Share

บทที่ 7

Author: จิ้งซิง
ชุยเส้าเจ๋อก้าวเท้าเดินมาทางเวินซื่อ ท่าทางดูเกรี้ยวกราดหมายจะหาเรื่อง

เมื่อมองไปทางด้านหลังของเขาอีกก็เห็นเวินเยวี่ยอ้าปากพูดว่า “อย่าเลย” ด้วยความหวาดกลัว แต่ไม่ได้ทำท่าจะฉุดรั้งชุยเส้าเจ๋อเลยสักนิด

หลังจากที่สบสายตาของเวินซื่อ ดวงตาของนางถึงขนาดฉายแววกระหยิ่มยิ้มย่อง

เห็นได้ชัดว่าการที่นางสามารถยุให้ชุยเส้าเจ๋อออกหน้าเพื่อนางได้ง่าย ๆ นั้นทำให้นางภาคภูมิใจเอามาก ๆ

แต่ว่าน่าเสียดายมาก ยังไม่ทันที่ชุยเส้าเจ๋อจะเดินเข้ามาใกล้เวินซื่อ เสียงทุ้มหนึ่งดังมาจากทางด้านปะรำพิธี...

“เจ้าห้า เจ้าหก ถึงฤกษ์งามยามดีแล้ว ยังไม่รีบมาเตรียมตัวทำพิธีปักปิ่นอีก”

เวินซื่อหันหน้าไปมอง

บนปะรำพิธี บุรุษวัยกลางคนสวมชุดเสื้อคลุมยาวสีเขียวดูสง่าผ่าเผยเปี่ยมไปด้วยความรู้กำลังนั่งอยู่ตำแหน่งประธาน มองพวกนางสองคนด้วยสีหน้าเย็นชา

นี่คือบิดาของนาง เจิ้นกั๋วกงเวินเฉวียนเซิ่ง

เวลานี้ต่อให้ชุยเส้าเจ๋ออยากหาเรื่องนางอีกเพียงใด ก็ได้แต่ถอยหลังไปเท่านั้น

เวินซื่อเดินขึ้นไปบนปะรำพิธีโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง

เมื่อเวินซื่อขึ้นมาบนปะรำพิธีก็ควงแขนนางด้วยใบหน้ายิ้มแย้มราวกับบุปผา จงใจทำตัวสนิทสนม

“พี่หญิงห้า ท่านซ่อมแซมชุดเหตุใดถึงใช้เวลาซ่อมนานเพียงนี้นะ ท่านพ่อรอท่านมาได้สักพักแล้ว”

“ซ่อมแซมชุด?”

เวินเฉวียนเซิ่งเหลือบมองเวินซื่อแวบหนึ่ง

ไม่รอให้เวินซื่อเอ่ยปาก เวินเยวี่ยก็รีรอไม่ไหวเล่าเรื่องที่เวินซื่อตัดชุดพิธีการจนเละเทะออกมา นางกล่าวจบก็ถอนหายใจอีกครั้ง “เฮ้อ ต้องโทษข้าที่ไม่รู้ความ ไม่อาจเกลี้ยกล่อมพี่รองได้ ไม่เช่นนั้นพี่หญิงห้าก็คงไม่โมโหจนตัดชุดพิธีการเสียเละเทะ”

น่ารำคาญจะตายอยู่แล้ว จะต้องใช้เรื่องนี้มาว่าร้ายนางให้ได้ใช่หรือไม่?

เวลานี้เวินซื่อไม่อยากเอ่ยสักครึ่งคำแล้ว

หลังจากปล่อยให้เวินเฉวียนเซิ่งจ้องมองนางอยู่หลายวินาที นางก็เอ่ยอย่างหมดความอดทนว่า “ตกลงพิธีปักปิ่นนี้ยังจะเริ่มอีกหรือไม่? หากท่านพ่อกับน้องหกไม่อยากให้ข้าทำต่อ เช่นนั้นข้าไสหัวลงไปเองได้หรือไม่?”

เมื่อเวินซื่อเอ่ยปากระเบิดอารมณ์อย่างเหนือความคาดหมาย คิ้วเรียวที่งดงามก็ขมวดแน่น สีหน้าดูรำคาญใจมาก

ขนาดเวินเยวี่ยที่ได้ยินคำพูดนี้ของนางก็ยังตกตะลึงไปครู่หนึ่ง

คิดไม่ถึงเลยว่าเวินซื่อจะใจกล้าถึงเพียงนี้ นางกล้าพูดจาเช่นนี้กับท่านพ่อตั้งแต่เมื่อไร?

นางไม่กลัวท่านพ่อไล่นางลงไปจริง ๆ หรือ?

อย่างไรก็ตามเวินซื่อไม่กลัวเลยจริง ๆ

สำหรับสตรีทุกคนในสมัยราชวงศ์ต้าหมิง พิธีปักปิ่นเป็นหนึ่งในพิธีที่สำคัญอย่างยิ่งในชีวิตของพวกนาง

ดังนั้นก่อนพิธีปักปิ่น สตรีทุกนางต่างก็ตั้งตารอวันนี้มาก

แต่บางทีอาจเป็นเพราะพิธีปักปิ่นในชาติก่อนได้มอบความอัปยศที่ยากจะลบเลือนให้เวินซื่อ ทำให้หลังจากที่นางยืนอยู่บนปะรำพิธีเมื่อครู่นี้ ในใจถึงมีความรู้สึกต่อต้านและความฉุนเฉียวที่ยากจะอธิบายอยู่ตลอด

“ไม่จำเป็นต้อง ทำพิธีต่อไป”

หลังจากที่เวินเฉวียนเซิ่งเก็บสายตากลับมาแล้ว เขาก็เอ่ยอย่างเรียบนิ่งว่า “ในเมื่อไม่มีชุดพิธีการ เช่นนั้นก็เริ่มเช่นนี้เลย ก่อเรื่องอันใดไว้ก็ต้องรับผลนั้นเอง”

เห็นได้ชัดว่าเขาคิดว่าคำพูดที่เวินซื่อบอกว่าจะไสหัวลงไปนั้นไม่ใช่การไสหัวไปจริง ๆ แต่ว่าอยากหลีกหนี

แต่ในเมื่อใจกล้ามากจนกล้าทำตัวโอหังต่อหน้าเขา เช่นนั้นก็ต้องให้บทเรียนดี ๆ

ให้นางได้เจอความลำบากบ้าง อับอายขายหน้าบ้าง ต่อไปจะได้ว่าง่ายเชื่อฟัง

เวินเฉวียนเซิ่งคิดเช่นนั้น ก่อนจะส่งสัญญาณให้ผู้ประกาศในงานพิธีดำเนินการต่อไป กล่าวเปิดพิธีอย่างเรียบง่าย ขอบคุณแขกเหรื่อที่มาเยือน จากนั้นก็ประกาศเริ่มต้นพิธีปักปิ่น

เนื่องจากฮูหยินเจิ้นกั๋วกงสิ้นไปแล้ว สกุลเวินไร้นายหญิง แขกสำคัญย่อมเป็นท่านอาหญิงของพวกเวินซื่อ หรือก็คือเวินหย่าลี่น้องสาวของเวินเฉวียนเซิ่งมาสวมกวานให้พวกนางสองคน

“อุ๊ย ดูเยวี่ยเอ๋อร์ของพวกเราสิเติบโตมาได้สดใสมีชีวิตชีวาจริง ๆ หลังจากพิธีปักปิ่นนี้ไม่รู้ว่าจะมีคนดี ๆ มาสู่ขอจนเหยียบธรณีประตูหักมากเพียงใด”

“แต่น่าเสียดายที่เส้าเจ๋อของบ้านเราหมั้นหมายไว ไม่เช่นนั้นไฉนเลยโชคดีเช่นนี้ยังจะไปถึงตาผู้อื่นได้?”

