่นนี้หากให้ผู้ใต้บัญชาเหล่านั้นของเขาเห็นเข้า คงตกใจจนลูกตาถลนออกจากเบ้าทว่าโชคดี เขาเผยท่าทางวางตัวไม่ถูกเช่นนี้ต่อหน้าอู๋โยวเท่านั้นเป่ยเฉินหยวนถือโอกาสนอนลงข้างกายเวินซื่อ ในใจรู้สึกดีงามอย่างประหลาดได้ฟังคนที่ชอบสวดมนต์ให้จิตใจเขาสงบอยู่ข้างกายอย่างตั้งใจ ความรู้สึกเช่นนี้ราวกับถูกคนรักกล่อมให้นอนหลับ ในที่สุดเป่ยเฉินหยวนที่รู้สึกหวานละไมก็ผ่อนคลายความคิดที่ตึงเครียด ค่อยๆ จมดิ่งสู่ในนั้นหลังจากลมหายใจของเป่ยเฉินหยวนเริ่มราบเรียบ เสียงสวดมนต์ของเวินซื่อเล็กลงเรื่อยๆ ผ่านไปทีละนิด จนสุดท้ายเหลือเพียงเสียงลำธารไหลผ่านและสัมผัสของสายลมที่พัดเอื่อยเวินซื่อที่รู้สึกง่วงนอนขึ้นมาอย่างประหลาดจึงขยี้ตาช่างเถอะ งีบสักครู่ดีกว่าอีกเดี๋ยวจู๋เยวี่ยกลับมาต้องเรียกนางแน่นอนเวินซื่อคิดเช่นนั้น จึงขยับตัวเล็กน้อย แล้วนอนลงไปเช่นกันระยะห่างเว้นจากเป่ยเฉินหยวนประมาณหนึ่งคนกั้น ไม่ใกล้ไม่ไกลหลังจากนางนอนหลับ มิติแห่งนี้ราวกับมีเพียงทั้งสองคนเท่านั้นเมื่อเป่ยเฉินหยวนตื่นขึ้น พลันเห็นภาพที่ทำให้แทบหยุดหา

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 191

    หลังจากวนหนึ่งรอบ เป่ยเฉินหยวนจึงวางนางไว้บนพื้นอีกครั้งทั้งยังเลือกวางไว้บนก้อนหินขนาดใหญ่ที่เรียบ เพื่อให้นางสามารถยืนอย่างมั่นคงเวินซื่อที่ขวัญผวาโดยไม่ได้รับอันตรายใดตบหน้าอกตัวเองเพื่อให้หายตกใจ พร้อมกล่าวขอบคุณ “โชคดีที่มีท่านอ๋องอยู่ ไม่อย่างนั้นเมื่อครู่ข้าต้องเคราะห์ร้ายแน่ๆ เลย”เมื่อวานหลังจากฝนตกลงมาหนึ่งครั้ง ทำให้อากาศวันนี้เริ่มเย็นลงหากยามนี้นางตกน้ำ เกรงว่าคงต้องไม่สบายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เป่ยเฉินหยวนยกมือดีดหน้าผากนางเบาๆ “เมื่อครู่ใครใช้ให้ท่านไม่ระวังล่ะ ทั้งที่รู้ว่าตัวเองยกไม่ไหว ยังตักน้ำมากขนาดนี้อีก”ครั้งนี้โชคดีที่มีเขาอยู่ เกิดครั้งหน้าเขาไม่อยู่ด้วยล่ะ?เวินซื่อจับหน้าผากตัวเอง ไม่กล้าบอกว่าเมื่อครู่ที่นางไม่ทันระวังความจริงเป็นเพราะเขา“เอาละ นำถังไม้มาให้ข้าเถอะ ท่านไปยืนดูอยู่ด้านข้างดีกว่า”เป่ยเฉินหยวนถลกแขนเสื้อและขากางเกงขึ้น จากนั้นไปยกถังไม้ขึ้นจากลำธาร ปล่อยให้เวินซื่อยืนอยู่ริมฝั่ง“หา? ให้ท่านทำหรือ? คงไม่เหมาะสมเท่าใดกระมัง?”เวินซื่อเบิกตาโต พร้อมกล่าวอย่างแปลกใจให้อ๋องผู้สำเร็จราชการแทนที่สูงส่งช่วยตักน้ำให้นาง นี่ไม่ใช่แค่ไ

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 190

    เวินซื่อไม่นึกว่าจู๋เยวี่ยจะมาปลอบประโลมนางคราวนี้นางเผยรอยยิ้มออกมาจากภายในใจ “ขอบคุณเจ้ามากจู๋เยวี่ย ข้าต้องการมาก”จู๋เยวี่ยติดตามนางไปที่ริมลำธารเล็ก ๆ ทั้งสองนั่งลงเงียบ ๆเวินซื่อมองดูลำธารเล็ก ๆ สายนั้น หลังจากนิ่งเงียบอยู่นาน นางถึงเอ่ยขึ้นช้า ๆ“จู๋เยวี่ย เจ้าคือองครักษ์ลับที่ได้รับการฝึกฝนจากราชวงศ์ บางทีวันหนึ่งเจ้าอาจถูกโยกย้ายกลับไปคุ้มกันผู้อื่น แต่หากวันนั้นข้าพูดกับเจ้าว่า เจ้าอย่าไป ต่อไปให้คุ้มกันข้าเพียงผู้เดียว เจ้าจะรู้สึกว่าข้าเห็นแก่ตัวหรือไม่?”นางกลัวว่าจู๋เยวี่ยจะคิดมาก หลังจากตั้งคำถามแบบสมมติเสร็จแล้วก็รีบอธิบายว่า “ข้าไม่ได้จะไม่ให้เจ้าไปไหนจริง ๆ เพียงแต่วันนี้...”“ข้าหวังว่านั่นจะเป็นความจริง”แต่นางยังพูดไม่ทันจบ จู๋เยวี่ยก็เผยด้านที่แข็งกร้าวออกมาทันใด นางจับจ้องเวินซื่ออย่างแน่วแน่ “อู๋โยว ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นองครักษ์ลับที่ได้รับการฝึกฝนจากราชวงศ์ แต่ความเชื่อของพวกเราก็คือจงรักภักดีต่อนายเพียงคนเดียวไปชั่วชีวิต นับตั้งแต่ช่วงเวลาที่ท่านมอบนามให้ข้า ท่านก็เป็นคนเดียวที่ข้าจะมอบความจงรักภักดีไปตลอดชีวิต และข้าจะปกป้องท่านเพียงคนเดียวตลอดไป”มุมป

สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status