ฉู่หลิงแวมไพร์สาวแห่งโลกอนาคตถูกจับกุมตัวได้โดยกลุ่มผู้พิทักษ์มนุษย์ในโลกยุคใหม่ พวกเขาส่งเธอเข้าไปในนอนในโลงศพ และเป็นต้นเหตุให้เธอถูกส่งตัวกลับมายังยุคโบราณ กลายเป็นแวมไพร์หนึ่งเดียวบนแผ่นดินต้าหยวน! จากแวมไพร์ยุคอนาคตที่ขาดอาหารเพราะการโต้กลับของมนุษย์ นางก้าวออกจากโลงศพอีกครั้งในยุคโบราณก็ได้มาพบกับเด็กมนุษย์ฝูงใหญ่! ก้อนเลือดสีแดงสดหลายก้อน วิ่งผ่านหน้าแวมไพร์สาวทุกวัน แต่ฉู่หลิงไม่อาจแตะต้อง! นั่นเป็นเพราะยาที่ถูกฉีดเข้าไปในร่างกายได้ยับยั้งความกระหายเลือดและพลังทั้งหมดของนาง แวมไพร์สาวต้องอดทนรอเป็นเวลา 3 ปี ให้พลังและเขี้ยวของตนงอกกลับคืนมา ขณะเดียวกันก็เริ่มวางแผนการครอบครองโลกโบราณโดยจะใช้เด็กๆ ที่นางพบเจอมาเป็นลูกสมุนอันดับต้นๆ ไม่ต้องห่วงเด็กๆ ของเราเลยจ้าาา เป็นห่วงแวมไพร์สาวผู้ไร้พลังของเรากันก่อนเถอะ!! การเป็นมนุษย์ธรรมดาไม่ใช่เรื่องง่ายๆ และนางยังต้องเลี้ยงดูเด็กๆ ให้เติบโตจนกว่าพลังจะกลับคืนมา การดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดก็ยังมีอุปสรรคเข้ามาขัดขวางไม่หยุดหย่อน ให้ตายเถอะแวมไพร์อย่างฉู่หลิงต้องมาขายซาลาเปา! เมื่อเด็กในหอหงไถที่นางเลี้ยงดูอยู่ถูกคุกคาม และนางจำเป็นต้องปกป้องพวกเขา รอการฟื้นฟูร่างกายเมื่อครบกำหนด 3 ปี เหตุการณ์ไม่คาดฝันจึงเริ่มต้นขึ้น
ดูเพิ่มเติมซาลาเปาใกล้จะสุก กลุ่มเด็กชายทั้งหมดก็ตื่นขึ้นมาล้างหน้าขัดฟันเช่นกัน เจียวจ้าน ฝานเจิ้ง อู๋ซินและอู๋ฉี สี่พี่ชายใหญ่ ทำหน้าที่แบกปลา 7 ตัวที่ขังไว้ในถังไม้ตั้งแต่เมื่อวานออกไปเตรียมวางขายหน้าหอหงไถ ตามด้วยน้องชายที่เหลืออีก 8 คนจับคู่กันนำซาลาเปาร้อนๆ 40 ลูกออกไปทีหลัง“มากันเสียที ข้าจะรีบไปขึ้นเกวียนของหวังหยวน หากพวกเจ้ามาช้ากว่านี้ข้าคงต้องหิ้วท้องแห้งไปจนถึงเมืองสือเจียแน่” นางจวงหญิงวัยกลางคนร่างท้วมเจ้าของคำพูดไม่น่าฟังเมื่อวานปรี่เข้ามาหากลุ่มเด็กชายก่อนใคร“แป้งซาลาเปาของเจ้าทำจากอะไรกันนะ เวลาเคี้ยวเข้าไปทั้งหอมทั้งไม่ติดฟัน ถูกใจข้านัก เอามาให้ข้า 4 ลูกก่อนข้าจะรีบไปแล้ว"ตงหยางได้ยินว่าท่านป้าตรงหน้าจะซื้อซาลาเปาคราวเดียวถึง 4 ลูกเขาก็เลิ่กลั่กทำอะไรไม่ถูก เมื่อวานขายซาลาเปาลูกสองลูกก็ยัดใส่มือคนผู้นั้นไปเสียก็จบ แต่ซาลาเปา 4 ลูกเขาไม่ได้เตรียมอะไรมาห่อให้ลูกค้า “ท่านป้าขอรับ ท่านจะถือไปหมดทั้งสี่ลูกเลยได้หรือไม่ขอรับ” เด็กชายมีสีหน้าลำบากใจ กลัวว่าอีกฝ่ายจะถือไม่หมดแล้วเปลี่ยนใจเป็นซื้อเพียงแค่สองลูกแทน“ไม่มีอะไรใส่ใช่หรือไม่ เอาอย่างนี้ เดี๋ยวข้าจะยืนกินตรงนี้เสียเลยส