เวินหย่าลี่เข้ามาพูดอย่างมีนัยแอบแฝง ยิ้มตาหยีพลางจับมือน้อย ๆ ของเวินเยวี่ยขึ้นมาพลางพูดโดยไม่สนใจใคร ไม่มองแม้กระทั่งเวินซื่อที่อยู่ทางด้านข้างเลยสักแวบเดียว

คนที่อยู่ข้างล่างได้ยิน ยังมีใครฟังความนัยของคำพูดของนางไม่ออกอีกบ้าง?

บุตรชายของเวินหย่าลี่คือใคร?

นั่นก็คือชุยเส้าเจ๋อจากจวนจงหย่งโหวไม่ใช่หรือไร

ทุกคนล้วนทราบว่าชุยเส้าเจ๋อกับเวินซื่อเป็นคู่รักกันมาตั้งแต่เล็ก ตกลงหมั้นหมายกันเมื่อหลายปีก่อนแล้ว

ดังนั้นคำพูดของเวินหย่าลี่ที่ว่าหมั้นหมายไว นั่นก็หมายถึงเวินซื่อไม่ใช่หรือไร?

“ก็จริงนะ เมื่อก่อนดูไม่ออกเลยว่าเวินซื่อผู้นี้จะมีจิตใจชั่วช้าถึงเพียงนี้”

“อิจฉาแม้แต่น้องสาวของตนเอง ช่างใจแคบเสียจริง”

“เมื่อก่อนได้ยินว่านางเย่อหยิ่งแผลงฤทธิ์ในบ้าน รังแกคุณหนูหกอยู่บ่อย ๆ ว่ากันว่ายังเคยผลักคุณหนูหกตกน้ำด้วย”

“อายุยังน้อยก็ใจคอโหดร้ายจริง ๆ!”

“ตอนนี้รู้โฉมหน้าที่แท้จริงของนางแล้ว เกรงว่าคนของจวนจงหย่งโหวคงจะนึกเสียใจอย่างยิ่งแล้ว”

“ใช่แล้ว ไม่ได้ยินที่ฮูหยินจงหย่งโหวพูดเมื่อครู่นี้หรือ? ตอนนี้นางรังเกียจเวินซื่อแล้ว เกรงว่าแทบอยากจะถอนหมั้นเต็มแก่แล้ว”

“...”

เวินเยวี่ยเอ่ยโดยที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความขัดเขินและกระดากอายว่า “ท่านน้าอย่าพูดเช่นนี้เลย อันที่จริงข้าเห็นท่านพี่เส้าเจ๋อเป็นเหมือนพี่ชายแท้ ๆ มาโดยตลอด แม้พี่หญิงห้าจะทำตามอำเภอใจไปบ้าง แต่นางชอบท่านพี่เส้าเจ๋อมาตลอด คิดว่าพี่หญิงห้าจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อท่านพี่เส้าเจ๋ออย่างแน่นอน เช่นนี้ต่อไป พวกเขาจะได้เป็นคู่สามีภรรยาที่มีความสุข”

ฟังดูสิ ช่างเป็นคนดีเข้าอกเข้าใจผู้อื่นมากเพียงใด

“เจ้าห้าฟังสิ ฟังคำพูดเหล่านี้ของน้องสาวเจ้า เป็นเด็กจิตใจดีมากเพียงใด? วัน ๆ เจ้าอยู่บ้านไม่ได้ทำอะไรก็เรียนรู้จากน้องสาวเจ้าให้ดีไม่ได้หรือ?”

คำพูดของเวินหย่าลี่ปะทะเข้ากับความคิดภายในใจของเวินซื่อ

เวินหย่าลี่อยากเล่นงานนางต่อหน้าผู้คนอย่างเห็นได้ชัด

แต่เวินซื่อกลับรู้สึกขบขันเท่านั้น

“พอได้แล้ว อย่าให้เสียฤกษ์”

เวินเฉวียนเซิ่งรู้ว่าเวินหย่าลี่ไม่พอใจ แต่ก็ไม่อยากให้นางทำเกินเลย

ถึงอย่างไรวันนี้ก็มีแขกเหรื่อมากันเยอะ จวนเจิ้นกั๋วกงของพวกเขาจะอับอายขายหน้าไม่ได้

ดีหรือร้ายอย่างไรเวินหย่าลี่รู้จักกาลเทศะอยู่บ้าง ดังนั้นจึงไม่ได้กล่าวต่ออีก

ทว่าต่อให้ไม่เอ่ยแล้ว แต่การกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ในพิธีกลับมีอยู่ไม่น้อย

ถึงอย่างไรลำดับก่อนหลังของการสวมกวานนี้

ถ้าอิงตามกฎเกณฑ์ เดิมทีควรหวีผมสวมกวานให้เวินซื่อก่อน หลังจากนั้นค่อยเป็นเวินเยวี่ย

แต่เวินหย่าลี่ไม่ชอบเวินซื่อ ดังนั้นจึงหวีผมสวมกวานให้เวินเยวี่ยก่อนทันที

ตอนที่กล่าวคำอวยพร นางยิ้มแย้มเต็มเปี่ยมกล่าวคำอวยพรหลายสิบประโยคเต็ม ๆ น้ำเสียงแต่ละประโยคเต็มไปด้วยความเอ็นดู

ใครไม่รู้ยังนึกว่าเวินเยวี่ยถึงเป็นบุตรสาวแท้ ๆ ของนาง อ้อไม่สิ เป็นลูกสะใภ้ของนาง

เมื่อถึงคราวเวินซื่อก็เปลี่ยนท่าทีเป็นคนละแบบโดยสิ้นเชิง

ดูเย็นชาอย่างไม่ปกปิดเลยสักนิดเดียว แม้แต่คำอวยพรก็เป็น ‘ขอให้ปลอดภัยมีความสุข’ อย่างส่ง ๆ แค่ประโยคเดียว

บรรดาแขกเหรื่อที่อยู่ด้านล่างไม่รู้สึกแปลกใจเช่นกัน

อย่างไรเสียใครอยากจะอวยพรคนที่มีจิตใจชั่วช้ากันเล่า?

