ที่ข้าร้ายกาจนั่นย่อมต้องมีเหตุและที่ข้าลุ่มหลงโง่งมก็เพราะหลงเชื่อคำลวงบุรุษความหวังลมๆ แล้งๆที่ปล่อยให้เขาย่ำยีความสาวคราแล้วคราเล่า บัดนี้ข้านั้นตาสว่างรู้แจ้งในเมื่อองค์ชายรองไร้ใจ ข้าก็ขอลาขาด!
ดูเพิ่มเติมซูเหยาเมื่อเดินมาได้สักพักใหญ่ก็รู้สึกราวกับมีคนผู้หนึ่งกำลังเดินตามนางโดยมิอาจรู้ได้ว่าหวังผลอันใด นางจึงเลือกชะลอฝีเท้าลง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นก้าวสั้นบ้าง ยาวบ้าง ก้าวเร็วบ้างสลับกันไป ครั้นพอหันกลับไปมองกวาดตาสำรวจไปทั่วบริเวณก็กลับไม่พบผู้ใดผิดสังเกต เมื่อเป็นเช่นนั้นคิ้วเรียวจึงได้แต่ขมวดมุ่นและยังไม่ทันได้คิดสิ่งใดไปมากกว่านั้น จู่ ๆ ฝนฟ้าที่ไม่มีเคล้ามาก่อนก็เทลงมาจนมืดฟ้ามัวดิน สายตาหวานซึ้งตระหนกตื่นครั้นมองซ้ายแลขวาเห็นว่าหอสุราวสันต์ใกล้ที่สุดจึงได้วิ่งเข้าไปหลบยังด้านใน“คุณหนู ๆ เชิญ ๆ ฝนฟ้าก็ตกลงมาซะได้ไม่มีปี่มีขลุ่ยเอาเสียเลย” เสียงเถ้าแก่เอ่ยตอนรับทั้งจูงมือนางให้เดินตามเข้าร้านอย่างเชื้อเชิญ“เออคือเถ้าแก่คือข้าไม่คิดว่าจะมีคนเข้ามาหลบฝนเยอะขนาดนี้ เช่นนั้นข้าขอหลบอยู่ด้านหน้าเพียงครู่ เมื่อหยุดตกแล้วจะรีบไป” ซูเหยาค่อย ๆ ดึงมือกลับพร้อมทั้งสอดส่ายสายตากวาดมองทั้งร้าน แต่ในใจก็นึกเสียดายอยู่มิน้อยนางกะว่าบรรยากาศเช่นนี้หากได้ร่ำสุราซักจอกสองจอกของหอสุราขึ้นชื่อแห่งนี้ก็คงจะดีมิน้อย“หากไม่รังเกียจกัน เช่นนั้นข้าน้อยก็ขอเชิญคุณหนูเป็นเกียรตินั่งด้วยกันเสียหน่อย”น้ำเสียง
ยามเช้าอากาศแจ่มใสแต่ซูเหยากลับพบว่าวันนี้บรรยากาศในจวนกลับไม่เป็นเช่นนั้นเมื่อที่จวนมีแขกสูงศักดิ์มาเยี่ยมเยือนตั้งแต่เช้าตรู่ และแขกผู้นั้นก็คือเขาหยางจวิ้นอ๋องทั้งที่พึ่งพบกับน้องสาวนางไปเมื่อวาน วันนี้ก็เสด็จมาเยือนแต่เช้านี่คงโปรดมากเสียกระมัง“คุณหนูไม่ออกไปรึเจ้าคะ”“ออกสิ มีนัดกับตวนมู่พอดี” ซูเหยาใช้ประตูเล็กข้างจวนเป็นเส้นทางที่ใช้ออกไปพบคู่หมั้นของตน และเมื่อไปถึงจวนตระกูลโหวก็นึกอยากกลับจวนในทันทีเมื่อพบว่าแท้จริงแล้วนั้น