สำหรับเขานางคือลูกกบฎพ่วงตำแหน่ง 'สตรีเจ้าปัญหา' ทว่ากับนางนั้น 'ตงเปียนอ๋อง' คือชายที่นางต้องจับมาเป็นพระสวามีให้จงได้! หลัน จินเยว่ ในยุคปัจจุบัน เป็นเด็กกำพร้า พ่อแม่เสียตั้งแต่เธออายุแค่สี่ขวบ อาศัยอยู่กับป้าจินจวงและลุงจินอวิ๋น ทั้งสองรักเธอมากเพราะพ่อแม่ของเธอได้ช่วยเหลือครอบครัวป้าจวงไว้ตอนที่ถูกเจ้าหนี้ตามไล่ฆ่าด้วยการขายที่ดินที่ตกทอดมาจากปู่ย่าจ่ายหนี้เพื่อช่วยชีวิตพี่สาวที่เป็นคนในครอบครัวคนเดียวไว้ตามคำสั่งเสียของตาเธอว่า เป็นพี่น้องต้องรักใคร่ ช่วยอะไรได้ให้ช่วยเหลือ เช้าวันทำงานจินเยว่ตื่นสายกว่าปกติทำให้รีบจนไม่ไม่ดูสัญญาณคนข้ามถนนที่เปลี่ยนเป็นสีแดงพอดีทำให้ถูกรถชนอาการโคม่า ดวงจิตสลับกับเยว่ซินในอีกมิติซึ่งคืออดีตชาติของเธอเอง
ดูเพิ่มเติม"เหตุใดท่านถึง..."จำต้องกลืนคำพูดลงคอเมื่อถูกนิ้วของคนรักปิดไว้ที่ริมฝีปากไม่ให้ขยับเอ่ย"อย่าขยับ ห้ามพูดใด ๆ"ตงเปียนอ๋องรู้สึกว่าร่างกายตนเองแปลกไปข้างในมันร้อนรุ่ม ลำคอแห้งผากเหมือนคนกระหายน้ำหากแต่ความรู้สึกเขากลับบอกว่าน้ำเพียงอย่างเดียวช่วยให้เขาดับกระหายไม่ได้เขาเริ่มตั้งสติจนจมูกสัมผัสได้ถึงกลิ่น ๆ หนึ่ง"ผงเริงรมย์""มันคืออันใด"หลันจินเยว่เพิ่งเคยได้ยินครั้งแรกจึงใคร่สงสัย ทว่าสิ่งที่อยากรู้กลับไม่ได้ถูกเอ่ยออกมาจากปากตงเปียนอ๋องเมื่อด้านนอกมีบุคคลมาเยือน"ฉินกงกงเข้าเฝ้าองค์ชายสี่เฟยหลง"เสียงกงกงของเสด็จย่าเขาดังขึ้นอยู่ด้านนอก"ฉินกงกงมีเรื่องอันใด"เหตุใดคนสนิทของเสด็จย่าถึงได้มาเยือนเข้าถึงจวนแห่งนี้ แถมมาได้เวลาเหมาะเจาะกับอาการประหลาดที่เพิ่งเริ่มแสดงอาการอีก"ไทเฮามีรับสั่ง ผงเริงรมย์นั้นไซร้ จงใช้ให้เกิดประโยชน์ หลังจากนี้สามวันเป็นฤกษ์ดี สามารถจัดงานมงคลได้"เสียงแหลมบาดหูของฉินกงกงเอ่ยราชโองการขององค์ไทเฮาเสร็จจึงทูลลากลับเข้าวังหลวง ทิ้งให้ตงเปียนอ๋องอมยิ้มอยู่ในห้องเมื่อรู้สาเหตุแล้วว่าเหตุใดตนถึงมีอาการแปลกประหลาดเช่นนี้"อะไรคือผงเริงรมย์และอะไรคือสามวันม
