"โอ๊ยเจ็บ!"
"คุณหนู! บ่าวผิดไปแล้ว บ่าวผิดเอง คุณหนูอย่าทำร้ายตนเองเช่นนี้อีกนะเจ้าคะ ถ้าจะตี ๆ ที่เสี่ยวโหรวเถอะเจ้าค่ะ"
เสี่ยวโหรวคิดว่าที่คุณหนูนางหยิกตัวเองเพราะประชด ตนจึงรีบนั่งคุกเข่าโขกหัวลงพื้นเป็นการลงโทษตนเอง
"เฮ้ย! เธอทำอะไรน่ะ พอแล้วลุกขึ้น ๆ"
หลันจินเยว่รีบเข้าไปห้ามคนตรงหน้าเพราะกลัวเธอจะหัวร้างข้างแตกเอา
"ฮือ ๆ คุณหนูเยว่ซินของบ่าวยกโทษให้เสี่ยวโหรวคนนี้แล้วใช่ไหมเจ้าคะ"
คนตรงหน้ายังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาจนกว่าจะได้ยินคำว่าให้อภัยจากผู้เป็นนาย
เมื่อได้ยินเช่นนั้น จินเยว่จึงเริ่มเรียบเรียงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนจะตามน้ำไปเพราะตอนนี้ตนเองก็สับสนว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่โดนรถชนในตอนนั้น
"ข...ข้า ยกโทษให้ ยกโทษแล้ว ลุกขึ้นเถอะ"
บัดนี้คงต้องเปลี่ยนวิธีพูดด้วยแล้วสิจะได้ดูกลมกลืนกับอีกคนเผื่อนางน้อยใจในสิ่งที่เธอยังไม่รู้ต้นสายปลายเหตุโขกหัวตัวเองอีกจะรู้สึกผิดเอา
"คุณหนู ต่อไปเสี่ยวโหรวจะทำทุกอย่างตามคำสั่งไม่ว่าทางข้างหน้าจะมีขวากหนามหรืออุปสรรคใหญ่หลวงแค่ไหนก็ตาม"
ทั้งพูดทั้งสะอื้น ทำเอาคนที่มาอยู่ในร่างคนอื่นแต่ยังไม่รู้ตัวรู้สึกปวดหน่วงที่อกเมื่อเห็นน้ำตาและความจริงใจของนางผู้นี้
"ช่างเถอะ เมื่อกี้ที่เจ้าพูดถึงนายท่าน ตกลงนายท่านที่ว่าหมายถึงใคร?"
เสี่ยวโหรวที่เพิ่งดีใจได้แค่นิดเดียวรีบเบะปากทำท่าจะร้องไห้อีกครั้ง
"นี่! เจ้าห้ามร้องนะ ถ้าเจ้าร้องข้าจะ ข้าจะ..."
จะอะไรดี ดูท่าแล้วนางผู้นี้คงเด็กกว่าตนอยู่หลายปี นิสัยเลยยังดูเด็ก ๆ อยู่
"ข้าจะไม่รักเจ้า!"
จินเยว่สังเกตคนที่เรียกแทนตัวเองว่าบ่าวมาสักพักแล้ว ดูเธอคนนี้จะรักคุณหนูที่เข้าใจผิดว่าคือตนเองมาก เลยข่มขู่เช่นนั้นออกไป
"เจ้าค่ะ เสี่ยวโหรวจะไม่ร้องแล้วเจ้าค่ะ"
รีบปาดน้ำตาออกทั้งสองแก้ม หายใจเข้าเฮือกใหญ่แล้วค่อย ๆ ยิ้มออกมาให้คุณหนูของนางได้เห็น
"ดี ๆ งั้นเจ้าช่วยเล่าเรื่องของคุณหนูเจ้าให้ข้าฟังหน่อยสิ"
"..?" คนถูกขอร้องทำหน้าไม่เข้าใจ
เหตุใดคุณหนูจะต้องให้นางเล่าเรื่องราวของตนเองให้ฟังด้วย
"คือ... ข้าสลบไปใช่ไหม สงสัยสมองจะขาดออกซิเจนนานจนลืมเรื่องของตัวเองไปน่ะ"
รีบหาข้อแก้ตัวให้ดูสมเหตุสมผล
"อะ...ออก อะไรนะเจ้าคะ?"
นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินศัพท์ประหลาดเลยออกเสียงไม่ถูก
"ช่างเรื่องนั้นเถอะ เจ้าช่วยเล่าทุกอย่างของที่นี่รวมถึงตัวนาง เอ้ย! ตัวข้าให้ข้าฟังอย่างละเอียดเลยนะ"
มือบางตีเข้าที่หน้าอกตัวเองเบา ๆ ทำให้เสี่ยวโหรวเข้าใจว่าคุณหนูของนางคงเสียใจที่บิดาเพิ่งจากไปอย่างมิได้ล่ำลาจนกลายเป็นคนแปลกประหลาดแบบนี้
"โธ่ คุณหนูของเสี่ยวโหรว"
ต้องกลั้นความเสียใจไว้มากเพียงใดกันนะถึงได้ไม่มีน้ำตาไหลออกมาให้ได้เห็นหลังจากฟื้นขึ้นมาเลย
หลังจากเสี่ยวโหรวเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้ฟังแล้วทำเอาคนได้ฟังถึงกับนั่งนิ่งอ้าปากค้างตาลอยอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่พบเจอ
นอกจากจะเคราะห์ร้ายตายแล้วแต่ดันมาเกิดใหม่เป็นลูกสาวกบฎเนี่ยนะ!
