แชร์

บทที่ 5

ผู้เขียน: จิ้งซิง
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2024-11-19 14:09:48
“เวินซื่อ เจ้าบ้าไปแล้วหรือ?!”

เวินเยวี่ยที่เดิมทียังนึกว่ามีโอกาสแย่งกลับมาก็ร้องเสียงหลงด้วยความตกใจและโกรธเกรี้ยว

อารมณ์หวั่นไหวรุนแรงราวกับว่าสิ่งที่เวินซื่อตัดคือชุดของนาง

เวินซื่อขยับมือไม่หยุด รอยยิ้มบนใบหน้ายังคงไม่แปรเปลี่ยน “ตัดชุดอย่างไรเล่า พี่รองกับน้องหกเห็นแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดต้องมีปฏิกิริยารุนแรงถึงเพียงนี้?”

ดวงตาสองข้างของเวินจื่อเฉินพ่นไฟแล้ว “เจ้ายังกล้าถามข้าอีกหรือว่าเหตุใดถึงมีปฏิกิริยารุนแรงเช่นนี้?! ชุดนี้เป็นชุดที่ข้ากับพวกพี่ใหญ่ตั้งใจสั่งทำขึ้นมาเพื่อพิธีปักปิ่นของเจ้า ตอนนี้เจ้ากำลังทำอะไรอยู่? เหตุใดเจ้าต้องตัดมันจนเละด้วย?!”

“เพราะว่าไม่มีใครต้องการมันแล้ว”

เวินซื่อตัดลงไปดัง “ฉับ” อีกครั้ง “ข้าไม่ต้องการ น้องหกก็ไม่ต้องการ ของที่ไม่มีใครต้องการย่อมต้องจัดการทิ้ง”

สีหน้าของนางเย็นชาจนทำให้เวินจื่อเฉินแทบจะรู้สึกแปลกตา

ใครบอกว่าข้าไม่ต้องการ?!

เวินเยวี่ยโกรธจนแทบอยากจะกรีดร้อง

นางแค่จงใจบอกปัดเพื่อไม่ให้เวินจื่อเฉินสงสัยเท่านั้น

ใครจะคิดว่าเวินซื่อกลับเสียสติถึงเพียงนี้?!

ทั้ง ๆ ที่นางคิดไว้นานแล้วว่าวันนี้จะต้องสวมชุดพิธีการนี้ให้ได้ แต่ตอนนี้ถูกเวินซื่อทำลายหมดแล้ว!

นี่เป็นชุดพิธีการที่แพงที่สุดและดีที่สุดในเมืองหลวงนะ!

มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น!

เวินเยวี่ยปวดใจจนแทบหลั่งเลือด

“เจ้าบอกตั้งแต่เมื่อไรว่าเจ้าไม่ต้องการแล้ว? เจ้าเคยบอกว่าเจ้าชอบมากไม่ใช่หรือ? เจ้าทะนุถนอมชุดนี้ที่สุดไม่ใช่หรือ...”

เวินจื่อเฉินเดือดดาลอย่างยิ่ง

เวินซื่อกลับตัดบทเขาทันทีว่า “ข้าไม่ชอบแล้ว”

นางเอ่ยทวนทีละคำว่า “เมื่อก่อนเคยชอบ แต่ตอนนี้ข้าไม่ชอบแล้ว”

สิ่งที่ไม่ได้เป็นของนาง นางไม่ต้องการทั้งนั้น

“ฉับ”

เมื่อเวินซื่อตัดลงไปเป็นครั้งสุดท้าย ชุดพิธีการนั้นก็ถูกนางตัดจนเละไม่เป็นชิ้นดี

เฉกเช่นความสัมพันธ์ของนางกับพวกเวินจื่อเฉิน

ชาติที่แล้วนางอยากกอบกู้สถานการณ์มากเกินไป หากตระหนักได้เร็วหน่อย ตัดขาดทุกอย่างนี้เร็วหน่อย สุดท้ายนางก็คงไม่ลงเลยถึงขั้นนั้น

และชาตินี้ นางจะไม่ทำอะไรโง่งมเหมือนชาติที่แล้วอีกเป็นอันขาด!

“เอาเถิด พิธีปักปิ่นใกล้จะเริ่มแล้ว ในเมื่อพี่รองไม่อยากให้ข้าออกไป เช่นนั้นก็ขออภัยที่น้องไม่อยู่เป็นเพื่อนแล้ว”

หลังจากที่นางวางกรรไกรลงก็หันหลังให้กับพวกเขา เริ่มไล่คนด้วยน้ำเสียงค่อนข้างหมดความอดทน

เวินจื่อเฉินยืนนิ่งอยู่กับที่ ดวงตาสองข้างแดงก่ำจ้องมองเศษผ้าที่กระจัดกระจายเต็มพื้น

เขาเหมือนกับถูกคนทุบแรง ๆ สมองว่างเปล่าทันใด

ไม่...

ไม่ถูก

เหตุใดน้องห้าถึงกลายเป็นเช่นนี้?

เหตุใดนางต้องทำขนาดนี้?

หรือว่านางโกรธที่เขาให้นางมอบชุดพิธีการให้กับน้องหก?

หรือเป็นเพราะว่าเขาปรักปรำนาง?

แต่นี่เป็นเพราะนางทำผิดก่อนไม่ใช่หรือ?

นางมีสิทธิอะไรมาอารมณ์เสีย?!

เวินจื่อเฉินยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ

“ทั้งหมดต้องโทษพวกพี่ใหญ่ที่ตามใจเจ้าจนกลายเป็นเช่นไรแล้ว! ตอนนี้แม้แต่ความหวังดีของพวกพี่ชาย เจ้าก็ยังกล้าทำลาย ต่อไปเกรงว่าเจ้ายังคิดจะขบถด้วย!”

เวินจื่อเฉินนึกว่าเอ่ยเช่นนี้เวินซื่อจะมีปฏิกิริยา แต่เวินซื่อที่นั่งอยู่ตรงนั้นกลับไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมา

ท่าทีดูเหมือนขับไล่คนมาก ๆ

“ดี ๆๆ!”

เวินจื่อเฉินโกรธจนเอ่ยคำว่าดีติดต่อกันสามครั้ง เขาเอ่ยอย่างเกรี้ยวกราดว่า “เจ้ากล้าโกรธปั้นปึ่งใส่ข้า คอยดูนะ วันนี้ข้าจะต้องเรียกพวกพี่ใหญ่มาดูท่าทางดื้อดึงของเจ้า!”