บทส่งท้าย : เมื่อหมอกจางหาย บุปผางามผลิบาน"ข้าขับพิษออกจากร่างกายองค์ชายเรียบร้อยแล้ว พักฟื้นสักสองสามวันก็หายดี"หมอหลวงประจำจวนเหมยฮัวเอ่ยบอก"ส่วนยานี้ต้มทานสามมื้อจนกว่าแผลจะหายดี"เสี่ยวโหรวรีบเข้าไปรับยานั้นจากหมอหลวง"อ้อข้าลืมอีกเรื่อง"ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบกว่าเดิมเพราะนึกว่าจะเป็นเรื่องร้ายแรงอันใดอีก"แผลนั้นต้องห้ามโดนน้ำเด็ดขาด คงต้องรบกวนพระชายาแล้ว"หมอหลวงหันมากำชับเรื่องสำคัญนี้กับหลันจินเยว่ ทำเอาใบหน้านางแดงระเรื่อเพราะไม่คิดว่าคนนอกจวนอย่างหมอหลวงท่านนี้จะรู้เรื่องสถานะของนางกับองค์ชายสี่อีกคน"ข้าไปส่งท่านหมอ"อู่ชิงหรงเดินนำหน้าเพื่อส่งหมอหลวงกลับโรงหมอ"บ่าวขอตัวไปต้มยาให้ท่านอ๋องนะเจ้าคะ"ทุกคนออกไปจากห้องหมดแล้วเหลือเพียงแค่หนึ่งคนหลับอยู่บนเตียงอย่างไร้วี่แววจะฟื้นและอีกคนที่นั่งลงข้างเขาด้วยความเป็นห่วง"ไหนท่านรับปากข้าว่าจะกลับมาอย่างปลอดภัย"ตอนที่หลันจินเยว่ได้ยินว่าตงเปียนอ๋องถูกอาวุธลับอาบยาพิษเล่นงานถึงกับวิ่งถือห่อยาหลายขนานไปดักรอพวกเขาระยะทางกือบลี้ ทั้งล้มลุกคลุกคลานจนแข้งขาถลอก บ่าวใช้คนใดขวางนางไล่ตะเพิดจนหมดสิ้น หากไม่สลบเสียก่อนหลันจินเยว
ชายแดนทิศใต้"เจ้าเลิกดื้อรั้นเถิด ตอนนี้เผ่าซีเซียงยอมจำนนต่อกองทัพมังกรขาวหมดแล้ว"เสียงกร้าวของอู่ชิงหรงประกาศลั่นการปราบกบฎดำเนินมาได้สองชั่วยามแล้ว คนของเผ่าซีเซียงบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วนจนหัวหน้าเผ่ายกธงขาวยอมแพ้ให้กับอำนาจของแม่ทัพแห่งกองทัพมังกรขาวเฟยหลงทว่าต่อให้เสียเลือดเนื้อเสียคนไปมากมายเพียงใด ผู้ที่หัวรั้นเกลียดการพ่ายแพ้อย่างซู่จิ่งอวิ๋นไม่มีทางวางกระบี่ในมือลงเป็นแน่"วันนี้ข้ากับเจ้า ถ้าปลาไม่ตาย ตาข่ายก็ต้องขาด"ซู่จิ่งอวิ๋นโต้ตอบด้วยสำบัดสำนวนเสียงหนักแน่น วันนี้ทั้งเขาและตงเปียนอ๋องผู้นี้ต้องสู้กันให้ถึงที่สุด ให้ตายกันไปข้างถึงจะจบศึกในครั้งนี้"ช่างเด็ดเดี่ยวเช่นบิดาเจ้าเสียจริง"ตงเปียนอ๋องกล่าวชมในความเด็ดเดี่ยวนี้ หากเอามาใช้ให้ถูกทางคงเป็นที่น่ายกย่อง"วันนี้ข้าจะแก้แค้นให้ท่านพ่อที่ถูกพวกเจ้าบังคับให้ดื่มยาพิษนั่น"[1]ยามโฉ่วของวันนี้ เสนาซู่จินเพ่ยได้กรอกยาพิษฆ่าตัวตายหลังได้รับราชโองการเป็นนักโทษประหารที่ต้องบั่นคอเสียบประจาน ข่าวนั้นดังเซ็งแซ่ไปทั่วแคว้นจนมาถึงหูซู่จิ่งอวิ๋นบุตรชายเพียงคนเดียวที่ตั้งใจจะบุกไปช่วยบิดาออกมาแต่มิทันกาลเสียงกระบี่ฟาดฟันอย่