โหวต่วนมู่คล้ายต้องการนัดนางมาเพื่อแสดงบารมีของเขาเพียงเท่านั้นเนื่องจากนายใหญ่ของจวนและบรรดาฮูหยินเดินทางไปพักผ่อนต่างเมืองยังกลับมามิถึง เวลานี้ทั้งจวนตระกูลโหวนั้นจึงมีเพียงคุณชายของบ้านและเหล่าคนรับใช้พร้อมกับเพื่อนของเขาทั้งชายและหญิงเกือบสิบคนที่นั่งดื่มกินอย่างสำราญที่เรือนรับรองแขกแม้ซูเหยาได้ยินกิตติศัพท์ของคู่หมั้นตนมาบ้างว่าเป็นบุรุษชอบความสำราญ งานการมิได้ใส่ใจเท่าไหร่อีกทั้งมิได้มีใจใฝ่ก้าวหน้าเหตุนี้จึงมิยอมเข้าร่วมสอบขุนนาง แม้เคยเข้าร่วมก็สอบมิผ่านอีกทั้งมิอาจติดสินบนใด ๆ ได้เพราะ ฝ่าบาทนั้นคุมสอบเข้มงวดกว่าทุกปี เช่นนั้นเขาจึง
เป็นเวลาหลายเดือนมาแล้วที่ซูเหยาย้ายกลับสู่เมืองหลวงเป็นการถาวร และเมื่อวานกลับถูกสั่งให้เตรียมตัวเข้าเฝ้าพระชายาในวังหลวง เหตุการณ์ที่เรียกบุตรสาวเหล่าขุนนางชั้นสูงและตระกูลร่ำรวยในเทียนจื่อที่ยังไม่ออกเรือนแต่ละตระกูลเข้าเฝ้าเช่นนี้ก็คงพอดูเจตนาพระชายาออกได้ไม่อยากนัก“ท่านพ่อข้าจำเป็นต้องเข้าเฝ้าด้วยเช่นนั้นหรือ ในเมื่อข้ามีคู่หมายแล้ว” ซูเหยาถามแย้ง“อืม ในเทียบเชิญมีชื่อเจ้าด้วย”“เหตุใดนางต้องเข้าด้วยละเจ้าคะ ดูนางสิถึงท่านพ่อจะกุข่าวว่านางไม่บริสุทธิ์นั่นเป็นเพียงข่าวลือ แล้วนี่อีก หึ! แต้มพรหมจรรย์หลอก ๆ นี่อีก” ชิงเยว่ตั้งใจเอ่ยออกไปครานี้ไม่ได้ระวังจึงได้เผยนิสัยอีกด้านให้ผู้เป็นพ่อเห็น จนผู้เป็นมารดาต้องเอ่ยปรามเมื่อเห็นสีหน้าสามีที่เริ่มมีท่าทีไม่พอใจ“ไปเถอะ เจ้าก็รู้ว่าเช่นไรองค์ชายรองก็ทรงมีใจให้น้องเจ้า ถือว่าไปเป็นเพื่อนนางก็แล้วกัน” หลินเจียงพูดโดยมิรู้เลยว่านางนั้นมีความสัมพันธ์เช่นไรกับ หยางจวิ้นอ๋อง‘แต่ข้าไม่อยากไป’ ถ้อยคำปฏิเสธเพียงได้แต่คิดในใจ ก่อนจะพยักหน้าตอบรับน้อย ๆเพราะเหตุนี้ในตอนนี้นางถึงได้มาอยู่ในตำหนักพระชายาที่รู้เมื่อครู่ว่าที่จัดงานรื่นเริงนี