"คุณหนูพอจะจำอะไรได้ไหมเจ้าคะ" สาวใช้หน้าตาจิ้มลิ้มถามขึ้น
หากไม่มีใครบอกว่าเสี่ยวโหรวเป็นสาวใช้ของเฟิงเยว่ซินคงจะมีคนเข้าใจผิดคิดว่าเสี่ยวโหรวเป็นบุตรสาวคนมีชาติตระกูลเช่นเฟิงเยว่ซินเป็นแน่ เพราะนอกจากหน้าตานางจะออกแนวน่ารักแล้ว ผิวพรรณยังดูดีแม้จะน้อยกว่าเฟิงเยว่ซินอยู่ก็ตาม
"ท่านพ่อก็สิ้นแล้ว ตอนนี้ยังต้องมารอราชโองการว่าจะเป็นหรือตาย ตกลงว่าข้าจะซวยไปถึงเมื่อไรกัน ฮือ ๆ"
เสียงสะอื้นเสียใจดังก้องขึ้น เสี่ยวโหรวรีบเข้าไปกอดคุณหนูของนางพร้อมลูบแผ่นหลังปลอบใจ
เรานี่ก็แสดงละครเก่งเหมือนกันนะ เอาเถอะ เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ต่อไปคงต้องเห็นช้างขี้ขี้ตามช้างด้วย ชีวิตในภพนี้จะได้สงบสุข
"คุณหนูยังเหลือคุณหนูใหญ่แล้วก็เสี่ยวโหรวคนนี้นะเจ้าคะ"
ใช่! นางเหลือคนที่ว่าจริง แต่คนที่ว่ากลับเป็นใครก็ไม่รู้เพราะหนึ่งคนที่สาวน้อยคนนี้เอ่ยชื่อมาก็เพิ่งพบเจอ ส่วนอีกหนึ่งคนที่บอกว่าเป็นคุณหนูใหญ่ จินเยว่ยังไม่เคยเห็นแม้หน้าตา ไม่รู้จะร้ายหรือจะดีกับเจ้าของร่างนี้อีก
"โหรวโหรว เจ้าช่วยเล่าให้ข้าฟังอีกได้ไหม คุณหนูใหญ่ของเจ้าน่ะ นิสัยเป็นเช่นไร""นี่คุณหนูคงไม่ได้ลืมแม้กระทั่งเรื่องราวของคุณหนูใหญ่ใช่ไหมเจ้าคะ""ก็... เอาเถอะ ๆ ช่วยเล่าให้ข้าฟังหน่อยว่านางผู้นั้นนิสัยเช่นไร ความสัมพันธ์ของพวกเราสองพี่น้องด้วย"เสี่ยวโหรวขมวดคิ้วมุ่นมองหน้าคุณหนูที่เริ่มถามแปลก ๆ อีกแล้ว"คุณหนูใหญ่เป็นคนค่อนข้างจิตใจดีเจ้าค่ะ แต่นางมักจะต้องเป็นที่หนึ่งเสมอ"เป็นที่หนึ่งเสมอ หมายความว่า นางผู้นี้ชอบชิงดีชิงเด่นสินะ รู้สึกได้กลิ่นหายนะลอยมาแต่ไกล"แล้วนางดีกับคุณหนูเจ้า เอ่อ... หมายถึง ข้าน่ะ นางดีกับข้าหรือเปล่า""ทำไมคุณหนูยังจำอะไรไม่ได้อีกเจ้าคะ เสี่ยวโหรวอุตส่าห์เล่าทุกอย่างให้ฟังแล้ว"ครั้งนี้คนที่จะร้องไห้ไม่ใช่คนที่ข้ามภพข้ามชาติมา แต่เป็นสาวใช้ที่เริ่มหน้าเสียปากคว่ำน้ำตาคลอเพราะเล่าอะไรไปคุณหนูของนางยิ่งจำไม่ได้"เอาน่า ๆ ข้าแค่กำลังจะฟื้นความจำ เจ้าช่วยบอกข้าทีว่าพี่สาวข้าดีกับข้าหรือไม่"เสี่ยวโหรวรีบเช็ดน้ำตาที่ปริ่มออกมาพร้อมพยักหน้าแล้วเปิดปากเล่าเรื่องของคุณหนูใหญ่ให้ฟังอีกครั้ง"แต่แรกเริ่มคุณหนูใหญ่เยว่ซูเป็นลูกภรรยาหลวงของนายท่าน อายุห่างคุณหนูอยู
"รองแม่ทัพคนเมื่อกี้?""เจ้าค่ะ นี่คือท่านชิงหรง รองแม่ทัพแห่งกองทัพมังกรขาว สหายสนิทตั้งแต่วัยเยาว์ของคุณหนูเจ้าค่ะ"เสี่ยวโหรวอธิบายถึงตัวตนอีกคนที่เพิ่งมาเยือน นางจับมือคุณหนูที่เกาะแขนนางไว้ด้วยความสั่นกลัวออกช้า ๆ เพื่อให้เผชิญหน้ากับสหายสนิทที่มองคุณหนูนางด้วยแววตาใคร่สงสัย"ช..ชิงหรง สหายสนิทข้า?"ดวงวิญญาณจากภพอื่นที่เพิ่งมาสิงสู่ร่างนี้ค่อย ๆ ทำความเข้าใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า"เกิดอะไรขึ้น" ชิงหรงเอ่ยถามความตั้งแต่รู้จักกันมาสิบกว่าปี เสี่ยวซินของเขาไม่เคยแสดงท่าทางหวาดกลัวเขาสักนิด ขนาดตอนที่ชุดเขาเปื้อนเลือดเกรอะกรัง เฟิงเยว่ซินยังไม่รังเกียจที่จะพบปะพูดคุยด้วยสักครา"ท่านรองแม่ทัพโปรดใจเย็นก่อนเจ้าค่ะ หลังจากที่คุณหนูรู้ข่าวท่านเสนาเฟิงทำให้เสียใจจนถึงขั้นหมดสติ พอฟื้นขึ้นมาคุณหนูนางก็..."เสียงสะอื้นพร้อมใบหน้าสลดมองคุณหนูที่เคารพรัก"นางก็อันใด เจ้ารีบเล่าให้หมด!"ชิงหรงเริ่มหงุดหงิดใจกับการอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ของสาวใช้ข้างกายสหายสนิท"คุณหนูเหมือนจะจำอะไรไม่ได้เจ้าค่ะ""จำอะไรไม่ได้? เจ้ากำลังหมายถึงเสี่ยวซินสูญเสียความทรงจำงั้นรึ?""เจ้าค่ะ บ่าวคิดว่าเป็นเช่นนั้น" เสียงเสี่ยวโ