เขากล่าวจบก็คว้าเครื่องประดับศีรษะที่เวินเยวี่ยเพิ่งหยิบขึ้นมาจากพื้น รวมทั้งรวบรวมเศษผ้าบนพื้นขึ้นมาทั้งหมด

“เอ๊ะ พี่รอง?!”

เวินเยวี่ยยังไม่ทันตั้งตัวก็เห็นเวินจื่อเฉินนำชุดพิธีการขาดรุ่งริ่งชุดนั้นหันตัวเดินออกไปอย่างรวดเร็ว

นางหันหน้ากลับไปถลึงตาใส่เวินซื่ออย่างไม่ยอมแพ้ หลังจากขบคิด สุดท้ายก็ยังไล่ตามออกไป

เมื่อพวกเขาจากไปแล้ว ห้องของเวินซื่อก็เงียบสงบลงในพริบตา

เงียบจนแทบได้ยินเสียงสาวใช้บางคนที่คิดว่าเสียงตัวเองเบามากกำลังแอบนินทากันอยู่บนระเบียงทางเดินที่ไม่ไกลจากด้านนอกห้อง

“อุ๊ย เมื่อกี้คนที่วิ่งออกมาจากห้องของคุณหนูห้าคือคุณชายรองกับคุณหนูหกไม่ใช่หรือ?”

“ดูเหมือนจะเป็นพวกเขานะ!”

“คิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นคุณชายรอง หากรู้แต่แรกข้าคงไปรอในห้องของคุณหนูห้าแล้ว”

“ช่างเถิด เมื่อครู่นี้ข้าได้ยินคุณชายรองตำหนิคุณหนูห้าเสียงดังอีกแล้ว เกรงว่าคุณหนูห้าคงจะทำอะไรคุณหนูหกอีกแล้ว คนจิตใจชั่วช้าเช่นนั้น เจ้ายังกล้าไปใกล้นางอีกหรือ? เจ้าไม่กลัวว่าสักวันนางจะไม่พอใจจนลงมือกับเจ้าหรือไร?”

“สวรรค์ น่ากลัวเหลือเกิน! หากเป็นเช่นนี้ ใครยังจะกล้าไปรับใช้นางอีกเล่า?”

ภายในห้อง เวินซื่อฟังคำพูดเหล่านี้อย่างเย็นชา

ท่ามกลางเสียงของสาวใช้หลายคนนั้น คนที่พูดมากหนึ่งในนั้นก็คือชุนเซียง สาวใช้คนสนิทของนาง

และเป็นสาวใช้ที่เตะนางแรง ๆ เพื่อเอาใจเวินเยวี่ยตอนที่นางถูกขังไว้ในห้องลับ

ตอนแรกชุนเซียงหักหลังนางตามคำสั่งของเวินเยวี่ย ช่วยเวินเยวี่ยขับไล่นางออกจากจวนกั๋วกง ดังนั้นจึงกลายเป็นคนสนิทที่ทำงานเก่งข้างกายเวินเยวี่ย

เมื่อก่อนเวินซื่อไม่รู้เลย แต่ตอนนี้คิดดูแล้วเกรงว่าเวลานี้ชุนเซียงคงจะไปขอพึ่งพาอาศัยเวินเยวี่ยนานแล้ว

และลอบยุยงข้ารับใช้ในเรือนนาง ทำให้ทุกคนหวาดกลัวและตีตัวออกหากกับนาง

จิตสังหารฉายขึ้นมาในแววตาของเวินซื่อ

นางจะไม่ยอมปล่อยเวินเยวี่ยกับคนสกุลเวินไป

เช่นเดียวกัน นางก็จะไม่ยอมปล่อยคนที่ทรยศนาง

“พวกเจ้าทั้งหลาย”

เสียงของเวินซื่อพลันดังขึ้นจากด้านหลังพวกสาวใช้หลายคน

พวกซุนเซียงหันหน้าไปมองก็เห็นเวินซื่อยืนอยู่ริมหน้าต่าง กำลังจ้องมองพวกนางด้วยสายตาทะมึน

พวกสาวใช้ที่เพิ่งถูกชุนเซียงขู่ให้ตกใจพลันหวาดกลัวจนรีบลุกขึ้นมา

“นอกจากชุนเซียงแล้ว คนอื่น ๆ กลับไปเก็บข้าวของเสีย ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่แล้ว อีกเดี๋ยวข้าจะเรียกคนมารับพวกเจ้า”

สาวใช้คนอื่น ๆ ยังไม่ทันตั้งสติ เอ่ยถามอย่างงุนงงเล็กน้อยว่า “เก็บข้าวของ? ไปที่ใดหรือเจ้าคะ? คุณหนูห้าจะเรียกใครมารับพวกเราหรือเจ้าคะ?”

เวินซื่อมองพวกนางอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ย่อมเรียกนายหน้าค้าทาสมารับ ไม่เช่นนั้นยังมีใครได้อีก?”

สาวใช้ทั้งหลายพากันหน้าถอดสี เบิกตาโตอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“คุณหนูห้าเอ่ยเช่นนี้หมายความว่าอันใด? พวกนางทำสิ่งใดผิด ท่านถึงปฏิบัติกับพวกนางเช่นนี้?!”

ซุนเซียงที่ถูกแยกออกมาคนเดียวยังตระหนักไม่ได้ถึงความร้ายแรง นางจดจำคำพูดที่เวินเยวี่ยกำชับนางได้ขึ้นใจ พูดแทนสาวใช้คนอื่น ๆ อย่างหนักแน่นมีเหตุผลชอบธรรม

“พวกนางไม่ได้ทำสิ่งใดผิด”

เวินซื่อยิ้มน้อย ๆ “แต่ว่าสมองไม่ค่อยกระจ่างนัก แยกแยะไม่ออกว่าใครเป็นเจ้านายของพวกนาง”

“พวกคนที่ไม่รู้แม้กระทั่งว่าเจ้านายของตนเองเป็นใคร เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องอยู่เรือนของข้าต่อไป เก็บของไสหัวไปแต่เนิ่น ๆ เสีย เพื่อไม่ให้สักวันข้าไม่พอใจจนลงมือกับพวกเจ้า”

เมื่อคำพูดประโยคสุดท้ายออกมา บรรดาสาวใช้รวมถึงซุนเซียงก็พากันหน้าซีดเผือด

หลังจากนั้น เวินซื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ นางจึงกล่าวอีกว่า

“แน่นอนว่าพวกเจ้าสามารถไปอ้อนวอนขอร้องน้องสาวแสนดีที่มีเมตตาบริสุทธิ์ของข้าได้เหมือนกัน ไม่แน่ว่านางอาจจะยินดีจ่ายราคางามซื้อพวกเจ้าจากในมือของข้าก็ได้?”

