“ยายหนู ยายหนูของย่าในที่สุดก็ฟื้นแล้ว ขอบคุณสวรรค์ ๆ ” เสียงเหล่าฮูหยินปลุกให้ซูเหยาได้สติ และรับรู้ว่าตนเองนั้นยังมีชีวิตอยู่ ยิ่งได้ยินเสียงของท่านย่านางยิ่งรู้สึกผิด ในใจนางนั้นปวดร้าวเหลือคณา ยิ่งยามมือเหี่ยวย่นจากกาลเวลาที่ผ่านมาคอยลูบศีรษะปลุกปลอบนางยิ่งส่งเสียงสะอึกสะอื้น แม้จะปวดร้าวและเจ็บไปทั้งแผ่นหลังแผลภายนอกยังมิสู้ในใจนางที่แหลกลานมิเหลือชิ้นดี นึกเสียดายวันคืนที่สู้อุตส่าห์รัก อุตส่าห์เทิดทูน บัดนี้เกรงว่าผู้เป็นบิดาคงมิให้อภัยนางเสียแล้ว นางนั้นทำผิดต่อวิญญาณท่านแม่ผิดต่อท่านย่า และท่านพ่อ นางช่างอกตัญญู
“ฮึก ๆ ท่านย่าหลาน ฮื้อ ฮึก ทำให้ท่านย่าเสียใจ หลานฮื้อช่างอกตัญญู ท่านย่า ฮึก ๆ” ร่างบอบบางนอนคว่ำใบหน้าร้องไห้ปานจะขาดใจจนร่างสั่นเทาไหวระริกอย่างน่าสงสาร
ผู้เป็นย่าที่เลี้ยงดูหลานรักเช่นนางมามีหรือจะสู้ทนไหว สายตาฝ้าฟางมองหลานสาวที่ร้องไห้อย่างสงสาร
“นังหนูไม่ร้องนะ ๆ ไม่เป็นไร ๆ นะ ๆ ย่าหนะไม่ต่อว่าเจ้าหรอก เจ้าทำไปล้วนมีเหตุผลของเจ้า เอาล่ะไม่ร้องนะหลานรักของย่าดูสิไม่งามเลยนะ ไม่สมกับเป็นซูเหยาของย่าที่รักสวยรักงามเลยจริง ๆ ไหนดูซิ เยว่ถานไปตามหมอมาเร็วเข้าคุณหนูใหญ่ฟื้นแล้ว มาตรวจดูให้ดีเสียหน่อยเร็วเข้า”
“เจ้าค่ะเหล่าฮูหยิน บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้” เยว่ถานนั้นถูกโบยเพียงห้าทีและถูกสั่งกักบริเวณในห้องเก็บฟืนพึ่งถูกปล่อยตัวออกมาเมื่อเช้า เมื่อเห็นบาดแผลของคุณหนูตนก็อดใจหายอยู่มิน้อย คุณหนูของนางรักสวยรักงามครานี้แผ่นหลังคุณหนูเป็นรอยนางต้องเสียใจมากเป็นแน่
“ท่านย่า ฮึกหลานผิดไปแล้ว ผิดไปแล้วจริง ๆ” ซูเหยายังเอาแต่คร่ำครวญเอ่ยอย่างสำนึกผิด ครานี้นางสำนึกผิดแล้วจริง ๆ สายตาไร้เยื่อใยของหยางจวิ้นอ๋องนั้นมันได้ตัดเฉือนหัวใจนางไปเสียหมดสิ้น นางหลับไปหลายวันครานี้พอฟื้นสติได้ก็มิใช่คนโง่เง่า ฟื้นขึ้นมาครานี้กลับตระหนักได้อยู่ข้อหนึ่งขึ้นในใจ และยินยอมรับโทษจากท่านพ่อแต่โดยดี แต่ขอเพียงมั่นใจอีกเสียหน่อยหากเขายังยืนยันเช่นเดิม นางเอกก็มิได้คิดรั้งแต่อย่างใด
“ไม่ร้อง ๆ นะเดี๋ยวหลานย่าไม่สวยนะ หลานย่า นังหนูบุรุษผู้นั้นเจ้าไม่บอกย่าก็ไม่เป็นไรนะ ย่าเชื่อว่าหลานของย่าทำไปเพราะมีเหตุผลเจ้าอย่าได้คิดมาก หากเจ้ากลัวพ่อเจ้าให้มาบอกย่าหากเจ้าทั้งสองรักกันย่าจะออกหน้าให้พวกเจ้าเอก” เหล่าฮูหยินครานี้เห็นทีจะเงียบเสียไม่ได้ นางมิอาจทนเห็นซูเหยาที่เคยสดใสงดงามต้องเศร้าสร้อยเช่นนี้ ใจของหญิงชรานั้นรับไม่ได้จริง ๆ
“ท่านย่าช่างเถอะเจ้าค่ะ เขามิได้ ฮะฮึก มีใจให้หลาน เราทั้งคู่เพียงหน้ามืดตามัวชั่วครั้งชั่วคราว ฮึกท่านย่ากอดหลานแน่น ๆ ทะทีเจ้าค่ะ” ซูเหยาเอ่ยอย่างสะท้อนในใจพร้อมร้องขอผู้เป็นย่าให้กอดนางแน่น ๆ เพื่อเรียกกำลังใจ ก่อนจะเบ้หน้าสูดปากจากอาการเจ็บร้าวจากแผลที่แผ่นหลัง
“เอาล่ะ ๆ เจ้าพึ่งฟื้นย่าไม่รบกวนเจ้าแล้ว นังหนูเจ้าพักผ่อนเยอะ ๆ นะ อ่ะไม่ต้องไปส่ง ๆ นอนเถอะ ๆ”
“เจ้าค่ะท่านย่า” หลังเหล่าฮูหยินออกไปก็พอดีกับที่เยว่ถานและท่านหมอเข้ามา บาดแผลของนางบัดนี้ท่านหมอบอกว่าเริ่มสมานดีแล้ว เพียงหมั่นทายาอีกหน่อยอีกไม่เกินสัปดาห์ก็จะดีขึ้นและทิ้งไว้เพียงแค่แผลเป็นจาง ๆ เพียงเท่านั้น ซูเหยาจำคำท่านหมออย่างเคร่งครัดความเจ็บร้าวที่แผ่นหลังรึจะสู่แผลในใจ ซูเหยาเวลานี้ไม่มีกระจิตกระใจทำสิ่งใดนางเอาแต่เหม่อลอยคล้ายครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา อาการไม่พูดไม่จาของผู้เป็นนายสร้างความหนักใจให้แก่เยว่ถานเป็นอย่างมากจนนางคิดไม่ตกว่าจะต้องเช่นไร ซ้ำนี่ก็หลายวันแล้วหลังคุณหนูฟื้นนายท่านก็ยังมิยอมใจอ่อนมาเยี่ยมเยือน ต้องเป็นเพราะฮูหยินรองนางเอาแต่เป่าหูนายท่านเรื่องคุณหนูอยู่เป็นแน่