“พิธีสวมกวานเสร็จสิ้น ผู้ปักปิ่นโปรดกลับห้อง สวมชุดพิธีการ รับการ...”

“ไม่มีชุดพิธีการ ข้ามไปเถิด ดำเนินลำดับขั้นตอนถัดไป”

ในขณะที่ผู้ประกาศในงานพิธีประกาศลำดับพิธี เวินเฉวียนเซิ่งก็ตัดบทของผู้ประกาศในงานพิธีด้วยน้ำเสียงเย็นชา

ผู้ประกาศในงานพิธีอึ้งไป แต่ท้ายที่สุดยังคงเชื่อฟังคำพูดเจิ้นกั๋วกงอย่างเฉลียวฉลาด ข้ามขั้นตอนเปลี่ยนชุดพิธีการนี้ไปยังพิธีมอบดอกไม้สิริมงคลซึ่งเป็นขั้นตอนถัดไปทันที

วันนี้มีแขกมาร่วมงานไม่น้อยเพื่อเป็นเกียรติแก่เจิ้นกั๋วกง

นอกจากผู้มีตำแหน่งสูงส่งเหล่านั้นแล้ว ผู้สูงศักดิ์เกือบทั้งหมดในเมืองหลวงต่างมากันหมด

ต่อให้ไม่ได้มาด้วยตนเอง ก็ส่งคนในครอบครัวมามอบดอกไม้อวยพรให้ผู้ปักปิ่นทั้งสองคนตอนพิธีมอบดอกไม้สิริมงคล

ดังนั้นเวลานี้ผู้คนมากมายที่อยู่ข้างล่างปะรำพิธีล้วนถือดอกไม้ไว้ในมือ กลับไม่มีใครลุกขึ้นมาเป็นคนแรก

แค่พากันวิพากษ์วิจารณ์...

“เหตุใดไม่ให้พวกนางไปเปลี่ยนชุดพิธีการเล่า?”

“ไม่ได้ยินที่เจิ้นกั๋วกงกล่าวหรือ ไม่ได้เตรียมชุดพิธีการให้คุณหนูทั้งสอง เช่นนี้จะเปลี่ยนได้อย่างไร?”

“ไม่ได้เตรียมไว้ที่ใดกันเล่า ข้าได้ยินว่าเมื่อหนึ่งวันก่อนชุดพิธีการของคุณหนูหกถูกคุณหนูห้าทำลายไปแล้ว”

“เป็นนางอย่างที่คิดไว้จริง ๆ ด้วย!”

“คุณหนูห้าผู้นี้ช่างจิตใจชั่วช้าเสียจริง งานสำคัญถึงเพียงนี้ยังจะทำลายชุดพิธีการของน้องสาวตนเองอีก”

“เช่นนั้นนางไม่มีชุดพิธีการให้เปลี่ยนเหมือนกันได้อย่างไร?”

“นี่ยังต้องเอ่ยอีกหรือ จะต้องถูกท่านเจิ้นกั๋วกงลงโทษอย่างแน่นอน”

“เกินไปแล้วจริง ๆ คนเช่นนี้ไม่คู่ควรได้รับดอกไม้สิริมงคลหรอก!”

“หากทุกคนต้องมอบก็มอบให้คุณหนูหก อย่ามอบให้นางเลย!”

“ถูกต้อง!”

ผู้คนพากันวางดอกไม้ที่ใช้สำหรับอวยพรให้ผู้ปักปิ่นในมือของพวกเขาลงตรงหน้าเวินเยวี่ยทั้งหมดภายใต้ความโกรธเกรี้ยว
Continue to read this book for free
Scan code to download App
Comments (3)
goodnovel comment avatar
รัตติกาล วรรณถาวร
อยู่ๆจะเกลียด ก็เกลียดแบบไม่มีเหตุผล โดนของแน่ๆ
goodnovel comment avatar
นราภรณ์ วรรณพฤกษ์
งงกะคนแต่งนิยาย
goodnovel comment avatar
Iam Honeybee
งง อ่านตั้งแต่ตอนแรกก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมพอ 6 มา แล้วทุกคนเกลียด 5 เขาโดนยาสเน่ห์กันทั้งบ้านทั้งเมือง หรืออุปาทานหมู่ หรืออะไร .. หาเหตุผลไม่เจอ
VIEW ALL COMMENTS

Related chapters

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 8

    เมื่อเวินฉางอวิ้นเดินขึ้นมาบนปะรำพิธี สายตาทอดมองไปที่น้องสาวทั้งสองคน เดิมทียังลังเลอยู่บ้างแต่เมื่อสบสายตาคาดหวังของเวินเยวี่ย เขาก็คลายหัวคิ้วในพริบตาหัวเราะอย่างไม่มีทางเลือกช่างเถิด หากจะโทษก็ได้แต่โทษน้องห้าที่ไม่ได้รับความชื่นชอบเองใครใช้ให้นางมีนิสัยอิจฉาริษยา ไม่ยอมให้น้องหกเลยสักนิดเล่าดังนั้นเวินฉางอวิ้นจึงไม่ลังเลอีกต่อไป เดินผ่านหน้าเวินซื่อแล้วยื่นดอกไม้ให้เวินเยวี่ยจากนั้นก็เป็นเวินจื่อเฉิน เวินจื่อเยวี่ย เวินอวี้จือ...รวมถึงคนสกุลเวิน ทุกคนต่างก็มอบดอกไม้ให้เวินเยวี่ย ก็เหมือนกับชาติที่แล้ว...เวินซื่อผู้โดดเดี่ยวกับเวินเยวี่ยที่ล้อมรอบไปด้วยดอกไม้สดและคำอวยพรเวินซื่อไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย ถึงอย่างไรนางก็รู้ผลสรุปเช่นนี้มานานแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่คาดหวังใด ๆ อีกต่อไปอย่างแน่นอนหลังจากคนเหล่านั้นก็เป็นชุยเส้าเจ๋อ เทียบกับดอกไม้หนึ่งดอกที่คนอื่นมอบให้แล้ว เขาหอบดอกไม้บานหลากสีสันกำใหญ่เต็ม ๆ ไม่มองเวินซื่อสักแวบเดียว ก่อนจะยัดใส่อ้อมแขนของเวินเยวี่ยโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย“น้องเยวี่ยเอ๋อร์ ดอกฉยงฮวาอวยพรวันเกิด ดนตรีเสียงสวรรค์ห้อมล้อมคว