พอดีเลย หากนางอยากออกไปจากสกุลเวิน ยังต้องเตรียมเงินในมือไว้ก่อน

เมื่อเวินซื่อปิดหน้าต่าง เพิ่งจะหันตัวมาก็สะดุ้งตกใจกับบุรุษผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้

เมื่อเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัดเจน ความเคียดแค้นชิงชันอย่างรุนแรงก็พรั่งพรูขึ้นมาในใจของเวินซื่อ

นางเอ่ยปากอย่างช้า ๆ ว่า “พี่ใหญ่”

บทที่เกี่ยวข้อง

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 6

    ผู้ที่มามีรูปร่างสูงสง่าราวกับไผ่สน สวมอาภรณ์เสื้อคลุมสีกรมท่า รูปลักษณ์สง่างาม โฉมหน้าหล่อเหลาชื่อของเขาคือเวินฉางอวิ้น เป็นพี่ใหญ่ของนาง และก็เป็นคุณชายใหญ่ของจวนกั๋วกง“น้องห้า เจ้ารู้ความผิดหรือไม่?” เวินฉางอวิ้นมองเวินซื่อด้วยสายตาเย็นชา ความรู้สึกกดดันที่แผ่ลงมาจากด้านบนทำให้เวินซื่อแทบหายใจไม่ออกนิดหน่อย เมื่อก่อนนางโง่งม คิดเพียงว่าเวินฉางอวิ้นรูปร่างสูงใหญ่ ถึงมอบความรู้สึกน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ให้นาง ทว่าต่อมาจนกระทั่งเมื่อนางเห็นกับตาว่าเวินฉางอวิ้นก้มตัว ก้มหน้าให้สายตาอยู่ระดับเดียวกับเวินเยวี่ยเพียงเพื่อรับฟังความคับข้องใจจากปากของนาง เวินซื่อถึงได้เข้าใจว่าที่แท้ตนเองเป็นเพียงคนชั้นล่างที่ไม่เคยอยู่ในสายตาของพี่ใหญ่ “ข้าไม่เข้าใจคำพูดของพี่ใหญ่ ไม่ทราบว่าข้ามีความผิดอันใด ขอพี่ใหญ่โปรดชี้แจงด้วย”ไม่ใช่ว่าเวินซื่อไม่เห็นชุดพิธีการที่เขาถืออยู่ในมือ ดังนั้นไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเขามาเพราะเหตุใด แต่แล้วอย่างไรเล่า?ไม่ถามสักคำ มาถึงก็อยากให้นางยอมรับความผิด?มีสิทธิอันใด?เวินฉางอวิ้นทำสายตาเย็นชา แต่สายตาของเวินซื่อกลับเย็นชายิ่งกว่าเขา เวินฉางอวิ้นขมวดค

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-19
  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 7

    ชุยเส้าเจ๋อก้าวเท้าเดินมาทางเวินซื่อ ท่าทางดูเกรี้ยวกราดหมายจะหาเรื่องเมื่อมองไปทางด้านหลังของเขาอีกก็เห็นเวินเยวี่ยอ้าปากพูดว่า “อย่าเลย” ด้วยความหวาดกลัว แต่ไม่ได้ทำท่าจะฉุดรั้งชุยเส้าเจ๋อเลยสักนิดหลังจากที่สบสายตาของเวินซื่อ ดวงตาของนางถึงขนาดฉายแววกระหยิ่มยิ้มย่องเห็นได้ชัดว่าการที่นางสามารถยุให้ชุยเส้าเจ๋อออกหน้าเพื่อนางได้ง่าย ๆ นั้นทำให้นางภาคภูมิใจเอามาก ๆแต่ว่าน่าเสียดายมาก ยังไม่ทันที่ชุยเส้าเจ๋อจะเดินเข้ามาใกล้เวินซื่อ เสียงทุ้มหนึ่งดังมาจากทางด้านปะรำพิธี...“เจ้าห้า เจ้าหก ถึงฤกษ์งามยามดีแล้ว ยังไม่รีบมาเตรียมตัวทำพิธีปักปิ่นอีก” เวินซื่อหันหน้าไปมองบนปะรำพิธี บุรุษวัยกลางคนสวมชุดเสื้อคลุมยาวสีเขียวดูสง่าผ่าเผยเปี่ยมไปด้วยความรู้กำลังนั่งอยู่ตำแหน่งประธาน มองพวกนางสองคนด้วยสีหน้าเย็นชานี่คือบิดาของนาง เจิ้นกั๋วกงเวินเฉวียนเซิ่งเวลานี้ต่อให้ชุยเส้าเจ๋ออยากหาเรื่องนางอีกเพียงใด ก็ได้แต่ถอยหลังไปเท่านั้นเวินซื่อเดินขึ้นไปบนปะรำพิธีโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อเวินซื่อขึ้นมาบนปะรำพิธีก็ควงแขนนางด้วยใบหน้ายิ้มแย้มราวกับบุปผา จงใจทำตัวสนิทสนม“พี่หญิงห้

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-19
  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 8