เป็นอีกคราในรอบปีที่จวนเสนาบดีหลินกลับมามีชีวิตชีวาคึกครื้นอีกคราเมื่อคุณหนูใหญ่หลินซูเหยาหวนคืนกลับเฉิงหยางครานี้นั้นสร้างความปิติความยินดีให้กับเหล่าฮูหยินและเสนาบดีเจียงผู้พ่อเป็นอย่างมากเสนาบดีหลินเจียงนั้นถึงขนาดจัดงานเลี้ยงต้อนรับให้แก่นางเลยทีเดียว ซึ่งการที่ผู้เป็นพ่อของนางแสดงการใส่ใจถึงเพียงนี้แน่นอนว่ามันสร้างความริษยาให้เกิดในใจสองแม่ลูกซูฉีและคุณหนูรองของบ้านอยู่มิน้อย“ท่านแม่มันกลับมาแล้ว ดูสิเจ้าคะ ซ้ำท่านพ่อยังจัดงานเลี้ยงต้อนรับเสียด้วย ท่านแม่” ชิงเยว่เขย่าแขนผู้เป็นมารดาไปมาอย่างเอาแต่ใจ ใบหน้างอง้ำไม่สบอารมณ์ และช่างน่าชังนักไหนท่านแม่บอกนางว่าส่งนางไปอยู่ชนบท ชนบทเช่นไรนางถึงได้งดงามเสียขนาดนี้ เหตุใดนางถึงชอบทำตัวโดดเด่นกว่านางเสียร่ำไป“เจ้าอย่าห่วงไปเลย งานเลี้ยงคืนนี้แม่จะกำจัดนางออกจากจวนอย่างถาวรเอง หึ ๆ” ซูฉีคลี่ยิ้มให้กับแผนการล่วงหน้าที่กำลังจะมาถึงและดูเหมือนว่าผู้เป็นสามีนั้นก็เห็นดีเห็นงามกับนางไปด้วย ก่อนจะมีสีหน้าไม่พอใจที่เห็นผู้เป็นสามีและแม่สามัญนั้นออกไปยืนรอต้อนรับลูกสาวนอกไส้นางถึงหน้าประตูใหญ่“ซูเหยา ซูเหยาของย่าเจ้ามาแล้ว ๆ” ทันทีที่รถม้าห
ณ ภูเขาเฟิ่งซาน“คุณหนูเหตุใดเราต้องมาเก็บมู่ตานฮวานี่เองละเจ้าคะ ทั้งที่วางขายในตลาดก็ออกมากแถมราคายังถูกกว่าเฉิงหยางกว่าครึ่ง” เยว่ถานเดินเก็บมู่ตานฮวาไปพลางบ่นไปพลาง จนซูเหยาเห็นก็ได้แต่แย้มยิ้มส่ายศีรษะไปมาช้า ๆ ก่อนจะสูดเอาความหอมของมู่ตานฮวาเข้าเสียเต็มปอดป่าซานเฉิงนี่อุดมสมบูรณ์ดีจริง ๆ ซูเหยากวาดตามองไปทั่วป่าที่มีต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นแซมสลับกับต้นมู่ตานฮวาที่แข่งกันเบ่งบานสีแดงบ้าง ขาวบ้าง ชมพูบ้าง ช่างเป็นภาพที่งดงามราวอยู่ท่ามกลางสวรรค์ ดวงหน้างดงามแย้มยิ้มอย่างนึกชอบใจ‘อันที่จริงข้าตัดสินใจเช่นนี้ก็นับว่าดีมาก ไม่ต้องทนเห็นหน้าสองแม่ลูกจอมเลียนแบบนั่นแถมยังได้ทำในสิ่งที่ข้าชอบ หึ! ก็นับว่าต้องขอบคุณคนผู้นั้นที่ทำให้ข้าแจ่มแจ้ง ที่ผ่านมาช่างเสียเวลาและโง่เง่าสิ้นดี หึ!’ ซูเหยาเองก็ไม่รู้ตัวเช่นกันว่าตนเองนึกชมดอกไม้งามอยู่ดี ๆ จู่ ๆ ใยถึงเชื่อมโยงถึงบุรุษไร้ใจผู้นั้นได้ ก่อนจะได้เสียงของเยว่ถานร้องเรียกให้ตื่นจากภวังค์“คุณหนู! ท่านว่าแต่ข้าท่านดูท่านเถอะ มู่ตานฮวาในมือท่านกำมันช้ำหมดแล้วเจ้าค่ะ”“ห๊ะ เอ่อคือข้าใจลอยไป เอาเถอะ ๆ เจ้ารีบเก็บให้พอเสร็จแล้วจะได้ไปฝั่งโน่นต่อเมื