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 9

    “ไม่ได้นะ!”“ไม่มีทาง!” แค่คำสาบานเดียวเท่านั้น เดิมที่นึกว่าชุยเส้าเจ๋อน่าจะรับปากได้ แต่ใครก็คิดไม่ถึงว่าชุยเส้าเจ๋อจะมีปฏิกิริยารุนแรงถึงเพียงนั้นสิ่งที่แปลกประหลาดยิ่งกว่านั้นคือ คนที่มีปฏิกิริยารุนแรงเช่นเดียวกันยังมีอีกคน“น้องหก?” พวกเวินฉางอวิ้นมองไปทางเวินเยวี่ยด้วยความประหลาดใจ เวินเยวี่ยมีสีหน้าแข็งทื่อเมื่อตระหนักได้ว่าเมื่อครู่นี้นางยั้งสติไม่อยู่มากเกินไป นางจึงรีบเก็บงำอารมณ์ ฝืนยิ้มมุมปากพลางเอ่ยว่า “ไม่ใช่นะ...คือว่า ข้า...ข้าแค่รู้สึกว่าเงื่อนไขที่พี่หญิงเสนอออกมานี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยเหมาะสมมากนัก หะ...หากต่อไปพี่เส้าเจ๋อเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาเล่า? ดังนั้น พี่หญิงเหลือทางถอยให้ตนเองหน่อยไม่ดีกว่าหรือ?”เวินฉางอวิ้นผู้เป็นพี่ใหญ่ขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกว่าคำพูดนี้ของนางดูแปลกพิกลนิด ๆเวินจื่อเยวี่ยผู้เป็นพี่สามไม่มีปฏิกิริยาอะไรเวินอวี้จือผู้เป็นพี่สี่กลับมองเวินเยวี่ยและมองชุยเส้าเจ๋ออย่างใคร่ครวญ เทียบกับพวกเขาแล้ว เวินจื่อเฉินผู้เป็นพี่รองเชื่อในตัวเวินเยวี่ยโดยสิ้นเชิงว่ามีจิตใจบริสุทธิ์ เขาจึงไม่ได้คิดมากมายเช่นนั้น “พอได้แล้วน้องหก ข้ารู้ว่าเจ้าเป

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 10

    “พวกท่านกล่าวถูกต้อง ข้าไม่ใช่น้องสาวของข้า และข้าก็ไม่ได้ใจดีเหมือนนาง ทุกคนที่เคยรังแกข้าและเคยเหยียดหยามข้า ข้าจะเอาคืนให้หมด” น้ำเสียงของเวินซื่อเย็นชา นางมองชุยเส้าเจ๋อ จากนั้นก็เอ่ยคำพูดที่ชาติก่อนนางนึกเสียใจนับครั้งไม่ถ้วนที่ไม่อาจเอ่ยออกมาต่อหน้าผู้คนด้วยปากของตัวเอง...“ชุยเส้าเจ๋อ ท่านอยากถอนหมั้นไม่ใช่หรือ? ได้ ข้าตกลง และไม่ต้องให้ท่านตกลงเงื่อนไขใด ๆ ด้วย เพียงแต่ว่าหลังจากนี้ไป ข้าเวินซื่อไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับจวนจงหย่งโหวของพวกท่านอีกต่อไปแล้ว!”เมื่อสิ้นคำพูดของนาง ทั่วทั้งงานก็เงียบกริบแม้แต่ชุยเส้าเจ๋อก็อดตกตะลึงไม่ได้ ยะ....ยอมตกลงเช่นนี้เลย?เขานึกว่าเรื่องการถอนหมั้นในวันนี้จะไม่มีทางราบรื่นเป็นอันขาด เขานึกว่าเวินซื่อคงไม่ยินยอมง่าย ๆนึกว่าเวินซื่อจะตามตื๊อ จะร้องไห้โวยวาย...ก่อนจะมาชุยเส้าเจ๋อเคยคิดถึงความเป็นไปได้มากมาย แต่สิ่งเดียวที่เขาไม่เคยคิดก็คือเวินซื่อจะยอมตกลงง่ายดายเช่นนี้จริง ๆไม่สิ ก็ไม่ถือว่าง่ายดาย นางยังตบเขาหนึ่งฉาดด้วย เมื่อคิดถึงตรงนี้ ชุยเส้าเจ๋อที่รู้สึกเสียหน้าก็ทำหน้าเคร่งขรึมทันที เขาลูบแก้มที่แสบร้อนของตัวเอง

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 11

    เวินฉางอวิ้นแสดงสีหน้าที่ไม่เห็นด้วยกฎประจำตระกูลของสกุลเวินไม่ใช่แส้ทั่วไป แต่เป็นแส้เหล็กที่สั่งทำพิเศษ เฆี่ยนตีห้าสิบที ชายวัยกลางคนยังต้องนอนพักสิบวันถึงครึ่งเดือน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนาง?ในดวงตาของเวินเยวี่ยที่ยืนอยู่ข้างๆ เต็มไปด้วยความสุขคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเวินซื่อจะรนหาที่ตายเอง!นางต้องลองคิดดูว่า จะให้ท่านพ่อตอบตกอย่างไรดี แค่ท่านพ่อตอบตกลง เฆี่ยนห้าสิบที สามารถทำให้เวินซื่อเหลือแค่ครึ่งชีวิตแน่นอน!แต่สิ่งที่เวินเยวี่ยยิ่งคาดคิดไม่ถึงคือ นางไม่จำเป็นต้องลงมือ ตอนที่เวินเฉวียนเซิ่งถามเวินซื่อ นางกลับรนหาที่ตายเองอีกครั้ง“เจ้าเอาจริงหรือ?”เวินเฉวียนเซิ่งก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าเวินซื่อจะเป็นคนเสนอขอรับโทษเอง อีกทั้งยังเป็นการลงโทษที่หนักเช่นนี้เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย นึกถึงอุบายที่เวินซื่อใช้ชิงความโปรดปรานในยามปกติ เขาหรี่ตาแล้วเตือน“ข้าเกลียดคนที่เล่นละครต่อหน้าข้าที่สุด”เมื่อเวินซื่อเงยหน้าก็ประสานกับสายตาที่น่ารังเกียจของเขา นางหัวเราะเบาๆ ทีหนึ่ง ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยการหัวเราะเยาะตัวเอง “ข้าต้องทำอย่างไรจึงจะไม่ใช่คนที่แสร้งเล่นละครในสายตาท่านพ่อ?” คือต้อง ‘เชื