และเยว่ถานนั้นก็มั่นใจว่าตนเข้าใจมิผิดเมื่อนางออกไปหาซื้อยาให้คุณหนูก็พบเห็นแต่เรื่องราวของคุณหนูถูกนำไปพูดเสียให้ทั่ว แต่เมื่อคนพวกนั้นเห็นนางก็จะเงียบปากลงในทันที
“คุณหนูข่าวแพร่ไปทั่วเช่นนี้คุณหนูจะทำเช่นไร” เยว่ถานได้แต่อุทานกับตนเองอย่างนึกสงสารผู้เป็นนาย คุณหนูนางเวรกรรมอันใดกันหนอดูสิขนาดนางเจ็บที่หลังยังอุตส่าห์ให้นางนำเงินไปซื้ออาหารแจกจ่ายที่ศาลาเกื้อการุณย์อีก ใครกันที่ว่าคุณหนูของนางร้ายกาจหากไม่ใช่เพราะสองแม่ลูกนำข่าวของคุณหนูไปกระจายหวังทำลายชื่อเสียง ช่างน่าเจ็บใจแทนคุณหนูของนางเสียจริง ๆ
เวลานี้ที่ตำหนักกลางป่าไผ่แววเสียงทำนองเพลงไพเราะจากดรุณีเลอโฉมนั่งดีดกู่เจิงบรรเลงเพลงพร้อมแย้มยิ้มส่งให้กับบุรุษรูปงามหล่อเหลาราวกับหยกสลักที่นั่งนิ่งมีสีหน้าราบเรียบวาดภาพนางอยู่ด้านหน้าไม่ขาด บรรยากาศโดยรอบสงบสายลมพัดเอื่อยมาแต่ละคราทำให้ต้นไผ่พลิ้วโบกไสว ลำต้นไผ่เสียดสีกันไปมาช่างสอดประสานกับทำนองเพลงกู่เจิงได้อย่างเหมาะเจาะ ด้านข้างของทั้งสองมีหานกงกงคอยยืนรอรับใช้ด้วยท่าทางนิ่งสงบ ส่วนด้านหน้าตำหนักก็มีองครักษ์เดินอารักขาอย่างแน่นหนา เมื่อเป็นเช่นนี้ก็มั่นใจแล้วว่าไม่อาจมีผู้ใดสามารถรุกล้ำเข้ามาในเขตหวงห้ามแห่งนี้ได้อย่างแน่นอน
“งดงามนักพ่ะย่ะค่ะ” ทันทีที่มือหนาวางพู่กันลงหานกงกงก็รับภาพไปส่งต่อให้หลินชิงเยว่ในทันที
ชิงเยว่รับภาพวาดพร้อมทั้งนั่งมองอย่างสุขใจ ก่อนรอยยิ้มจะพลันมลายหายไปชั่วครู่เมื่อหยางจวิ้นอ๋องเอ่ยถามถึงผู้เป็นพี่สาวของนาง
“นางเป็นเช่นไรบ้างพี่สาวเจ้า”
“ตอนนี้นางฟื้นแล้วเพคะ แต่เสด็จพ่อมิยอมพูดคุยกับนางทั้งไม่ยอมตัดสินโทษที่นางทำผิด นางเองแม้ถูกคาดคั้นก็มิยอมเปิดปากบอกว่าชายชู้นั้นเป็นผู้ใดเพคะ”
“ยังไม่แต่งงานมิใช่รึ จะเรียกชายชู้ได้เช่นไร” จ้าวหยางขมวดคิ้วอย่างนึกไม่ชอบใจกับถ้อยคำที่ชิงเยว่เอ่ยพาดพิง
“เป็นเช่นนั้นก็จริง แต่ก็ไม่รู้ว่าพี่หญิงไปคบหากับคุณชายบ้านไหนมาบ้าง และไม่แน่คุณชายพวกนั้นอาจจะมีฮูหยินอยู่แล้วก็ได้ เช่นนั้นเรียกเช่นนี้ชิงเยว่ว่าก็มิได้ผิดนักเพคะ” ชิงเยว่แม้รู้สึกไม่ชอบที่ท่านอ๋องเอ่ยถามถึงผู้เป็นพี่ แต่กระนั้นก็ยังตอบใส่ความนางมิหยุด
“อ่อ แบบนี้นี่เอง” สิ้นเสียงเข้มจ้าวหยางก็ลุกขึ้นเต็มความสูง วันนี้เขาหมดอารมณ์จะทำสิ่งตรงหน้าต่อ ใจเขาตอนนี้อยากกลับตำหนักเพื่อประทานยาจินชวงเย่าไปให้จวนเสนาบดีเสียมากกว่า แต่จะให้ทางใดกันเล่าหากไม่ลอบให้หานกงกงเอาไปวางขายให้สาวใช้นางที่ตามหาสมุนไพรลบรอยแผลเป็นให้นางได้ซื้อไป ซูเหยานางเป็นคนเสาะหาความงามอยู่เสมอเกรงว่าหลังเกิดแผลในครานี้คงเสียใจอยู่มิน้อย
‘นี่เราเป็นห่วงนางเช่นนั้นรึ หึ! แค่เห็นแก่ความผิดครานี้เขาก็มีส่วนผิดต่างหากเล่า’ หยางจวิ้นอ๋องยังคงมิหยุดคิดหาเหตุในอารมณ์ที่ตนเองเป็นอยู่ในเวลานี้
