เมื่อเวินฉางอวิ้นเดินขึ้นมาบนปะรำพิธี สายตาทอดมองไปที่น้องสาวทั้งสองคน เดิมทียังลังเลอยู่บ้างแต่เมื่อสบสายตาคาดหวังของเวินเยวี่ย เขาก็คลายหัวคิ้วในพริบตาหัวเราะอย่างไม่มีทางเลือกช่างเถิด หากจะโทษก็ได้แต่โทษน้องห้าที่ไม่ได้รับความชื่นชอบเองใครใช้ให้นางมีนิสัยอิจฉาริษยา ไม่ยอมให้น้องหกเลยสักนิดเล่าดังนั้นเวินฉางอวิ้นจึงไม่ลังเลอีกต่อไป เดินผ่านหน้าเวินซื่อแล้วยื่นดอกไม้ให้เวินเยวี่ยจากนั้นก็เป็นเวินจื่อเฉิน เวินจื่อเยวี่ย เวินอวี้จือ...รวมถึงคนสกุลเวิน ทุกคนต่างก็มอบดอกไม้ให้เวินเยวี่ย ก็เหมือนกับชาติที่แล้ว...เวินซื่อผู้โดดเดี่ยวกับเวินเยวี่ยที่ล้อมรอบไปด้วยดอกไม้สดและคำอวยพรเวินซื่อไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย ถึงอย่างไรนางก็รู้ผลสรุปเช่นนี้มานานแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่คาดหวังใด ๆ อีกต่อไปอย่างแน่นอนหลังจากคนเหล่านั้นก็เป็นชุยเส้าเจ๋อ เทียบกับดอกไม้หนึ่งดอกที่คนอื่นมอบให้แล้ว เขาหอบดอกไม้บานหลากสีสันกำใหญ่เต็ม ๆ ไม่มองเวินซื่อสักแวบเดียว ก่อนจะยัดใส่อ้อมแขนของเวินเยวี่ยโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย“น้องเยวี่ยเอ๋อร์ ดอกฉยงฮวาอวยพรวันเกิด ดนตรีเสียงสวรรค์ห้อมล้อมคว
“ไม่ได้นะ!”“ไม่มีทาง!” แค่คำสาบานเดียวเท่านั้น เดิมที่นึกว่าชุยเส้าเจ๋อน่าจะรับปากได้ แต่ใครก็คิดไม่ถึงว่าชุยเส้าเจ๋อจะมีปฏิกิริยารุนแรงถึงเพียงนั้นสิ่งที่แปลกประหลาดยิ่งกว่านั้นคือ คนที่มีปฏิกิริยารุนแรงเช่นเดียวกันยังมีอีกคน“น้องหก?” พวกเวินฉางอวิ้นมองไปทางเวินเยวี่ยด้วยความประหลาดใจ เวินเยวี่ยมีสีหน้าแข็งทื่อเมื่อตระหนักได้ว่าเมื่อครู่นี้นางยั้งสติไม่อยู่มากเกินไป นางจึงรีบเก็บงำอารมณ์ ฝืนยิ้มมุมปากพลางเอ่ยว่า “ไม่ใช่นะ...คือว่า ข้า...ข้าแค่รู้สึกว่าเงื่อนไขที่พี่หญิงเสนอออกมานี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยเหมาะสมมากนัก หะ...หากต่อไปพี่เส้าเจ๋อเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาเล่า? ดังนั้น พี่หญิงเหลือทางถอยให้ตนเองหน่อยไม่ดีกว่าหรือ?”เวินฉางอวิ้นผู้เป็นพี่ใหญ่ขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกว่าคำพูดนี้ของนางดูแปลกพิกลนิด ๆเวินจื่อเยวี่ยผู้เป็นพี่สามไม่มีปฏิกิริยาอะไรเวินอวี้จือผู้เป็นพี่สี่กลับมองเวินเยวี่ยและมองชุยเส้าเจ๋ออย่างใคร่ครวญ เทียบกับพวกเขาแล้ว เวินจื่อเฉินผู้เป็นพี่รองเชื่อในตัวเวินเยวี่ยโดยสิ้นเชิงว่ามีจิตใจบริสุทธิ์ เขาจึงไม่ได้คิดมากมายเช่นนั้น “พอได้แล้วน้องหก ข้ารู้ว่าเจ้าเป