อีกฟาก ณ ชายแดนเหนือหยางจวิ้นอ๋องหลังจากวิ่งม้าทั้งวันทั้งคืนไม่หยุดพักมีเพียงแวะเปลี่ยนม้าระหว่างทางก็เท่านั้นเช่นนี้ใช้เวลาสามวันก็มาถึง สายตาเหี้ยมเกรียมดุจพยัคฆ์ร้ายแผ่กลิ่นอายสังหารเหี้ยมออกมาโดยมิรู้ตัวควบม้าฝุ่นตลบหยุดลงที่หน้าค่ายนั้น เมื่อเหล่าทหารแลเห็นก็กลายเป็นฮึกเหิมปลุกกำลังเมื่อผู้นำที่แท้จริงนั้นได้หวนกลับคืนมานำทัพดั่งเดิม เมื่อมาถึงก่อนอื่นจ้าวหยางเรียกประชุมเหล่านายกองแม่ทัพที่ประจำที่หน้าด้านเพื่อถามไถ่พร้อมทั้งสอบถามถึงกำลังทหารในมือว่าในเวลานี้มีมากน้อยเพียงใด“รายงานหยางจวิ้นอ๋องขณะนี้ทหารฝั่งเรามีห้าหมื่นนายหากกองกำลังของเหออ๋องจากทางใต้มาสมทบทันในอีกสามวันข้างหน้ากำลังฝั่งเราก็จะมากกว่าพวกเฮ่ยหลงพ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพประจำหน้าด่านถวายคำรายงาน“แล้วกำลังฝ่ายเฮ่ยหลงมีมากน้อยเพียงใด” จ้าวหยางมองแผนที่ด้วยใบหน้าเครียดขึง“คาดว่าเจ็ดหมื่นพ่ะย่ะค่ะ”“บัดซบ! อีกสามวันเกรงว่าจะมิทันการ ไม่ได้การล่ะตอนนี้พวกเฮ่ยหลงอยู่ที่ใด” จ้าวหยางสบถเสียงเหี้ยมเป็นเท่าตัว ส่วนใบหน้าเคร่งขรึมจนเหล่าทหารเองนั้นก็ยังหวาดกลัว“ตอนนี้เริ่มเหยียบชายป่าอีกไม่เกินห้าสิบลี้เกรงว่าจะถึงหมู่บ้านเซ
วันนี้บรรยากาศเรือนเยว่หลันในจวนหลังใหญ่ดูจะวุ่นวายแต่เช้าตรู่ เหล่าฮูหยินนั้นออกมายืนกำกับคอยดูสาวใช้ขนข้าวของคุณหนูใหญ่ของบ้านขึ้นรถม้าคันใหญ่ด้วยตนเอง และตามติดมาด้วยเสนาบดีเจียงที่เดินควงแขนมากับฮูหยินรอง รั้งท้ายด้วยคุณหนูรองของบ้านที่วันนี้นั้นทั้งสองแม่ลูกแต่งตัวสวยผิดหูผิดตา หนำซ้ำใบหน้ายังแย้มยิ้มอยู่ตลอดเวลาอย่างผิดวิสัย“ท่านพ่อ ท่านย่า เอ่อแม่รอง ข้าลานะเจ้าคะ” ซูเหยาเดินตรงมาทำความเคารพก่อนจะเอ่ยลา