วันนี้ซูฉีฮูหยินรองตระกูลหลินเดาอารมณ์บุตรสาวมิออกเท่าใดนัก นางได้แต่ทำหน้าสงสัยเหตุใดชิงเยว่กลับมาถึงมิพูดมิจา กลับเดินตรงเข้าเรือนปิดประตูเก็บตัวเงียบ เมื่อให้แม่นมไปถามไถ่กลับบอกแค่ว่าคุณหนูอารมณ์มิดี มิอยากให้ใครรบกวน ไม่ได้นางจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไม่ได้ บุตรสาวนางไปพบองค์ชายรองมามิใช่รึเหตุใดกลับมาถึงได้อารมณ์บูดบึ้งเฉกเช่นนี้“ชิงเยว่เปิดประตู เปิดประตูให้แม่เข้าไปบัดเดี๋ยวนี้”แม่นมเคาะประตูอยู่สามครั้งชิงเยว่ก็เปิดประตูออกมาพร้อมดวงตาแดงก่ำจากอาการร้องไห้ เมื่อถามไถ่ก็ได้ความว่าไปตำหนักป่าไผ่ครั้งนี้มิได้เป็นเฉกเช่นทุกครา หยางจวิ้นอ๋องหลังจากถามไถ่เรื่องซูเหยาก็ดูคล้ายอารมณ์เสียเมื่อนางแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง จากนั้นก็ขอตัวกับตำหนักใหญ่ไปเสียดื้อ ๆ ทิ้งนางให้กงกงส่งขึ้นรถม้ากลับจวนเสียงอย่างนั้น“ท่านแม่ ฮึกรึว่าท่านอ๋องเบื่อลูกแล้ว”“ไม่หรอกต้องเป็นเพราะนางซูเหยาแน่ ๆ ท่านอ๋องถึงได้ไม่พอใจ เพราะเรื่องบัดสีที่นางก่อ หึ! ดูสิพานสร้างความลำบากให้ชิงเยว่ของแม่ไปด้วย แต่ก็สมน้ำหน้านัก แต่ว่านังซูเหยาเด็กนั่นชอบท่านอ๋องอยู่มิใช่รึ ใยนางโง่ทำเช่นนี้ รึว่า” เ
“โอ๊ย เยว่ถาน ๆ โอ๊ย ๆ เบา ๆ ซี้ด ” ซูเหยาร้องโอดโอยเมื่อเยว่ถานเปิดผ้าพันแผลที่หลังขึ้นแต่มันกับเกี่ยวติดเนื้อบางส่วนของนางขึ้นไปด้วย ด้วยแผลยังมิได้สมานดีนัก“ฮื้อ คุณหนูเจ็บมากรึไม่เจ้าคะ คุณหนูอดทนอีกนิดนะเจ้าคะ เยว่ถานจะใส่ยาให้” เยว่ถานเลือกหยินยาแก้อักเสบไป๋เซี่ยนเกาที่ท่านหมอให้มาค่อย ๆ เคาะเทลงบนบาดแผล ในใจได้แต่เฝ้าภาวนาให้แผลที่แผ่นหลังของผู้เป็นนายหายไปเสียทีนี่ก็ร่วมสัปดาห์แล้วแต่แผลยังดูเหมือนจะยังใหม่อยู่ตลอดเวลา และเมื่อเสียงของผู้เป็นนายเอ่ยถามแล้วนั้นนางยิ่งมีสีหน้าลำบากใจ“เยว่ถานนี้ก็เกือบสัปดาห์แล้ว แผลข้าใกล้หายแล้วใช่รึไม่ แต่เหตุใดข้ายังเจ็บมาก ๆ อยู่เลยเล่า” ซูเหยาพลิกหน้ากลับมามองเยว่ถาน และเมื่อเห็นว่าสีหน้าเยว่ถานนั้นดูคล้ายกึ่งร้องไห้กึ่งยิ้ม คิ้วเรียวงามก็พลันขมวดมุ่น และซูเหยามิใช่คนโง่ที่จะไม่รู้ว่าตอนนี้แผลตนนั้นเป็นเช่นไร ซูเหยาบัดนี้ในใจนางรู้สึกเดือดดาลซูฉี นางจะทำลายกันให้ได้เลยใช่รึไม่ ข้าอยู่ของข้าดี ๆ กลับทำร้ายกาจเช่นนี้กับข้าได้ ได้สิ!“เยว่ถานเอายานี่ไปให้อาเจิ้น ให้เขาตรวจดูหน่อยว่ายานี่มีสิ่งใดผิดปกติ และเจ้าออกไปหาซื้อยาที่ตลาดมาให้ข้าใช้แ
นับเป็นคราที่สองในรอบวันที่หานกงกงต้องระเห็จตนเองออกจากห้องทรงอักษรขององค์ชายรอง กงกงวัยกลางคนที่อ้วนท้วมเล็กน้อยยืนลอบเช็ดเหงื่อจากใบหน้าเรียกเสียงซุบซิบจากเหล่านางกำนัลที่เดินผ่านจนเสียสนุกปาก“นางพวกนี้ อย่าคิดว่าไม่รู้นะว่ากำลังด่าอะไรข้า พวกเจ้า หน็อย คอยดูเถอะไม่มีงานการทำรึไงกันห๊ะ” หานกงกงบัดนี้โมโหพวกนางกำนัลที่นินทาเข้าหูให้ได้ยินแต่ไม่ชัดเจนนักจึงต้องเท้าสะเอวเสียงดุพวกนางกำนัลที่ผ่านไปมา“อ้าวหานกงกง” เหยียนเฟิงที่เดินลาดตะเวนกลับมาเห็นหานกงกงยืนเช็ดเหงื่อตนเองอยู่จึงแกล้งแซวขึ้น“เฮอะ” หานกงกงส่งเสียงคล้ายแง่งอนออกมาเพียงเท่านั้นก็กลับมามีท่าทีนิ่งสงบก้มหน้ารอรับใช้เฉกเช่นยามปกติ“หยิ่งซะด้วย ฮ่า ๆ” เหยียนเฟิงเมื่อเห็นว่าหานกงกงมิได้สนใจตนแล้วจึงกอดอาบเดินเข้าไปหาองค์ชายรองเพื่อรายงานสิ่งที่ได้รู้มาให้ทรงทราบ“องค์ชายรอง” เหยียนเฟิงทำความเคารพ“ลุกขึ้นเถอะ เป็นเช่นไรบ้าง”“กระหม่อมได้ยินมาว่าเสนาบดีหลินตัดสินใจให้คุณหนูใหญ่ไปพักกับญาติฝั่งฮูหยินรองที่ชนบทเพื่อทบทวนตนเองพ่ะย่ะค่ะ”จ้าวหยางเมื่อฟังคำรายงานก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย นี่ไม่ใช่ว่าลงโทษเฆี่ยนตีแล้วหรอกรึ เหตุใดต้อง