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 12

    นางใช้ร่างกายที่ผอมบางรับแส้ที่อยู่ข้างหลังทั้งเช่นนี้เวินฉางอวิ้นก้มมอง พลางเฆี่ยนตีอย่างไร้ความปรานี ราวกับต้องการเฆี่ยนกระดูกของเวินซื่อให้แหลกทั้งร่างเวินซื่อรู้สึกถึงความเจ็บแล้วแต่น่าเสียดาย ความเจ็บบนร่างกายไม่สามารถเทียบกับความเจ็บในก้นบึ้งหัวใจดังนั้นแส้ของเวินฉางอวิ้นไม่เพียงไม่สามารถเฆี่ยนกระดูกของเวินซื่อแหลก กลับกันยิ่งทำให้ความเกลียดชังที่โกรธแค้นในใจนางควบแน่นมากขึ้นต่อให้ต้องตาย นางก็จะไม่ละเว้นเวินเยวี่ยกับทุกคนในสกุลเวินเด็ดขาด!ห้าสิบทีไม่ขาดไม่เกินแม้แต่ทีเดียวตอนที่เวินฉางอวิ้นเฆี่ยนครั้งสุดท้าย ผิวหนังบนหลังของเวินซื่อปริแตกและมีเลือดไหลนานแล้ว เสื้อผ้าท่อนบนของนางถูกย้อมเป็นสีแดงและเปียกโชกด้วยเลือดเวินฉางอวิ้นมองเลือดที่หยดลงมาจากแส้ แล้วมองเวินซื่อที่ไม่ส่งเสียงแม้แต่น้อย และยืนหยัดไม่ล้มจนถึงแส้สุดท้ายแวบหนึ่งไม่รู้เพราะเหตุใด เขารู้สึกจุกในอกอย่างน่าประหลาดเวินฉางอวิ้นที่ไม่ต้องการอยู่ดูอีก โยนแส้ให้คนรับใช้ หลังจากขมวดคิ้ว กล่าวทิ้งท้ายประโยคหนึ่ง “เจ้าลองพิจารณาตัวเองอยู่ที่นี่ให้ดี” จากนั้นก็พาคนรับใช้ไปจากโถงบรรพชนแล้วทันทีที่เขาไป

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 13

    หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม เวินซื่อก็มายืนอยู่ในห้องทรงพระอักษรของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันการเข้าวังหลวงของนาง สามารถกล่าวได้ว่าเรียบง่ายและสบายมากเพราะในมือของนางยังมียันต์คุ้มภัยอีกชิ้นที่ท่านแม่เหลือไว้ให้นาง…นั่นก็คือป้ายคำสั่งที่อดีตฮ่องเต้ประทานชาติที่แล้วป้ายคำสั่งชิ้นนี้ถูกบ่าวไพร่ที่คอยรับใช้ข้างกาย หรือก็คือชุนเซียงขโมยไปให้เวินเยวี่ย จนทำให้นางจนหนทางโชคดีที่นางเกิดใหม่ในชาตินี้ ป้ายคำสั่งยังไม่ถูกขโมยดังนั้นนางจึงสามารถอาศัยป้ายคำสั่งของอดีตฮ่องเต้ มายืนอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้หนุ่มองค์นี้ “หม่อมฉันเวินซื่อ ถวายบังคมฝ่าบาท”“เวินซื่อ? เราจำได้ว่าเจ้าคือลูกสาวคนที่ห้าของเจิ้นกั๋วกงใช่หรือไม่?”ฮ่องเต้ที่นั่งอยู่ด้านหลังของโต๊ะทรงพระอักษรวางฎีกาลง แล้วมองเวินซื่อที่คุกเข่าอยู่บนพื้นแวบหนึ่งฮ่องเต้องค์นี้คือพระราชโอรสองค์ที่เก้าของอดีตฮ่องเต้ ขณะขึ้นครองราชย์มีพระชนมายุเพียงสิบเอ็ดชันษา ต่อให้เป็นปัจจุบันก็มีพระชนมายุเพียงสิบห้าชันษาแม้อายุเท่ากับเวินซื่อ แต่ความน่าเกรงขามบนร่างกายที่สวมชุดมังกรของเขาทำให้ไม่สามารถมองข้าม และถึงขั้นให้ความรู้สึกกดขี่อย่างคลุมเครือเวินซื่

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 14

    ช่างเถอะ ไม่ว่าจะเห็นแก่ใคร ตราบใดที่มีโอกาสก็พอ“ฝ่าบาทโปรดชี้แนะด้วยเพคะ”เวินซื่อกล่าวอย่างนอบน้อมฮ่องเต้น้อยลุกขึ้น เดินไปที่ตรงหน้าเวินซื่อ แล้วคืนป้ายคำสั่งให้นาง“ในช่วงสองปีมานี้ ทางใต้ของแคว้นเกิดภัยพิบัติอย่างต่อเนื่อง ราษฎรทุกข์ร้อน เราค่อนข้างกังวล จำเป็นต้องมีใครสักคน คอยอธิษฐานขอพรให้แคว้นและราษฎรจากใจจริง”“หม่อมฉันยินดีเพคะ!”เวินซื่อตอบตกลงทันทีฮ่องเต้น้อยกลับส่ายศีรษะด้วยรอยยิ้ม “เจ้ายินดียังไม่พอ อารามสุ่ยเยว่บนภูเขาหนานที่อยู่นอกเมืองหลวง ผู้ดูแลอารามคือซือไท่ที่มีคุณธรรมและบุญบารมีสูงส่ง ถ้าหากซือไท่ท่านนั้นก็เห็นด้วยเช่นกัน เราจะตอบตกลงเจ้า” “เพคะ ขอบพระทัยฝ่าบาท!”“อย่าเพิ่งด่วนขอบคุณ ถ้าหากซือไท่ไม่เห็นด้วย เราจะไม่อนุโลมเจ้า”กล่าวจบ ฮ่องเต้น้อยก็โบกมือ “ไปเถอะ เรารอข่าวจากเจ้า”สำหรับเวินซื่อ ตอนนี้นางไม่มีทางเลือกอื่นแล้วดังนั้นไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ขอแค่สามารถไปจากสกุลเวิน ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟ นางก็จะลองดูสักตั้งในตอนที่เวินซื่อหมุนกายเตรียมจากไป จู่ๆ ฮ่องเต้น้อยก็เรียกนางอีก“รอก่อน”เวินซื่อหยุดฝีเท้า หันกลับไปมองด้วยความสงสัยเมื่อเห็น

