แชร์

บทที่ 7

ผู้เขียน: จิ้งซิง
ชุยเส้าเจ๋อก้าวเท้าเดินมาทางเวินซื่อ ท่าทางดูเกรี้ยวกราดหมายจะหาเรื่อง

เมื่อมองไปทางด้านหลังของเขาอีกก็เห็นเวินเยวี่ยอ้าปากพูดว่า “อย่าเลย” ด้วยความหวาดกลัว แต่ไม่ได้ทำท่าจะฉุดรั้งชุยเส้าเจ๋อเลยสักนิด

หลังจากที่สบสายตาของเวินซื่อ ดวงตาของนางถึงขนาดฉายแววกระหยิ่มยิ้มย่อง

เห็นได้ชัดว่าการที่นางสามารถยุให้ชุยเส้าเจ๋อออกหน้าเพื่อนางได้ง่าย ๆ นั้นทำให้นางภาคภูมิใจเอามาก ๆ

แต่ว่าน่าเสียดายมาก ยังไม่ทันที่ชุยเส้าเจ๋อจะเดินเข้ามาใกล้เวินซื่อ เสียงทุ้มหนึ่งดังมาจากทางด้านปะรำพิธี...

“เจ้าห้า เจ้าหก ถึงฤกษ์งามยามดีแล้ว ยังไม่รีบมาเตรียมตัวทำพิธีปักปิ่นอีก”

เวินซื่อหันหน้าไปมอง

บนปะรำพิธี บุรุษวัยกลางคนสวมชุดเสื้อคลุมยาวสีเขียวดูสง่าผ่าเผยเปี่ยมไปด้วยความรู้กำลังนั่งอยู่ตำแหน่งประธาน มองพวกนางสองคนด้วยสีหน้าเย็นชา

นี่คือบิดาของนาง เจิ้นกั๋วกงเวินเฉวียนเซิ่ง

เวลานี้ต่อให้ชุยเส้าเจ๋ออยากหาเรื่องนางอีกเพียงใด ก็ได้แต่ถอยหลังไปเท่านั้น

เวินซื่อเดินขึ้นไปบนปะรำพิธีโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง

เมื่อเวินซื่อขึ้นมาบนปะรำพิธีก็ควงแขนนางด้วยใบหน้ายิ้มแย้มราวกับบุปผา จงใจทำตัวสนิทสนม

“พี่หญิงห้า ท่านซ่อมแซมชุดเหตุใดถึงใช้เวลาซ่อมนานเพียงนี้นะ ท่านพ่อรอท่านมาได้สักพักแล้ว”

“ซ่อมแซมชุด?”

เวินเฉวียนเซิ่งเหลือบมองเวินซื่อแวบหนึ่ง

ไม่รอให้เวินซื่อเอ่ยปาก เวินเยวี่ยก็รีรอไม่ไหวเล่าเรื่องที่เวินซื่อตัดชุดพิธีการจนเละเทะออกมา นางกล่าวจบก็ถอนหายใจอีกครั้ง “เฮ้อ ต้องโทษข้าที่ไม่รู้ความ ไม่อาจเกลี้ยกล่อมพี่รองได้ ไม่เช่นนั้นพี่หญิงห้าก็คงไม่โมโหจนตัดชุดพิธีการเสียเละเทะ”

น่ารำคาญจะตายอยู่แล้ว จะต้องใช้เรื่องนี้มาว่าร้ายนางให้ได้ใช่หรือไม่?

เวลานี้เวินซื่อไม่อยากเอ่ยสักครึ่งคำแล้ว

หลังจากปล่อยให้เวินเฉวียนเซิ่งจ้องมองนางอยู่หลายวินาที นางก็เอ่ยอย่างหมดความอดทนว่า “ตกลงพิธีปักปิ่นนี้ยังจะเริ่มอีกหรือไม่? หากท่านพ่อกับน้องหกไม่อยากให้ข้าทำต่อ เช่นนั้นข้าไสหัวลงไปเองได้หรือไม่?”

เมื่อเวินซื่อเอ่ยปากระเบิดอารมณ์อย่างเหนือความคาดหมาย คิ้วเรียวที่งดงามก็ขมวดแน่น สีหน้าดูรำคาญใจมาก

ขนาดเวินเยวี่ยที่ได้ยินคำพูดนี้ของนางก็ยังตกตะลึงไปครู่หนึ่ง

คิดไม่ถึงเลยว่าเวินซื่อจะใจกล้าถึงเพียงนี้ นางกล้าพูดจาเช่นนี้กับท่านพ่อตั้งแต่เมื่อไร?

นางไม่กลัวท่านพ่อไล่นางลงไปจริง ๆ หรือ?

อย่างไรก็ตามเวินซื่อไม่กลัวเลยจริง ๆ

สำหรับสตรีทุกคนในสมัยราชวงศ์ต้าหมิง พิธีปักปิ่นเป็นหนึ่งในพิธีที่สำคัญอย่างยิ่งในชีวิตของพวกนาง

ดังนั้นก่อนพิธีปักปิ่น สตรีทุกนางต่างก็ตั้งตารอวันนี้มาก

แต่บางทีอาจเป็นเพราะพิธีปักปิ่นในชาติก่อนได้มอบความอัปยศที่ยากจะลบเลือนให้เวินซื่อ ทำให้หลังจากที่นางยืนอยู่บนปะรำพิธีเมื่อครู่นี้ ในใจถึงมีความรู้สึกต่อต้านและความฉุนเฉียวที่ยากจะอธิบายอยู่ตลอด

“ไม่จำเป็นต้อง ทำพิธีต่อไป”

หลังจากที่เวินเฉวียนเซิ่งเก็บสายตากลับมาแล้ว เขาก็เอ่ยอย่างเรียบนิ่งว่า “ในเมื่อไม่มีชุดพิธีการ เช่นนั้นก็เริ่มเช่นนี้เลย ก่อเรื่องอันใดไว้ก็ต้องรับผลนั้นเอง”

เห็นได้ชัดว่าเขาคิดว่าคำพูดที่เวินซื่อบอกว่าจะไสหัวลงไปนั้นไม่ใช่การไสหัวไปจริง ๆ แต่ว่าอยากหลีกหนี

แต่ในเมื่อใจกล้ามากจนกล้าทำตัวโอหังต่อหน้าเขา เช่นนั้นก็ต้องให้บทเรียนดี ๆ

ให้นางได้เจอความลำบากบ้าง อับอายขายหน้าบ้าง ต่อไปจะได้ว่าง่ายเชื่อฟัง

เวินเฉวียนเซิ่งคิดเช่นนั้น ก่อนจะส่งสัญญาณให้ผู้ประกาศในงานพิธีดำเนินการต่อไป กล่าวเปิดพิธีอย่างเรียบง่าย ขอบคุณแขกเหรื่อที่มาเยือน จากนั้นก็ประกาศเริ่มต้นพิธีปักปิ่น

เนื่องจากฮูหยินเจิ้นกั๋วกงสิ้นไปแล้ว สกุลเวินไร้นายหญิง แขกสำคัญย่อมเป็นท่านอาหญิงของพวกเวินซื่อ หรือก็คือเวินหย่าลี่น้องสาวของเวินเฉวียนเซิ่งมาสวมกวานให้พวกนางสองคน

“อุ๊ย ดูเยวี่ยเอ๋อร์ของพวกเราสิเติบโตมาได้สดใสมีชีวิตชีวาจริง ๆ หลังจากพิธีปักปิ่นนี้ไม่รู้ว่าจะมีคนดี ๆ มาสู่ขอจนเหยียบธรณีประตูหักมากเพียงใด”

“แต่น่าเสียดายที่เส้าเจ๋อของบ้านเราหมั้นหมายไว ไม่เช่นนั้นไฉนเลยโชคดีเช่นนี้ยังจะไปถึงตาผู้อื่นได้?”