    เมื่อเวินฉางอวิ้นเดินขึ้นมาบนปะรำพิธี สายตาทอดมองไปที่น้องสาวทั้งสองคน เดิมทียังลังเลอยู่บ้างแต่เมื่อสบสายตาคาดหวังของเวินเยวี่ย เขาก็คลายหัวคิ้วในพริบตาหัวเราะอย่างไม่มีทางเลือกช่างเถิด หากจะโทษก็ได้แต่โทษน้องห้าที่ไม่ได้รับความชื่นชอบเองใครใช้ให้นางมีนิสัยอิจฉาริษยา ไม่ยอมให้น้องหกเลยสักนิดเล่าดังนั้นเวินฉางอวิ้นจึงไม่ลังเลอีกต่อไป เดินผ่านหน้าเวินซื่อแล้วยื่นดอกไม้ให้เวินเยวี่ยจากนั้นก็เป็นเวินจื่อเฉิน เวินจื่อเยวี่ย เวินอวี้จือ...รวมถึงคนสกุลเวิน ทุกคนต่างก็มอบดอกไม้ให้เวินเยวี่ย ก็เหมือนกับชาติที่แล้ว...เวินซื่อผู้โดดเดี่ยวกับเวินเยวี่ยที่ล้อมรอบไปด้วยดอกไม้สดและคำอวยพรเวินซื่อไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย ถึงอย่างไรนางก็รู้ผลสรุปเช่นนี้มานานแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่คาดหวังใด ๆ อีกต่อไปอย่างแน่นอนหลังจากคนเหล่านั้นก็เป็นชุยเส้าเจ๋อ เทียบกับดอกไม้หนึ่งดอกที่คนอื่นมอบให้แล้ว เขาหอบดอกไม้บานหลากสีสันกำใหญ่เต็ม ๆ ไม่มองเวินซื่อสักแวบเดียว ก่อนจะยัดใส่อ้อมแขนของเวินเยวี่ยโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย“น้องเยวี่ยเอ๋อร์ ดอกฉยงฮวาอวยพรวันเกิด ดนตรีเสียงสวรรค์ห้อมล้อมคว

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-19
  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 9

    “ไม่ได้นะ!”“ไม่มีทาง!” แค่คำสาบานเดียวเท่านั้น เดิมที่นึกว่าชุยเส้าเจ๋อน่าจะรับปากได้ แต่ใครก็คิดไม่ถึงว่าชุยเส้าเจ๋อจะมีปฏิกิริยารุนแรงถึงเพียงนั้นสิ่งที่แปลกประหลาดยิ่งกว่านั้นคือ คนที่มีปฏิกิริยารุนแรงเช่นเดียวกันยังมีอีกคน“น้องหก?” พวกเวินฉางอวิ้นมองไปทางเวินเยวี่ยด้วยความประหลาดใจ เวินเยวี่ยมีสีหน้าแข็งทื่อเมื่อตระหนักได้ว่าเมื่อครู่นี้นางยั้งสติไม่อยู่มากเกินไป นางจึงรีบเก็บงำอารมณ์ ฝืนยิ้มมุมปากพลางเอ่ยว่า “ไม่ใช่นะ...คือว่า ข้า...ข้าแค่รู้สึกว่าเงื่อนไขที่พี่หญิงเสนอออกมานี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยเหมาะสมมากนัก หะ...หากต่อไปพี่เส้าเจ๋อเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาเล่า? ดังนั้น พี่หญิงเหลือทางถอยให้ตนเองหน่อยไม่ดีกว่าหรือ?”เวินฉางอวิ้นผู้เป็นพี่ใหญ่ขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกว่าคำพูดนี้ของนางดูแปลกพิกลนิด ๆเวินจื่อเยวี่ยผู้เป็นพี่สามไม่มีปฏิกิริยาอะไรเวินอวี้จือผู้เป็นพี่สี่กลับมองเวินเยวี่ยและมองชุยเส้าเจ๋ออย่างใคร่ครวญ เทียบกับพวกเขาแล้ว เวินจื่อเฉินผู้เป็นพี่รองเชื่อในตัวเวินเยวี่ยโดยสิ้นเชิงว่ามีจิตใจบริสุทธิ์ เขาจึงไม่ได้คิดมากมายเช่นนั้น “พอได้แล้วน้องหก ข้ารู้ว่าเจ้าเป

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-19
  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 10

    “พวกท่านกล่าวถูกต้อง ข้าไม่ใช่น้องสาวของข้า และข้าก็ไม่ได้ใจดีเหมือนนาง ทุกคนที่เคยรังแกข้าและเคยเหยียดหยามข้า ข้าจะเอาคืนให้หมด” น้ำเสียงของเวินซื่อเย็นชา นางมองชุยเส้าเจ๋อ จากนั้นก็เอ่ยคำพูดที่ชาติก่อนนางนึกเสียใจนับครั้งไม่ถ้วนที่ไม่อาจเอ่ยออกมาต่อหน้าผู้คนด้วยปากของตัวเอง...“ชุยเส้าเจ๋อ ท่านอยากถอนหมั้นไม่ใช่หรือ? ได้ ข้าตกลง และไม่ต้องให้ท่านตกลงเงื่อนไขใด ๆ ด้วย เพียงแต่ว่าหลังจากนี้ไป ข้าเวินซื่อไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับจวนจงหย่งโหวของพวกท่านอีกต่อไปแล้ว!”เมื่อสิ้นคำพูดของนาง ทั่วทั้งงานก็เงียบกริบแม้แต่ชุยเส้าเจ๋อก็อดตกตะลึงไม่ได้ ยะ....ยอมตกลงเช่นนี้เลย?เขานึกว่าเรื่องการถอนหมั้นในวันนี้จะไม่มีทางราบรื่นเป็นอันขาด เขานึกว่าเวินซื่อคงไม่ยินยอมง่าย ๆนึกว่าเวินซื่อจะตามตื๊อ จะร้องไห้โวยวาย...ก่อนจะมาชุยเส้าเจ๋อเคยคิดถึงความเป็นไปได้มากมาย แต่สิ่งเดียวที่เขาไม่เคยคิดก็คือเวินซื่อจะยอมตกลงง่ายดายเช่นนี้จริง ๆไม่สิ ก็ไม่ถือว่าง่ายดาย นางยังตบเขาหนึ่งฉาดด้วย เมื่อคิดถึงตรงนี้ ชุยเส้าเจ๋อที่รู้สึกเสียหน้าก็ทำหน้าเคร่งขรึมทันที เขาลูบแก้มที่แสบร้อนของตัวเอง

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-19
  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 11