“พวกท่านกล่าวถูกต้อง ข้าไม่ใช่น้องสาวของข้า และข้าก็ไม่ได้ใจดีเหมือนนาง ทุกคนที่เคยรังแกข้าและเคยเหยียดหยามข้า ข้าจะเอาคืนให้หมด” น้ำเสียงของเวินซื่อเย็นชา นางมองชุยเส้าเจ๋อ จากนั้นก็เอ่ยคำพูดที่ชาติก่อนนางนึกเสียใจนับครั้งไม่ถ้วนที่ไม่อาจเอ่ยออกมาต่อหน้าผู้คนด้วยปากของตัวเอง...“ชุยเส้าเจ๋อ ท่านอยากถอนหมั้นไม่ใช่หรือ? ได้ ข้าตกลง และไม่ต้องให้ท่านตกลงเงื่อนไขใด ๆ ด้วย เพียงแต่ว่าหลังจากนี้ไป ข้าเวินซื่อไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับจวนจงหย่งโหวของพวกท่านอีกต่อไปแล้ว!”เมื่อสิ้นคำพูดของนาง ทั่วทั้งงานก็เงียบกริบแม้แต่ชุยเส้าเจ๋อก็อดตกตะลึงไม่ได้ ยะ....ยอมตกลงเช่นนี้เลย?เขานึกว่าเรื่องการถอนหมั้นในวันนี้จะไม่มีทางราบรื่นเป็นอันขาด เขานึกว่าเวินซื่อคงไม่ยินยอมง่าย ๆนึกว่าเวินซื่อจะตามตื๊อ จะร้องไห้โวยวาย...ก่อนจะมาชุยเส้าเจ๋อเคยคิดถึงความเป็นไปได้มากมาย แต่สิ่งเดียวที่เขาไม่เคยคิดก็คือเวินซื่อจะยอมตกลงง่ายดายเช่นนี้จริง ๆไม่สิ ก็ไม่ถือว่าง่ายดาย นางยังตบเขาหนึ่งฉาดด้วย เมื่อคิดถึงตรงนี้ ชุยเส้าเจ๋อที่รู้สึกเสียหน้าก็ทำหน้าเคร่งขรึมทันที เขาลูบแก้มที่แสบร้อนของตัวเอง
เวินฉางอวิ้นแสดงสีหน้าที่ไม่เห็นด้วยกฎประจำตระกูลของสกุลเวินไม่ใช่แส้ทั่วไป แต่เป็นแส้เหล็กที่สั่งทำพิเศษ เฆี่ยนตีห้าสิบที ชายวัยกลางคนยังต้องนอนพักสิบวันถึงครึ่งเดือน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนาง?ในดวงตาของเวินเยวี่ยที่ยืนอยู่ข้างๆ เต็มไปด้วยความสุขคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเวินซื่อจะรนหาที่ตายเอง!นางต้องลองคิดดูว่า จะให้ท่านพ่อตอบตกอย่างไรดี แค่ท่านพ่อตอบตกลง เฆี่ยนห้าสิบที สามารถทำให้เวินซื่อเหลือแค่ครึ่งชีวิตแน่นอน!แต่สิ่งที่เวินเยวี่ยยิ่งคาดคิดไม่ถึงคือ นางไม่จำเป็นต้องลงมือ ตอนที่เวินเฉวียนเซิ่งถามเวินซื่อ นางกลับรนหาที่ตายเองอีกครั้ง“เจ้าเอาจริงหรือ?”เวินเฉวียนเซิ่งก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าเวินซื่อจะเป็นคนเสนอขอรับโทษเอง อีกทั้งยังเป็นการลงโทษที่หนักเช่นนี้เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย นึกถึงอุบายที่เวินซื่อใช้ชิงความโปรดปรานในยามปกติ เขาหรี่ตาแล้วเตือน“ข้าเกลียดคนที่เล่นละครต่อหน้าข้าที่สุด”เมื่อเวินซื่อเงยหน้าก็ประสานกับสายตาที่น่ารังเกียจของเขา นางหัวเราะเบาๆ ทีหนึ่ง ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยการหัวเราะเยาะตัวเอง “ข้าต้องทำอย่างไรจึงจะไม่ใช่คนที่แสร้งเล่นละครในสายตาท่านพ่อ?” คือต้อง ‘เชื