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 15

    ก่อนหน้านี้ เวินซื่อที่เสียเลือดมากเกินไป คุกเข่าอยู่ในห้องทรงพระอักษรเพียงแค่ครู่เดียวก็เกิดอาการหน้ามืดเล็กน้อยตอนนางลุกขึ้นจะกลับแต่นางอดกลั้นไม่ได้เสียมารยาทต่อหน้าฮ่องเต้ เดิมทีคิดว่าจะไปพักผ่อนในรถม้าสักเดี๋ยว แต่ใครจะรู้ว่าทันทีที่เดินออกจากห้องทรงอักษรพระก็ภาพตรงหน้าก็มือไป เห็นข้างหน้าไม่ชัดเจน ครู่ต่อมาที่เต๋อกงกงอุทานว่า “อ๋องผู้สำเร็จราชการแทน” ก็ชนโดนใครคนหนึ่งอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน?หลังจากถูกประคอง เวินซื่อปลายกัดลิ้นตัวเองทีหนึ่งแรง ๆ เมื่อรู้สึกเจ็บ สมองก็แจ่มชัดขึ้นมากเมื่อเงยหน้าเห็นว่าคนที่ประคองนางเป็นใคร ต่อให้ใบหน้าที่เฉยเมยนั้นจะหล่อเหลาเพียงใด นางยังตกใจจนหัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มผมสีเงินที่เป็นเอกลักษณ์นั่น ทั้งราชวงศ์ต้าหมิงมีใครไม่รู้จัก?นี่ก็คือเทพสงครามที่สังหารผู้คนนับไม่ถ้วน อ๋องผู้สำเร็จราชการแทนแห่งราชสำนัก…เป่ยเฉินหยวน“หม่อมฉันเสียมารยาท อ๋องผู้สำเร็จราชการแทนโปรดอภัยด้วยเพคะ”เวินซื่อรีบยืนตัวตรง คำนับอย่างนอบน้อมแน่นอนว่าสิ่งที่นางกลัวไม่ใช่ฉายาเทพสังหารของอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน อย่างไรเสีย ปัจจุบันราชวงศ์ต้าหมิงสามารถสงบสุขเช่นนี้ ล้

Latest chapter

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 386

    ภายในป่า เงียบสงบไปครู่หนึ่ง ถึงมีเสียงหัวเราะเยาะเบาๆ ดังขึ้น“เจ้าพูดถูก ข้าไม่คู่ควร”เป่ยเฉินหยวนสีหน้าเย็นชา สายตาเย็นเยียบ “แต่เจ้าไม่คู่ควรยิ่งกว่า”“เจ้าอยากจะใช้คนร้ายที่หลบหนีไปได้มาบีบบังคับข้า น่าเสียดาย ข้าไม่หลงกลเจ้า”เป่ยเฉินหยวนพูดจบก็ยกมือขึ้น กองทัพธงดำจำนวนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นทันที ล้อมอันหลันซินเอาไว้อันหลันซินตกใจทันที ในใจเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี“ท่านคิดจะทำอะไร?”เป่ยเฉินหยวนกล่าวอย่างเย็นชา “ขอบคุณอู๋โยวให้ดีเถอะ หากมิใช่เพราะนาง หัวของเจ้าคงถูกข้าตัดเอาไปเตะเล่นนานแล้ว”พูดจบเขาก็หันหลังกลับไปออกคำสั่ง “เอาตัวไป มัดให้แน่นแล้วส่งไปให้หนิงหย่วนโหว ให้เขาเฝ้าไว้ให้ดีๆ ขอแค่ไม่ตาย จะจัดการอย่างไรก็แล้วแต่เขา แต่ถ้าคนหนีไป ข้าจะเอาเรื่องกับเขา”“พ่ะย่ะค่ะ!”กองทัพธงดำหลายนายรีบเข้ามาทันทีไม่!ไม่ได้!นางจะถูกพาตัวไปไม่ได้!นางอุตส่าห์รอโอกาสนี้มาอย่างยากลำบาก หากถูกพาตัวไปแล้ว ต่อไปนางจะกลับมาหาอาซื่อได้อย่างไร!อันหลันซินเห็นท่าไม่ดี อ้าปากกำลังจะร้องตะโกน“อึก...”น่าเสียดายที่นางเพิ่งจะส่งเสียงออกมา ฝักกระบี่ก็ฟาดลงบนคอของนางอย่างแรงทำให้นางสลบไ

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 385

    คนที่ปรากฏตัวอยู่ด้านนอกรถม้าของเป่ยเฉินหยวนคืออันหลันซิน“ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน หม่อมฉันจะทำอะไรท่านได้ ท่านจะระแวงหม่อมฉันขนาดนี้ไปทำไมเพคะ?”อันหลันซินยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวขึ้นเป่ยเฉินหยวนขมวดคิ้ว สายตาไม่พอใจ “มีธุระก็พูด ไม่มีธุระก็ไสหัวไป”ท่าทีที่ไม่เกรงใจเมื่อเทียบกับรอยยิ้มที่แสดงออกมาโดยไม่รู้ตัวเมื่อครู่ ช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวจริงๆอันหลันซินแค่นเสียงหัวเราะในใจเสแสร้งอะไรกันตอนนี้รู้จักปฏิบัติต่อสตรีอื่นอย่างแตกต่างเพราะอาซื่อ แต่ต่อไปความพิเศษเช่นนี้ไม่แน่ว่าจะตกไปอยู่กับสตรีอื่นอย่างไรเสีย บุรุษในโลกนี้ก็เหมือนกันหมดอันหลันซินระงับความรังเกียจในใจ บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยน “เอาละ รู้ว่าท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนไม่ชอบหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันมีข้อแลกเปลี่ยน อยากจะคุยกับท่านสักหน่อยเพคะ”นางพูดเช่นนี้ เป่ยเฉินหยวนกลับไม่มองนางแม้แต่น้อย เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาและดูถูก “อย่างเจ้า มีคุณสมบัติอะไรมาทำข้อตกลงกับข้า?”“ที่ข้ายอมให้เจ้าอยู่ในขบวนนี้จนถึงตอนนี้ ก็เพียงเพราะเห็นแก่หน้าอู๋โยว”รอยยิ้มบนใบหน้าของอันหลันซินแข็งค้าง กัดฟันเล็กน้อย“เหอะๆ หม่อมฉั

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 384

    เป่ยเฉินหยวนนอนเอนกายอย่างสบายอารมณ์อยู่ในรถม้า ในขณะเดียวกันก็นอนอยู่ข้างกายเวินซื่อ หลับตาพริ้มขยับศีรษะอย่างมีความสุข ตอบคำถามของนางทีละประโยค“ได้ ไม่แรง ไม่ได้ดึงเลย ปวดนิดหน่อย เพราะซื่อเอ๋อร์ลูบให้ หัวก็เลยไม่ปวดมากแล้ว”เวินซื่อได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกโชคดีที่นางยังจำตำแหน่งกดจุดต่างๆ บนศีรษะที่อาจารย์ม่อโฉวสอนได้ ผสมผสานกับวิธีการนวด แล้วนวดให้เป่ยเฉินหยวน ดูเหมือนว่าผลลัพธ์จะดีเลยทีเดียวเวินซื่อที่คิดว่าได้ผลจริงๆ ก็ยังคงตั้งใจจ้องมองศีรษะของเป่ยเฉินหยวน จดจ่ออยู่กับการผสมผสานวิธีการนวดและกดจุดต่างๆ ของนางหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ภายในรถม้าดูเหมือนจะเงียบสงบลงอย่างสิ้นเชิงเงียบจนแม้ว่าภายนอกจะมีเสียงล้อรถดังอยู่ ก็ยังได้ยินเสียงหายใจแผ่วเบาสม่ำเสมอภายในรถม้าเวินซื่อเงยหน้าขึ้นมอง ก็พบว่าเป่ยเฉินหยวนไม่รู้ว่าหลับตาลงตั้งแต่เมื่อไรแล้วเวินซื่อเห็นดังนั้น มือที่วางอยู่บนศีรษะของเขาก็ค่อยๆ เคลื่อนไหวช้าลง จนกระทั่งพอสมควรแล้ว นางถึงได้ชักมือกลับก้มหน้าลงมองสีหน้าที่อ่อนล้าระหว่างคิ้วของเป่ยเฉินหยวน หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เวินซื่อก็หยิบขวดน้ำทิพย์ออกมาจ