"ทะ...ท่านอ๋อง"ใบหน้าสวยขึ้นสีแดงระเรื่อเมื่อถูกเอาอกเอาใจจากอีกคน"วันนี้สนุกไหม"เขาชวนนางคุยปกติ หากแต่ในแววตากลับมีความกลัดกลุ้มอยู่หลายส่วนจะเรื่องอะไรได้ ก็ตอนที่นางเดินซื้อของในตลาดมีนักฆ่าสะกดรอยตามถึงสามคน โชคดีที่ตงเปียนอ๋องอ่านเกมในครั้งนี้ออกคนรักของเขาถึงได้ปลอดภัยกลับมาหากเขาเล่าเรื่องนี้ให้นางฟัง หลันจินเยว่คงไม่สบายใจ เก็บเนื้อเก็บตัวอยู่แต่ในห้องอีกเป็นแน่ ตอนนี้เลยต้องเอาอกเอาใจนางเพื่อบอกกล่าวแก่เรื่องที่ตริตรองมาอย่างดีแก่นางในเวลาที่เหมาะสม"ตอนแรกก็สนุก"ตอบพร้อมยู่ปากอย่างหุดหงิดในเวลาต่อมา"ใครทำอันใดให้ว่าที่ชายาของข้าขุ่นเคืองใจ"ที่ใช้คำว่า 'ว่าที่' เพราะทั้งสองยังไม่เข้าพิธีสมรสกัน ตงเปียนอ๋องอยากให้เกียรตินางจึงจะรอปราบกบฎตระกูลซู่แล้วสิ้นถึงจะทำพิธีตามประเพณีแคว้น"ข้ากำลังดูผ้าเพื่อจะเอามาตัดชุดใหม่ให้ท่าน แต่เจอเข้ากับคนที่วางยาสลบข้าเพื่อส่งต่อให้คนพวกนั้นเข้า"ที่จริงเรื่องนี้องครักษ์เงาของเขารายงานมาหมดแล้ว"เจ้าพบเฟิงเยว่ซู?""จะเป็นใครอีกละ! พี่สาวตัวดีของเฟิงเยว่ซินนั่นแหละ"ตงเปียนอ๋องหลุดขำออกมาเบา ๆ เมื่อได้ฟังประโยคแปลก ๆ นั้นจบ"เจ้าพูดเหม
"เสี่ยวโหรวเร็ว ๆ เข้า"เสียงเจื้อยแจ้วของหลันจินเยว่ในอาภรณ์สีลูกท้อร้องเรียกสาวใช้ที่เดินหอบหิ้วข้าวของพะรุงพะรังอยู่ด้านหลัง"คุณหนูช้าหน่อยเจ้าค่ะ"วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใส นางเลยขออนุญาตตงเปียนอ๋องออกมาเดินตลาด ฝั่งนั้นเห็นว่านางเพิ่งผ่านอันตรายมาเมื่อไม่กี่วันก่อนเลยให้ออกมาเที่ยวเล่นจะได้ลืมเรื่องร้าย ๆ พวกนั้น หากแต่ตงเปียนอ๋องก็มิได้นิ่งนอนใจ เขาส่งองครักษ์เงาคอยติดตามอยู่ห่าง ๆ เผื่อเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นจะได้ช่วยเหลือนางทัน"คุณหนูจะซื้อไปฝากท่านอ๋องหรือเพคะ"หลันจินเยว่ยืนดูผ้าไหมเนื้องามที่ร้านหนึ่งตรงตรอกเล็ก ๆ ของตลาด"เจ้าว่าหากท่านอ๋องเปลี่ยนมาใส่สีสว่างตาขึ้นจะดูภูมิฐานอยู่ไหม"ตั้งแต่ที่เห็นและรู้จักกันมา