นางใช้ร่างกายที่ผอมบางรับแส้ที่อยู่ข้างหลังทั้งเช่นนี้เวินฉางอวิ้นก้มมอง พลางเฆี่ยนตีอย่างไร้ความปรานี ราวกับต้องการเฆี่ยนกระดูกของเวินซื่อให้แหลกทั้งร่างเวินซื่อรู้สึกถึงความเจ็บแล้วแต่น่าเสียดาย ความเจ็บบนร่างกายไม่สามารถเทียบกับความเจ็บในก้นบึ้งหัวใจดังนั้นแส้ของเวินฉางอวิ้นไม่เพียงไม่สามารถเฆี่ยนกระดูกของเวินซื่อแหลก กลับกันยิ่งทำให้ความเกลียดชังที่โกรธแค้นในใจนางควบแน่นมากขึ้นต่อให้ต้องตาย นางก็จะไม่ละเว้นเวินเยวี่ยกับทุกคนในสกุลเวินเด็ดขาด!ห้าสิบทีไม่ขาดไม่เกินแม้แต่ทีเดียวตอนที่เวินฉางอวิ้นเฆี่ยนครั้งสุดท้าย ผิวหนังบนหลังของเวินซื่อปริแตกและมีเลือดไหลนานแล้ว เสื้อผ้าท่อนบนของนางถูกย้อมเป็นสีแดงและเปียกโชกด้วยเลือดเวินฉางอวิ้นมองเลือดที่หยดลงมาจากแส้ แล้วมองเวินซื่อที่ไม่ส่งเสียงแม้แต่น้อย และยืนหยัดไม่ล้มจนถึงแส้สุดท้ายแวบหนึ่งไม่รู้เพราะเหตุใด เขารู้สึกจุกในอกอย่างน่าประหลาดเวินฉางอวิ้นที่ไม่ต้องการอยู่ดูอีก โยนแส้ให้คนรับใช้ หลังจากขมวดคิ้ว กล่าวทิ้งท้ายประโยคหนึ่ง “เจ้าลองพิจารณาตัวเองอยู่ที่นี่ให้ดี” จากนั้นก็พาคนรับใช้ไปจากโถงบรรพชนแล้วทันทีที่เขาไป
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม เวินซื่อก็มายืนอยู่ในห้องทรงพระอักษรของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันการเข้าวังหลวงของนาง สามารถกล่าวได้ว่าเรียบง่ายและสบายมากเพราะในมือของนางยังมียันต์คุ้มภัยอีกชิ้นที่ท่านแม่เหลือไว้ให้นาง…นั่นก็คือป้ายคำสั่งที่อดีตฮ่องเต้ประทานชาติที่แล้วป้ายคำสั่งชิ้นนี้ถูกบ่าวไพร่ที่คอยรับใช้ข้างกาย หรือก็คือชุนเซียงขโมยไปให้เวินเยวี่ย จนทำให้นางจนหนทางโชคดีที่นางเกิดใหม่ในชาตินี้ ป้ายคำสั่งยังไม่ถูกขโมยดังนั้นนางจึงสามารถอาศัยป้ายคำสั่งของอดีตฮ่องเต้ มายืนอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้หนุ่มองค์นี้ “หม่อมฉันเวินซื่อ ถวายบังคมฝ่าบาท”“เวินซื่อ? เราจำได้ว่าเจ้าคือลูกสาวคนที่ห้าของเจิ้นกั๋วกงใช่หรือไม่?”ฮ่องเต้ที่นั่งอยู่ด้านหลังของโต๊ะทรงพระอักษรวางฎีกาลง แล้วมองเวินซื่อที่คุกเข่าอยู่บนพื้นแวบหนึ่งฮ่องเต้องค์นี้คือพระราชโอรสองค์ที่เก้าของอดีตฮ่องเต้ ขณะขึ้นครองราชย์มีพระชนมายุเพียงสิบเอ็ดชันษา ต่อให้เป็นปัจจุบันก็มีพระชนมายุเพียงสิบห้าชันษาแม้อายุเท่ากับเวินซื่อ แต่ความน่าเกรงขามบนร่างกายที่สวมชุดมังกรของเขาทำให้ไม่สามารถมองข้าม และถึงขั้นให้ความรู้สึกกดขี่อย่างคลุมเครือเวินซื่
ช่างเถอะ ไม่ว่าจะเห็นแก่ใคร ตราบใดที่มีโอกาสก็พอ“ฝ่าบาทโปรดชี้แนะด้วยเพคะ”เวินซื่อกล่าวอย่างนอบน้อมฮ่องเต้น้อยลุกขึ้น เดินไปที่ตรงหน้าเวินซื่อ แล้วคืนป้ายคำสั่งให้นาง“ในช่วงสองปีมานี้ ทางใต้ของแคว้นเกิดภัยพิบัติอย่างต่อเนื่อง ราษฎรทุกข์ร้อน เราค่อนข้างกังวล จำเป็นต้องมีใครสักคน คอยอธิษฐานขอพรให้แคว้นและราษฎรจากใจจริง”“หม่อมฉันยินดีเพคะ!”