ซูเหยาพึ่งปิดตาลงได้ไม่นานยังมิทันได้เคลิ้มหลับดีก็มีแขกมาเยือนอีก ครานี้เป็นท่านย่าที่นางรักมาเยี่ยมหลังได้ยินข่าวว่าชิงเยว่มาหาเรื่องซูเหยาถึงในเรือน“นังหนู หลานย่าชิงเยว่ทำอันใดเจ้ารึไม่ เจ้าเด็กคนนี้เอาแต่ใจเป็นเพราะแม่นางที่ให้ท้ายตามใจตลอดสินะ” เหล่าฮูหยินได้ยินเสียงโวยวายก่อนจะเห็น ชิงเยว่เดินฟึดฟัดออกจากเรือนเยว่หลันจึงได้รีบเดินมาดู เมื่อเห็นซูเหยายังปกติมิได้บาดเจ็บก็เบาใจ“ท่านย่า” ซูเหยาพยายามประคองตัวลุกขึ้นสวมกอดผู้เป็นย่า ในใจนั้นอยากเล่าเรื่องร้ายกาจที่สองแม่ลูกกระทำต่อนางแต่ก็ไม่อยากให้ผู้เป็นย่าต้องเป็นห่วงจึงตัดสินใจเก็บเงียบ และเลือกเอ่ยสิ่งที่นางสงสัยและขอให้ผู้เป็นย่านั้นช่วย“ท่านย่าเมื่อครู่ชิงเยว่นางบอกว่าท่านพ่อจะให้ข้าไปอยู่ชนบทรึเจ้าคะ ท่านย่าหลานไม่อยากไป” ซูเหยาซุกหน้าลงที่อกผู้เป็นย่าอย่างออดอ้อน“เฮ้ยพ่อเจ้านะเสียสติไปแล้ว ซูฉีนางพูดสิ่งใดก็เชื่อไปเสียหมด เจ้าไม่ต้องห่วงนะซูเหยาเรื่องนี้ย่าไม่ยอมแน่ ย่าย่อมต้องช่วยเจ้าสุดความสามารถ” เหล่าฮูหยินกอดกระชับอ้อมกอดเพื่อปลอบประโลมหลานรักสองย่าหลานอยู่พูดคุยกินข้าวด้วยกันจนถึงหัวค่ำ เหล่าฮูหยิน
“มิมีสิ่งใดทั้งนั้นท่านพ่อ ข้าเพียงแค่เบื่อหน่ายก็เท่านั้น ขอถามท่านพ่อจะให้ข้าไปอยู่กับญาติ เอ่อของแม่รองจริง ๆ งั้นรึ” ซูหยามองหน้าผู้เป็นพ่อที่บัดนี้มองนางราวกับเห็นผี นางเพียงคลี่ยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะถามถึงบ้านที่นางนั้นต้องไปอยู่“อืม ตระกูลจางนั้นมิได้เลวร้ายเป็นตระกูลใหญ่เพียงแต่อยู่ชนบทก็เท่านั้น เจ้าเดินทางไม่เกินสามวันก็ถึงแล้ว ซานเฉิงแม้จะชนบทหน่อยแต่ว่าก็อากาศดี ที่นั่นอากาศเย็นตลอดทั้งปียังไงเจ้าเตรียมชุดหนา ๆ ไปเสียเยอะหน่อยก็แล้วกัน เอาล่ะในเมื่อเจ้าตัดสินใจว่าจะไปข้าก็ไม่ขัดข้อง บางทีการที่เจ้าได้ไปทบทวนตัวเองเสียหน่อยอาจจะทำให้อะไร ๆ มันดีขึ้นก็ได้ เอาไว้ให้เรื่องที่เจ้าก่อผู้คนลืมกันไปแล้วก็ค่อยกลับมาก็แล้วกัน รึว่าอยากกลับเมื่อไหร่ก็ให้ส่งจดหมายกลับมาข้าจะรีบไปรับกลับในทันทีรู้รึไม่” หลินเจียงนั้นเขาเป็นห่วงซูเหยาอยู่มาก เช่นไรก็ลูกของเขา แม่แต่สุนัขมันยังรักลูกมันแล้วมีหรือที่เขาจะไม่รัก พอพูดกับผู้เป็นบุตรสาวออกไปเช่นนั้นใจแกร่งเองก็ไหวยวบอยู่ไม่น้อย พลันดวงตาก็คลอเคลียด้วยน้ำวาววับ ชายสูงวัยกลั้นมันไว้จนบัดนี้เกรงว่าแดงก่ำแล้วกระมัง จึงเอาแต่ก้มหน้ามองพื้นมิได้สบตาผู
“หากไม่อยากตกม้าตายทั้งคู่ก็อยู่นิ่ง ๆ”“อ๊ะ” ซูเหยาผวาตกใจเมื่อถูกมือหนากอดกระชับเข้าที่เอวคอดหลังจากถูกเสียงห้าวดุทั้งบีบเข้าที่เอวของนางอย่างแรง“จะพาข้าไปที่ใด”“ข้า! เหอะ” จ้าวหยางวันนี้หลังจากที่นางมิสนใจเขาที่ตลาด เมื่อกลับตำหนักในใจก็ไม่อาจนิ่งสงบที่ถูกนางเมิน ในหัวเฝ้าคิดถึงแต่ท่าทางหันหลังมิยอมกลับมามองของนาง และเมื่อใจมิอาจสงบลงได้จึงต้องการไปถามเสียให้รู้ความ จึงให้เหยียนเฟิงไปแจ้งกับบ่าวรับใช้เรือนนางอย่างลับ ๆ ส่วนเขานั้นไม่อาจไปอย่างโจ่งแจ้งนักจึงได้ไปรอที่ประตูข้างเรือนนางแทน“ตำหนักป่าไผ่”“ข้าไม่อยากไป”“ข้า ๆ ใครสอนให้พูดเช่นนี้ห๊ะ ไม่อยากไปแล้วเช่นไร” เมื่อเห็นว่าจ้าวหยางเริ่มมีอารมณ์ซูเหยาจึงได้เงียบเสียงลง เวลานี้ไม่ปลอดภัยเท่าไหร่นักด้วยเพราะเขาควบม้าเร็วเสียจนน่ากลัวจึงจำต้องนั่งเงียบ ๆ สงบปากสงบคำแทนจ้าวหยางพานางควบม้าไม่นานก็เข้าสู่เขตตำหนักป่าไผ่ บ่าวรับใช้ถูกไล่ไปเสียหมดทั้งตำหนักในเวลานี้จึงมีเพียงเขาและนาง ส่วนเหยียนเฟิงนั้นก็คงลาดตระเวนอยู่รอบ ๆ มิได้เข้ามารบกวน“ลงมา!” จ้าวหยางชูมือขึ้นเพื่อให้นางจับ แต่ดูท่าวันนี้นางกลับดื้อดึง ท่าทางนั่งหลังตรงเชิดหน