ร่างบอบบางตรงเข้าสวมกอดผู้เป็นย่าก่อนจะลังเลที่จะสวมกอดผู้เป็นพ่อดีรึไม่แต่สุดท้ายก็มิได้ทำทั้งสองพ่อลูกทำเพียงมองสบตากันนิ่งก่อนที่หลินเจียงจะเอ่ยออกมาในที่สุดในใจเกิดนึกสงสารบุตรสาวที่ต้องลำบากระเห็จไปอย่างต่างเมือง“หากอยากกลับก็จงรีบให้คนส่งจดหมายมาข้าจะรีบไปรับกลับทันทีรู้รึไม่”“เจ้าค่ะท่านพ่อ” ซูเหยาแย้มยิ้มน้ำตารื้นกับถ้อยคำผู้เป็นพ่อ“ซูเหยาเจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดีนะรู้รึไม่ หากตระกูลจางไม่ดีกับเจ้าให้รีบส่งข่าวมาบอกแม่เลยนะ” ซูฉีจับมือรวบเข้าจับเอ่ยเสียงอ่อนเสียงหวานแย้มยิ้มเสียแนบเนียน ท่าทางรักซูเหยาประหนึ่งลูกในครรภ์นั้นได้ผลดียิ่งนักเพราะนั้นเรียกสายตาชื่นชมจากหลิน
บัดนี้ตำหนักเทียนจื่อนั้นวุ่นวายแต่เช้าตรู่เมื่อได้รับข่าว หานกงกงวิ่งวุ่นตระเตรียมข้าวของด้วยใจหวาดหวั่น แคว้นเฉิงหยางไร้ศึกมาเนิ่นนานครานี้เกิดศึกนับว่าใหญ่อยู่มากซ้ำผู้เป็นนายต้องออกเดินทางกะทันหันจึงวุ่นวายอยู่มากนักหยางจวิ้นอ๋องเองมิได้ให้ตระเตรียมสิ่งใดมากนักข้าวของไม่จำเป็นล้วนแต่ไม่เอาสิ่งใดไป แต่ที่หานกงกงวิ่งวุ่นอยู่คือกำลังรวบรวมเอาดอกโม่ลี่ที่ทั้งสดและตากแห้งตระเตรียมห่อให้เขาอยู่ต่างหากเล่า ซึ่งนั้นหยางจวิ้นอ๋องนึกชื่นชมเขาอยู่ในใจที่คราบ้านเมืองเกิดภัยพิบัติเช่นนี้เจ้านี่ยังห่วงหาแต่ดอกไม้อยู่ได้ร่างสูงองอาจระความสนใจเร่งสวมใส่ชุดเกราะดำให้เรียบร้อย ก่อนมิลืมหยิบอาวุธดาบคู่ใจเสร็จเรียบร้อยดีก็เดินออกมาหน้าตำหนักที่มีผู้เป็นมารดายืนร้องไห้รอคอยท่าอยู่เคียงข้างกับเสด็จปู่ที่มีสีหน้าเป็นกังวลฉายชัด“เสด็จแม่ เสด็จปู่” จ้าวหยางคำความเคารพอย่างนอบน้อมก่อนจะเข้าสวมกอดทั้งสองเสียแน่น ทั้งสามใช้เวลาล่ำลามินานก็จำต้องผละห่าง ก่อนจะหันกลับมามองผู้เป็นมารดาที่ยืนน้ำตาซึมมองตนจนลับสายตาบัดนี้วังหลวงบรรยากาศโศกเศร้าลงถนัดตา พระชายาก็ตระเตรียมขบวนเสด็จไปวัดทันทีหลังหยางจวิ้นอ๋องออก
คราเมื่อร่างใหญ่ผลักนางออกจากอ้อมอกซูเหยาก็ผวาตามแต่ไขว้คว้าไว้ไม่ทัน ดวงตานางพลันสั่นไหวระริกส่งสายตาตัดพ้อต่อว่าแต่มิอาจเอ่ย ในใจเกิดกระแสเสียใจตีตื้น ท่านอ๋องจะดูมิออกเชียวหรือว่านางบัดนี้ต้องการสิ่งใด สุราที่เขาให้นางดื่มนั่นเกรงว่าจะไม่ใช่เพียงสุราธรรมดาเป็นแน่ ทั้งวันนี้ที่เอาใจนางสารพัดนั่นอีก