เวินซื่อตอบตกลงทันทีฮ่องเต้น้อยกลับส่ายศีรษะด้วยรอยยิ้ม “เจ้ายินดียังไม่พอ อารามสุ่ยเยว่บนภูเขาหนานที่อยู่นอกเมืองหลวง ผู้ดูแลอารามคือซือไท่ที่มีคุณธรรมและบุญบารมีสูงส่ง ถ้าหากซือไท่ท่านนั้นก็เห็นด้วยเช่นกัน เราจะตอบตกลงเจ้า” “เพคะ ขอบพระทัยฝ่าบาท!”“อย่าเพิ่งด่วนขอบคุณ ถ้าหากซือไท่ไม่เห็นด้วย เราจะไม่อนุโลมเจ้า”กล่าวจบ ฮ่องเต้น้อยก็โบกมือ “ไปเถอะ เรารอข่าวจากเจ้า”สำหรับเวินซื่อ ตอนนี้นางไม่มีทางเลือกอื่นแล้วดังนั้นไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ขอแค่สามารถไปจากสกุลเวิน ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟ นางก็จะลองดูสักตั้งในตอนที่เวินซื่อหมุนกายเตรียมจากไป จู่ๆ ฮ่องเต้น้อยก็เรียกนางอีก“รอก่อน”เวินซื่อหยุดฝีเท้า หันกลับไปมองด้วยความสงสัยเมื่อเห็น
ก่อนหน้านี้ เวินซื่อที่เสียเลือดมากเกินไป คุกเข่าอยู่ในห้องทรงพระอักษรเพียงแค่ครู่เดียวก็เกิดอาการหน้ามืดเล็กน้อยตอนนางลุกขึ้นจะกลับแต่นางอดกลั้นไม่ได้เสียมารยาทต่อหน้าฮ่องเต้ เดิมทีคิดว่าจะไปพักผ่อนในรถม้าสักเดี๋ยว แต่ใครจะรู้ว่าทันทีที่เดินออกจากห้องทรงอักษรพระก็ภาพตรงหน้าก็มือไป เห็นข้างหน้าไม่ชัดเจน ครู่ต่อมาที่เต๋อกงกงอุทานว่า “อ๋องผู้สำเร็จราชการแทน” ก็ชนโดนใครคนหนึ่งอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน?หลังจากถูกประคอง เวินซื่อปลายกัดลิ้นตัวเองทีหนึ่งแรง ๆ เมื่อรู้สึกเจ็บ สมองก็แจ่มชัดขึ้นมากเมื่อเงยหน้าเห็นว่าคนที่ประคองนางเป็นใคร ต่อให้ใบหน้าที่เฉยเมยนั้นจะหล่อเหลาเพียงใด นางยังตกใจจนหัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มผมสีเงินที่เป็นเอกลักษณ์นั่น ทั้งราชวงศ์ต้าหมิงมีใครไม่รู้จัก?นี่ก็คือเทพสงครามที่สังหารผู้คนนับไม่ถ้วน อ๋องผู้สำเร็จราชการแทนแห่งราชสำนัก…เป่ยเฉินหยวน“หม่อมฉันเสียมารยาท อ๋องผู้สำเร็จราชการแทนโปรดอภัยด้วยเพคะ”เวินซื่อรีบยืนตัวตรง คำนับอย่างนอบน้อมแน่นอนว่าสิ่งที่นางกลัวไม่ใช่ฉายาเทพสังหารของอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน อย่างไรเสีย ปัจจุบันราชวงศ์ต้าหมิงสามารถสงบสุขเช่นนี้ ล้
“อืม นอกจากชาวนาผู้เช่าที่ดินแล้ว ให้จ้างองครักษ์เพิ่มด้วย จัดวางไว้ทุกที่ หลังจากนี้ หากเกิดเรื่องทำลายแปลงสมุนไพรแบบคราวก่อนอีก ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็จับตัวส่งทางการได้เลย”“ขอรับ คุณหนูวางใจเถิด บ่าวได้คัดเลือกกลุ่มแรกไว้แล้ว อีกไม่นานก็จะสามารถจัดคนลงไปได้”ประสิทธิภาพในการทำงานของพ่อบ้านหลานนั้นยอดเยี่ยมจริงๆหลังจากฟังเรื่องทั้งหมดแล้ว เวินซื่อก็แสร้งทำเป็นไปที่ห้องครัวเล็ก จากนั้นก็ถือถังใบหนึ่งเดินออกมา“ในนี้คือยาน้ำที่ข้าปรุงขึ้น หลังจากเจือจางแล้วนำไปรดในแปลงสมุนไพรทั้งหมด