    เวินฉางอวิ้นแสดงสีหน้าที่ไม่เห็นด้วยกฎประจำตระกูลของสกุลเวินไม่ใช่แส้ทั่วไป แต่เป็นแส้เหล็กที่สั่งทำพิเศษ เฆี่ยนตีห้าสิบที ชายวัยกลางคนยังต้องนอนพักสิบวันถึงครึ่งเดือน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนาง?ในดวงตาของเวินเยวี่ยที่ยืนอยู่ข้างๆ เต็มไปด้วยความสุขคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเวินซื่อจะรนหาที่ตายเอง!นางต้องลองคิดดูว่า จะให้ท่านพ่อตอบตกอย่างไรดี แค่ท่านพ่อตอบตกลง เฆี่ยนห้าสิบที สามารถทำให้เวินซื่อเหลือแค่ครึ่งชีวิตแน่นอน!แต่สิ่งที่เวินเยวี่ยยิ่งคาดคิดไม่ถึงคือ นางไม่จำเป็นต้องลงมือ ตอนที่เวินเฉวียนเซิ่งถามเวินซื่อ นางกลับรนหาที่ตายเองอีกครั้ง“เจ้าเอาจริงหรือ?”เวินเฉวียนเซิ่งก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าเวินซื่อจะเป็นคนเสนอขอรับโทษเอง อีกทั้งยังเป็นการลงโทษที่หนักเช่นนี้เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย นึกถึงอุบายที่เวินซื่อใช้ชิงความโปรดปรานในยามปกติ เขาหรี่ตาแล้วเตือน“ข้าเกลียดคนที่เล่นละครต่อหน้าข้าที่สุด”เมื่อเวินซื่อเงยหน้าก็ประสานกับสายตาที่น่ารังเกียจของเขา นางหัวเราะเบาๆ ทีหนึ่ง ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยการหัวเราะเยาะตัวเอง “ข้าต้องทำอย่างไรจึงจะไม่ใช่คนที่แสร้งเล่นละครในสายตาท่านพ่อ?” คือต้อง ‘เชื

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-19
  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 12

    นางใช้ร่างกายที่ผอมบางรับแส้ที่อยู่ข้างหลังทั้งเช่นนี้เวินฉางอวิ้นก้มมอง พลางเฆี่ยนตีอย่างไร้ความปรานี ราวกับต้องการเฆี่ยนกระดูกของเวินซื่อให้แหลกทั้งร่างเวินซื่อรู้สึกถึงความเจ็บแล้วแต่น่าเสียดาย ความเจ็บบนร่างกายไม่สามารถเทียบกับความเจ็บในก้นบึ้งหัวใจดังนั้นแส้ของเวินฉางอวิ้นไม่เพียงไม่สามารถเฆี่ยนกระดูกของเวินซื่อแหลก กลับกันยิ่งทำให้ความเกลียดชังที่โกรธแค้นในใจนางควบแน่นมากขึ้นต่อให้ต้องตาย นางก็จะไม่ละเว้นเวินเยวี่ยกับทุกคนในสกุลเวินเด็ดขาด!ห้าสิบทีไม่ขาดไม่เกินแม้แต่ทีเดียวตอนที่เวินฉางอวิ้นเฆี่ยนครั้งสุดท้าย ผิวหนังบนหลังของเวินซื่อปริแตกและมีเลือดไหลนานแล้ว เสื้อผ้าท่อนบนของนางถูกย้อมเป็นสีแดงและเปียกโชกด้วยเลือดเวินฉางอวิ้นมองเลือดที่หยดลงมาจากแส้ แล้วมองเวินซื่อที่ไม่ส่งเสียงแม้แต่น้อย และยืนหยัดไม่ล้มจนถึงแส้สุดท้ายแวบหนึ่งไม่รู้เพราะเหตุใด เขารู้สึกจุกในอกอย่างน่าประหลาดเวินฉางอวิ้นที่ไม่ต้องการอยู่ดูอีก โยนแส้ให้คนรับใช้ หลังจากขมวดคิ้ว กล่าวทิ้งท้ายประโยคหนึ่ง “เจ้าลองพิจารณาตัวเองอยู่ที่นี่ให้ดี” จากนั้นก็พาคนรับใช้ไปจากโถงบรรพชนแล้วทันทีที่เขาไป

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-19
  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 13

    หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม เวินซื่อก็มายืนอยู่ในห้องทรงพระอักษรของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันการเข้าวังหลวงของนาง สามารถกล่าวได้ว่าเรียบง่ายและสบายมากเพราะในมือของนางยังมียันต์คุ้มภัยอีกชิ้นที่ท่านแม่เหลือไว้ให้นาง…นั่นก็คือป้ายคำสั่งที่อดีตฮ่องเต้ประทานชาติที่แล้วป้ายคำสั่งชิ้นนี้ถูกบ่าวไพร่ที่คอยรับใช้ข้างกาย หรือก็คือชุนเซียงขโมยไปให้เวินเยวี่ย จนทำให้นางจนหนทางโชคดีที่นางเกิดใหม่ในชาตินี้ ป้ายคำสั่งยังไม่ถูกขโมยดังนั้นนางจึงสามารถอาศัยป้ายคำสั่งของอดีตฮ่องเต้ มายืนอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้หนุ่มองค์นี้ “หม่อมฉันเวินซื่อ ถวายบังคมฝ่าบาท”“เวินซื่อ? เราจำได้ว่าเจ้าคือลูกสาวคนที่ห้าของเจิ้นกั๋วกงใช่หรือไม่?”ฮ่องเต้ที่นั่งอยู่ด้านหลังของโต๊ะทรงพระอักษรวางฎีกาลง แล้วมองเวินซื่อที่คุกเข่าอยู่บนพื้นแวบหนึ่งฮ่องเต้องค์นี้คือพระราชโอรสองค์ที่เก้าของอดีตฮ่องเต้ ขณะขึ้นครองราชย์มีพระชนมายุเพียงสิบเอ็ดชันษา ต่อให้เป็นปัจจุบันก็มีพระชนมายุเพียงสิบห้าชันษาแม้อายุเท่ากับเวินซื่อ แต่ความน่าเกรงขามบนร่างกายที่สวมชุดมังกรของเขาทำให้ไม่สามารถมองข้าม และถึงขั้นให้ความรู้สึกกดขี่อย่างคลุมเครือเวินซื่