“โอ..เกิดอะไรขึ้นกันเล่านี่ พวกเจ้าได้ปลามาเยอะหรือไรถึงพากันออกมาข้างนอกกันหลายคนเช่นนี้” ฉีฟ่งคนเดิมส่งเสียงร้องทักเมื่อเห็นกลุ่มเด็กชายเดินแถวหิ้วตะกร้าออกมาหน้าประตูแต่เช้าตรู่“ท่านลุง วันนี้พวกเราไม่มีปลามาขาย แต่เราขายซาลาเปาขอรับ” เว่ยหลงเคยพบกับนายทหารกลุ่มนี้เมื่อครั้งที่ติดตามเจียวจ้านออกมาขายปลา เขาจึงวิ่งเข้าไปหากลุ่มลูกค้าเก่าที่ช่วยอุดหนุนซื้อปลาไปทุกครั้งที่พวกตนเอาออกมาขาย“หน้าตาดีนี่ สีก็แปลกตาด้วย ดูท่าจะใช้ได้นะ” นายทหารพากันล้อมวงมาดูซาลาเปาในตะกร้าของเว่ยหลงกับตงหยางที่จับคู่กันออกมาขาย“ข้าจะซื้อชิมดูก่อนแล้วกัน เจ้าขายลูกละเท่าไรเล่า” “นี่เป็นไส้ถั่วเขียวขอรับ ลูกละสี่อีแปะ พวกเรามีไส้ถั่วเขียวอย่างเดียวเลย อีกไม่นานถึงจะทำไส้อื่นออกมาขายเพิ่มขอรับ” ตงหยางเป็นฝ่ายตอบบ้างนายทหารห้าคนควักเงินคนละสี่อีแปะออกมาซื้อคนละหนึ่งลูกโดยไม่ลังเล ใช่ว่าพวกตนไม่เคยโยนข้าวสารเข้าไปในกำแพงหอหงไถเสียเมื่อใด คราวนี้เด็กๆ เริ่มหัดค้าขายกันเอง สมควรแล้วที่จะส่งเสริมเห็นน้องเล็กสุดในกลุ่มขายซาลาเปาได้แล้ว กลุ่มเด็กชายที่เหลือก็ตื่นเต้นกันใหญ่ พวกเขารีบเดินออกห่างจากเว่ยหลง เพื่
“ข้าก็ทำของข้าได้เท่านี้ ท่านทำได้ดีกว่านี้ก็ไปทำเองเสียสิ!”“ชิชะ! นังหนู! เจ้ากลับไปกวนไส้เอาไว้เลย พรุ่งนี้ยามอิ๋น (03.00-04.59) ข้าจะไปทำแป้งแล้วจะอยู่นึ่งซาลาเปาให้จนเสร็จ ยามเหม่า (05.00-06.59) ให้เด็กๆ เอาออกไปขายได้เลยก็แล้วกัน!” หญิงชราชี้หน้าหญิงสาวที่ทำท่าแง่งอนใส่ตน“ตกลงเจ้าค่ะ! ข้ากลับแล้ว อีกเดี๋ยวจะให้เจียวจ้านเอาตะเกียงมาทิ้งไว้ให้ท่าน ตอนกลางคืนจะได้เดินไปได้สะดวก หรือท่านจะให้พวกเขามารับ” “ไม่ต้อง! มีตะเกียงแล้วข้าย่อมเดินไปเองได้” “เช่นนั้นก็เอาตามท่านว่า ข้าลาล่ะ!" หญิงสาวเดินฉับๆ เร่งฝีเท้าจากไปอย่างรวดเร็ว แม้แต่ซาลาเปาที่เหลืออยู่ในจานอีกสี่ลูกก็ไม่ทิ้งไว้ให้ยายเฉินดูต่างหน้า หากแต่ใบหน้างามปรากฏรอยยิ้มกว้างแอบขอโทษหญิงชราอยู่ในใจนางเฉินหอบหายใจถี่ด้วยความโมโห