จะสามารถเพิ่มอัตราการรอดและสรรพคุณทางยาของสมุนไพรได้”ครึ่งหนึ่งของสิ่งที่อยู่ในถังไม้นั้นคือ น้ำทิพย์จากลำธารในมิติของนางเพื่อตบตาผู้คน นางได้ปรุงยาน้ำที่ช่วยรักษาสมุนไพรขึ้นมาจริงๆ เมื่อผสมกับน้ำทิพย์แล้ว ก็กลายเป็นน้ำสีเขียวเข้ม ดูแล้วไม่มีปัญหาใดๆ เลย“ขอรับ คุณหนูวางใจเถิด”ก่อนที่พ่อบ้านหลานจะจากไป เวินซื่อก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงเอ่ยกำชับ “ส่งคนไปจับตาดูความเคลื่อนไหวของจวนเจิ้นกั๋วกง หากมีอะไรผิดปกติให้รีบมารายงานทันที”“ขอรับ!”หลังจากนั้น พ่อบ้านหลานก็ถือถังน้ำนั้นออกไปแทบจะทันทีที่พ่อบ้าน
“คำพูดของเจ้าช่างเหลวไหลสิ้นดี!”เวินฉางอวิ้นมองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา “อะไรคือการมองว่าเจ้าเป็นคนปกติ? พวกเราพี่น้อง ใครบ้างที่ไม่มองว่าเจ้าเป็นคนปกติ? อีกอย่าง ถ้าน้องห้ารังเกียจเจ้าจริง จะดูแลเจ้ามานานขนาดนั้นได้อย่างไร? นางไม่มีความดีความชอบก็ต้องมีความเหนื่อยยากบ้างกระมัง แต่นี่กลับแลกกับความรู้สึกของเจ้าไม่ได้สักนิดเลยหรือ?”“ข้าบอกแล้วว่า ข้าก็ไม่ได้รังเกียจนาง เพียงแต่มันก็แค่นั้น นี่ก็ถือว่าเห็นแก่ที่นางดูแลข้ามานานขนาดนั้นแล้ว”เวินอวี้จือกล่าวอย่างเย็นชา น้ำเสียงราวกับเป็นการให้ทานเวินฉางอวิ้นก็ทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว“เจ้ามัน...เจ้ามันเกินเยียวยาจริงๆ !”ด้วยความโกรธ เวินฉางอวิ้นจึงสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป“พี่ใหญ่ ยาของท่าน...”เวินอวี้จือตะโกนเรียกเขาจากด้านหลังน่าเสียดายที่เวินฉางอวิ้นเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่หันกลับมามองและออกจากเรือนเล็กของเขาไปแล้วเวินอวี้จือถือยาในมือ ขมวดคิ้วเล็กน้อยเขาไม่เข้าใจเขาพูดความจริงทั้งหมดแท้ๆ แต่เหตุใดพี่ใหญ่ถึงต้องคอยช่วยพูดแทนเวินซื่อนั่น?คนที่ควรจะรู้สึกน้อยใจไม่ควรจะเป็นเขาหรอกหรือ?เวินอวี้จือยืนอยู่ที่เดิม คร
เวินอวี้จือกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ข้าแค่ไม่ได้รู้สึกอะไรกับนางเท่านั้น กฎประจำตระกูลของสกุลเวินเรา ก็ไม่ได้มีข้อไหนที่ระบุว่าพวกเราพี่น้องต้องรักใคร่กลมเกลียวกันมิใช่หรือ?”แน่นอนว่าไม่มีกฎประจำตระกูลเช่นนี้แต่เมื่อก่อนน้องสี่ก็ไม่ได้มีท่าทีเช่นนี้กับน้องห้านี่นา?เวินฉางอวิ้นที่รู้สึกว่าอาจจะมีเรื่องเข้าใจผิดอะไรบางอย่าง จึงเอ่ยถามอย่างละเอียด “เป็นเพราะน้องห้าทำอะไร? หรือว่าเจ้าได้ยินอะไรมา?”