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-19

บทล่าสุด

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 100

    ในฐานะบุตรสาวแห่งภรรยาเอกแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง เวินซื่อย่อมรู้จักของเหล่านี้อยู่แล้วและนางไม่เพียงแต่รู้จักเท่านั้น แต่เมื่อก่อนยังเคยใช้บ่อย ๆ อีกด้วยเพราะหลังจากที่มารดาล่วงลับไป จวนเจิ้นกั๋วกงก็มีนางเป็นบุตรสาวคนเดียว ดังนั้นในเวลานั้นเมื่อเวินเฉวียนเซิ่งได้รับสิ่งใดมาก็ตาม ก็จะมอบให้กับนางโดยตรงแต่ต่อมาเมื่อมีเวินเยวี่ยเข้ามาในสกุลเวินเวินเยวี่ยแค่เอ่ยคำเดียวว่าชอบ ปริมาณยาหยกหิมะที่ส่งมาที่ห้องนางก็ลดลงจากสามขวด สองขวด หนึ่งขวด จนสุดท้ายก็ไม่เคยได้รับมันอีกเลยในเวลานั้นเวินซื่อที่ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลยก็วิ่งไปหาเวินเฉวียนเซิ่งโดยตรงเพื่อถามบิดาของตนว่า ทำไมถึงมอบยาหยกหิมะแก่เวินเยวี่ย แต่นางกลับไม่มีสักขวดเลย?เวลานั้น ‘บิดาแสนดี’ พูดว่าอย่างไรนะ?เวินซื่อลองนึกดูสักครู่ใช่แล้ว ตอนนั้นเขาขมวดคิ้วพร้อมกับพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เพราะนางเป็นน้องสาวของเจ้า นางต้องลำบากลำบนมากมายตั้งแต่เด็ก เจ้าเป็นพี่สาวจะยอมเอื้อเฟื้อหน่อยไม่ได้หรือ?”ด้วยคำว่า ‘พี่สาว’ นำหน้า เวินซื่อจึงต้องยอมแม้ว่าในใจจะรู้สึกคับข้องเพียงใดก็ตามนางในเวลานั้นยังมีความคิดอย่างไร้เดียงสา...ช่างมันเถอะ

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 99

    เวินหย่าลี่ที่แน่ใจแล้วว่าโจรที่ขโมยยาหยกหิมะไปคือเวินซื่อโกรธจัดจนด่าทอเสียงดัง...“โชคดีที่นางได้รับการแต่งตั้งจากฝ่าบาทให้เป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ฝูหมิงอะไรไปบวชชีที่อารามแม่ชี อ้างว่ากำลังฝึกบำเพ็ญสวดขอพร ผลปรากฏว่าได้เรียนรู้วิธีลักเล็กขโมยน้อยแทน อับอายขายหน้าเป็นที่สุด!”“พี่ใหญ่พูดถูกจริง ๆ ทำเรื่องอัปยศอดสูเช่นนี้ สมควรแล้วที่จะถอดแซ่เวินออกจากนาง ไม่ให้นางกระทำการในนามของสกุลเวินอีกในอนาคต เพื่อไม่ให้ชื่อเสียงของจวนเจิ้นกั๋วกงต้องแปดเปื้อนเสียหาย”“ท่านแม่ ไม่ใช่เวินซื่อ...”ชุยเส้าเจ๋อไม่นึกเลยว่าเวินหย่าลี่จะสงสัยเวินซื่อโดยไม่ลังเลแม้แต่นิดเขาเอ่ยปากอย่างยากลำบาก คิดว่าควรล้างมลทินให้เวินซื่อสักหน่อยถึงจะถูกแต่พูดไปเพียงไม่กี่คำ กลับพูดต่อไปไม่ได้ขึ้นมาอย่างกะทันหันถ้าจะล้างมลทิน เขาก็ต้องบอกมารดาสิว่า ยาหยกหิมะสามขวดนั่นเขามอบให้น้องหญิงเยวี่ยเอ๋อร์ไปหมดแล้ว?หากมารดาของเขานึกว่าน้องหญิงเยวี่ยเอ๋อร์ยุยงแล้วเขาจะทำอย่างไร?มารดาของเขาจะไม่หันกลับมาด่าทอน้องหญิงเยวี่ยเอ๋อร์เหมือนกับที่ด่าทอเวินซื่อในตอนนี้หรือ?อาจเป็นไปได้ด้วยซ้ำว่าพอรู้เรื่องนี้แล้วต่อไปมารดาของเ

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 98

    ยาหยกหิมะนี้เป็นของเชื้อพระวงศ์ใช้กันในวัง ขวดเล็ก ๆ เพียงขวดเดียวก็มีมูลค่าสูงมากครอบครัวขุนนางธรรมดาและประชาชนทั่วไปไม่สามารถใช้ได้ นอกจากเหล่านางสนมจะพระราชทานเป็นรางวัลให้เท่านั้น ครอบครัวขุนนางระดับล่างและเหล่านางในถึงจะมีสิทธิ์ใช้เวินหย่าลี่อาศัยบารมีพี่ใหญ่ของนาง บวกกับสามีในฐานะจงหย่งโหวซึ่งในมือกุมอำนาจที่แท้จริง ดังนั้นไทเฮาจึงเรียกนางเข้าวังอยู่เป็นครั้งคราว ประทานของอย่างยาหยกหิมะอยู่ไม่น้อยทั้งสามขวดนี้คือของดีที่องค์ไทเฮาได้ประทานให้นาง เมื่อตอนที่นางเข้าวังคราวก่อนแม้แต่เวินหย่าลี่เองก็ตัดใจใช้มันไม่ลง ถึงได้นำยาหยกหิมะทั้งสามขวดไปเก็บไว้ในห้องเก็บของแต่สิ่งที่นางนึกไม่ถึงก็คือ ยาหยกหิมะทั้งสามขวดถูกเก็บเข้าไปในตอนเช้า ตอนบ่ายก็ถูกลูกชายของนางส่งไปที่จวนเจิ้นกั๋วกงทั้งหมด ปรากฏอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งของเวินเยวี่ยชุยเส้าเจ๋อก็รู้ว่ามารดาของเขาห่วงแหนยาหยกหิมะนั่นเพียงใด แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกใครใช้ให้เขาพูดผิดไปที่จวนเจิ้นกั๋วกงในวันนั้น ทำให้น้องหญิงเยวี่ยเอ๋อร์โกรธอยู่หลายวัน ไม่ว่าจะเอาอกเอาใจเพียงใดเพียงใดก็ไม่หายพอดีในตอนนั้นได้ยินมารดาของเขาพูดถึงยาหยกห