นางไม่เคยเห็นบุรุษที่ว่าสวมใส่เสื้อผ้าสีอื่นที่มิใช่สีดำสีเข้ม ๆ เลยสักครั้งเดียว"บ่าวว่าผ้าสีไหนหากอยู่บนตัวท่านอ๋องก็ดูสง่างามหมดเจ้าค่ะ"หลันจินเยว่เห็นด้วยอย่างยิ่ง วันนี้สาวใช้ของนางพูดได้ถูกใจต้องตบรางวัล"ผ้าพับนี้ข้าซื้อให้เจ้า"นางหยิบผ้าไหมสีกลีบดอกเหมยส่งให้เถ้าแก่ร้าน"คุณหนู นั่นคงแพงมากนะเจ้าคะ"มองแค่ตายังไม่ได้จับต้องเนื้อผ้าเสี่ยวโหรวก็รู้ว่านั่นคือไห
ผ่านมาครึ่งชั่วยามแล้วหลังจากที่ตงเปียนอ๋องออกมาจากห้องนั้นเพื่อฟังรายงานจากเหล่าทหารว่าซู่จิ่งอวิ๋นหนีไปกบดานกับเผ่าซีเซียงบนเขาทางใต้ เขาเลยสั่งให้ทุกคนกลับมาวางแผนกันที่จวนเหมยฮัวก่อนการเดินทางกลับจำต้องใช้ม้าถึงจะถึงที่หมายโดยเร็ว ทว่าหลันจินเยว่กลับเลือกที่จะโดยสารม้ามากับอู่ชิงหรงแทนอีกคน"เหตุใดข้ารู้สึกว่าเจ้ากำลังหลบหน้าท่านอ๋อง"บุรุษผู้โผงผางคิดเห็นการใดก็พูดออกไปจนหมดสิ้นถามสหายวัยเยาว์"ข้ามิได้หลบหน้าผู้ใด"หลันจินเยว่ที่นั่งอยู่ด้านหลังเขาตอบเหมือนร้อนตัว"หากข้าเป็นคนอื่นคงเชื่อที่เจ้ากล่าวมา"จะมาเกิดฉลาดเอาอะไรตอนนี้ นางยิ่งอยากอยู่เงียบ ๆ ตบตีกับคำถามที่ยังไม่ได้คำตอบจากตงเปียนอ๋องว่าตกลงแล้วที่เขาบอกชอบนางหมายถึงร่างกายเฟิงเยว่ซินหรือตัวตนที่นางแสดงออกกัน"หยุด!"ตงเปียนอ๋องที่ควบม้าตามหลังสองคนนี้สั่งเสียงลั่น ทหารทุกนายต่างหยุดควบม้าเพื่อรอฟังคำสั่งถัดไป"ท่านอ๋องพบสิ่งใดผิดปกติหรือขอรับ"หนึ่งในทหารที่ควบม้ารั้งท้ายลงจากม้ามาถามไถ่"ม้าตัวนี้อ่อนแรงแล้ว หยุดพักที่นี่สักพักก่อน"หากม้าที่ตงเปียนอ๋องทรงขี่อยู่คือทมิฬกาลคงหาข้ออ้างเช่นนี้ไม่ได้สายตาคมมองแผ่นหลังบ
ตอนนี้ดวงตะวันเริ่มขึ้นใหม่อีกครั้ง บ่งบอกว่าทั้งสองกายที่นอนกอดกันทั้งคืนเจอกับรุ่งเช้าของวันใหม่แล้วหลันจินเยว่รู้สึกตัวตื่นก่อนจึงค่อย ๆ แกะมือแกร่งที่โอบกอดนางไว้ในอ้อมกอดทั้งคืนออกอย่างช้า ๆเมื่อคืนไม่รู้ว่าเหตุใดจุดจบของทั้งคู่จึงกลายเป็นการหลอมรวมเป็นหนึ่งเช่นนั้นถึงแม้จะยังเคอะเขินและเจ็บหน่วงไปทั้งร่างกายอยู่ แต่นางไม่อยากให้อีกคนตื่นมาเจอสภาพกึ่งเปลือยเช่นนี้จึงตั้งใจหนีจากอกอุ่นออกมาแต่งกายให้เรียบร้อย"คิดจะหนีข้ารึ"ดวงตาดั่งกวางน้อยตกใจกับเสียงทุ้มที่เอ่ยทว่าหลับตาอยู่"ทะ...