"พวกทหารยามบอกว่านี่เป็นคำสั่งของท่านเสนาบดีเจ้ากรมซู่เจ้าค่ะ""ซู่ จินเพ่ย"ชิงหรงเอ่ยนาม ซู่จินเพ่ย เสนาบดีของกรมกลาโหม ผู้มีอำนาจคุมทหารทั้งหมดของพระราชวังด้วยเสียงเคียดแค้นแต่เดิมตนกับซู่จินเพ่ยก็ไม่ค่อยชอบหน้ากันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดีที่ตนเป็นทหารของอ๋องสี่เลยไม่จำเป็นต้องอยู่ใต้คำสั่งของซู่จินเพ่ย"พวกเจ้าไม่ต้องกลัว [1]ยามอิ๋น นี้ท่านแม่ทัพจะเดินทางมาถึงจวนแล้ว ข้าจะขอร้องให้ท่านช่วยเหลือพวกเจ้าออกมาให้สำเร็จ"หลันจินเยว่ได้ยินถึงกับดีใจเนื้อเต้นอยู่ข้างใน อย่างน้อยนางก็ไม่ต้องแห้งตายในคุกแห่งนี้"ขอบใจท่านมาก""เจ้ากล่าวเหมือนเกรงใจข้า เสี่ยวซิน...ต่อให้เจ้าจำข้าไม่ได้ ขอให้เจ้าจำไว้ ข้าอู่ชิงหรง คือคนที่เจ้าเชื่อใจได้ทุกยาม"นอกจากจะรูปงามสมชายชาตรีแล้วยังน้ำใจดีเป็นเลิศ ถ้าเกิดในยุคของนางคงมีสาว ๆ รุมล้อมเป็นแน่"ข้าต้องกลับค่ายทหารแล้ว หูตาของซู่จินเพ่ยมากมายนัก ข้าไม่อยากเพิ่มความเดือดร้อนให้พวกเจ้า"ถึงจะไม่ได้ขึ้นตรงรับคำสั่งจากเขา ทว่าชิงหรงก็เป็นทหารที่กินเบี้ยหวัดของกรมกลาโหมอยู่จึงไม่อยากให้เกิดเรื่องไม่สมควรขึ้นจนถูกกลั่นแกล้งเดือดร้อนไปถึงผู้บังคับบัญชาตน"ขอบคุณท
"อืม"เสียงครางแผ่วเบาของจินเยว่บ่งบอกว่าบัดนี้นางได้ตื่นขึ้นมาแล้ว"เจ้าตื่นแล้ว" ชิงหรงรีบเข้าไปประคองสหายสนิทให้ลุกขึ้นนั่ง"ที่นี่ที่ไหน"ดวงตาราวกวางน้อยกวาดมองรอบห้องที่ไม่คุ้นตา อันที่จริง แทบจะทุกพื้นที่ในดินแดนนี้ที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน"จวนท่านอ๋อง""ท่านอ๋อง... อ๊ะ! นี่ข้าออกมาจากคุกได้แล้ว"เมื่อจำเรื่องราวก่อนหน้าได้หลันจินเยว่รีบกระโดดลงจากเตียงวิ่งรอบห้องสี่เหลี่ยมราวนกน้อยที่ได้ออกจากกรงสักทีอู่ชิงหรงมองสหายในวัยเด็กด้วยความครางแครงใจกับบุคลิกที่เปลี่ยนไปของนาง ทว่าก็แค่เปลี่ยนนิดหน่อย อย่างไรเสียเขาก็มองเห็นคนตรงหน้าเป็นเฟิ่งเยว่ซินอยู่ดี"เสี่ยวโหรวล่ะ" ข้ามมาภพนี้ หลันจินเยว่คงมีเพียงแค่เสี่ยวโหรวผู้เดียวที่นางสนิทสนมที่สุด"คุณหนูฟื้นแล้ว"สาวใช้ที่เดินวนแล้ววนอีกรอคุณหนูฟื้นรีบวิ่งเข้ามาเมื่อได้ยินเสียงเรียก"ดีใจจังที่เจ้าก็ได้ออกมาด้วย"ทั้งสองนางโผเข้ากอดกันเหมือนไม่ได้เจอกันมานาน"ถ้าไม่ได้ท่านอ๋องและท่านรองแม่ทัพข้าคงยังคงอยู่ในคุกอันมืดอับนั้น"พูดแล้วเหมือนเกิดใหม่ หลายวันมานี้ได้แต่หายใจเอาอากาศอันอับชื้นในคุกเข้าปอด พอได้ออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์แล้วค่อยรู้ส