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 97

    “แหกปากอะไร มีผีที่ไหนกันเล่า?”ชุยเส้าเจ๋อเกาใบหน้าและลำคอของตัวเอง พลางสวมเสื้อคลุม ดุด่าสาวใช้คนนั้นด้วยความหงุดหงิด“ไม่ใช่เจ้าค่ะ ท่านซื่อจื่อ บนหน้าของท่าน เป็น...เป็นอะไรไป?!”หลังจากสาวใช้ตระหนักว่าที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่ผีที่ใช้เสียงของชุยเส้าเจ๋อ แต่เป็นซื่อจื่อของพวกนางเอง สีหน้าของนางก็ยิ่งทวีความหวาดกลัวทันที“บนหน้าของข้าหรือ?”ชุยเส้าเจ๋อที่ยังไม่รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นขมวดคิ้วด้วยความสับสน เมื่อสาวใช้เอากระจกทองแดงมาอยู่ตรงหน้าเขา มองเห็นใบหน้าที่โชกเลือดอยู่ในกระจกนั้น ชุยเส้าเจ๋อก็หน้าถอดสีทันที“นี่มันเรื่องอะไรกัน? เกิดอะไรขึ้นกับใบหน้าของข้า?!”ใบหน้าที่เคยสง่างามหล่อเหลา ตอนนี้ไม่เพียงแต่เต็มไปด้วยเลือดเท่านั้น แต่ยังบวมแดง บวมจนแทบจะเหมือนหัวหมูอยู่แล้วและไม่ใช่แค่ใบหน้าของเขาเท่านั้น แต่รวมถึงคอ มือ และเท้าทั้งสองของเขา จนถึงขั้นทั่วร่างกายล้วนอยู่ในสภาพเดียวกับใบหน้าเมื่อดูอย่างถี่ถ้วน บริเวณที่มีคราบเลือดเหล่านั้นมากที่สุดชัดเจนว่าเป็นบริเวณที่เขาเกาอย่างแรงเมื่อครู่!ชุยเส้าเจ๋อตื่นตระหนกในทันที “ยังมัวยืนอึ้งอยู่ตรงนี้ทำไมเล่า ยังไม่รีบไปตามหมอมาให้ข้

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 96

    “ใช่แล้วท่านอ๋อง ลงมาเร็วเข้า รีบขึ้นรถไปพูดคุยกับธิดาศักดิ์สิทธิ์ พัฒนาความสัมพันธ์หน่อยสิพ่ะย่ะค่ะ”เป่ยเฉินหยวนที่ถูกทั้งสองไล่ลงจากม้า “?”“พวกเจ้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไรกันอยู่?”เขาขมวดคิ้วกล่าวว่า “อู๋โยวและอาจารย์ของนางนั่งอยู่บนรถม้าด้วยกัน แล้วข้าจะเข้าไปร่วมสนุกอะไรด้วย?”เฮ้อ!ลืมเรื่องนี้ไปเลยรู้อย่างนี้จะเตรียมรถม้าเพิ่มไว้อีกหนึ่งคัน คันหนึ่งสำหรับม่อโฉวซือไท่คนเดียว อีกคันหนึ่งสำหรับท่านอ๋องของพวกเขากับธิดาศักดิ์สิทธิ์ถึงจะถูก!เกาเย่าและสหายคิดไว้เป็นอย่างดี แต่กลับไม่คิดว่าต่อให้มีรถม้าเพิ่มอีกคัน เวินซื่อก็จะไม่นั่งกับเป่ยเฉินหยวนตามลำพัง เพราะถึงอย่างไรแล้วต่อให้พวกเขาสองคนมีจิตใจบริสุทธิ์ แต่คนอื่น ๆ จะไม่คิดเช่นนี้ดังนั้นยามใดควรหลีกเลี่ยงความสงสัยก็หลีกเลี่ยงดีกว่าอย่างน้อยนี่คือสิ่งที่เวินซื่อคิดหลังจากที่เป่ยเฉินหยวนได้ม้าคืนมา ก็นำกองทัพธงดำไปส่งเวินซื่อและม่อโฉวซือไท่เวินซื่อหมอบอยู่ข้างหน้าต่างรถ มองดูถนนหนทางที่พลุกพล่านข้างนอกไปตามทางเนื่องจากวันนี้เป่ยเฉินหยวนมีปัญหามากพออยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อครู่นางจึงไม่ได้พูดถึงการไปเดินเล่นหรืออะไรท

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 95

    “ธิดาศักดิ์สิทธิ์ เป็นข้าน้อยที่ตามใจมากเกินไป จึงทำให้ลูกชายของข้าน้อยเอาแต่ใจและไม่รู้จักคิดถึงเพียงนี้ ธิดาศักดิ์สิทธิ์โปรดให้อภัยด้วย ต่อไปข้าน้อยจะอบรมสั่งสอนอย่างเข้มงวด ไม่สร้างปัญหาใด ๆ แก่องค์ธิดาศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป”น้ำเสียงของจงหย่งโหวจริงจังซ้ำยังแฝงการตำหนิตัวเองเล็กน้อยเห็นได้ชัดว่าเขาตระหนักดีว่า ภรรยาและบุตรชายของตัวเองทำกับเวินซื่อเกินไปเพียงใดเมื่อเห็นจงหย่งโหวแสดงท่าทีเช่นนี้ออกมา ต่อให้เวินซื่อจะเกลียดชังชุยเส้าเจ๋อมากสักแค่ไหนก็ตาม นางก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเพราะหากจะว่าไปแล้ว เมื่อก่อนนี้คนที่ดีกับนางมากที่สุดในจวนจงหย่งโหว ก็เป็นท่านโหวผู้นี้ที่ปกติดูไม่เป็นมิตรนัก แต่ในเวลาส่วนตัวกลับเป็นมิตรเป็นอย่างมาก“ท่านโหวลุกขึ้นเถิด ความผิดของผู้อื่นไม่เกี่ยวกับท่าน ข้าเองก็ไม่เคยนึกตำหนิท่านโหวมาก่อนเลย ดังนั้นท่านโหวไม่จำเป็นต้องตำหนิตัวเอง”“สำหรับชุยซื่อจื่อ...”เวินซื่อเหลือบมองชุยเส้าเจ๋อที่ใบหน้ายังคงเต็มไปด้วยความอัปยศและขุ่นเคือง นางเอ่ยอย่างราบเรียบ “ข้ากับเขามีอุปสรรคด้านการสื่อสาร ไม่สามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนกันได้ รบกวนท่านโหวช่วยบอกเขาว่า ต่อไปอย่าใช้คำว

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 94

    เวินซื่อหลุบตาลงมองเวินจื่อเฉินที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้านาง ดวงตากระตุกเล็กน้อย ก่อนจะเบือนสายตาออกไปคนอื่น ๆ ก็มองไปที่เวินจื่อเฉินด้วยความประหลาดใจเช่นกันเวินจื่อเยวี่ยถึงกับขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ “พี่รอง?”“เจ้าสาม ยังจำคำพูดที่ท่านพ่อต้องการให้พวกเราถ่ายทอดได้ใช่ไหม?”เวินจื่อเฉินคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ตัวตรงเรียบร้อย เขาพูดโดยไม่เหลียวหลัง “พวกเจ้าเพิ่งพูดกับน้องห้าชัดเจนว่าอย่ากระทำการในนามของสกุลเวินอีกต่อไป ซ้ำยังบอกนางด้วยว่าห้ามใช้แซ่เวินอีก ดังนั้นตอนนี้น้องห้าจึงมายืนอยู่ตรงหน้าพวกเราในฐานะธิดาศักดิ์สิทธิ์ ที่ควรสำเหนียกตัวตนให้ดีไม่ใช่พวกเราหรอกหรือ?”คำพูดของเวินจื่อเฉินทำให้ทั้งเวินจื่อเยวี่ยและเวินเยวี่ยเป็นใบ้พูดไม่ออก ไม่มีใครสามารถโต้แย้งได้หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เวินจื่อเยวี่ยก็ค่อย ๆ หันร่างไป ก่อนจะคุกเข่าลงต่อเวินซื่อ“เวินจื่อเยวี่ย...คำนับธิดาศักดิ์สิทธิ์”แตกต่างจากการสีหน้าท่าทางที่เด็ดเดี่ยวของเวินจื่อเฉินเวลาที่เวินจื่อเยวี่ยพูดนั้นสายตายิ่งเยือกเย็นราวกับจุ่มลงในน้ำแข็ง“ทำไม พวกเจ้าทั้งสามไม่ยอมรับสถานะของธิดาศักดิ์สิทธิ์หรือ?”เป่ยเฉินหยวน

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 93

    หลังจากพูดจบ ชุยเส้าเจ๋อถึงได้รู้ตัวว่าดูเหมือนจะพูดมากเกินไปหน่อยเขามองไปยังเวินซื่อโดยสัญชาตญาณ ราวกับคิดว่านางเจ็บปวดกับคำพูดของตัวเองแต่เวินซื่อกลับไม่มีการแสดงออกใด ๆ“จวนจงหย่งโหววิเศษอะไรเช่นนี้!”ม่อโฉวซือไท่สีหน้าเย็นชาเวินจื่อเฉินโกรธจัดจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันสายตาของเวินเยวี่ยภาคภูมิใจจนสุดจะเปรียบเปรย มองดูเวินซื่อ แล้วมองไปที่ชุยเส้าเจ๋อในที่สุดเจ้าโง่คนนี้ก็รู้ว่าต้องเลือกใครส่วนเวินจื่อเยวี่ยที่อยู่ข้าง ๆ ก็ยิ้มเยาะพูดขึ้นมาประโยคหนึ่ง “ถูกผู้อื่นรังเกียจถึงเพียงนี้ จะโทษใครได้?”“เจ้าสาม เจ้าหุบปากเสีย”เวินจื่อเฉินถลึงตาใส่เขาแต่เวินจื่อเยวี่ยกลับไม่ฟังเขาเลย ซ้ำยังย้อนถามว่า “ข้าพูดผิดไปหรือ? วันนี้นางมาถึงจุดนี้แล้ว ถูกขับไล่ออกจากสกุลเวิน ถูกท่านพ่อถอดแซ่ ถูกถอนหมั้น ถูกหยามหน้า...ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะนางก่อกรรมทำเข็ญมากเกินไปในอดีต สมควรได้รับมันแล้วหรอกหรือ?”“ข้าบอกให้เจ้าหุบปาก!”เวินจื่อเฉินตะคอกด้วยความโกรธออกมาทันที อารมณ์ที่ปะทุขึ้นมาของเขาสยบเวินจื่อเยวี่ยลงได้ในที่สุดแต่เวินจื่อเยวี่ยแค่หุบปากลง เบือนใบหน้าอึมครึมชั่วร้ายออกไปอีกทาง“หยา

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 92

    จู๋เยวี่ยที่หลบซ่อนอยู่ในมุมลับ “...”จะให้ปรากฏตัวก็แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้เพราะถึงอย่างไรจากสถานการณ์นี้แค่เห็นก็รู้แล้วว่าไม่สามารถออกไปทำให้เจ้านายเสียเรื่องดังนั้นเมื่อเวินซื่อตะโกนไปรอบ ๆ ก็ไม่มีใครออกมา“ชุยซื่อจื่อ ทีนี้เจ้าเห็นแล้วใช่ไหม ข้าไม่รู้จักจู๋เยวี่ยอะไรนั่นจริง ๆเวินซื่อส่ายหัว ทำท่าทางจริงจังมากม่อโฉวซือไท่ที่ดูอยู่ข้าง ๆ ยังอดเบือนหน้าหนีไม่ได้กลัวว่าตัวเองจะหัวเราะส่งเสียงออกมาชุยเส้าเจ๋อถลึงตาใส่อย่างโกรธเกรี้ยว “เจ้าอย่ามาหลอกข้า! ข้าถูกจู๋เยวี่ยนั่นซ้อมจนบาดเจ็บไปทั้งตัว ขาก็เกือบจะถูกตีจนพิการแล้ว ตอนนี้เจ้ามาบอกว่าไม่รู้จักเช่นนั้นหรือ? เจ้ากำลังหลอกใคร!”“บาดเจ็บไปทั้งตัว? ไหนล่ะ?”เวินซื่อเลิกคิ้วขึ้น “บนตัวชุยซื่อจื่อมีบาดแผลด้วยหรือ?”ชุยเส้าเจ๋อเอ่ยขึ้นทันที “เจ้าดูหน้าข้าสิ! มองบาดแผลบนตัวข้า บนแขนของข้า บน...หือ? บาดแผลของข้าล่ะ?”ชี้ไปที่ใบหน้าของตัวเอง ม้วนแขนเสื้อขึ้นเพื่อเปิดแผลให้นางดู ปรากฏว่ายังพูดไม่ทันจบ ชุยเส้าเจ๋อก็สังเกตเห็นความผิดปกติเขาจดจำได้อย่างชัดเจนว่าตัวเองถูกคนปิดหน้าที่ชื่อจู๋เยวี่ยทุบตีไปทั่วร่างจนถึงตอนนี้เขา

DMCA.com Protection Status