ท่านตื่นแล้ว"ปกติไม่ได้พูดจาติดขัดเช่นนี้ เหตุใดครั้งนี้ถึงไม่กล้าต่อปากต่อคำเถียงอีกคนกันเล่าพรึ่บ!ตงเปียนอ๋องขี้แกล้งพลิกร่างบอบบางกึ่งเปลือยของนางให้นอนกองทับบนอกตนหลันจินเยว่จ้องมองร่องรอยจิกข่วนบนกล้ามอกอันเกิดจากนางพลางร้อนรุ่มขึ้นที่พวงแก้มทั้งสองข้าง"แอบอ่านกินข้าอยู่หรือ""บ้า!"กำปั้นน้อย ๆ ทุบลงกึ่งกลางเนื้ออกหนัดแน่น"หากข้าบ้า เจ้ามิน่าสงสารหรือ""ทำไมข้าต้องน่าสงสาร"นางเงยหน้าขึ้นมองคนที่พูดจาให้งวยงง"เพราะเจ้ามีสามีเป็นคนบ้า"สะ...สามี!ใบหน้าสวยแดงกร่ำไปทั่วพวงแก้ม ริมฝีปากเ
"เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องนั้น ตลอดทางมาที่นี่ข้าทำเครื่องหมายเอาไว้แล้ว"อ้อ คงจะเป็นพวกเครื่องหมายลับที่รู้กันแค่ไม่กี่คน"แผลท่าน"ดวงตาสีน้ำตาลเหลือบมองแขนที่พันผ้าสีขาวเพื่อห้ามเลือดเอาไว้"แผลเล็กน้อย ข้าต้มยาไว้เดี๋ยวเอามาให้เจ้าทาน"ไม่รอช้าตงเปียนอ๋องผู้เย่อหยิ่งไม่เคยปรนนิบัติใครมาก่อนรีบออกไปยกหม้อยาที่ต้มรอคนเจ็บฟื้นมาให้นางทันที"แค่กลิ่นก็รู้แล้วว่าขม"จริมฝีปากจิ้มลิ้มกล่าว ใบหน้าสวยหวานหันหนีไปอีกทางเพราะไม่ชอบกลิ่นของยาถ้วยนี้"ยาไม่ขมจะช่วยให้หายได้เยี่ยงไร เจ้าฝืนดื่มสักอึกเถอะ"ถ้วยยาถูกยกขึ้นใกล้ใบหน้าหวานนั้นอีกครั้งหลันจินเยว่เหมือนตกอยู่ในมนตร์สะกดเมื่อเผลอสบตาตงเปียนอ๋องที่จ้องนางอยู่ก่อนแล้ว"งั้นข้าป้อนเจ้าแล้วกัน"ว่าจบจึงจับช้อนแล้ววนยาในถ้วยสองสามรอบ ตักยาขึ้นจากถ้วยแล้วจ่อตรงริมฝีปากบางหลันจินเยว่อ้าปากเล็กน้อยเพื่อกลืนยาในช้อนนั้นหากแต่ไม่ยอมละสายตาไปจากใบหน้าตงเปียนอ๋องราวกับมองแล้วจะช่วยลดรสชาติขมของยานี้ลงได้"เด็กดี"รู้ตัวอีกทีจากแค่คิดว่าต้องดื่มแค่อึกเดียวกลายเป็นถูกตงเปียนอ๋องป้อนจนหมดถ้วย"ทะ...ท่า...น"อ้าปากเตรียมต่อว่าอีกคนที่หลอกให้นางทานยาแ