เวินหย่าลี่เข้ามาพูดอย่างมีนัยแอบแฝง ยิ้มตาหยีพลางจับมือน้อย ๆ ของเวินเยวี่ยขึ้นมาพลางพูดโดยไม่สนใจใคร ไม่มองแม้กระทั่งเวินซื่อที่อยู่ทางด้านข้างเลยสักแวบเดียว

คนที่อยู่ข้างล่างได้ยิน ยังมีใครฟังความนัยของคำพูดของนางไม่ออกอีกบ้าง?

บุตรชายของเวินหย่าลี่คือใคร?

นั่นก็คือชุยเส้าเจ๋อจากจวนจงหย่งโหวไม่ใช่หรือไร

ทุกคนล้วนทราบว่าชุยเส้าเจ๋อกับเวินซื่อเป็นคู่รักกันมาตั้งแต่เล็ก ตกลงหมั้นหมายกันเมื่อหลายปีก่อนแล้ว

ดังนั้นคำพูดของเวินหย่าลี่ที่ว่าหมั้นหมายไว นั่นก็หมายถึงเวินซื่อไม่ใช่หรือไร?

“ก็จริงนะ เมื่อก่อนดูไม่ออกเลยว่าเวินซื่อผู้นี้จะมีจิตใจชั่วช้าถึงเพียงนี้”

“อิจฉาแม้แต่น้องสาวของตนเอง ช่างใจแคบเสียจริง”

“เมื่อก่อนได้ยินว่านางเย่อหยิ่งแผลงฤทธิ์ในบ้าน รังแกคุณหนูหกอยู่บ่อย ๆ ว่ากันว่ายังเคยผลักคุณหนูหกตกน้ำด้วย”

“อายุยังน้อยก็ใจคอโหดร้ายจริง ๆ!”

“ตอนนี้รู้โฉมหน้าที่แท้จริงของนางแล้ว เกรงว่าคนของจวนจงหย่งโหวคงจะนึกเสียใจอย่างยิ่งแล้ว”

“ใช่แล้ว ไม่ได้ยินที่ฮูหยินจงหย่งโหวพูดเมื่อครู่นี้หรือ? ตอนนี้นางรังเกียจเวินซื่อแล้ว เกรงว่าแทบอยากจะถอนหมั้นเต็มแก่แล้ว”

“...”

เวินเยวี่ยเอ่ยโดยที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความขัดเขินและกระดากอายว่า “ท่านน้าอย่าพูดเช่นนี้เลย อันที่จริงข้าเห็นท่านพี่เส้าเจ๋อเป็นเหมือนพี่ชายแท้ ๆ มาโดยตลอด แม้พี่หญิงห้าจะทำตามอำเภอใจไปบ้าง แต่นางชอบท่านพี่เส้าเจ๋อมาตลอด คิดว่าพี่หญิงห้าจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อท่านพี่เส้าเจ๋ออย่างแน่นอน เช่นนี้ต่อไป พวกเขาจะได้เป็นคู่สามีภรรยาที่มีความสุข”

ฟังดูสิ ช่างเป็นคนดีเข้าอกเข้าใจผู้อื่นมากเพียงใด

“เจ้าห้าฟังสิ ฟังคำพูดเหล่านี้ของน้องสาวเจ้า เป็นเด็กจิตใจดีมากเพียงใด? วัน ๆ เจ้าอยู่บ้านไม่ได้ทำอะไรก็เรียนรู้จากน้องสาวเจ้าให้ดีไม่ได้หรือ?”

คำพูดของเวินหย่าลี่ปะทะเข้ากับความคิดภายในใจของเวินซื่อ

เวินหย่าลี่อยากเล่นงานนางต่อหน้าผู้คนอย่างเห็นได้ชัด

แต่เวินซื่อกลับรู้สึกขบขันเท่านั้น

“พอได้แล้ว อย่าให้เสียฤกษ์”

เวินเฉวียนเซิ่งรู้ว่าเวินหย่าลี่ไม่พอใจ แต่ก็ไม่อยากให้นางทำเกินเลย

ถึงอย่างไรวันนี้ก็มีแขกเหรื่อมากันเยอะ จวนเจิ้นกั๋วกงของพวกเขาจะอับอายขายหน้าไม่ได้

ดีหรือร้ายอย่างไรเวินหย่าลี่รู้จักกาลเทศะอยู่บ้าง ดังนั้นจึงไม่ได้กล่าวต่ออีก

ทว่าต่อให้ไม่เอ่ยแล้ว แต่การกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ในพิธีกลับมีอยู่ไม่น้อย

ถึงอย่างไรลำดับก่อนหลังของการสวมกวานนี้

ถ้าอิงตามกฎเกณฑ์ เดิมทีควรหวีผมสวมกวานให้เวินซื่อก่อน หลังจากนั้นค่อยเป็นเวินเยวี่ย

แต่เวินหย่าลี่ไม่ชอบเวินซื่อ ดังนั้นจึงหวีผมสวมกวานให้เวินเยวี่ยก่อนทันที

ตอนที่กล่าวคำอวยพร นางยิ้มแย้มเต็มเปี่ยมกล่าวคำอวยพรหลายสิบประโยคเต็ม ๆ น้ำเสียงแต่ละประโยคเต็มไปด้วยความเอ็นดู

ใครไม่รู้ยังนึกว่าเวินเยวี่ยถึงเป็นบุตรสาวแท้ ๆ ของนาง อ้อไม่สิ เป็นลูกสะใภ้ของนาง

เมื่อถึงคราวเวินซื่อก็เปลี่ยนท่าทีเป็นคนละแบบโดยสิ้นเชิง

ดูเย็นชาอย่างไม่ปกปิดเลยสักนิดเดียว แม้แต่คำอวยพรก็เป็น ‘ขอให้ปลอดภัยมีความสุข’ อย่างส่ง ๆ แค่ประโยคเดียว

บรรดาแขกเหรื่อที่อยู่ด้านล่างไม่รู้สึกแปลกใจเช่นกัน

อย่างไรเสียใครอยากจะอวยพรคนที่มีจิตใจชั่วช้ากันเล่า?