"คุณหนูจะถามเรื่องอะไรกับเสี่ยวโหรวหรือเจ้าคะ"บ่าวรับใช้ที่แสนจงรักภักดีต่อคุณหนูของนางค่อย ๆ นั่งลงกับพื้นข้างเตียง ทว่าหลันจินเยว่กลับรีบรั้งสาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มผู้นี้ขึ้นมานั่งข้างกาย"คุณหนูทำอันใดเจ้าคะ บ่าวจะนั่งเทียบเคียงคุณหนูได้เยี่ยงไร"เสี่ยวโหรวทั้งตกใจจนรีบขัดขืนแรงของจินเยว่กลับมานั่งกับพื้นตามฐานะของตน"เจ้าไม่ต้องสนใจเรื่องแค่นี้ มา ๆ ขึ้นมานั่งข้างข้าบนเตียงนี่มา"ฝ่ามือแน่งน้อยตบลงบนพื้นที่ว่างข้างกายนางเพื่อเป็นการออกคำสั่งให้สาวใช้ของเฟิงเยว่ซินตัวจริงมานั่งข้างนางหากแม้แต่เสี่ยวโหรวก็ไม่กล้ามานั่งตรงนี้เพราะนางเป็นขี้ข้า ก็คงไม่ต่างจากจินเยว่ที่ไม่ใช่เจ้าของร่างนี้ ไม่ควรอยู่ตรงนี้ด้วยซ้ำไป"ไม่ได้เจ้าค่ะ หากใครมาเห็นเข้าจะตำหนิได้""ช่างคนอื่นสิ เจ้าเป็นคนของข้า ข้าจะให้เจ้านั่งตรงไหนใครจะกล้าว่า"หลันจินเยว่เอื้อมมือไปฉุดร่างเล็กดูนุ่มนิ่มน่าทะนุถนอมขึ้นมานั่งข้างกายอีกครั้งเสี่ยวโหรวไม่กล้าขัดคำสั่งเป็นหนที่สอง ได้แต่นั่งข้างคุณหนูนางอย่างเกร็ง ๆ"ทำตัวผ่อนคลายหน่อย ทำอย่างกับว่านั่งข้างข้าแล้วจะถูกตัดหัว"ก็ไม่ถึงขั้นตัดหัว อย่างมากก็ถูกโบยจนหลังลายเพื่อให
"คำถามแรก ข้าไม่มีพันธะกับชายใดใช่หรือไม่""ใช่เจ้าค่ะ นายท่านยังไม่ทันได้เรียกใช้เหล่าแม่สื่อก็เกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน"นึกถึงแล้วก็หดหู่กับชะตานายหญิงของตนยิ่งนัก"งั้นก็ถือเป็นเรื่องดี ข้อสอง..."จินเยว่ทำท่าครุ่นคิดจะถามอะไรต่อดีจนบังเกิดสิ่งที่อยากรู้ขึ้น"ทำไมข้ากับเจ้าถึงอยู่ในคุกแค่สองคน พี่สาวข้าอยู่ที่ไหน หรือว่า...""ไม่ใช่อย่างที่คุณหนูคิดนะเจ้าคะ คุณหนูใหญ่เดิมทีเป็นคนสนิทขององค์หญิงสามอยู่แล้ว พระองค์จึงใช้อำนาจขององค์หญิงพาตัวคุณหนูใหญ่ไปอยู่ที่ตำหนักในเจ้าค่ะ"หึ! หนีเอาตัวรอดคนเดียวสิไม่ว่าแต่ก็อย่างว่า เฟิงเยว่ซินนางเป็นเพียงบุตรีของอนุภรรยา ใครจะยอมเอาชีวิตเข้ามาเสี่ยงกับลูกกบฎแถมเป็นลูกเมียรองเช่นนี้"เอาตัวรอดเป็นยอดคน""..?""งั้นคำถามต่อไป""คุณหนูยังมีคำถามอีกหรือเจ้าคะ"นี่เป็นเรื่องราวพื้น ๆ ของนางอยู่แล้ว ถ้าหากแค่นี้ยังจำไม่ได้ เกรงว่าคืนนี้ทั้งคืนคงมีคำถามเป็นร้อยเป็นพันให้เสี่ยวโหรวคนนี้ตอบเป็นแน่"คำถามสุดท้ายแล้ว"ได้ยินเช่นนี้ค่อยสบายใจหน่อย"ที่นี่ที่ไหนเหรอ?"รู้แค่ว่าตื่นขึ้นมาอีกที จากคุกมืด ๆ กลายเป็นห้องหับที่กว้างขวางสะอาดสะอ้าน ตกแต่งสวยงามไปเส
"ข้าก็มีความคิดเช่นพระองค์"หากเล่าถึงเสนาบดีเฟิงอู๋เยว่เขาเป็นคนตรงไปตรงมา บัญชีรายรับรายจ่ายตลอดสิบปีถวายให้ฝ่าบาทตรวจสอบไม่เคยมีความผิดปกติ แต่พอซู่จินเพ่ยที่เพิ่งขึ้นรับตำแหน่งเจ้ากรมกลาโหมได้เพียงไม่นานกลับพบหลักฐานการยักยอกเงินในคลังแถมยังใช้อำนาจจัดการปราบกบฎก่อนทูลฮ่องเต้หากยิ่งวิเคราะห์ตามเหตุตามผลทั้งสองยิ่งพบพิรุธจนเชื่อว่าตระกูลเฟิงกำลังถูกใส่ร้าย"เจ้าไม่คิดว่าเรื่องนี้ช่างน่าสนใจรึ ตระกูลซู่ที่เคยตกต่ำในอดีตกลับมามีอำนาจอีกครั้งเพราะอดีตกุ้ยเฟยที่สิ้นไปแล้วเมื่อครึ่งปีก่อน ตัวซู่จินเพ่ยรับราชการไม่นาน เร่งมีผลงานโดดเด่นจับกบฎในราชสำนักได้ ความดีความชอบขนาดนี้ เจ้าว่าฮ่องเต้จะพระราชทานรางวัลอะไรให้ดี"ริมฝีปากหยักลึก กล่าวถึงตระกูลที่ชอบทำตัวเป็นไม้ท่อนงัดไม้ซุงกับเขามาโดยตลอดอดีตตระกูลซู่เคยเป็นเพียงข้าราชการปลายแถว ทว่าพอบุตรีของซู่จ้านเกิง นามว่าซู่กุ้ยลี่ พี่สาวของซู่จินเพ่ยถูกแต่งเข้าเป็นสนมในวังแถมได้รับแต่งตั้งให้เป็นกุ้ยเฟยตระกูลซู่ก็ขึ้นมาเฟื่องฟูมีอำนาจครั้งใหญ่แต่น่าเสียดายที่ซู่กุ้ยลี่ได้เป็นกุ้ยเฟยไม่นานก็ป่วยด้วยโรคประหลาดสิ้นไป"พระองค์จะให้กระหม่อมแอบเข