กอปรกับเมื่อครู่นางตะเบ็งเสียงแข่งกับฉู่หลิงอยู่นานสองนาน ครู่หนึ่งร่างเล็กก็ทรุดนั่งลงบนแคร่ไม้หน้าเรือน “เหมือนจะมีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้องอยู่หรือเปล่านะ" ท่านยายเฉินขมวดคิ้วมุ่นจนหัวคิ้วพันเป็นเส้นเดียวกัน“นางหญิงบ้า! หลอกข้าอีกแล้ว!” แม้จะทำท่าตีอกชกตัวคล้ายว่ากำลังโมโหอย่างหนัก แต่มุมปากของผู้ชรา
“ข้าก็ทำของข้าได้เท่านี้ ท่านทำได้ดีกว่านี้ก็ไปทำเองเสียสิ!”“ชิชะ! นังหนู! เจ้ากลับไปกวนไส้เอาไว้เลย พรุ่งนี้ยามอิ๋น (03.00-04.59) ข้าจะไปทำแป้งแล้วจะอยู่นึ่งซาลาเปาให้จนเสร็จ ยามเหม่า (05.00-06.59) ให้เด็กๆ เอาออกไปขายได้เลยก็แล้วกัน!” หญิงชราชี้หน้าหญิงสาวที่ทำท่าแง่งอนใส่ตน“ตกลงเจ้าค่ะ! ข้ากลับแล้ว อีกเดี๋ยวจะให้เจียวจ้านเอาตะเกียงมาทิ้งไว้ให้ท่าน ตอนกลางคืนจะได้เดินไปได้สะดวก หรือท่านจะให้พวกเขามารับ” “ไม่ต้อง! มีตะเกียงแล้วข้าย่อมเดินไปเองได้” “เช่นนั้นก็เอาตามท่านว่า ข้าลาล่ะ!" หญิงสาวเดินฉับๆ เร่งฝีเท้าจากไปอย่างรวดเร็ว แม้แต่ซาลาเปาที่เหลืออยู่ในจานอีกสี่ลูกก็ไม่ทิ้งไว้ให้ยายเฉินดูต่างหน้า หากแต่ใบหน้างามปรากฏรอยยิ้มกว้างแอบขอโทษหญิงชราอยู่ในใจนางเฉินหอบหายใจถี่ด้วยความโมโห กอปรกับเมื่อครู่นางตะเบ็งเสียงแข่งกับฉู่หลิงอยู่นานสองนาน ครู่หนึ่งร่างเล็กก็ทรุดนั่งลงบนแคร่ไม้หน้าเรือน “เหมือนจะมีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้องอยู่หรือเปล่านะ" ท่านยายเฉินขมวดคิ้วมุ่นจนหัวคิ้วพันเป็นเส้นเดียวกัน“นางหญิงบ้า! หลอกข้าอีกแล้ว!” แม้จะทำท่าตีอกชกตัวคล้ายว่ากำลังโมโหอย่างหนัก แต่มุมปากของผู้ชรา
เด็กชายสี่คนสลับกันเล่าเหตุการณ์ความคึกคักของเมืองสือเจีย ให้กับเด็กคนอื่น ๆ รวมทั้งฉู่หลิงฟัง พร้อมทั้งแจกจ่ายลูกอมน้ำตาลปั้นให้ทุกคนคนละหนึ่งเม็ดฉู่หลิงเองก็รับเอาน้ำตาลปั้นมาอมไว้ในปากเช่นกัน นางไม่ได้กินขนมหวานเช่นนี้มานานมากแล้ว มีเพียงนางเฉินที่ปฏิเสธ แต่นั่นก็ทำให้เจียวจ้านแอบโล่งใจ เพราะตนลืมนึกไปว่าท่านยายเฉินก็มาอยู่ที่หอหงไถเป็นประจำแล้วเช่นกัน หากนางอยากกินตนก็คงต้องแบ่งให้หญิงชรา“หอหงไถของเราว่าใหญ่แล้ว แต่มันดูธรรมดามากเลยเมื่อเทียบกับอาคารและสิ่งก่อสร้างในเมืองสือเจีย