“พิธีสวมกวานเสร็จสิ้น ผู้ปักปิ่นโปรดกลับห้อง สวมชุดพิธีการ รับการ...”

“ไม่มีชุดพิธีการ ข้ามไปเถิด ดำเนินลำดับขั้นตอนถัดไป”

ในขณะที่ผู้ประกาศในงานพิธีประกาศลำดับพิธี เวินเฉวียนเซิ่งก็ตัดบทของผู้ประกาศในงานพิธีด้วยน้ำเสียงเย็นชา

ผู้ประกาศในงานพิธีอึ้งไป แต่ท้ายที่สุดยังคงเชื่อฟังคำพูดเจิ้นกั๋วกงอย่างเฉลียวฉลาด ข้ามขั้นตอนเปลี่ยนชุดพิธีการนี้ไปยังพิธีมอบดอกไม้สิริมงคลซึ่งเป็นขั้นตอนถัดไปทันที

วันนี้มีแขกมาร่วมงานไม่น้อยเพื่อเป็นเกียรติแก่เจิ้นกั๋วกง

นอกจากผู้มีตำแหน่งสูงส่งเหล่านั้นแล้ว ผู้สูงศักดิ์เกือบทั้งหมดในเมืองหลวงต่างมากันหมด

ต่อให้ไม่ได้มาด้วยตนเอง ก็ส่งคนในครอบครัวมามอบดอกไม้อวยพรให้ผู้ปักปิ่นทั้งสองคนตอนพิธีมอบดอกไม้สิริมงคล

ดังนั้นเวลานี้ผู้คนมากมายที่อยู่ข้างล่างปะรำพิธีล้วนถือดอกไม้ไว้ในมือ กลับไม่มีใครลุกขึ้นมาเป็นคนแรก

แค่พากันวิพากษ์วิจารณ์...

“เหตุใดไม่ให้พวกนางไปเปลี่ยนชุดพิธีการเล่า?”

“ไม่ได้ยินที่เจิ้นกั๋วกงกล่าวหรือ ไม่ได้เตรียมชุดพิธีการให้คุณหนูทั้งสอง เช่นนี้จะเปลี่ยนได้อย่างไร?”

“ไม่ได้เตรียมไว้ที่ใดกันเล่า ข้าได้ยินว่าเมื่อหนึ่งวันก่อนชุดพิธีการของคุณหนูหกถูกคุณหนูห้าทำลายไปแล้ว”

“เป็นนางอย่างที่คิดไว้จริง ๆ ด้วย!”

“คุณหนูห้าผู้นี้ช่างจิตใจชั่วช้าเสียจริง งานสำคัญถึงเพียงนี้ยังจะทำลายชุดพิธีการของน้องสาวตนเองอีก”

“เช่นนั้นนางไม่มีชุดพิธีการให้เปลี่ยนเหมือนกันได้อย่างไร?”

“นี่ยังต้องเอ่ยอีกหรือ จะต้องถูกท่านเจิ้นกั๋วกงลงโทษอย่างแน่นอน”

“เกินไปแล้วจริง ๆ คนเช่นนี้ไม่คู่ควรได้รับดอกไม้สิริมงคลหรอก!”

“หากทุกคนต้องมอบก็มอบให้คุณหนูหก อย่ามอบให้นางเลย!”

“ถูกต้อง!”

ผู้คนพากันวางดอกไม้ที่ใช้สำหรับอวยพรให้ผู้ปักปิ่นในมือของพวกเขาลงตรงหน้าเวินเยวี่ยทั้งหมดภายใต้ความโกรธเกรี้ยว
ความคิดเห็น (1)
goodnovel comment avatar
Iam Honeybee
งง อ่านตั้งแต่ตอนแรกก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมพอ 6 มา แล้วทุกคนเกลียด 5 เขาโดนยาสเน่ห์กันทั้งบ้านทั้งเมือง หรืออุปาทานหมู่ หรืออะไร .. หาเหตุผลไม่เจอ
ดูความคิดเห็นทั้งหมด

บทที่เกี่ยวข้อง

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 8

    เมื่อเวินฉางอวิ้นเดินขึ้นมาบนปะรำพิธี สายตาทอดมองไปที่น้องสาวทั้งสองคน เดิมทียังลังเลอยู่บ้างแต่เมื่อสบสายตาคาดหวังของเวินเยวี่ย เขาก็คลายหัวคิ้วในพริบตาหัวเราะอย่างไม่มีทางเลือกช่างเถิด หากจะโทษก็ได้แต่โทษน้องห้าที่ไม่ได้รับความชื่นชอบเองใครใช้ให้นางมีนิสัยอิจฉาริษยา ไม่ยอมให้น้องหกเลยสักนิดเล่าดังนั้นเวินฉางอวิ้นจึงไม่ลังเลอีกต่อไป เดินผ่านหน้าเวินซื่อแล้วยื่นดอกไม้ให้เวินเยวี่ยจากนั้นก็เป็นเวินจื่อเฉิน เวินจื่อเยวี่ย เวินอวี้จือ...รวมถึงคนสกุลเวิน ทุกคนต่างก็มอบดอกไม้ให้เวินเยวี่ย ก็เหมือนกับชาติที่แล้ว...เวินซื่อผู้โดดเดี่ยวกับเวินเยวี่ยที่ล้อมรอบไปด้วยดอกไม้สดและคำอวยพรเวินซื่อไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย ถึงอย่างไรนางก็รู้ผลสรุปเช่นนี้มานานแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่คาดหวังใด ๆ อีกต่อไปอย่างแน่นอนหลังจากคนเหล่านั้นก็เป็นชุยเส้าเจ๋อ เทียบกับดอกไม้หนึ่งดอกที่คนอื่นมอบให้แล้ว เขาหอบดอกไม้บานหลากสีสันกำใหญ่เต็ม ๆ ไม่มองเวินซื่อสักแวบเดียว ก่อนจะยัดใส่อ้อมแขนของเวินเยวี่ยโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย“น้องเยวี่ยเอ๋อร์ ดอกฉยงฮวาอวยพรวันเกิด ดนตรีเสียงสวรรค์ห้อมล้อมคว