"เสี่ยวโหรวต้องหลงทางแน่เลย คนอะไรใช้ไม่ได้"ว่าคนอื่นหลงทาง ตนเองต่างหากที่วิ่งไม่สนใจเสียงร้องเตือนของสาวใช้สักนิดทำให้ตอนนี้หลันจินเยว่ย่างกลายเข้ามายังสถานที่ต้องห้ามโดยไม่รู้ตัว"อ้ะ! นั่นศาลากลางน้ำนี่ น่านั่งเล่นจัง"ตรงหน้านางคือศาลากลางน้ำ เป็นที่หวงห้ามของจวนเหมยฮัวแห่งนี้ หากเดินเข้าไปในตัวศาลา จะมีทางเดินไม้เพื่อเดินตรงไปยังบ่ออาบน้ำกลางแจ้งที่อยู่หลังโขดหินขนาดใหญ่สถานที่ประจำของตงเปียนอ๋อง"สดชื่นจัง"ตั้งแต่มาโผล่ที่แห่งนี้ หลันจินเยว่เพิ่งจะได้สูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดก็ตอนนี้นี่แหละกลิ่นของน้ำสะอาด กลิ่นดอกไม้นานาชนิดที่รู้จักบ้างไม่รู้จักบ้างแย่งกันส่งกลิ่นหอมในตอนใกล้พลบค่ำจ้อก~เสียงท้องน้อย ๆ ดังขึ้นบ่งบอกว่าตอนนี้นางหิวแล้ว"ขนมอะไรหน้าตาน่ากินจัง"เบื้องหน้านางคือขนมหนวดมังกร จะมีลักษณะเป็นเส้นไหมขาว ๆ ปั้นเป็นก้อนกลม ๆ คล้ายดักแด้ สอดไส้ต่าง ๆ ไว้ด้านใน มีกลิ่นหอมของน้ำผึ้งโชยออกมาเรียกน้ำย่อยของกระเพาะอาหาร"หอมจัง ขอชิมหน่อยนะ"หลันจินเยว่มองซ้ายขวาเล็กน้อย เมื่อปลอดคนนางจึงหยิบขนมที่วางอยู่ตรงหน้าขึ้นมากัดกิน"อืม หอมน้ำผึ้ง เม็ดมะม่วงหิมพานต์ก็กร๊อบกรอบ"
"เหตุใดท่านถึง..."จำต้องกลืนคำพูดลงคอเมื่อถูกนิ้วของคนรักปิดไว้ที่ริมฝีปากไม่ให้ขยับเอ่ย"อย่าขยับ ห้ามพูดใด ๆ"ตงเปียนอ๋องรู้สึกว่าร่างกายตนเองแปลกไปข้างในมันร้อนรุ่ม ลำคอแห้งผากเหมือนคนกระหายน้ำหากแต่ความรู้สึกเขากลับบอกว่าน้ำเพียงอย่างเดียวช่วยให้เขาดับกระหายไม่ได้เขาเริ่มตั้งสติจนจมูกสัมผัสได้ถึงกลิ่น ๆ หนึ่ง"ผงเริงรมย์""มันคืออันใด"หลันจินเยว่เพิ่งเคยได้ยินครั้งแรกจึงใคร่สงสัย ทว่าสิ่งที่อยากรู้กลับไม่ได้ถูกเอ่ยออกมาจากปากตงเปียนอ๋องเมื่อด้านนอกมีบุคคลมาเยือน"ฉินกงกงเข้าเฝ้าองค์ชายสี่เฟยหลง"เสียงกงกงของเสด็จย่าเขาดังขึ้นอยู่ด้านนอก"ฉินกงกงมีเรื่องอันใด"เหตุใดคนสนิทของเสด็จย่าถึงได้มาเยือนเข้าถึงจวนแห่งนี้ แถมมาได้เวลาเหมาะเจาะกับอาการประหลาดที่เพิ่งเริ่มแสดงอาการอีก"ไทเฮามีรับสั่ง ผงเริงรมย์นั้นไซร้ จงใช้ให้เกิดประโยชน์ หลังจากนี้สามวันเป็นฤกษ์ดี สามารถจัดงานมงคลได้"เสียงแหลมบาดหูของฉินกงกงเอ่ยราชโองการขององค์ไทเฮาเสร็จจึงทูลลากลับเข้าวังหลวง ทิ้งให้ตงเปียนอ๋องอมยิ้มอยู่ในห้องเมื่อรู้สาเหตุแล้วว่าเหตุใดตนถึงมีอาการแปลกประหลาดเช่นนี้"อะไรคือผงเริงรมย์และอะไรคือสามวันม