“ข้าดื่มหมดแล้ว ท่านอ๋องโปรดทำตามที่รับปากด้วยเพคะ” ซูเหยาเมื่อรู้ตัวว่าชักดื่มจนเลยเถิดนี่ก็นับว่าสามจอกแล้วจึงได้หยุดแม้รสชิของสุรานี้ช่างนุ่มละมุนลิ่นเสียจริงจนยากจะวางลง ซูเหยาเผลอแลบลิ้นเลียริมฝีปากรสชาติสุราที่ติดที่ริมฝีปากอย่างแสนเสียดาย โดยหารู้ไม่ว่าบัดนี้จ้าวหยางนั้นจดจ้องนางราวกับราชสีเตรียมตะครุบเหยื่ออยู่รอมล่อ“อึก” จ้าวหยางถึงกับต้องแลบลิ้นหนาเลียริมฝีปากที่แห้งผากของตนตามนาง แต่ครั้นเมื่อเงยหน้ามองไปยังใบหน้างามกลับพบว่านางเสมองพื้นมิสบตาเขา นางทำราวกับเป็นนางกำนัลต่ำต้อยที่ไม่กล้ามองผู้เป็นนายเสียอย่างนั้นซึ่งท่าทางเจียมเนื้อเจียมตัวคล้ายต่ำต้อยหนักหนาของนางทำให้จ้าวหยางไม่ชอบใจเท่าไรนัก จนต้องขบกรามและกำมือแน่นเพื่อคลายอารมณ์ และครู่ต่อมานางก็เกือบทำให้เขาแทบหลุดยิ้มขันเมื่อท้องนางส่งเสียงร้องประท้วงน้อย ๆ ส่วนเจ้าตัวนั้นที่ทำท่าทางเจียมเนื้อเจียมตัวก็คงเขินอายกระมังบัดนี้แก้มนางถึงได้ซับสีแดงระเรื่ออย่างน่ารัก‘หิวแล้วเหตุใดไม่พูด’ จ้าวหยางบ่นนางในใจ อันที่จริงเขาเตรียมมาเสียหมดทุกอย่างนั่นแหละ เขาให้หานกงกงเตรียมของที่นางชอบตั้งหลายอย่างแต่เป็นนางที่ทำให้เขาเสียอ
คราเมื่อร่างใหญ่ผลักนางออกจากอ้อมอกซูเหยาก็ผวาตามแต่ไขว้คว้าไว้ไม่ทัน ดวงตานางพลันสั่นไหวระริกส่งสายตาตัดพ้อต่อว่าแต่มิอาจเอ่ย ในใจเกิดกระแสเสียใจตีตื้น ท่านอ๋องจะดูมิออกเชียวหรือว่านางบัดนี้ต้องการสิ่งใด สุราที่เขาให้นางดื่มนั่นเกรงว่าจะไม่ใช่เพียงสุราธรรมดาเป็นแน่ ทั้งวันนี้ที่เอาใจนางสารพัดนั่นอีก กะจะกลั่นแกล้งนางจนถึงคราสุดท้ายก่อนจากลาเลยรึไร‘หยางจวิ้นอ๋องท่านเห็นเพียงข้าเป็นตัวตลกรึเช่นไร นึกอยากนำพาก็เข้าหา นึกเบื่อหน่ายก็ผลักไสเช่นนั้นหรือ’ซูหยางกล้ำกลืนในอกจนต้องแหงนเงยใบหน้าขึ้นกลั้นหยดน้ำตา นึกขอบคุณหยาดสายฝนอยู่มิน้อยที่ช่างตกได้ถูกเวลาดีนัก มันช่างช่วยปกปิดความอ่อนแอของนางได้เสียดิบดีซูเหยามิได้ก้าวเข้าหาแต่นางกลับพยายามยกมือขึ้นลูบตามเนื้อตัวของตนเองไปมาอย่างทรมาน นางมองจ้าวหยางอย่างตัดพ้อเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะปิดเปลือกตาลงอย่างกล้ำกลืนและนั่นเองที่หยดน้ำตาที่กักเก็บไว้ร่วงหล่นลงมาแข่งกับหยาดสายฝน ร่างบางสะอื้นจนตัวโยนอย่างน่าสงสาร นางกลั้นใจหันหลังให้ หยางจวิ้นอ๋องคิดฝืนพาร่างอันสั่นเทาขึ้นจากน้ำด้วยตนเองจ้าวหยางที่เห็นนางกระทำเช่นนั้นซ้ำแผนที่วางไว้ก็ไม่เป็นไปดั่
หลังจากดูถูกหยางจวิ้นอ๋องครานั้นซูเหยาก็ไม่คิดจะทำอีกเลย เขาพละกำลังล้นเหลือราวม้าศึกมิรู้จักเหน็ดเหนื่อยจนซูเหยาประจักษ์แจ้งแก่ใจนัก หลังจากวันนั้นนางก็ร่างกายอ่อนแรงนี่ก็เข้าเดือนที่สองแล้วกระมังที่นางมักเวียนศีรษะอยู่บ่อย ๆ อีกทั้งยังต้องเทียวไปมาระหว่างจวนตระกูลหลินกับตำหนักป่าไผ่ทำให้หลายวันมานี้นางถึงกับทนไม่ไหวเวียนศีรษะจนสำรอกออกมาเสียกลางทาง ทั้งร่างกายมิมีแรงไหนจะทั้งรู้สึกง่วงนอนอยู่ตลอดเวลาอีกเล่าแต่อาการเหล่านี้นั้นช่างน่าประหลาดยิ่งซูเหยาค้นพบว่าอาการนางจะทุเลาลงถึงขั้นหายไปเมื่อได้สูดดมกลิ่นกายของหยางจวิ้นอ๋อง ซึ่งน่าประหลาดนักทำให้หลัง ๆ มานี้จากที่เขาติดนางกลายเป็นนางที่ติดเขาแทนไปเสียแล้ว“ท่านอ๋อง”“ซูเหยาลุกขึ้นก่อนเถิดท่านหมอมาแล้ว” ซูเหยาฝืนอาการเวียนศีรษะหน้ามืดนางพยายามมองดูจ้าวหยางแต่กลับพบว่าบัดนี้มิได้มีเพียงหมอหลวง กลับมีญาติฝั่งนางมาครบอีกแม้กระทั่งพระชายาและท่านปู่ของเขาก็ยังมาด้วย นางเห็นเช่นนั้นก็พยายามลุกขึ้นเพื่อถวายความเคารพ แต่ก็ถูกผู้ใหญ่ทัดทานเอาไว้เสียก่อนเมื่อเห็นใบหน้านางซีดเผือดมิสู้ดีนัก“ซูเหยาเจ้าไม่ต้องลุก ๆ นอนลง ๆ เดี๋ยวให้หมอหลวงตรวจให