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 9

    “ไม่ได้นะ!”“ไม่มีทาง!” แค่คำสาบานเดียวเท่านั้น เดิมที่นึกว่าชุยเส้าเจ๋อน่าจะรับปากได้ แต่ใครก็คิดไม่ถึงว่าชุยเส้าเจ๋อจะมีปฏิกิริยารุนแรงถึงเพียงนั้นสิ่งที่แปลกประหลาดยิ่งกว่านั้นคือ คนที่มีปฏิกิริยารุนแรงเช่นเดียวกันยังมีอีกคน“น้องหก?” พวกเวินฉางอวิ้นมองไปทางเวินเยวี่ยด้วยความประหลาดใจ เวินเยวี่ยมีสีหน้าแข็งทื่อเมื่อตระหนักได้ว่าเมื่อครู่นี้นางยั้งสติไม่อยู่มากเกินไป นางจึงรีบเก็บงำอารมณ์ ฝืนยิ้มมุมปากพลางเอ่ยว่า “ไม่ใช่นะ...คือว่า ข้า...ข้าแค่รู้สึกว่าเงื่อนไขที่พี่หญิงเสนอออกมานี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยเหมาะสมมากนัก หะ...หากต่อไปพี่เส้าเจ๋อเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาเล่า? ดังนั้น พี่หญิงเหลือทางถอยให้ตนเองหน่อยไม่ดีกว่าหรือ?”เวินฉางอวิ้นผู้เป็นพี่ใหญ่ขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกว่าคำพูดนี้ของนางดูแปลกพิกลนิด ๆเวินจื่อเยวี่ยผู้เป็นพี่สามไม่มีปฏิกิริยาอะไรเวินอวี้จือผู้เป็นพี่สี่กลับมองเวินเยวี่ยและมองชุยเส้าเจ๋ออย่างใคร่ครวญ เทียบกับพวกเขาแล้ว เวินจื่อเฉินผู้เป็นพี่รองเชื่อในตัวเวินเยวี่ยโดยสิ้นเชิงว่ามีจิตใจบริสุทธิ์ เขาจึงไม่ได้คิดมากมายเช่นนั้น “พอได้แล้วน้องหก ข้ารู้ว่าเจ้าเป

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 10

    “พวกท่านกล่าวถูกต้อง ข้าไม่ใช่น้องสาวของข้า และข้าก็ไม่ได้ใจดีเหมือนนาง ทุกคนที่เคยรังแกข้าและเคยเหยียดหยามข้า ข้าจะเอาคืนให้หมด” น้ำเสียงของเวินซื่อเย็นชา นางมองชุยเส้าเจ๋อ จากนั้นก็เอ่ยคำพูดที่ชาติก่อนนางนึกเสียใจนับครั้งไม่ถ้วนที่ไม่อาจเอ่ยออกมาต่อหน้าผู้คนด้วยปากของตัวเอง...“ชุยเส้าเจ๋อ ท่านอยากถอนหมั้นไม่ใช่หรือ? ได้ ข้าตกลง และไม่ต้องให้ท่านตกลงเงื่อนไขใด ๆ ด้วย เพียงแต่ว่าหลังจากนี้ไป ข้าเวินซื่อไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับจวนจงหย่งโหวของพวกท่านอีกต่อไปแล้ว!”เมื่อสิ้นคำพูดของนาง ทั่วทั้งงานก็เงียบกริบแม้แต่ชุยเส้าเจ๋อก็อดตกตะลึงไม่ได้ ยะ....ยอมตกลงเช่นนี้เลย?เขานึกว่าเรื่องการถอนหมั้นในวันนี้จะไม่มีทางราบรื่นเป็นอันขาด เขานึกว่าเวินซื่อคงไม่ยินยอมง่าย ๆนึกว่าเวินซื่อจะตามตื๊อ จะร้องไห้โวยวาย...ก่อนจะมาชุยเส้าเจ๋อเคยคิดถึงความเป็นไปได้มากมาย แต่สิ่งเดียวที่เขาไม่เคยคิดก็คือเวินซื่อจะยอมตกลงง่ายดายเช่นนี้จริง ๆไม่สิ ก็ไม่ถือว่าง่ายดาย นางยังตบเขาหนึ่งฉาดด้วย เมื่อคิดถึงตรงนี้ ชุยเส้าเจ๋อที่รู้สึกเสียหน้าก็ทำหน้าเคร่งขรึมทันที เขาลูบแก้มที่แสบร้อนของตัวเอง

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 11

    เวินฉางอวิ้นแสดงสีหน้าที่ไม่เห็นด้วยกฎประจำตระกูลของสกุลเวินไม่ใช่แส้ทั่วไป แต่เป็นแส้เหล็กที่สั่งทำพิเศษ เฆี่ยนตีห้าสิบที ชายวัยกลางคนยังต้องนอนพักสิบวันถึงครึ่งเดือน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนาง?ในดวงตาของเวินเยวี่ยที่ยืนอยู่ข้างๆ เต็มไปด้วยความสุขคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเวินซื่อจะรนหาที่ตายเอง!นางต้องลองคิดดูว่า จะให้ท่านพ่อตอบตกอย่างไรดี แค่ท่านพ่อตอบตกลง เฆี่ยนห้าสิบที สามารถทำให้เวินซื่อเหลือแค่ครึ่งชีวิตแน่นอน!แต่สิ่งที่เวินเยวี่ยยิ่งคาดคิดไม่ถึงคือ นางไม่จำเป็นต้องลงมือ ตอนที่เวินเฉวียนเซิ่งถามเวินซื่อ นางกลับรนหาที่ตายเองอีกครั้ง“เจ้าเอาจริงหรือ?”เวินเฉวียนเซิ่งก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าเวินซื่อจะเป็นคนเสนอขอรับโทษเอง อีกทั้งยังเป็นการลงโทษที่หนักเช่นนี้เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย นึกถึงอุบายที่เวินซื่อใช้ชิงความโปรดปรานในยามปกติ เขาหรี่ตาแล้วเตือน“ข้าเกลียดคนที่เล่นละครต่อหน้าข้าที่สุด”เมื่อเวินซื่อเงยหน้าก็ประสานกับสายตาที่น่ารังเกียจของเขา นางหัวเราะเบาๆ ทีหนึ่ง ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยการหัวเราะเยาะตัวเอง “ข้าต้องทำอย่างไรจึงจะไม่ใช่คนที่แสร้งเล่นละครในสายตาท่านพ่อ?” คือต้อง ‘เชื