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 383

    “ปวดหัวหรือ? เกิดอะไรขึ้น? ปวดเป็นพักๆ หรือว่าปวดมากตลอดเวลา?”พอเวินซื่อได้ยินเป่ยเฉินหยวนบอกว่าตนเองปวดหัว ก็ไม่ทันได้ใส่ใจกับคำเรียกที่ดูเหมือนจะสนิทสนมเกินไปนั่น รีบถามอย่างกระวนกระวาย“ปวดเป็นพักๆ เหมือนกับมีคนมากมายพูดอยู่ในหัวของข้า หนวกหูมาก ปวดเหลือเกิน”เป่ยเฉินหยวนมองนางอย่างไม่วางตา ชายหนุ่มผู้ซึ่งปกติแล้วสูงใหญ่และพึ่งพาได้เสมอ เวลานี้กลับดูอ่อนแอเหมือนหมาป่าตัวใหญ่ที่ได้รับบาดเจ็บ ทำได้เพียงส่งเสียงร้องครางกับคนตรงหน้าเพื่อระบายความเจ็บปวดของตนเวินซื่อไม่เคยเห็นเป่ยเฉินหยวนในสภาพที่อ่อนแอเช่นนี้มาก่อนแม้แต่ครั้งแรกที่เห็นเขาป่วยที่ริมลำธารเล็กๆ หลังภูเขานั่น เป่ยเฉินหยวนในตอนนั้นก็ยังคงสติไว้ได้บ้างแต่เป่ยเฉินหยวนในตอนนี้ กลับเหมือนแสดงด้านที่อ่อนแอยามเจ็บป่วยออกมาให้นางเห็นอย่างไม่มีปิดบังเวินซื่อจึงลูบหน้าผากเขาด้วยความสงสารทันที แล้วจับชีพจร “ไม่ปวดแล้วๆ ตอนนี้ข้าจะสวดมนต์ให้ท่านอ๋องเดี๋ยวนี้ ท่านนั่งฟังดีๆ อีกเดี๋ยวก็จะไม่ปวดแล้ว”แต่เป่ยเฉินหยวนในตอนนี้กลับเหมือนจะมีความคิดต่อต้านขึ้นมาเล็กน้อย ยื่นมือออกไปคว้าข้อมือของเวินซื่อที่กำลังจะชักกลับ เอ่ยด้วยน้

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 382

    นางมองเวินซื่อด้วยความอาลัยอาวรณ์หางตากลับเหลือบไปมองเป่ยเฉินหยวนและเด็กสาวที่อยู่ข้างโต๊ะนั่นอย่างเย็นชาเพิ่มมาอีกคนแล้วแต่ไม่เป็นไร ยังไม่จบหรอกหลังจากที่นายท่านสกุลผังกลับไปแล้ว ไม่นานก็ส่งสัญญาขายตัวมาให้ตามคาด ทั้งยังเขียนหนังสือหย่าอนุภรรยาอย่างเป็นเรื่องเป็นราวมาหนึ่งฉบับจริงๆเมื่อได้สัญญาขายตัวและหนังสือหย่าอนุภรรยา อันหลันซินก็ไปจากที่นี่เวินซื่อให้จู๋เยวี่ยติดตามไประยะหนึ่งแน่นอนว่าเพื่อจับตาดู“เป็นอย่างไรบ้าง?”หลังจากที่จู๋เยวี่ยกลับมา เวินซื่อก็เอ่ยถาม“ดูเหมือนว่าจะมีเศษเงินที่ซ่อนเอาไว้ ซื้อของกินเล็กน้อย ห่อไว้แล้วก็ออกจากเมืองไป ดูท่าทางน่าจะกลับเมืองหลวง”กลับเมืองหลวง...จินโจวอยู่ห่างจากเมืองหลวงขนาดนี้ นางคิดจะเดินเท้ากลับไปหรือ?แล้วยังมีบิดาของนางในเมืองหลวง ทั้งภรรยาเอกและพี่สาวต่างมารดาพวกนั้น คงจะไม่ปล่อยนางไปกระมัง?ถึงอย่างนั้นนางก็ยังคิดจะกลับไป?เวินซื่อขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็คลายปมคิ้วไม่สิ นางจะเป็นห่วงอันหลันซินทำไมกัน?ต่อจากนี้ไปอันหลันซินจะเป็นตายร้ายดีก็ไม่เกี่ยวข้องกับนางที่นางช่วยครั้งนี้ก็เพราะเห็นแก่คว

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 381

    ยังคงเป็นสองคำนั้น เพียงแต่คราวนี้เวินซื่อเป็นคนพูดนางเรียกนายท่านผังและบุตรชายเอาไว้ กำลังจะเอ่ยถาม “เช่นนั้นอันหลันซินกับลูกชายท่าน...”“ข้าน้อยกลับไปแล้วจะรีบให้คนนำสัญญาขายตัวของคุณหนูอันมาส่งให้ทันที และจะให้บุตรชายข้าเขียนหนังสือหย่าอนุภรรยา เพื่อเป็นหลักฐาน!”แม้ว่าตั้งแต่สมัยโบราณจะมีเพียงหนังสือหย่าภรรยา ไม่มีหนังสือหย่าอนุภรรยา แต่วันนี้ต่อให้มันไม่มีก็ต้องมี!นายท่านผังก็กลัวจริงๆ เขากลัวว่าหากทำให้บรรพบุรุษทั้งสองท่านนี้โกรธขึ้นมาอีก ถึงตอนนั้น ไม่ใช่แค่ลูกชายเท่านั้นที่จะหายไป แม้แต่สกุลผังก็จะหายไปด้วย!เวินซื่อเลิกคิ้ว เห็นอีกฝ่ายเข้าใจสถานการณ์เช่นนี้ นางจึงไม่ได้พูดอะไรมากอีก“รีบส่งมาเร็วๆ อย่าให้เสียเวลา”นายท่านผังได้ยินดังนั้น ก็รู้ว่าเรื่องร้ายนี้ในที่สุดก็สิ้นสุดลงแล้ว จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก รีบพาบุตรชายหนีไปอย่างรวดเร็วรอจนเป่ยเฉินหยวนจัดการกับเหล่าขุนนางที่เกี่ยวข้องกับอันหลันซินจนเสร็จสิ้นทั้งหมดแล้ว เวินซื่อจึงหันไปมองเขาด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนที่ช่วยข้าระบายความโกรธ ข้าไม่มีอะไรจะตอบแทน ได้แต่สวดมนต์ขอพรให้ท่านทุกวัน”พูดไ