บ้านเรือนของพวกเขาก็แข็งแรงแน่นหนา ไม่ได้ทรุดโทรมเหมือนบ้านเรือนชาวบ้านที่อยู่นอกเมือง” ฝานเจิ้งบรรยายออกมาเป็นฉากๆ“ผู้คนที่ข้างนอกก็ใจดีด้วยนะ พี่ชายทหารข้างนอกก็ไม่ได้ดุเสียหน่อย พวกเขาคุยกับพวกเราตั้งหลายประโยคและยังให้เราผ่านเข้าเมืองโดยไม่คิดเงินอีกด้วย” อู่ซินชอบพี่ชายทหารเป็นที่สุด“ในเมืองมีผู้คนพลุกพล่าน พวกเขาหลายคนแต่งกายด้วยเสื้อผ้างดงาม ข้าดูออกเลยว่าคนไหนมาจากนอกเมืองคนไหนอาศัยอยู่ในเมือง พวกเขามีมากจนแทบจะเดินชนกันเลยด้วยซ้ำ!” ฟังถึงตรงนี้ดวงตาของแวมไพร์สาวฉู่หลิงก็เคลิ้มฝันไปถึงไหนต่อไห
“พวกเจ้ามาจากหอหงไถเช่นนั้นหรือ?” สตรีเจ้าของร้านเริ่มสนใจเด็กๆ ขึ้นมาบ้าง ในมือนางหยิบเค้กถั่วแดงใส่ลงไปในกล่องเรียบร้อยแล้ว เมื่อเห็นหวังหยวนปฏิเสธนางก็รีบชักมือที่กำลังจะส่งให้เจียวจ้านกลับมา รู้สึกเห็นด้วยกับหวังหยวน“ขอรับ พวกเราหาปลามาขายได้รายได้มานิดหน่อยก็เลยเข้าเมืองมาหาซื้อของใช้ที่จำเป็นขอรับ” “เอาอย่างนี้สิ ที่ร้านข้ายังมีขนมอีกตั้งหลายอย่าง หรือไม่อย่างนั้นเจ้าก็เลือกลูกอมนี่ไป 5 เม็ด 2 อีแปะ อย่างนี้จะได้แบ่งกันได้หลายคน” หญิงเจ้าของร้านรีบเสนอขายสินค้าอย่างอื่น นางไม่รู้ว่าเด็กในหอหงไถมีจำนวนกี่คนกันแน่ แต่ย่อมไม่น้อยกว่าสิบคนฝานเจิ้ง อู๋ฉีและอู๋ซิน ต่างก็พากันมองไปที่ลูกอมน้ำตาลปั้นด้วยความอยากกิน รอฟังการตัดสินใจจากเจียวจ้านที่เป็นพี่ใหญ่ในกลุ่มเด็กชาย“ท่านอาหวังเค้กถั่วแดงนั้นข้าตั้งใจซื้อให้ท่านจากใจจริง แล้วข้าจะเอาลูกอมอีก 10 เม็ดขอรับ” สามเด็กชายได้ฟังก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย พวกเขามีกัน 19 คน หากเจียวจ้านซื้อไปเพียงสิบเม็ด ย่อมต้องให้น้องที่อายุน้อยกว่าได้กินก่อน พวกตนเป็นกลุ่มรุ่นพี่คงอดแน่แล้ว แต่เงินแปดอีแปะเด็กชายก็พอจะนับตัวเลขได้ว่ามันซื้อได้เพียงเท่านั
“จะผิดถูกไปบ้างพวกเจ้าก็ไม่ต้องกังวล คนเราผิดพลาดกันได้ ข้าสัญญาว่าจะไม่ตำหนิพวกเจ้าเด็ดขาด อีกอย่างต่อให้ซื้อผิด ก็ใช่ว่าจะเสียหายไปที่ใด เดี๋ยวพวกเราก็นำมาใช้จนหมดเองนั่นล่ะ เจ้าดูข้าสิ ข้าจะหัดทำซาลาเปาเป็นครั้งแรกข้ายังไม่กลัวเลย” หญิงสาวให้กำลังใจเจียวจ้านและเด็กชายอีกสามคนที่ยังมีท่าทางกังวลใจ“พี่สาวหลิงหลิง ท่านอย่าพูดอีกเลยเจ้าค่ะ” หลิ่วจีสะกิดฉู่หลิงยิกๆ เมื่อเห็นฉู่หลิงกำลังจะทำเสียเรื่องไปเปล่า เห็นทีว่าพรุ่งนี้เช้าตอนที่พี่เจียวจ้านไปซื้อของในเมือง นางคงต้องชักชวนไป๋ซุนกับเจินถงไปถามวิธีการทำซาลาเปาจากท่านยายเฉินล่วงหน้าเอาไว้ก่อน น่าจะเหมาะกว่าเช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากกินอาหารเช้าและแบ่งงานให้เด็กๆ ออกไปจับปลาและหาผักป่าเรียบร้อย ฉู่หลิงกับตงเหม่ยและหลิ่วจี ก็ช่วยกันขนเอาเครื่องครัวที่จำเป็นสำหรับการผลิตซาลาเปาออกมาล้างทำความสะอาดอีกรอบเจียวจ้าน ฝานเจิ้ง อู๋ฉีและอู๋ซิน ก็ออกไปยืนรอเกวียนที่จะมารับที่หน้าประตูหอหงไถ“พวกเจ้าจะเข้าเมืองกันเช่นนั้นหรือ?” ทหารที่มายืนเฝ้าอยู่บริเวณหน้าหอหงไถกวักมือเรียกเด็กชายทั้งสี่ให้ไปยืนรวมกลุ่มกับพวกตน“ขอรับพี่ชาย พวกเราเก็บเงินค่าปลาเ
"อีกไม่นานจะมีคนทำตามอย่างเรา แล้วปลาจะหมดจากลำธารไปในที่สุด พวกเจ้าต้องระมัดระวังอย่าให้ผู้ใดเห็นเวลาพวกเจ้าใช้วิธีนี้จับปลา เราจะได้มีปลาเก็บไว้กินไปอีกนาน ในฤดูวางไข่เราก็จะจับมันไม่ได้ ต้องให้มันแพร่พันธุ์ออกลูกออกหลาน ฤดูหนาวเราก็จับมันไม่ได้อีก ดังนั้นข้าจึงคิดจะจับปลาเพื่อเป็นอาหารน่าจะเหมาะสมกว่า หากจะแบ่งไปขายก็ทำได้แต่ก็ไม่ควรเอาออกไปมากเกินไปในแต่ละวัน” ฉู่หลิงพยายามอธิบาย ในโลกยุคก่อนแวมไพร์ขาดอาหารอย่างนางต้องรักษากฎการแพร่พันธุ์ของสัตว์ทุกชนิดอย่างเคร่งครัด ไม่เช่นนั้นก็จะไม่มีเลือดสัตว์ให้ดื่มกินแก้กระหาย นางจึงติดนิสัยการรักษาสมดุลของวงจรชีวิตของสัตว์ไปตามธรรมชาติเด็กๆ พยักหน้าตาม แต่ยังมองไม่ออกว่าปลาในลำธารจะหมดไปได้อย่างไร “หากได้เงินมาแล้ว พี่สาวคิดจะทำการค้าสร้างอาชีพอะไรให้กับพวกเราหรือเจ้าคะ” เจียวจูถามบ้าง ไม่ขายปลา แล้วพวกเขาจะขายอะไรได้อีกเล่า?“ข้าจะทำซาลาเปาขาย!!” ฉู่หลิงยืดอกตัวตรงตอบเสียงดังฟังชัด นางจำรสชาติของซาลาเปาไม่ได้แล้ว แต่จำได้ว่าตอนเป็นมนุษย์เคยกินทั้งแบบมีไส้และไม่มีไส้ เวลานี้หญิงสาวอยากกินซาลาเปาไส้ถั่วเขียวที่เคยช่วยแม่ทำเมื่อครั้งเป็นเด