เวินอวี้จือที่รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย หยุดการกระทำในมืออีกครั้ง“ก็ได้ ในเมื่อพี่ใหญ่อยากรู้ เช่นนั้นข้าก็จะบอกท่าน แต่เรื่องนี้ข้าจะพูดเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ต่อไปอย่าได้พูดถึงเรื่องนี้ต่อหน้าข้าอีก”“ได้ เจ้าพูดมา”เวินฉางอวิ้นพยักหน้ารับเวินอวี้จือจึงกล่าวอย่างเย็นชา “เมื่อก่อนท่าทีที่ข้ามีต่อเวินซื่อนั้นก็ไม่ใช่แบบนี้จริงๆ เพราะตอนนั้นข้าป่วยบ่อย นางก็คอยดูแลข้าอยู่ที่บ้านเป็นประจำ ตามหลักแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคนควรจะดีพอสมควร แต่น่าเสียดาย ที่คนบางคนทำเหมือนจริง แต่ใจกลับไม่จริง”“ใจไม่จริงอะไร?”เวินฉางอวิ้นเอ่ยถามด้วยความสงสัยในตอนนั้นเอง เวินอวี้จือเงยหน้าขึ้นมอ
เวินอวี้จือเงยหน้าขึ้นมองแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้น “ใช่ น้องหกมอบให้ข้าเมื่อสองวันก่อน”เขาเหมือนจะค้นพบอะไรบางอย่าง จึงหันไปถามเวินฉางอวิ้น “พี่ใหญ่ก็ได้รับดอกไม้จากน้องหกเหมือนกันหรือ?”เวินฉางอวิ้นพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรอีกเมื่อเห็นท่าทีเย็นชาของเวินฉางอวิ้นที่มีต่อเวินเยวี่ย เวินอวี้จือก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้น “พี่ใหญ่ น้องหกนางทำผิดพลาดไป แต่นางก็สำนึกผิดจริงๆ แล้ว”เวินฉางอวิ้นมองดูกระถางดอกไม้นั้นแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “อาจจะ”“ไม่ใช่อาจจะ แต่เป็นจริง”เวินอวี้จือหยุดมือที่กำลังทำอยู่ “พี่ใหญ่ น้องหกนางมีจิตใจบริสุทธิ์มาตั้งแต่เกิด ก่อนหน้านี้ก็เติบโตมาจากข้างนอกอีก ไม่รู้ประสีประสา ทำผิดพลาดไปบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา เพียงแค่นางรู้สำนึกผิดและแก้ไขก็พอแล้วมิใช่หรือ? พี่ใหญ่จะถือสาอะไรนางอีกเล่า?”“จิตใจบริสุทธิ์มาตั้งแต่เกิดหรือ?”เวินฉางอวิ้นได้ยินคำพูดนี้ ก็หันไปสบตากับเวินอวี้จือ“น้องสี่ เจ้าคิดว่านางมีจิตใจบริสุทธิ์มาตั้งแต่เกิดจริงๆ หรือ?”เวินฉางอวิ้นจ้องมองเข้าไปในดวงตาของเขาแล้วเอ่ยถามเช่นนี้เวินอวี้จือชะงักไปเล็กน้อยจนแทบสังเกตไม่เห็น จากนั้นก็กล่าวด้วยสีหน
เมื่อเห็นว่าในที่สุดคนก็เข้าใจแล้ว เวินเฉวียนเซิ่งจึงพยักหน้าช้าๆ “อืม ทำตามที่ข้าบอก ตอนนี้อย่าเพิ่งไปยั่วยุเวินซื่อ รอจนถึงเวลาที่เหมาะสม เช่นนั้นแล้วจะไม่มีโอกาสให้เจ้าได้ระบายความแค้นหรือ?”“เจ้าค่ะๆ! ขอบคุณท่านพ่อที่ชี้แนะ!”“อวี้จือ ช่วยเหลือน้องสาวของเจ้าให้ดี เรื่องนี้มอบหมายให้พวกเจ้าสองคนทำร่วมกัน นี่เป็นโอกาสสุดท้าย หากพวกเจ้ายังไปก่อเรื่องอื่นอีก ก็อย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้า”“ขอรับ ท่านพ่อ!”“...”หลังจากที่ออกจากเรือนเล็กของเวินเยวี่ย เวินอวี้จือก็เดินกลับไปพลางคิดเรื่องต่างๆ ไปด้วยในตอนนั้นเอง...“ตุบ!”“โอ๊ย!”“เจ็บเหลือเกิน!”