[จวนตระกูลหลิน]ซูเหยาบัดนี้รู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมากเมื่อบิดาเอาแต่จ้องตนแต่มิยอมพูดจา นางจึงได้แต่ก้มหน้าแล้วจับชายอาภรณ์พลิกไปพลิกมาแทนเมื่อเริ่มรู้ถึงสถานการณ์กดดัน และเป็นนางที่เป็นฝ่ายทนไม่ไหวต้องยอมเอ่ยปากกับผู้เป็นบิดาก่อน ส่วนท่านย่านั้นมิได้ถูกเชิญออกมากลัวว่าได้ยินเรื่องราวของนางแล้วเดี๋ยวเป็นการซ้ำเติมอาการเข้าไปใหญ่“ท่านพ่อ...”“เจ้ารู้ความผิดตัวเองรึไม่!” หลินเจียงเอ่ยด้วยใบหน้าเข้มน้ำเสียงราบเรียบจนซูเหยานึกขยาดเสียวสันหลังวาบดวงตาเริ่มแดงก่ำเจือด้วยหยาดน้ำวาววับ“ทะท่านพ่อลูกผิดไปแล้วเจ้าค่ะ ขะข้าทำให้ท่านต้องเสื่อมเสีย ละลูก”“นางมิผิด หากจะผิดล้วนเป็นข้าที่ผิด” จ้าวหยางที่นึกเป็นห่วงนางหลังพูดคุยกับมารดาเสร็จก็รีบควบม้าวิ่งทะยานตรงมาหานางที่จวนในทันที“ทะท่านอ๋อง” เสนาบดีเจียงลุกขึ้นทำความเคารพตามปกติแต่บรรยากาศโดยรอบนั้นกลับเต็มไปด้วยเมฆหมอกอึมครึม“ท่านหลินเป็นข้าทั้งนั้นที่ผิดเจ้าอย่าได้โทษนาง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนถูกล่อลวงจากข้าทั้งนั้น”“ไม่ใช่นะเจ้าคะท่านพ่อ มิใช่เช่นนั้นเป็นข้าเองที่ชอบท่านอ๋องมาก” ซูเหยาที่นึกกลัวผู้เป็นพ่อที่มีท่าทางเอาจริงเอาจังอย่างที่ไม
การที่องค์ชายรองประคองมารดาเดินมาชมบุปผาในอีกด้านนั้นก็พอดีกับเหล่าขุนนางที่ว่าราชการจบ ไท่จื่อเฟยจึงได้ถือโอกาสเชิญพวกเขามาดื่มชา ชมบุปผางามเพื่อผ่อนคลายจากงานราชกิจ โดยทุกอย่างนั้นล้วนถูกจ้าวหยางและมารดาจัดแจงความเป็นไปไว้เสียหมดสิ้น“ท่านแม่ ๆ ท่านแม่ว่าป่านนี้พี่สาวของข้านางจะเป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ หึ!”.”ก็คงนอนตายอยู่ใต้หน้าผาลึกแล้วกระมัง ฮ่า ๆ ช่างเถอะคนมันไม่มีวาสนาก็เหมือนแม่นางนั้นแหละ ชะตาอาภัพผู้ใดจะคิดกันเล่านังเด็กซูเหยานั้นออกจะเก่งกาจจะมาตายง่ายดายถึงเพียงนี้ หึ ๆ”“แต่ท่านแม่หากท่านพ่อรู้เล่าเจ้าคะ ท่านพ่อต้องถามหานางแน่ ๆ” ชิงเยว่เมื่อนึกถึงผู้เป็นพ่อขึ้นมาก็กลับเกิดหวาดกลัวขึ้นในใจ“พ่อเจ้าหนะรึโง่สิ้นดีหนะสิ ขนาดฮูหยินใหญ่นางตายเพียงข้าโกหกเพียงนิด บีบน้ำตาเสียหน่อยเขาก็คิดเสียแล้วว่าการตายของนางเป็นอุบัติเหตุ” ซูฉีที่นางมั่นใจเพียงนี้นั้นก็เพราะตระกูลนางกว้างขวางซ้ำร่ำรวยทำสิ่งใดจึงมิต้องได้เปลืองแรงมากนัก สองแม่ลูกพูดคุยกันเพลิดเพลินโดยหารู้ไม่ว่าบัดนี้คนที่อยู่นอกห้องนั้นได้ยินถ้อยคำพวกนางเสียหมดสิ้น“ซูฉี! หลินชิงเยว่! ” เสนาบดีหลินเดินออกมาอย่างเลื่อนลอยแต่ใ