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 12

    นางใช้ร่างกายที่ผอมบางรับแส้ที่อยู่ข้างหลังทั้งเช่นนี้เวินฉางอวิ้นก้มมอง พลางเฆี่ยนตีอย่างไร้ความปรานี ราวกับต้องการเฆี่ยนกระดูกของเวินซื่อให้แหลกทั้งร่างเวินซื่อรู้สึกถึงความเจ็บแล้วแต่น่าเสียดาย ความเจ็บบนร่างกายไม่สามารถเทียบกับความเจ็บในก้นบึ้งหัวใจดังนั้นแส้ของเวินฉางอวิ้นไม่เพียงไม่สามารถเฆี่ยนกระดูกของเวินซื่อแหลก กลับกันยิ่งทำให้ความเกลียดชังที่โกรธแค้นในใจนางควบแน่นมากขึ้นต่อให้ต้องตาย นางก็จะไม่ละเว้นเวินเยวี่ยกับทุกคนในสกุลเวินเด็ดขาด!ห้าสิบทีไม่ขาดไม่เกินแม้แต่ทีเดียวตอนที่เวินฉางอวิ้นเฆี่ยนครั้งสุดท้าย ผิวหนังบนหลังของเวินซื่อปริแตกและมีเลือดไหลนานแล้ว เสื้อผ้าท่อนบนของนางถูกย้อมเป็นสีแดงและเปียกโชกด้วยเลือดเวินฉางอวิ้นมองเลือดที่หยดลงมาจากแส้ แล้วมองเวินซื่อที่ไม่ส่งเสียงแม้แต่น้อย และยืนหยัดไม่ล้มจนถึงแส้สุดท้ายแวบหนึ่งไม่รู้เพราะเหตุใด เขารู้สึกจุกในอกอย่างน่าประหลาดเวินฉางอวิ้นที่ไม่ต้องการอยู่ดูอีก โยนแส้ให้คนรับใช้ หลังจากขมวดคิ้ว กล่าวทิ้งท้ายประโยคหนึ่ง “เจ้าลองพิจารณาตัวเองอยู่ที่นี่ให้ดี” จากนั้นก็พาคนรับใช้ไปจากโถงบรรพชนแล้วทันทีที่เขาไป

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 13

    หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม เวินซื่อก็มายืนอยู่ในห้องทรงพระอักษรของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันการเข้าวังหลวงของนาง สามารถกล่าวได้ว่าเรียบง่ายและสบายมากเพราะในมือของนางยังมียันต์คุ้มภัยอีกชิ้นที่ท่านแม่เหลือไว้ให้นาง…นั่นก็คือป้ายคำสั่งที่อดีตฮ่องเต้ประทานชาติที่แล้วป้ายคำสั่งชิ้นนี้ถูกบ่าวไพร่ที่คอยรับใช้ข้างกาย หรือก็คือชุนเซียงขโมยไปให้เวินเยวี่ย จนทำให้นางจนหนทางโชคดีที่นางเกิดใหม่ในชาตินี้ ป้ายคำสั่งยังไม่ถูกขโมยดังนั้นนางจึงสามารถอาศัยป้ายคำสั่งของอดีตฮ่องเต้ มายืนอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้หนุ่มองค์นี้ “หม่อมฉันเวินซื่อ ถวายบังคมฝ่าบาท”“เวินซื่อ? เราจำได้ว่าเจ้าคือลูกสาวคนที่ห้าของเจิ้นกั๋วกงใช่หรือไม่?”ฮ่องเต้ที่นั่งอยู่ด้านหลังของโต๊ะทรงพระอักษรวางฎีกาลง แล้วมองเวินซื่อที่คุกเข่าอยู่บนพื้นแวบหนึ่งฮ่องเต้องค์นี้คือพระราชโอรสองค์ที่เก้าของอดีตฮ่องเต้ ขณะขึ้นครองราชย์มีพระชนมายุเพียงสิบเอ็ดชันษา ต่อให้เป็นปัจจุบันก็มีพระชนมายุเพียงสิบห้าชันษาแม้อายุเท่ากับเวินซื่อ แต่ความน่าเกรงขามบนร่างกายที่สวมชุดมังกรของเขาทำให้ไม่สามารถมองข้าม และถึงขั้นให้ความรู้สึกกดขี่อย่างคลุมเครือเวินซื่

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 14

    ช่างเถอะ ไม่ว่าจะเห็นแก่ใคร ตราบใดที่มีโอกาสก็พอ“ฝ่าบาทโปรดชี้แนะด้วยเพคะ”เวินซื่อกล่าวอย่างนอบน้อมฮ่องเต้น้อยลุกขึ้น เดินไปที่ตรงหน้าเวินซื่อ แล้วคืนป้ายคำสั่งให้นาง“ในช่วงสองปีมานี้ ทางใต้ของแคว้นเกิดภัยพิบัติอย่างต่อเนื่อง ราษฎรทุกข์ร้อน เราค่อนข้างกังวล จำเป็นต้องมีใครสักคน คอยอธิษฐานขอพรให้แคว้นและราษฎรจากใจจริง”“หม่อมฉันยินดีเพคะ!”เวินซื่อตอบตกลงทันทีฮ่องเต้น้อยกลับส่ายศีรษะด้วยรอยยิ้ม “เจ้ายินดียังไม่พอ อารามสุ่ยเยว่บนภูเขาหนานที่อยู่นอกเมืองหลวง ผู้ดูแลอารามคือซือไท่ที่มีคุณธรรมและบุญบารมีสูงส่ง ถ้าหากซือไท่ท่านนั้นก็เห็นด้วยเช่นกัน เราจะตอบตกลงเจ้า” “เพคะ ขอบพระทัยฝ่าบาท!”“อย่าเพิ่งด่วนขอบคุณ ถ้าหากซือไท่ไม่เห็นด้วย เราจะไม่อนุโลมเจ้า”กล่าวจบ ฮ่องเต้น้อยก็โบกมือ “ไปเถอะ เรารอข่าวจากเจ้า”สำหรับเวินซื่อ ตอนนี้นางไม่มีทางเลือกอื่นแล้วดังนั้นไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ขอแค่สามารถไปจากสกุลเวิน ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟ นางก็จะลองดูสักตั้งในตอนที่เวินซื่อหมุนกายเตรียมจากไป จู่ๆ ฮ่องเต้น้อยก็เรียกนางอีก“รอก่อน”เวินซื่อหยุดฝีเท้า หันกลับไปมองด้วยความสงสัยเมื่อเห็น

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 15

    ก่อนหน้านี้ เวินซื่อที่เสียเลือดมากเกินไป คุกเข่าอยู่ในห้องทรงพระอักษรเพียงแค่ครู่เดียวก็เกิดอาการหน้ามืดเล็กน้อยตอนนางลุกขึ้นจะกลับแต่นางอดกลั้นไม่ได้เสียมารยาทต่อหน้าฮ่องเต้ เดิมทีคิดว่าจะไปพักผ่อนในรถม้าสักเดี๋ยว แต่ใครจะรู้ว่าทันทีที่เดินออกจากห้องทรงอักษรพระก็ภาพตรงหน้าก็มือไป เห็นข้างหน้าไม่ชัดเจน ครู่ต่อมาที่เต๋อกงกงอุทานว่า “อ๋องผู้สำเร็จราชการแทน” ก็ชนโดนใครคนหนึ่งอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน?หลังจากถูกประคอง เวินซื่อปลายกัดลิ้นตัวเองทีหนึ่งแรง ๆ เมื่อรู้สึกเจ็บ สมองก็แจ่มชัดขึ้นมากเมื่อเงยหน้าเห็นว่าคนที่ประคองนางเป็นใคร ต่อให้ใบหน้าที่เฉยเมยนั้นจะหล่อเหลาเพียงใด นางยังตกใจจนหัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มผมสีเงินที่เป็นเอกลักษณ์นั่น ทั้งราชวงศ์ต้าหมิงมีใครไม่รู้จัก?นี่ก็คือเทพสงครามที่สังหารผู้คนนับไม่ถ้วน อ๋องผู้สำเร็จราชการแทนแห่งราชสำนัก…เป่ยเฉินหยวน“หม่อมฉันเสียมารยาท อ๋องผู้สำเร็จราชการแทนโปรดอภัยด้วยเพคะ”เวินซื่อรีบยืนตัวตรง คำนับอย่างนอบน้อมแน่นอนว่าสิ่งที่นางกลัวไม่ใช่ฉายาเทพสังหารของอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน อย่างไรเสีย ปัจจุบันราชวงศ์ต้าหมิงสามารถสงบสุขเช่นนี้ ล้