เวินอวี้จือชนเข้ากับคนคนหนึ่ง ร่างกายที่อ่อนแอของเขาก็ล้มลงไปกองกับพื้นทันทีโชคดีที่ไม่ได้ล้มแรงนักเงยหน้าขึ้นมอง ก็พบว่าอีกฝ่ายคือเวินฉางอวิ้น“พี่ใหญ่? ท่านไม่เป็นไรนะ? เมื่อครู่ข้ากำลังคิดอะไรเพลินๆ ไม่ได้มองทาง”เวินอวี้จือลุกขึ้นจากพื้น ยื่นมือไปพยุงเวินฉางอวิ้น“ไม่เป็นไรๆ ข้าก็ไม่ได้สังเกต ไม่ทันระวังจึงชนเจ้าแล้ว น้องสี่ เจ้าไม่ได้เจ็บตรงไหนใช่หรือไม่?”เวินฉางอวิ้นส่ายหน้า ลุกขึ้นยืนจากพื้นอย่างยากลำบากเมื่อเวินอวี้จือมอง
“เป็นไปได้อย่างไร?!”เวินอวี้จือยังคงไม่เชื่อเวินเฉวียนเซิ่งกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ถ้าเจ้าไม่เชื่อ เจ้าก็ไสหัวไปดูที่ดินที่กุยอวิ๋นเองสิ ตอนนี้แปลงสมุนไพรเหล่านั้นถูกปลูกด้วยสมุนไพรใหม่อีกครั้งจนเต็มไปหมดแล้ว”สีหน้าของเวินอวี้จือย่ำแย่ลงในทันทีเดิมทีคิดว่าอย่างน้อยตนเองน่าจะเอาคืนได้บ้างในเรื่องแปลงสมุนไพร แต่คาดไม่ถึงว่าเขาก็ยังคงพ่ายแพ้อยู่ดีหรือว่าเวินซื่อก็มีตำรายาพิษของหมอปีศาจราชันพิษอยู่ในมือ?สีหน้าของเวินเยวี่ยที่อยู่ข้างๆ ก็ดูย่ำแย่เช่นกันเจ้าคนขี้โรคผู้นี้เหตุใดยังคงไร้ประโยชน์เช่นนี้?ก่อนหน้านี้ เพื่อที่จะเอาใจนาง เวินจื่อเยวี่ยจึงนำคำพูดที่เวินอวี้จือพูดกับเขามาบอกนางด้วยเช่นกันตอนนั้นเวินอวี้จือยังพูดอย่างมั่นอกมั่นใจว่า “นอกจากหมอปีศาจราชันพิษจะมาแก้พิษด้วยตนเอง ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีใครสามารถรักษาแปลงสมุนไพรของเวินซื่อได้” แต่ตอนนี้กลับถูกแก้ไขได้อย่างง่ายดาย?หรือว่ารอบตัวเวินซื่อจะมีหมอปีศาจราชันพิษซ่อนตัวอยู่?!เวินเยวี่ยชะงักไปครู่หนึ่งนางครุ่นคิดทบทวนดูว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ แต่หลังจากนั้นก็ส่ายหน้าก็แค่แม่ชีไม่กี่คนที่อยู่ข้างกายเวินซื่อ จะเป็
และยังมีบางส่วนที่เป็นที่ดินที่ซื้อเพิ่มเติมอีกหลังจากที่เวินอวี้จือดูจบแล้ว ก็เงยหน้าขึ้นมองเวินเฉวียนเซิ่งด้วยความสงสัย “ท่านพ่อ เวินซื่อซื้อเมล็ดพันธุ์และต้นกล้าสมุนไพรมากมายขนาดนี้ไปทำไม? นางไม่ได้ปลูกสมุนไพรไว้เต็มที่ดินที่กุยอวิ๋นหมดแล้วหรือ? เหตุใดยังต้องปลูกอีก?”เวินเฉวียนเซิ่งหัวเราะเยาะ “เรื่องแค่นี้ยังดูไม่ออกอีกหรือ? สมองพวกเจ้าสู้เวินซื่อไม่ได้จริงๆ ไม่แปลกใจเลยที่พ่ายแพ้ให้นางครั้งแล้วครั้งเล่า”เวินเฉวียนเซิ่งกล่าวอย่างเย็นชา “ด้วยฐานะและชื่อเสียงของเวินซื่อในตอนนี้ ตำแหน่งธิดาศักดิ์สิทธิ์ของนางอาจจะอาศัยโชคและเรื่องบังเอิญทำให้รุ่งโรจน์ได้ชั่วคราว แต่ไม่มีทางยั่งยืนแน่นอน เพราะว่านางไม่ได้มีวิชาความสามารถพิเศษอะไรจริงๆ ดังนั้น นางจึงต้องคิดหาวิธีอื่นเพื่อรักษาชื่อเสียงธิดาศักดิ์สิทธิ์ของนางไว้”“จากที่ผ่านมาหลายครั้ง เห็นได้ชัดว่าเวินซื่อเลือกที่จะเดินในเส้นทางการแพทย์ อย่างเช่น ธิดาศักดิ์สิทธิ์ใช้วิชาแพทย์ช่วยเหลือผู้คนอะไรทำนองนั้น แต่การที่จะให้วิชาแพทย์เก่งกาจขึ้นอย่างรวดเร็ว มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านการแพทย์นั้นเป็นไปไม่ได้ ต้องใช้เวลาอย่างน้อยห้าถึงหกปีจึงจะ