“ใช่ว่าจะมีแต่เด็กที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ระยะหลังมานี้มีผู้ใหญ่หายตัวเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ข่าวที่ข้ารู้เพิ่มเติมมาก็คือไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ คนที่หายตัวไปมักจะเป็นคนเร่ร่อนไร้ที่อยู่ที่แน่นอน เด็กในหอหงไถไม่เคยออกมาเพ่นพ่านยามดึก พวกเจ้าขยายพื้นที่สำรวจดูให้ทั่วๆ จะดีกว่า” ฉู่หลิงเพิ่งสบช่องมองออกไปภายนอกได้สะดวก นางเห็นบุรุษในชุดสีม่วงโดดเด่นกว่าบุรุษคนอื่น ๆ ที่นั่งอยู่บนหลังม้าเหมือนกันและยิ่งแตกต่างจากทหารที่ลาดตระเวนเป็นประจำอยู่ที่หน้าหอหงไถที่สวมชุดสีแดง เสียดายที่คนผู้นั้นกล่าวจบก็หันหลังไปอีกทาง นางจึงได้เห็นเพียงเส้นผมยาวสลวยดำสนิทที่มัดรวบสวมกวานไว้ครึ่งศีรษะเท่านั้นฉู่หลิงเดินกลับเข้ามานอนในห้องนอนของตนเอง ด้านนอกมีคนคอยสอดส่องดูแลเด็กๆ อยู่ห่างๆ บ้างนางก็วางใจ ส่วนเรื่องคนร้ายก็อย่างที่บุรุษบนหลังม้ากล่าว เด็กในหอหงไถไม่เคยออกไปเพ่นพ่านยามค่ำคืน ต่อไปหากต้องไปเก็บผักป่านางก็จะให้พวกเขาไปพร้อมกันหลายคนหน่อยจะได้ช่วยกันเป็นหูเป็นตา‘ทางการเข้มงวดกวดขันกับการหาตัวคนร้าย ไม่นานก็คงจะแก้ไขปัญหาได้’ ฉู่หลิงรำพันกับตัวเอง ตัดเรื่องที่เพิ่งได้รับรู้มาสดๆ ร้อนๆ ออกไป ทบท
ถ้ำลึกลับภายในป่านอกเมืองสือเจียร่างงามในโลงศพสลักลวดลายวิจิตรบรรจงเก่าแก่ค่อยๆ แง้มฝาโลงออกมาช้าๆ ก่อนจะชะโงกศีรษะออกมามองดูบรรยากาศรอบกายที่ผิดแผก ความมืดทำให้หญิงสาวต้องปรับสายตาพยายามเพ่งมองสิ่งรอบกายโดยอาศัยแสงสว่างที่มีเพียงน้อยนิด“อะไรกันเนี่ย!!” แวมไพร์สาวนามฉู่หลิงในชุดผู้ป่วยสีขาวตัวยาวหลวมโพรก ก้าวออกจากโลงศพออกมา สิ่งแรกที่นางรู้สึกแตกตื่นที่สุดย่อมเป็นสถานที่มืดอับชื้น แตกต่างจากห้องทดลองภายในสถาบันวิจัย ที่ตนได้เห็นก่อนเข้าไปนอนในโลงชั่วเวลาไม่กี่นาทีก่อนหน้าลิบลับฉู่หลิงเอื้อมมือคลำผนังหินข้างตัวพร้อมกับก้าวเท้าออกไปสำรวจพื้นที่ช้าๆ นางมองเห็นลำแสงสายหนึ่งเล็ดลอดมาจากซอกหินเป็นแนวยาว และเป็นแสงสว่างเดียวที่ทำให้ตนยังพอมองเห็นภาพภายในถ้ำมืดทึบแห่งนี้ได้นางรีบพาตัวเองเข้าไปหาลำแสงสายนั้นแล้วออกแรงผลักแผ่นหินขนาดใหญ่ด้วยหวังจะให้มีแสงสว่างเพิ่มขึ้นมาสักเล็กน้อย“ครืด..ดดด”หญิงสาวเข้าใจได้ในทันทีว่าแท้จริงแล้ว แผ่นหินที่ควรจะมีน้ำหนักมากแผ่นนี้มีกลไกซึ่งออกแบบให้เป็นประตูมันจึงถูกเปิดออกได้อย่างง่ายดาย และเมื่อนางก้าวออกมาแผ่นหินก็เคลื่อนตัวกลับไปยังตำแหน่งเดิม หากมองด...
ความคิดเห็น