บทล่าสุด

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 302

    “หากข้ากล้าทำเช่นนั้น ข้าก็ไม่ใช่คน ขอให้ฟ้าผ่าลงทัณฑ์ข้า!”เวินฉางอวิ้นยืนรับรองอยู่ข้างนอกอารามสุ่ยเยว่เป็นเวลาครึ่งชั่วยามแล้ว ลำคอแทบแห้งผาก ซือไท่เหล่านั้นถึงผ่อนคลายลง รับปากว่าจะช่วยเข้าไปพูดให้เขาแต่น่าเสียดายเหล่าซือไท่รับปากว่าจะบอกให้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเวินซื่อจะตกลงออกไป“ไม่ไป”แค่สองคำที่มีกลับมาถึงเบื้องหน้าเวินฉางอวิ้นเวินฉางอวิ้นมีหรือจะยอมแพ้ง่าย ๆ เช่นนี้“เหล่าซือไท่ได้โปรดช่วยเกลี้ยกล่อมน้องสาวของข้าอีกครั้ง ข้าแค่อยากเห็นหน้านางเท่านั้น”“ไม่ได้ ธิดาศักดิ์สิทธิ์บอกไปแล้วว่าจะไม่พบท่านก็คือไม่พบท่าน ท่านอย่ามาเสียเวลาที่นี่เลยดีกว่า รีบกลับไปเสียเถอะ”เหล่าซือไท่ที่ไม่ถูกชะตากับจวนเจิ้นกั๋วกงอยู่แล้ว หลังจากส่งต่อคำพูดจบแล้วก็รีบขับไล่เขาทันที ไม่อยากให้เวินฉางอวิ้นอยู่หน้าอารามสุ่ยเยว่ของพวกนางนานไปกว่านี้แม้แต่นิดเดียวแต่พวกนางนึกไม่ถึงว่าวันนี้ขับไล่ไป แต่หลังจากนี้เวินฉางอวิ้นก็มาอีกทุกวันทันทีที่เสร็จงานในช่วงบ่าย ไม่ได้กลับไปที่จวนเจิ้นกั๋วกงด้วยซ้ำก็ตรงมาที่อารามสุ่ยเยว่เลยมาเคาะประตูทุกวัน รบกวนจนเหล่าซือไท่หาความสงบสุขไม่ได้สุดท้ายก็ต้อ

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 301

    “ท่าน วันนี้มาได้อย่างไร?”เวินซื่อมองอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจเล็กน้อยนางรู้ว่าวันเหมายันมาเยือนของทุกปีในราชสำนักจะมีงานเลี้ยงใหญ่ของเหล่าขุนนาง แต่ปีนี้นางไม่ได้ไปเพราะถึงอย่างไรนางก็ไม่ใช่บุตรสาวภรรยาเอกของจวนเจิ้นกั๋วกงอีกแล้วฝ่าบาททรงส่งคนมาถามนาง แต่นางก็ยังปฏิเสธอย่างสุภาพเนื่องจากออกบวชเป็นชีแล้ว งานเลี้ยงสวดขอพรเหล่านั้นที่ไม่ต้องมีนางอยู่ด้วยก็ไม่จำเป็นต้องไปอยู่แล้วแม้ว่าฝ่าบาทจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่ก็หลีกเลี่ยงคำนินทากาเลไม่ได้อยู่แล้วนางไม่อยากเพิ่มความยุ่งยากใจให้ฝ่าบาทเกินไป“งานเลี้ยงสิ้นสุดลงแล้ว เหลือเพียงความสนุกสนานหลังจากร่ำสุรา ช่างน่าเบื่อหน่ายจริง ๆ สู้มาหาท่านดื่มกันสักจอกดีกว่า”เวินซื่อเลิกคิ้วขึ้น “ข้าดื่มสุราไม่ได้”“ข้ารู้ ก็เลยนำชาอย่างดีมาให้ท่านจำนวนหนึ่ง”เป่ยเฉินหยวนชูถ้วยชาขึ้น พลางเชื้อเชิญนาง “ไม่ทราบว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์จะยินดีดื่มกับข้าสักถ้วยหรือไม่?”เวินซื่อไม่ได้เห็นเขามีท่าทีจริงจังขนาดนี้มานานแล้ว จึงอดหัวเราะไม่ได้ “เป็นเกียรติอย่างยิ่ง”สองคนนั่งลงด้วยกันเป่ยเฉินหยวนยื่นน้ำชาที่เพิ่งชงเสร็จเมื่อครู่ หลังจากปล่อยให้เย็นลงเ

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 300

    “ทุกอย่าง?”เป่ยเฉินหยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “รวมถึงชีวิตของเจ้าด้วยหรือ?”“แน่นอน ท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่เหมาะกับการตบตีฆ่าฟัน แต่หม่อมฉันแตกต่างออกไป หม่อมฉันสามารถเป็นดาบที่คมที่สุดในมือของท่านอ๋อง เพื่อท่าน...”“ฉัวะ!”อันหลันซินยังไม่ทันพูดจบ กระบี่เล่มหนึ่งก็แทงเข้ามาจากด้านข้างรถม้า เกือบจะเฉือนคอของอันหลันซินเหงื่อเย็นไหลลงมาบนหน้าผากของอันหลันซินทันทีข้างนอกรถ เป่ยเฉินหยวนดึงมือกลับ “กระบี่ในมือข้ามีมากมาย ไม่ได้ขาดเจ้า อีกอย่าง อย่าเอาเจ้าไปเปรียบเทียบกับอู๋โยว หากมีครั้งหน้า กระบี่นี้จะไม่แทงพลาดแล้ว”พูดจบ เป่ยเฉินหยวนก็หันหลังขึ้นม้า เหลือบมองรถม้าด้วยสายตาเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วสั่งเกาเย่า“เผาเสีย”“พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง!”อันหลันซินที่แผนการยั่วยวนล้มเหลวตั้งแต่ครั้งแรก ในที่สุดก็ถูกเกาเย่าไล่ลงมาจากรถม้าและรถม้าคันนั้นก็ถูกเกาเย่าลากไปเผาทิ้งจริงๆ อันหลันซินที่รู้สึกได้ถึงความรังเกียจอย่างสิ้นเชิง ในใจของนางก็รู้สึกย่ำแย่มากแต่นางก็พอจะคาดการณ์ไว้บ้างแล้วเพียงแต่คาดไม่ถึงว่าจะถูกรังเกียจอย่างสิ้นเชิงขนาดนี้แต่ถ้าเขาถูกนางยั่วยวนได้ง่ายเกินไป นา