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 380

    ดูจากตอนนี้ โชคดีที่เลือกไม่ผิดธิดาศักดิ์สิทธิ์ชอบจริงๆ ด้วยนอกจากปลูกสมุนไพร ยังได้ยินมาว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์กำลังเรียนวิชาแพทย์ แต่ละอย่างล้วนช่วยผู้คนสมกับเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์งดงามทั้งรูปโฉมและจิตใจหวังโฉ่วอันที่รู้ว่าเวินซื่อเรียนวิชาแพทย์ แต่กลับไม่รู้ว่าเรียนพิษศาสตร์ด้วยคิดเช่นนั้นหลังมอบของขวัญเสร็จ หวังโฉ่วอันไม่มองเหล่าขุนนางที่คุกเข่าอยู่ตรงทางเข้า ซึ่งกำลังยักคิ้วหลิ่วตาให้เขาอย่างบ้าคลั่งสักนิด เอ่ยลาแล้วจากไปทันทีทิ้งขุนนางเหล่านั้นให้มองหน้ากันเอง พวกเขาคุกเข่าจนขาแทบหัก แต่กลับไม่มีใครกล้าลุกขึ้นกระทั่งบางคนที่ขยับตัวแม้แต่นิดเดียว พอเงยหน้าขึ้นพลันได้เห็นสายตาพิฆาตของท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนความกดดันที่รุนแรงอย่างนั้น ไม่มีใครรับไหวดังนั้นตลอดบ่ายจึงต้องรอคอยอย่างสำรวมหลังจากรอให้เป่ยเฉินหยวนดูสมุดบัญชีเหล่านั้นทั้งหมด ได้ขอเบี้ยหวัดทหารจากสกุลผางถึงห้าสิบล้านตำลึง เรื่องนี้จึงถือว่าจบลงแต่ก็ใช่ว่าจะจบลงทั้งหมดตอนคุณชายใหญ่สกุลผางถูกลากตัวออกมา เหมือนหมูตายตัวหนึ่ง ปวดจนหมดสติไปนานแล้วถ้าเป่ยเฉินหยวนไม่สั่ง ไม่มีใครกล้ารักษามือให้คุณชายใหญ่ส

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 379

    เมื่อพูดคำนี้ออกไป ทำให้นายท่านผางตกใจจนรีบลุกขึ้น แล้วหอบเอาสมุดบัญชีสั่งให้คนไปจัดเตรียมเขาจากไปแล้ว แต่ตรงทางเข้ายังมีคนกลุ่มใหญ่ที่ไม่กล้าขยับ“ทำไมพวกเขายังไม่ไปอีก?”เวินซื่อถามอย่างสงสัยอีกครั้งเป่ยเฉินหยวนกล่าว “เพราะโหวกเหวกเกินไป ดังนั้นข้าสั่งให้พวกเขาคุกเข่าอยู่ตรงทางเข้า รอให้ข้าจัดการธุระเสร็จแล้ว ค่อยไปจัดการพวกเขา”คนพวกนี้จะได้ไม่ต้องกินอิ่มแล้วไม่มีการมีงานให้ทำเสียงของเป่ยเฉินหยวนดังกำลังพอดี ทว่าพวกที่อยู่ตรงทางเข้าก็ได้ยินอย่างพอดีเช่นกันคราวนี้ มีขุนนางหลายคนตกใจจนตัวสั่นงกๆ เหงื่อแตกท่วมหัวไปหมดหากรู้แต่แรกพวกเขาไม่น่าเห็นแก่เงินทอง รับปากนายท่านผางเลย!คราวนี้ดีละ ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนบอกว่าจะจัดการพวกเขา เช่นนั้นพวกเขายังรอดไปได้หรือ? !“เร็ว รีบไปเชิญใต้เท้าผู้ว่าการหวังมา ไม่อย่างนั้นพวกเราจบเห่กันหมดแน่!”มีคนแอบส่งสายตาให้คนข้างนอกในไม่ช้า หวังโฉ่วอันก็มาถึงแต่น่าเสียดายที่ไม่ได้มาขอร้องให้พวกเขา“กระหม่อมคารวะธิดาศักดิ์สิทธิ์ คารวะท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน”พอหวังโฉ่วอันมาถึงก็มองข้ามกลุ่มคนตรงทางเข้า เข้าไปทำความเคารพตรงหน้าเวิ

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 378

    ตอนฉางเสี่ยวหานได้ยินว่าไม่ต้องทำสัญญา กลับรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยหากทำสัญญาขายตัวจริง เช่นนั้นนางจะกลายเป็นคนของธิดาศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง ต่อไปธิดาศักดิ์สิทธิ์ไปถึงไหน นางก็จะได้ตามไปถึงนั่นอย่างเปิดเผยแต่น่าเสียดายที่ธิดาศักดิ์สิทธิ์ไม่ทำสัญญาฉางเสี่ยวหานจึงต้องเก็บความผิดหวังไว้ในใจแต่ว่าไม่เป็นไร ต่อให้ตอนนี้ไม่มีสัญญาขายตัว แต่นางก็จะทำให้ดี คงมีสักวันที่นางได้กลายเป็นคนของธิดาศักดิ์สิทธิ์!เมื่อคิดได้ดังนั้น ฉางเสี่ยวหานให้กำลังใจตัวเองสักครู่ ต่อมาจึงเริ่มหางานให้ตัวเองทำภายในห้องของเวินซื่อนางเป็นสาวใช้เพียงคนเดียวข้างกายธิดาศักดิ์สิทธิ์ นางจะเหมางานทุกอย่างรอบตัวธิดาศักดิ์สิทธิ์มาให้หมด! ทั้งหมดเลย!หลังเวินซื่อแต่งตัวเสร็จจึงลงมาชั้นลาง ด้านหลังมีหางตัวน้อยตามมาด้วยหนึ่งขณะนี้เป่ยเฉินหยวนกำลังนั่งอยู่ในห้องโถงของโรงเตี๊ยม ตรงโต๊ะข้างหน้ามีสมุดบัญชีวางอยู่หนึ่งกองใหญ่ ตรงทางเข้าห้องโถงมีคนคุกเข่าเป็นกลุ่มใหญ่เช่นกันเมื่อได้ยินเสียงลงมาชั้นล่าง เป่ยเฉินหยวนเงยหน้าขึ้นทันที “ตื่นแล้วหรือ? รีบมากินอาหารสิ ให้คนอุ่นอาหารไว้ให้ท่านแล้ว”“ได้”เวินซื่อเดินไปนั่ง

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status