กะจะกลั่นแกล้งนางจนถึงคราสุดท้ายก่อนจากลาเลยรึไร‘หยางจวิ้นอ๋องท่านเห็นเพียงข้าเป็นตัวตลกรึเช่นไร นึกอยากนำพาก็เข้าหา นึกเบื่อหน่ายก็ผลักไสเช่นนั้นหรือ’ซูหยางกล้ำกลืนในอกจนต้องแหงนเงยใบหน้าขึ้นกลั้นหยดน้ำตา นึกขอบคุณหยาดสายฝนอยู่มิน้อยที่ช่างตกได้ถูกเวลาดีนัก มันช่างช่วยปกปิดความอ่อนแอของนางได้เสียดิบดีซูเหยามิได้ก้าวเข้าหาแต่นางกลับพยายามยกมือขึ้นลูบตามเนื้อตัวของตนเองไปมาอย่างทรมาน นางมองจ้าวหยางอย่างตัดพ้อเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะปิดเปลือกตาลงอย่างกล้ำกลืนและนั่นเองที่หยดน้ำตาที่กักเก็บไว้ร่วงหล่นลงมาแข่งกับหยาดสายฝน ร่างบางสะอื้นจนตัวโยนอย่างน่าสงสาร นางกลั้นใจหันหลังให้ หยางจวิ้นอ๋องคิดฝืนพาร่างอันสั่นเทาขึ้นจากน้ำด้วยตนเองจ้าวหยางที่เห็นนางกระทำเช่นนั้นซ้ำแผนที่วางไว้ก็ไม่เป็นไปดั่
“คุณหนูบ่าวได้ยินมาว่างานคล้ายงานวันเกิดนายหญิงท่านผู้เฒ่าหยางจวิ้นอ๋องก็มาด้วยเจ้าค่ะ”“องค์ชายรองมาด้วยหรือเช่นนั้นก็ดีเลยข้าจะต้องทำให้พระองค์ประทับใจในตัวข้าอย่างแน่นอน” หลินซูเหยาแย้มยิ้มอย่างดีใจที่บุรุษที่นางหมายมาดจะแต่งเข้าเป็นชายานั้นมาเยือนถึงจวนตระกูลหลิน“องค์ชายต้องประทับใจในตัวคุณหนูแน่เจ้าค่ะ คุณหนูของบ่าวงามถึงเพียงนี้มีชายใดในเฉิงหยางที่ไม่พ่ายแพ้ต่อคุณหนูของบ่าวเล่าเจ้าคะ” สาวใช้คู่ใจนามถานเยว่เอ่ยเอาใจผู้เป็นนาย และนับว่านางมิได้กล่าวเกินจริง คุณหนูของนางคนภายนอกมักลือว่านางร้ายกาจ เอาแต่ใจด้วยไร้มารดาอบรมสั่งสอน มิเคยเห็นหัวผู้ใดไม่ใฝ่รู้ใฝ่เรียน วัน ๆ เอาแต่ลุ่มหลงในความงามสรรหาสารพัดวิธีที่จะบำรุงตนเอง หาได้ใส่ใจในกิจการของตระกูลซูไม่ ซ้ำยังชอบอาละวาดตบตีบ่าวรับใช้เป็นว่าเล่นจนแม้กระทั่งผู้เป็นบิดาเองบางคราถึงกับแสดงท่าทีเอือมระอาและมักนำนางไปเปรียบเทียบกับคุณหนูรองอยู่บ่อย ๆ แต่ยังดีที่มีฮูหยินผู้เฒ่าเข้าใจนางและคอยตามใจให้ท้ายเสมอมาเพียงเท่านั้น“หึ เจ้านี่ปากหวานช่างเจรจาเสียจริงนะ แล้วที่ให้เจ้าไปสืบเป็นเช่นไรบ้าง” ซูเหยานั่งมองใบหน้าของตนที่สะท้อนผ่านกระจกเ...
ความคิดเห็น