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 299

    บนพระพักตร์ของฮ่องเต้น้อยเผยรอยยิ้มพอพระทัยออกมาทันที“ดีมาก”เขาพยักหน้า แต่คำพูดก็เปลี่ยนไปว่า “แต่ท่านพ่อของเจ้าบอกว่าเจ้าเกิดในชนบท ไม่รู้จักกฎระเบียบ หากอยากเป็นสนมของเรา ข้อนี้เกรงว่าจะลำบากเล็กน้อย...”เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ขณะที่มือข้างหนึ่งเท้าคาง ขมวดคิ้วเล็กน้อย ราวกับกำลังกลุ้มใจกับเรื่องนี้อยู่จริงๆ เมื่อได้ยินเช่นนี้ เวินเยวี่ยก็รีบกล่าวว่า “ไม่ลำบาก ไม่ลำบากเพคะ! ฝ่าบาทมิได้ตรัสว่าจะให้หม่อมฉันเรียนรู้กฎระเบียบกับไทเฮาหรือเพคะ? หม่อมฉันจะตั้งใจเรียนรู้ เพื่อที่จะได้เป็นสนมของฝ่าบาทโดยเร็ว!”ขณะที่นางเอ่ยขึ้น ก็อดไม่ได้ที่จะบ่นเล็กน้อยในใจท่านพ่อก็จริงๆ เลย!ฝ่าบาททรงตรัสแล้วว่าตกหลุมรักนางตั้งแต่แรกพบ เหตุใดจึงต้องทูลเรื่องไม่ดีของนางกับฝ่าบาทด้วย?หากฝ่าบาททรงเปลี่ยนใจเพราะเรื่องนี้ขึ้นมาจริงๆ จะทำอย่างไร?เช่นนั้นนางจะไม่พลาดโอกาสนี้ไปหรอกหรือ?!เวลานี้ในใจของเวินเยวี่ยทั้งบ่นทั้งกังวล กลัวว่าฝ่าบาทจะถอนคำพูดเมื่อครู่นี้โชคดีที่ท่ามกลางสายตาที่คาดหวังของนาง ฝ่าบาททรงพยักพระพักตร์อย่างพอพระทัยอีกครั้ง “ดี เจ้าเป็นสตรีที่รู้ความจริงๆ เช่นนั้นตั้งแต่วั

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 298

    ดังนั้น ในงานเลี้ยงต่อจากนี้ เวินเยวี่ยจึงได้สัมผัสประสบการณ์การถูกกลั่นแกล้ง เดินไปที่ไหนก็โดนกลั่นแกล้งที่นั่นเวินเยวี่ยแทบจะระเบิดความโกรธออกมาแล้วทว่าบุตรสาวของขุนนางฝ่ายบู๊ที่คิดอะไรตื้นๆ แต่ร่างกายแข็งแรงพวกนั้น ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ถึงได้เอาแต่ดูถูกเหยียดหยามนางสารพัด ทั้งทางตรงและทางอ้อม แต่ก็แค่พูดจาดูถูกนาง ไม่ได้ลงมือทำร้ายร่างกายหลังจากที่ทำให้เวินเยวี่ยโกรธจนควันออกหู พวกนางก็จากไปอย่างสบายใจจากนั้นก็มีคนกลุ่มใหม่เดินเข้ามาอย่างสบายๆ ...หลังจากผ่านไปสามถึงห้ากลุ่ม ในที่สุดเวินเยวี่ยก็ตระหนักได้ว่าวันนี้คนพวกนี้วางแผนกันไว้ล่วงหน้าแล้ว!หากนางออกไปอีก ก็คงจะโดนพวกนางดักรออยู่ที่ไหนสักแห่งแล้วกลั่นแกล้งนางด้วยคำพูดดังนั้น เวินเยวี่ยจึงข่มความโกรธนั่นเอาไว้ และนั่งอยู่ที่งานเลี้ยงไม่ไปไหนแล้วที่นี่มีฮ่องเต้อยู่ มีไทเฮาอยู่ มีท่านพ่อและพี่ใหญ่ของนางอยู่ ดูสิว่าใครจะกล้ารังแกนางอีก!แต่เวินเยวี่ยไม่รู้ว่า ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้นหลังจากที่นางกลับมานั่งลงแล้ว ผ่านไปไม่นานนัก ฮ่องเต้น้อยที่อยู่ด้านบนของงานเลี้ยงก็ทอดพระเนตรมาที่นาง หลังจากที่มองน

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 297

    สิ่งที่ไม่ได้พูดออกมาตรงๆ ภายใต้น้ำเสียงที่ไม่ค่อยดีนักก็คือ เจ้าในฐานะบุตรสาวของเจิ้นกั๋วกงที่เป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น กลับวิ่งไปหาคุณหนูจากตระกูลขุนนางฝ่ายบู๊ นี่มิใช่การหาเรื่องโดนรังแกเองหรือ?จริง ๆ แล้ว จวนเจิ้นกั๋วกงในอดีตไม่ได้เป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น แต่กลับเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ เพียงแต่ภายหลังเวินเฉวียนเซิ่งที่ได้รับสืบทอดตำแหน่งมา ได้เลือกทางเดินเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น ประกอบกับการร่วมมือกับสกุลหลาน อาศัยเส้นสายของสกุลหลานที่ปูทางไว้อย่างดีในหมู่ขุนนางฝ่ายบุ๋น ทำให้เส้นทางนี้จึงง่ายดายอย่างมากดังนั้น เวินเฉวียนเซิ่งจึงนำพาจวนเจิ้นกั๋วกงให้กลายเป็นผู้นำของกลุ่มขุนนางฝ่ายบุ๋นโดยปริยายและขุนนางฝ่ายบู๊ก็มักจะต่อต้านขุนนางฝ่ายบุ๋นอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเวินเฉวียนเซิ่งที่ทรยศพวกเขาขุนนางฝ่ายบู๊ จึงยิ่งเกลียดชังมากขึ้นไปอีกดังนั้น ไม่ว่าจวนเจิ้นกั๋วกงจะรุ่งเรืองแค่ไหน พวกขุนนางฝ่ายบู๊ก็ไม่มีทางเหยียบย่างเข้าไปในจวนของพวกเขาแม้เพียงครึ่งก้าวถึงแม้ว่าการทำเช่นนี้มีโอกาสที่จะทำให้เวินเฉวียนเซิ่งขุ่นเคือง แต่พวกเขาขุนนางฝ่ายบู๊ก็ใช่ว่าจะไม่มีใครหนุนหลังลองดูท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนของพวก

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 296

    เวินเยวี่ยไม่คิดว่าตัวเองจะถูกคนอื่นพูดถึงในทางที่ไม่ดี แถมพวกนางยังกล้าที่จะใส่ร้ายป้ายสีนางอีก?!เวินเยวี่ยโกรธจนเอ่ยถามขึ้นมาทันที “พวกเจ้าเป็นคนของคนตระกูลไหน? เหตุใดข้าถึงไม่เคยเจอพวกเจ้า? คงจะเป็นพวกตระกูลขุนนางเล็กๆ ถึงได้กล้าพูดจาใส่ร้ายป้ายสีข้าแบบนี้!”เวินเยวี่ยเพิ่งสังเกตเห็นในตอนนี้ว่า บุตรสาวตระกูลขุนนางเหล่านี้ ดูเหมือนนางจะไม่เคยเห็นมาก่อนเนื่องจากตั้งแต่เข้ามาอยู่ในจวนเจิ้นกั๋วกง เวินเยวี่ยได้พบแต่ขุนนางใต้บังคับบัญชาของท่านพ่อ ซึ่งแต่ละคนล้วนมีอำนาจและมีอิทธิพล แต่ท้ายที่สุดก็เทียบกับท่านพ่อของนางไม่ได้ ดังนั้นบุตรสาวของพวกเขาจึงคอยประจบประแจงนางทว่าบรรดาเด็กสาวที่เห็นในตอนนี้ กลับดูไม่เหมือนบรรดาคุณหนูจากตระกูลขุนนางที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของท่านพ่อดังนั้น เวินเยวี่ยจึงคิดไปเองว่าพวกนางเป็นบุตรสาวของขุนนางต่ำต้อยพวกนั้น ซึ่งปกติแล้วไม่มีคุณสมบัติพอที่จะก้าวเข้าไปในจวนเจิ้นกั๋วกงที่ยิ่งใหญ่ของพวกเขาได้เมื่อคิดได้ดังนั้น สีหน้าของนางก็เผยให้เห็นถึงความดูถูกเหยียดหยาม “ตอนนี้ข้าเห็นแก่หน้าท่านพ่อของพวกเจ้า ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าก้มหัวขอโทษข้าเสียดีๆ ไม่เช่นนั้นข้า

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 295

    เนื่องจากการสักการะครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องให้ธิดาศักดิ์สิทธิ์ออกหน้า ดังนั้นเวินซื่อและบรรดาซือไท่จากอารามสุ่ยเยว่จึงไม่ได้มาหลังจากเสร็จสิ้นพิธีสักการะแล้ว ก็มีการจัดงานเลี้ยงรับรองในวังขุนนางทุกคนต่างพาครอบครัวและบุตรหลานมาร่วมงานเลี้ยงในงานเลี้ยง เนื่องจากวันนี้เป็นเพียงงานเลี้ยงฉลองเทศกาล กฎระเบียบจึงไม่เข้มงวด และบรรยากาศก็มีชีวิตชีวามากฮ่องเต้น้อยประทับอยู่ด้านบน ทอดพระเนตรการแสดงเบื้องล่างร่วมกับไทเฮาส่วนบรรดาฮูหยินและคุณหนูต่างจับกลุ่มกัน พูดคุยหัวเราะอย่างสนุกสนานเมื่อเห็นคนมากมายขนาดนี้ เวินเยวี่ยก็อดไม่ได้ที่จะอยากไปหาใครสักคนคุยเล่นด้วย เพราะช่วงที่ผ่านมาถูกขังอยู่ในห้องมาโดยตลอด ทำเอานางอัดอั้นตันใจแทบแย่ดังนั้น เวินเยวี่ยจึงมองไปที่เวินเฉวียนเซิ่งที่กำลังคุยกับลูกน้อง ก่อนจะหันหลังเดินไปยังบริเวณที่เหล่าคุณหนูจากตระกูลขุนนางต่างๆ อยู่“เอ๊ะ พวกเจ้าอยู่ที่นี่...” ทำอะไรกัน?เวินเยวี่ยกำลังจะเอ่ยปากทักทายพวกนาง ก็ได้ยินหญิงสาวคนหนึ่งที่หันหลังให้นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่เบา“เฮ้อ มิใช่บอกว่าวันนี้เวินซื่อจะมาร่วมงานเลี้ยงด้วยหรือ? เหตุใดจนถึงตอนนี้ยังไม่ม

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 294

    “เจ้าพูดอะไรไร้สาระ? ข้าเคยพูดตอนไหนว่าจะไม่เอาเจ้าแล้ว?!”เวินเฉวียนเซิ่งโกรธจนลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที กล่าวตำหนินางด้วยความผิดหวัง “เจ้าดูเรื่องวุ่นวายที่เจ้าก่อไว้ในช่วงหลายวันมานี้สิ! มีเรื่องไหนที่ข้าไม่ได้ตามไปสะสางให้เจ้าบ้าง? แต่ครั้งนี้เจ้าทำเกินไปแล้วจริงๆ! หากยังเป็นแบบนี้ต่อไป ข้าที่เป็นเจิ้นกั๋วกงก็จะไม่สามารถปกป้องเจ้าได้อีก เจ้าไม่ต้องพูดเรื่องที่จะไปพบแม่ของเจ้า ใช้คำพูดแบบนี้มาข่มขู่ข้า!”พูดจบเขาก็สะบัดแขนเสื้อ หันหลังให้ ทำท่าทางไม่อยากพูดอะไรกับเวินเยวี่ยมากไปกว่านี้อีกเวินเยวี่ยร้อนใจขึ้นมาทันที “ไม่...ไม่ใช่แบบนั้นท่านพ่อ เยวี่ยเอ๋อร์ไม่ได้ข่มขู่ท่านจริงๆ เยวี่ยเอ๋อร์แค่กลัวว่าท่านพ่อจะทิ้งเยวี่ยเอ๋อร์ไปจริงๆ จึงพูดผิดไปเพราะความใจร้อน ท่านพ่อโปรดอย่าโกรธเลย เยวี่ยเอ๋อร์สำนึกผิดแล้วจริงๆ!”นางพูดไปพลางร้องไห้ไปพลางตั้งแต่เด็กนางได้ยินคนพูดว่า นางไม่เพียงแต่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับมารดาของนางในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ แม้แต่ตอนร้องไห้ก็ยังเหมือนกันมากรูปลักษณ์ที่น่าสงสารนั้นเหมือนกับตอนที่นางตกหลุมรักใครบางคนเป็นครั้งแรกเมื่อยังเยาว์วัย จะไม่ทำให้เวินเฉวียนเซิ

สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status