บทส่งท้าย : เมื่อหมอกจางหาย บุปผางามผลิบาน"ข้าขับพิษออกจากร่างกายองค์ชายเรียบร้อยแล้ว พักฟื้นสักสองสามวันก็หายดี"หมอหลวงประจำจวนเหมยฮัวเอ่ยบอก"ส่วนยานี้ต้มทานสามมื้อจนกว่าแผลจะหายดี"เสี่ยวโหรวรีบเข้าไปรับยานั้นจากหมอหลวง"อ้อข้าลืมอีกเรื่อง"ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบกว่าเดิมเพราะนึกว่าจะเป็นเรื่องร้ายแรงอันใดอีก"แผลนั้นต้องห้ามโดนน้ำเด็ดขาด คงต้องรบกวนพระชายาแล้ว"หมอหลวงหันมากำชับเรื่องสำคัญนี้กับหลันจินเยว่ ทำเอาใบหน้านางแดงระเรื่อเพราะไม่คิดว่าคนนอกจวนอย่างหมอหลวงท่านนี้จะรู้เรื่องสถานะของนางกับองค์ชายสี่อีกคน"ข้าไปส่งท่านหมอ"อู่ชิงหรงเดินนำหน้าเพื่อส่งหมอหลวงกลับโรงหมอ"บ่าวขอตัวไปต้มยาให้ท่านอ๋องนะเจ้าคะ"ทุกคนออกไปจากห้องหมดแล้วเหลือเพียงแค่หนึ่งคนหลับอยู่บนเตียงอย่างไร้วี่แววจะฟื้นและอีกคนที่นั่งลงข้างเขาด้วยความเป็นห่วง"ไหนท่านรับปากข้าว่าจะกลับมาอย่างปลอดภัย"ตอนที่หลันจินเยว่ได้ยินว่าตงเปียนอ๋องถูกอาวุธลับอาบยาพิษเล่นงานถึงกับวิ่งถือห่อยาหลายขนานไปดักรอพวกเขาระยะทางกือบลี้ ทั้งล้มลุกคลุกคลานจนแข้งขาถลอก บ่าวใช้คนใดขวางนางไล่ตะเพิดจนหมดสิ้น หากไม่สลบเสียก่อนหลันจินเยว
ชายแดนทิศใต้"เจ้าเลิกดื้อรั้นเถิด ตอนนี้เผ่าซีเซียงยอมจำนนต่อกองทัพมังกรขาวหมดแล้ว"เสียงกร้าวของอู่ชิงหรงประกาศลั่นการปราบกบฎดำเนินมาได้สองชั่วยามแล้ว คนของเผ่าซีเซียงบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วนจนหัวหน้าเผ่ายกธงขาวยอมแพ้ให้กับอำนาจของแม่ทัพแห่งกองทัพมังกรขาวเฟยหลงทว่าต่อให้เสียเลือดเนื้อเสียคนไปมากมายเพียงใด ผู้ที่หัวรั้นเกลียดการพ่ายแพ้อย่างซู่จิ่งอวิ๋นไม่มีทางวางกระบี่ในมือลงเป็นแน่"วันนี้ข้ากับเจ้า ถ้าปลาไม่ตาย ตาข่ายก็ต้องขาด"ซู่จิ่งอวิ๋นโต้ตอบด้วยสำบัดสำนวนเสียงหนักแน่น วันนี้ทั้งเขาและตงเปียนอ๋องผู้นี้ต้องสู้กันให้ถึงที่สุด ให้ตายกันไปข้างถึงจะจบศึกในครั้งนี้"ช่างเด็ดเดี่ยวเช่นบิดาเจ้าเสียจริง"ตงเปียนอ๋องกล่าวชมในความเด็ดเดี่ยวนี้ หากเอามาใช้ให้ถูกทางคงเป็นที่น่ายกย่อง"วันนี้ข้าจะแก้แค้นให้ท่านพ่อที่ถูกพวกเจ้าบังคับให้ดื่มยาพิษนั่น"[1]ยามโฉ่วของวันนี้ เสนาซู่จินเพ่ยได้กรอกยาพิษฆ่าตัวตายหลังได้รับราชโองการเป็นนักโทษประหารที่ต้องบั่นคอเสียบประจาน ข่าวนั้นดังเซ็งแซ่ไปทั่วแคว้นจนมาถึงหูซู่จิ่งอวิ๋นบุตรชายเพียงคนเดียวที่ตั้งใจจะบุกไปช่วยบิดาออกมาแต่มิทันกาลเสียงกระบี่ฟาดฟันอย่
"ทะ...ท่านอ๋อง"ใบหน้าสวยขึ้นสีแดงระเรื่อเมื่อถูกเอาอกเอาใจจากอีกคน"วันนี้สนุกไหม"เขาชวนนางคุยปกติ หากแต่ในแววตากลับมีความกลัดกลุ้มอยู่หลายส่วนจะเรื่องอะไรได้ ก็ตอนที่นางเดินซื้อของในตลาดมีนักฆ่าสะกดรอยตามถึงสามคน โชคดีที่ตงเปียนอ๋องอ่านเกมในครั้งนี้ออกคนรักของเขาถึงได้ปลอดภัยกลับมาหากเขาเล่าเรื่องนี้ให้นางฟัง หลันจินเยว่คงไม่สบายใจ เก็บเนื้อเก็บตัวอยู่แต่ในห้องอีกเป็นแน่ ตอนนี้เลยต้องเอาอกเอาใจนางเพื่อบอกกล่าวแก่เรื่องที่ตริตรองมาอย่างดีแก่นางในเวลาที่เหมาะสม"ตอนแรกก็สนุก"ตอบพร้อมยู่ปากอย่างหุดหงิดในเวลาต่อมา"ใครทำอันใดให้ว่าที่ชายาของข้าขุ่นเคืองใจ"ที่ใช้คำว่า 'ว่าที่' เพราะทั้งสองยังไม่เข้าพิธีสมรสกัน ตงเปียนอ๋องอยากให้เกียรตินางจึงจะรอปราบกบฎตระกูลซู่แล้วสิ้นถึงจะทำพิธีตามประเพณีแคว้น"ข้ากำลังดูผ้าเพื่อจะเอามาตัดชุดใหม่ให้ท่าน แต่เจอเข้ากับคนที่วางยาสลบข้าเพื่อส่งต่อให้คนพวกนั้นเข้า"ที่จริงเรื่องนี้องครักษ์เงาของเขารายงานมาหมดแล้ว"เจ้าพบเฟิงเยว่ซู?""จะเป็นใครอีกละ! พี่สาวตัวดีของเฟิงเยว่ซินนั่นแหละ"ตงเปียนอ๋องหลุดขำออกมาเบา ๆ เมื่อได้ฟังประโยคแปลก ๆ นั้นจบ"เจ้าพูดเหม