"ต้าเสียน?"นี่เป็นสิ่งเหนือความคาดเดาของตงเปียนอ๋อง เขาไม่เคยคิดว่าคนที่บงการพ่อลูกตระกูลซู่จะเป็นผู้ร่วมสายเลือดเดียวกับเขาอย่างองค์หญิงสาม"เหนือฟ้าย่อมมีฟ้า เจ้าคงคิดว่าท่านพ่อข้าจะไม่หาทางหนีที่พึ่งไว้สินะ"เมื่อคิดว่าตอนนี้ตนมีอำนาจกว่าอีกฝ่ายก็เริ่มอวดเบ่งด้วยเสียงเย้ยหยัน"ถ้ำแห่งนี้จะเป็นสุสานของพวกเจ้า"จบประโยคนั้น ซู่จิ่งอวิ๋นปรี่เข้าไปฟาดฟันตงเปียนอ๋องเฟยหลงเช่นเดียวกับคู่ของต้าเสียนที่กำลังกันทางไม่ให้อู่ชิงหรงเข้าไปช่วยเหลือหลันจินเยว่บุรุษแห่งกองทัพมังกรขาวทั้งสองแม้จะรับมือคู่ต่อสู้หากแต่ในใจกลับห่วงสตรีเพียงหนึ่งเดียวที่ถูกจับมัดไว้กลางวงต่อสู้หวั่นจะถูกลูกหลงเอา"ท่านอ๋องระวัง!"เสียงนั้นช้าไป คมกระบี่ของซู่จิ่งอวิ๋นเฉือนเข้าที่แขนตงเปียนอ๋องจนเลือดสีแดงซึมออกมา"ท่านอ๋อง!"อู่ชิงหรงอาศัยความเร็วเข้ารับกระบี่ของซู่จิ่งอวิ๋นที่กำลังจะซ้ำลงอีกครั้งได้ทันท่วงที"ท่านพาซินเอ๋อร์หนีไปก่อน"เสียงอู่ชิงหรงดังขึ้น เป็นจังหวะเดียวกับที่คมกระบี่เขาฟันลงบนขาพับของซู่จิ่งอวิ๋นจนเซเสียหลัก"ท่านแม่ทัพอวิ๋น!"ต้าเสียนเห็นท่าทีไม่สู้ดี แม้จะบาดเจ็บทั้งสองฝ่ายแต่บาดแผลของซู่จิ่งอว
"สายแล้ว ๆ"เสียงร้อนรนดังขึ้นพร้อมมือเรียวสวยหยิบหวีขึ้นมาสางผมพอลวก ๆ หมุนซ้ายหมุนขวาอย่างขอไปทีเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยของเสื้อผ้าหน้าผม"เสี่ยวเยว่! นี่จะแปดโมงแล้วนะลูก ยังไม่เสร็จอีกเหรอ"จินจวง ป้าแท้ ๆ ตะโกนขึ้นมาถามเมื่อเห็นว่าวันนี้เลยเวลาออกจากบ้านของหลานสาวสุดที่รักแล้ว"มาแล้วค่า ๆ"เจ้าของชื่อเรียกรีบวิ่งตึงตัง หอบหิ้วข้าวของพะรุงพะรังเต็มสองมือ ทั้งกระเป๋าเอย รองเท้าส้นสูงเอยเสื้อสูทเอย จนคนเป็นป้าหวั่นจะตกบันไดก่อนได้ถึงที่ทำงาน"เมื่อคืนกลับดึกเหรอลูก"จินจวงพยายามไถ่ถามเพื่อให้คนที่รีบร้อนค่อย ๆ ตั้งสติแล้วใจเย็นลง"นิดหน่อยค่ะ"นิดหน่อยที่ไหนละ เมื่อคืนเป็นวันเกิดครบรอบยี่สิบสามปีของเธอ เพื่อนสนิทจึงนัดกินดื่มกันหลังเลิกงาน กว่าจะรู้ตัวก็พากันกลับเกือบฟ้าสางได้นอนพักไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องตื่นมาในสภาพเช่นนี้แล้ว"วันนี้ครบรอบยี่สิบสามปีพอดี หนูต้องตั้งสติ ก้าวขาข้างที่เป็นมงคลออกจากบ้านนะลูก"ผู้ปกครองอย่างจินจวงที่ปีนี้อายุย่างห้าสิบเอ่ยบอกหลานสาวอย่างเป็นห่วง"นี่มันยุคไหนแล้วคะป้า อาถรรพ์เลข 3 , 6 , 9 อะไรนั่นไม่มีแล้วละค่ะ"สาวสมัยใหม่หลายคนมักจะไม่ค่อยเชื่อเรื่องเบ...
ความคิดเห็น