“ท่านแม่ ๆ มีเทียบเชิญเข้าเฝ้าพระชายาเช่นนั้นรึเจ้าคะ” ชิงเยว่รีบวิ่งหน้าตั้งมาหาผู้เป็นมารดาที่เรือน หลายวันมานี้นางมิต้องสำรวมสิ่งใด ท่านย่าป่วย ท่านพ่ออยู่ว่าช่วยราชกิจฝ่าบาทในวัง อีกทั้งนังพี่สาวตัวดีหายสาบสูญ ดูเถิดคนในเรือนนางยังคิดว่านายหญิงพวกมันอยู่ที่ตำหนักป่าไผ่ หึ! เป็นซากศพเฝ้าหน้าผาลึกต่างหากเล่า ช่วยมิได้ใครใช้ให้เจ้ากล้ามาแย่งชิงความชอบขององค์ชายรองกับข้า“ใช่ ๆ เจ้าหนะหัดสำรวมเสียบ้าง ไม่เช่นนั้นเกิดผู้ใดทะเล่อทะล่าเข้ามาเห็นเข้าแล้วเอาไปพูดต่อละก็ไม่ดีแน่” ซูฉียิ้มปริ่มนึกปลาบปลื้มในใจที่เทียบเชิญเขียนชื่อชิงเยว่กับนางเพียงสองคน ไม่มีชื่อนังเด็กซูเหยา ใช่สิ! จะมีได้เช่นไรในเมื่อนางส่งมันไปหาแม่มันด้วยมือตนเอง หึ!“แม่นมอวิ๋นเร็วเข้าไปเตรียมรถม้าให้เร็ว ข้าจะพาลูกข้าไปซื้อหาอาภรณ์ใหม่เสียหน่อยเข้าวังครานี้จะน้อยหน้าสตรีอื่นได้เช่นไร”“เจ้าค่ะฮูหยิน”“ท่านแม่ดีที่สุด วันพรุ่งลูกต้องโดดเด่นกว่าใครในงานชมบุปผาให้ได้” ชิงเยว่ยิ้มอีกทั้งกอดแขนมารดาอย่างออดอ้อน[ตำหนักเทียนจื่อ]“ท่านอ๋องพระองค์อยู่นิ่ง ๆ เถิดเลิกกลั่นแกล้งข้าเพียงครู่ ข้าขอดูเหล่าบรรดาคุณหนูพวกนั้น
“แค่ก ๆ” เสียงไอแห้ง ๆ ติดกันเรียกความสนใจให้จ้าวหยางที่อ่านฎีกาต้องรีบวางมือและเข้ามาโอบประชิดร่างบางเข้าแนบอก พร้อมฝ่ามือใหญ่ที่ลูบตามตัวนางไปมาอย่างต้องการปลอบประโลม“ซูเหยาเป็นเช่นไร ยังเจ็บส่วนใดอยู่รึไม่ ข้าขอโทษ ๆ ข้าไม่น่าเอาแต่ใจนัดเจ้าออกมาวันนี้เลยจริง ๆ ข้าขอโทษ หากว่าข้าไปช่วยไว้ไม่ทันป่านนี้ ๆ เกรงว่าข้าคงจะเสียเจ้าไปแล้ว” จ้าวหยางพูดทั้งหมดความที่มีอยู่ในใจเสียหมดสิ้นจนทำให้ซูเหยาที่ถูกกดศีรษะให้แนบชิดฝังแน่นกับอกแกร่งต้องลอบยิ้มกับแผ่นอกกว้างทั้งน้ำตา พร้อมกับมือบางที่ค่อย ๆ ยกขึ้นทำทีคล้ายจะกอดตอบ นางชั่งใจอยู่เพียงครู่ก่อนจะตัดสินใจโอบกอดร่างหนาไว้เฉกเช่นกัน“ซูเหยา” จ้าวหยางที่รับรู้ว่านางกอดตอบตนมาเช่นนั้นก็เผยยิ้มดีใจ ทั้งสองตกอยู่ในห้วงภวังค์ของกันและกันมีเพียงเสียงลมหายใจระหว่างกันให้ได้ยิน ซ้ำไร้การเอื้อยเอ่ยบทสนทนาใด ๆ ออกมาใช้เพียงใจและกายสื่อความรู้สึกถึงกันและกัน“องค์ชาย...อะเอ่อคือกระหม่อม คือกระหม่อมว่าควรออกไปดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ” เหยียนเฟิงที่บังเอิญเข้ามาถูกจังหวะก็รีบหันตัวกลับแทบจะในทันที ก่อนจะเอ่ยเสียงตะกุกตะกักจนจ้าวหยางเอ่ยออกคำสั่งให้รายงานได้จึงได้
หลังจากวันนั้นซูเหยาก็รู้สึกหายใจโล่งนักที่หยางจวิ้นอ๋องมิได้มาตามตื้อก่อกวนนาง แต่นั้นเพียงกลางวันกลางคืนเล่าท่านอ๋องกลับทำตัวเป็นโจร บุปผาลอบเข้าออกเรือนนางราวเรือนตน ทั้งที่นางจ้างคนมาเฝ้าเรือนนางมากขึ้นแต่นั่นก็มิได้เป็นอุปสรรค ทั้งนางข่มขู่ก็แล้ว ต่อว่าก็แล้ว นางใช้สารพัดวิธีแต่ก็มิอาจขัดขวางเขาได้ และเหตุผลที่ให้แก่นางคือ ทำลูกและวันนี้เป็นอีกวันที่นางถูกเขาเชิญให้ไปตำหนักป่าไผ่เหตุผลแกมข่มขู่คือให้หมอหลวงตรวจชีพจรว่านางนั้นท้องแล้วรึไม่ และเป็นนางเองที่เริ่มคิดแล้วว่าสรุปเป็นผู้ใดกันแน่ที่อยากมีลูกเขานั้นดูจริงจังกว่านางมากนัก ซ้ำยังน่าไม่อายกลับกางตำรากามสูตรบ้าบอนั่นให้นางดูถึงท่วงท่าทำรักที่ว่าท่าใดได้บุตรชายท่าใดได้บุตรสาวอีกทั้งให้นางเลือก องค์ชายรองผู้นี้เดิมทีสุขุมเยือกเย็นมาบัดนี้นางกลับค้นพบอีกตัวตนหนึ่งของเขาเข้าเสียอย่างนั้น“คนหน้าไม่อายชิ!” ซูเหยาที่เดินทางมาเพียงลำพังโดยเข้าใจว่าขึ้นรถม้าที่นางขึ้นนั่งนั้นเป็นของตำหนักป่าไผ่ส่งมารับ จึงได้แต่บ่นต่อว่าหยางจวิ้นอ๋องกับลมกับฟ้าโดยหารู้ไม่ว่ารถม้าที่ตนนั่งมานั้นหาใช่ของตำหนักป่าไผ่ไม่“ท่านแม่จะได้ผลแน
ซูเหยาหลับไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ แต่เวลานี้เหตุใดถึงได้เมื่อยขบเช่นนี้“โอ๊ย ซี้ด” ซูเหยานิ่วหน้าน้อย ๆ พร้อมกับค่อย ๆ ประคองตัวเองลุกขึ้น เมื่อสายตาเริ่มคุ้นชินกับความสว่างบรรยากาศที่แปลกไป ทำให้นางกวาดตามองไปรอบ ๆ ก่อนจะขมวดคิ้วมุ่นไม่นานก็ต้องตกใจตาเบิกกว้างว่าที่นี่คือที่ใด“นี่ข้า! มาอยู่ที่นี่ได้เช่นไรกัน”“ก็ข้าพามาหนะสิ ตื่นแล้วรึ” จ้าวหยางที่บัดนี้ได้ย้ายห้องทรงงานมาไว้ในห้องนอนเพื่อเฝ้ามองซูเหยาเป็นที่เรียบร้อย แต่แทนที่เขาจะสะสางราชกิจเขากลับนึกมีอารมณ์สุนทรีนั่งจับพู่กันนั่งวาดรูปนางซะอย่างนั้น‘ให้ตายเถอะ ข้าไม่สามารถละความสนใจจากเจ้าได้เลยจริง ๆ’“ท่ะ เอ่อพระองค์บอกว่าพาข้ามา เช่นนั้น...” ซูเหยาบัดนี้หน้าซีดเผือด ก่อนจะค่อย ๆ ก้มลงมองอาภรณ์บนตัวที่ถูกเปลี่ยนใหม่เป็นชุดสีขาวตัวบางเบาปักลวดลายวิจิตร แต่กะนั้นเพียงครู่ดวงตากลมโตก็วาววับกรุ่นโกรธซูเหยาบัดนี้ได้แต่เกิดคำถามขึ้นในใจ นางประคองตัวเองลุกขึ้น ช้า ๆ ก่อนจะมิลืมย่อตัวทำความเคารพด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ก่อนจะทำทีก้าวจากไปจ้าวหยางเองเห็นเช่นนั้นก็นึกแปลกใจ เมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้นของนางจึงรีบทิ้งพู่กันกระโจนเข้าไปขวางน
ยามไฮ่ (22.00 น.)ร่างของสตรีเสื้อคลุมตัวใหญ่สีดำคลุมผ้าปิดบังใบหน้าควบม้าวิ่งพุ่งทะยานตรงไปยังด้านตะวันตกของเมืองโดยอาศัยแสงจากเงาต้นไม้ช่วยอำพรางเพื่อมิให้ตนนั้นเป็นที่โดดเด่นรึโจ่งแจ้งนัก และเหตุที่ซูเหยามินึกหวั่นเกรงและออกมาเพียงคนเดียวนั้นก็เพราะว่าเมืองเฉิงหยางมิเคยหลับใหลผู้คนพลุกพล่านอยู่ตลอดเวลาเพราะร้านรวงและภัตตาคาร หอสังคีต ทั้งหอนางโลมมีมากมายคึกคัก แต่ครั้นพอเข้าเขตฝั่งตะวันตกของเมืองกลับเริ่มสงบเงียบและผู้คนบางตาซูเหยาจูงม้าเข้าคอกที่ตรียมไว้ลูบคอเจ้าม้าสีขาวสองถึงสามคราก็ปลดเสื้อคลุมตัวใหญ่ออกเปลี่ยนเป็นถือแล้วเดินตรงเข้าเรือนที่มีแสงสว่างน้อย ๆ พอส่องทาง นางยืนถอนหายใจมองเข้าในในเรือนเพียงครู่ในใจรู้สึกตื่นเต้นอีกทั้งหนักอึ้งอยู่มิน้อย ‘เอาเถอะข้าเองก็รักเด็กมากและหวังจะเลี้ยงเขาให้ดี ๆ หวังว่าคงมิได้เลวร้ายอะไร’ ซูเหยาก้าวเดินช้า ๆ จนแทบเป็นเอื่อยและมิได้เร่งรีบนักก่อนจะแลเห็นแสงสว่างจากโคมไฟที่จุดสว่างแต่พอมองให้เห็นเพียงทางเดิน‘คงมาแล้วสินะ’“นายท่าน” เสียงเข้มทุ่มนุ่มลึกเอ่ยทักทาย ร่างสูงใหญ่นั่งดื่มสุรารอผู้เป็นนายอย่างใจเย็น กลิ่นดอกโม่ลี่ผสมกับมู่ตานอบอวลไปท
“คุณหนู ทะทั้งหมดนี่ของคุณหนูรึเจ้าคะ” เยว่ถานตาเบิกกว้างเมื่อเข้ามาหาคุณหนูของตนที่ด้านในห้องกลับเจอคุณหนูตนกำลังนั่งนับสมบัติที่มีด้วยใบหน้าจริงจัง“อืม” ซูเหยาที่กำลังนั่งคำนวณเงินและสมบัติที่ตนมีครบถ้วนแล้วก็แย้มยิ้มกว้าง ไม่น่าเชื่อว่าที่จริงแล้วข้าก็ร่ำรวยเช่นกันนะเนี่ย ร่างบอบบางลุกจากเตียงมายืนมองสมบัติของตนด้วยแววตาเปล่งประกายวาววับ“ทองคำ ไข่มุก เครื่องประดับ ตั๋วเงิน หยกเนื้อดี ล้วนเป็นของข้าทั้งหมด ฮ่า ๆ เจ้าดูสิเยว่ถานแต่ก่อนข้าไม่คิดสนใจ วันนี้นำออกมานับดูแล้วข้าก็คือเศรษฐีและคงร่ำรวยไม่ต่างจากท่านพ่อ ฮ่า ๆ”“ใช่ ๆ คุณหนูของบ่าวทั้งงามทั้งร่ำรวย ในเฉิงหยางท่านไม่เป็นรองผู้ใดแน่นอน” เยว่ถานเอ่ยชมไม่เกินจริง ถึงแม้ความร่ำรวยนี้จะเป็นของคุณหนูแต่ว่านางเองที่เป็นสาวใช้ก็พลอยรู้สึกร่ำรวยไปด้วย“เช่นนั้น...วันนี้ข้าจะไปซื้อเรือนเอาไว้ทำเรือนสตรี และเงินส่วนนี้ซื้อตัวบุรุษ!”“ห๊า!”“ชู่วว เจ้าเงียบ ๆ หน่อยสิ” ซูเหยารีบกระโจนมาปิดปากเยว่ถานแทบไม่ทัน นางเองไม่อยากปวดหัวหากสองแม่ลูกนั่นรู้เข้าต้องมาหาเรื่องนางเป็นแน่“คุณหนูท่านเลอะเลือนไปรึเจ้าคะ จะซื้อบุรุษไปใย” เยว่ถานรีบกร