"เสี่ยวโหรวเร็ว ๆ เข้า"เสียงเจื้อยแจ้วของหลันจินเยว่ในอาภรณ์สีลูกท้อร้องเรียกสาวใช้ที่เดินหอบหิ้วข้าวของพะรุงพะรังอยู่ด้านหลัง"คุณหนูช้าหน่อยเจ้าค่ะ"วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใส นางเลยขออนุญาตตงเปียนอ๋องออกมาเดินตลาด ฝั่งนั้นเห็นว่านางเพิ่งผ่านอันตรายมาเมื่อไม่กี่วันก่อนเลยให้ออกมาเที่ยวเล่นจะได้ลืมเรื่องร้าย ๆ พวกนั้น หากแต่ตงเปียนอ๋องก็มิได้นิ่งนอนใจ เขาส่งองครักษ์เงาคอยติดตามอยู่ห่าง ๆ เผื่อเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นจะได้ช่วยเหลือนางทัน"คุณหนูจะซื้อไปฝากท่านอ๋องหรือเพคะ"หลันจินเยว่ยืนดูผ้าไหมเนื้องามที่ร้านหนึ่งตรงตรอกเล็ก ๆ ของตลาด"เจ้าว่าหากท่านอ๋องเปลี่ยนมาใส่สีสว่างตาขึ้นจะดูภูมิฐานอยู่ไหม"ตั้งแต่ที่เห็นและรู้จักกันมา นางไม่เคยเห็นบุรุษที่ว่าสวมใส่เสื้อผ้าสีอื่นที่มิใช่สีดำสีเข้ม ๆ เลยสักครั้งเดียว"บ่าวว่าผ้าสีไหนหากอยู่บนตัวท่านอ๋องก็ดูสง่างามหมดเจ้าค่ะ"หลันจินเยว่เห็นด้วยอย่างยิ่ง วันนี้สาวใช้ของนางพูดได้ถูกใจต้องตบรางวัล"ผ้าพับนี้ข้าซื้อให้เจ้า"นางหยิบผ้าไหมสีกลีบดอกเหมยส่งให้เถ้าแก่ร้าน"คุณหนู นั่นคงแพงมากนะเจ้าคะ"มองแค่ตายังไม่ได้จับต้องเนื้อผ้าเสี่ยวโหรวก็รู้ว่านั่นคือไห
ผ่านมาครึ่งชั่วยามแล้วหลังจากที่ตงเปียนอ๋องออกมาจากห้องนั้นเพื่อฟังรายงานจากเหล่าทหารว่าซู่จิ่งอวิ๋นหนีไปกบดานกับเผ่าซีเซียงบนเขาทางใต้ เขาเลยสั่งให้ทุกคนกลับมาวางแผนกันที่จวนเหมยฮัวก่อนการเดินทางกลับจำต้องใช้ม้าถึงจะถึงที่หมายโดยเร็ว ทว่าหลันจินเยว่กลับเลือกที่จะโดยสารม้ามากับอู่ชิงหรงแทนอีกคน"เหตุใดข้ารู้สึกว่าเจ้ากำลังหลบหน้าท่านอ๋อง"บุรุษผู้โผงผางคิดเห็นการใดก็พูดออกไปจนหมดสิ้นถามสหายวัยเยาว์"ข้ามิได้หลบหน้าผู้ใด"หลันจินเยว่ที่นั่งอยู่ด้านหลังเขาตอบเหมือนร้อนตัว"หากข้าเป็นคนอื่นคงเชื่อที่เจ้ากล่าวมา"จะมาเกิดฉลาดเอาอะไรตอนนี้ นางยิ่งอยากอยู่เงียบ ๆ ตบตีกับคำถามที่ยังไม่ได้คำตอบจากตงเปียนอ๋องว่าตกลงแล้วที่เขาบอกชอบนางหมายถึงร่างกายเฟิงเยว่ซินหรือตัวตนที่นางแสดงออกกัน"หยุด!"ตงเปียนอ๋องที่ควบม้าตามหลังสองคนนี้สั่งเสียงลั่น ทหารทุกนายต่างหยุดควบม้าเพื่อรอฟังคำสั่งถัดไป"ท่านอ๋องพบสิ่งใดผิดปกติหรือขอรับ"หนึ่งในทหารที่ควบม้ารั้งท้ายลงจากม้ามาถามไถ่"ม้าตัวนี้อ่อนแรงแล้ว หยุดพักที่นี่สักพักก่อน"หากม้าที่ตงเปียนอ๋องทรงขี่อยู่คือทมิฬกาลคงหาข้ออ้างเช่นนี้ไม่ได้สายตาคมมองแผ่นหลังบ
ตอนนี้ดวงตะวันเริ่มขึ้นใหม่อีกครั้ง บ่งบอกว่าทั้งสองกายที่นอนกอดกันทั้งคืนเจอกับรุ่งเช้าของวันใหม่แล้วหลันจินเยว่รู้สึกตัวตื่นก่อนจึงค่อย ๆ แกะมือแกร่งที่โอบกอดนางไว้ในอ้อมกอดทั้งคืนออกอย่างช้า ๆเมื่อคืนไม่รู้ว่าเหตุใดจุดจบของทั้งคู่จึงกลายเป็นการหลอมรวมเป็นหนึ่งเช่นนั้นถึงแม้จะยังเคอะเขินและเจ็บหน่วงไปทั้งร่างกายอยู่ แต่นางไม่อยากให้อีกคนตื่นมาเจอสภาพกึ่งเปลือยเช่นนี้จึงตั้งใจหนีจากอกอุ่นออกมาแต่งกายให้เรียบร้อย"คิดจะหนีข้ารึ"ดวงตาดั่งกวางน้อยตกใจกับเสียงทุ้มที่เอ่ยทว่าหลับตาอยู่"ทะ...