ในชั่วขณะนั้น เวินอวี้จือเหงื่อกาฬแตกพลั่กแต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกยังดีที่น้องหกไม่เป็นอะไรเวินอวี้จือหันกลับไปมองเวินเฉวียนเซิ่ง ฝืนยิ้มเล็กน้อย “ท่านพ่อโปรดอภัย เป็นลูกที่ได้กลิ่นคาวเลือด จึงพูดออกไปด้วยความตื่นตระหนก”“ไม่ใช่พูดผิด แต่พูดสิ่งที่อยู่ในใจเจ้าออกมากระมัง”เวินเฉวียนเซิ่งแค่นเสียงเย็นอย่าคิดว่าเขาไม่รู้ บุตรชายที่อ่อนแอขี้โรคคนนี้ เป็นบุตรชายที่เย็นชาที่สุดในบรรดาบุตรชายทั้งสี่คนไม่ว่าจะเป็นพี่ชายน้องสาวทั้งหลาย รวมถึงบิดาอย่างเขา ก็ไม่ได้มีความรู้สึกผูกพันอะไรมากนักมีเพียงบุตรสาวคนเล็กคนนี้ที่เขาพาตัวกลับมา เวินอวี้จือกลับใส่ใจบุตรสาวคนเล็กคนนี้เป็นอย่างมากแต่ก็ไม่เป็นไร บุตรชายที่มีร่างกายอ่อนแอเช่นนี้ สำหรับเขาแล้วไม่มีประโยชน์อะไรเลยผู้สืบทอดที่เขาหมายตาไว้มีเพียงคนเดียวเท่านั้นอีกสามคนที่เหลือ ขอเพียงอยู่อย่างสงบก็พอแล้วเวินเฉวียนเซิ่งเดินผ่านเวินอวี้จือเข้าไปนั่งลงจากนั้นก็เรียกองครักษ์ลับออกมา จัดการกับศีรษะของหวังชางแต่ภายในห้องนี้ก็ยังมีร่องรอยของเลือดหลงเหลืออยู่ไม่น้อยดูแล้วก็ยังคงน่าขนลุกอยู่บ้างเวินเยวี่ยรู้
เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเวินเยวี่ย เวินเฉวียนเซิ่งที่เดิมทีไม่คิดจะสนใจ สุดท้ายก็จำต้องนำเงินไปยังที่ว่าการซุ่นเทียนใครจะไปรู้ว่าพอไปถึงที่นั่นแล้ว เห็นยอดรวมของทรัพย์สินที่ขโมยที่ผู้ว่าการซุ่นเทียนคิดออกมา มีมูลค่ามากถึงหนึ่งหมื่นกว่าตำลึง“เจ้าคนสารเลวนั่นมันขโมยอะไรไปบ้าง? เหตุใดถึงได้มากมายขนาดนี้?!”ผู้ว่าการซุ่นเทียนมองเวินเฉวียนเซิ่งด้วยสายตาที่ค่อนข้างซับซ้อนสายตานี้ทำให้เวินเฉวียนเซิ่งรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมาทันทีเป็นจริงดังคาด วินาทีต่อมาก็ได้ยินผู้ว่าการซุ่นเทียนเอ่ยขึ้น “คนผู้นี้ชื่อหวังชาง ก่อนหน้านี้ถูกบุตรสาวคนเล็กของท่านจัดแจงให้ไปเป็นผู้ดูแลร้านที่ร้านเฟิ่งอวิ๋น แต่เมื่อไม่นานมานี้ ร้านเฟิ่งอวิ๋นเปลี่ยนเจ้าของ เจ้าของคนใหม่พบว่าคนผู้นี้ไม่เพียงแต่มีความประพฤติไม่เหมาะสมเท่านั้น ก่อนหน้านี้ก็ยังมีพฤติกรรมทุจริต จึงได้ไล่หวังชางออก ใครจะไปรู้ว่าหวังชางอาศัยความเป็นญาติห่างๆ ของท่านเจิ้นกั๋วกง อาศัยช่วงที่คนของเจ้าของร้านไม่อยู่ ยังคงดื้อด้านอยู่ที่ร้านเฟิ่งอวิ๋นไม่ยอมไป ทั้งยังแอบขโมยเครื่องประดับล้ำค่าไปหลายชิ้น สุดท้ายถูกคนของเจ้าของร้านจับได้ มีทั้งพยานบุ