ท่านตื่นแล้ว"ปกติไม่ได้พูดจาติดขัดเช่นนี้ เหตุใดครั้งนี้ถึงไม่กล้าต่อปากต่อคำเถียงอีกคนกันเล่าพรึ่บ!ตงเปียนอ๋องขี้แกล้งพลิกร่างบอบบางกึ่งเปลือยของนางให้นอนกองทับบนอกตนหลันจินเยว่จ้องมองร่องรอยจิกข่วนบนกล้ามอกอันเกิดจากนางพลางร้อนรุ่มขึ้นที่พวงแก้มทั้งสองข้าง"แอบอ่านกินข้าอยู่หรือ""บ้า!"กำปั้นน้อย ๆ ทุบลงกึ่งกลางเนื้ออกหนัดแน่น"หากข้าบ้า เจ้ามิน่าสงสารหรือ""ทำไมข้าต้องน่าสงสาร"นางเงยหน้าขึ้นมองคนที่พูดจาให้งวยงง"เพราะเจ้ามีสามีเป็นคนบ้า"สะ...สามี!ใบหน้าสวยแดงกร่ำไปทั่วพวงแก้ม ริมฝีปากเ
"เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องนั้น ตลอดทางมาที่นี่ข้าทำเครื่องหมายเอาไว้แล้ว"อ้อ คงจะเป็นพวกเครื่องหมายลับที่รู้กันแค่ไม่กี่คน"แผลท่าน"ดวงตาสีน้ำตาลเหลือบมองแขนที่พันผ้าสีขาวเพื่อห้ามเลือดเอาไว้"แผลเล็กน้อย ข้าต้มยาไว้เดี๋ยวเอามาให้เจ้าทาน"ไม่รอช้าตงเปียนอ๋องผู้เย่อหยิ่งไม่เคยปรนนิบัติใครมาก่อนรีบออกไปยกหม้อยาที่ต้มรอคนเจ็บฟื้นมาให้นางทันที"แค่กลิ่นก็รู้แล้วว่าขม"จริมฝีปากจิ้มลิ้มกล่าว ใบหน้าสวยหวานหันหนีไปอีกทางเพราะไม่ชอบกลิ่นของยาถ้วยนี้"ยาไม่ขมจะช่วยให้หายได้เยี่ยงไร เจ้าฝืนดื่มสักอึกเถอะ"ถ้วยยาถูกยกขึ้นใกล้ใบหน้าหวานนั้นอีกครั้งหลันจินเยว่เหมือนตกอยู่ในมนตร์สะกดเมื่อเผลอสบตาตงเปียนอ๋องที่จ้องนางอยู่ก่อนแล้ว"งั้นข้าป้อนเจ้าแล้วกัน"ว่าจบจึงจับช้อนแล้ววนยาในถ้วยสองสามรอบ ตักยาขึ้นจากถ้วยแล้วจ่อตรงริมฝีปากบางหลันจินเยว่อ้าปากเล็กน้อยเพื่อกลืนยาในช้อนนั้นหากแต่ไม่ยอมละสายตาไปจากใบหน้าตงเปียนอ๋องราวกับมองแล้วจะช่วยลดรสชาติขมของยานี้ลงได้"เด็กดี"รู้ตัวอีกทีจากแค่คิดว่าต้องดื่มแค่อึกเดียวกลายเป็นถูกตงเปียนอ๋องป้อนจนหมดถ้วย"ทะ...ท่า...น"อ้าปากเตรียมต่อว่าอีกคนที่หลอกให้นางทานยาแ
"ต้าเสียน?"นี่เป็นสิ่งเหนือความคาดเดาของตงเปียนอ๋อง เขาไม่เคยคิดว่าคนที่บงการพ่อลูกตระกูลซู่จะเป็นผู้ร่วมสายเลือดเดียวกับเขาอย่างองค์หญิงสาม"เหนือฟ้าย่อมมีฟ้า เจ้าคงคิดว่าท่านพ่อข้าจะไม่หาทางหนีที่พึ่งไว้สินะ"เมื่อคิดว่าตอนนี้ตนมีอำนาจกว่าอีกฝ่ายก็เริ่มอวดเบ่งด้วยเสียงเย้ยหยัน"ถ้ำแห่งนี้จะเป็นสุสานของพวกเจ้า"จบประโยคนั้น ซู่จิ่งอวิ๋นปรี่เข้าไปฟาดฟันตงเปียนอ๋องเฟยหลงเช่นเดียวกับคู่ของต้าเสียนที่กำลังกันทางไม่ให้อู่ชิงหรงเข้าไปช่วยเหลือหลันจินเยว่บุรุษแห่งกองทัพมังกรขาวทั้งสองแม้จะรับมือคู่ต่อสู้หากแต่ในใจกลับห่วงสตรีเพียงหนึ่งเดียวที่ถูกจับมัดไว้กลางวงต่อสู้หวั่นจะถูกลูกหลงเอา"ท่านอ๋องระวัง!"เสียงนั้นช้าไป คมกระบี่ของซู่จิ่งอวิ๋นเฉือนเข้าที่แขนตงเปียนอ๋องจนเลือดสีแดงซึมออกมา"ท่านอ๋อง!"อู่ชิงหรงอาศัยความเร็วเข้ารับกระบี่ของซู่จิ่งอวิ๋นที่กำลังจะซ้ำลงอีกครั้งได้ทันท่วงที"ท่านพาซินเอ๋อร์หนีไปก่อน"เสียงอู่ชิงหรงดังขึ้น เป็นจังหวะเดียวกับที่คมกระบี่เขาฟันลงบนขาพับของซู่จิ่งอวิ๋นจนเซเสียหลัก"ท่านแม่ทัพอวิ๋น!"ต้าเสียนเห็นท่าทีไม่สู้ดี แม้จะบาดเจ็บทั้งสองฝ่ายแต่บาดแผลของซู่จิ่งอว