ช่างเถอะ ไม่ว่าจะเห็นแก่ใคร ตราบใดที่มีโอกาสก็พอ“ฝ่าบาทโปรดชี้แนะด้วยเพคะ”เวินซื่อกล่าวอย่างนอบน้อมฮ่องเต้น้อยลุกขึ้น เดินไปที่ตรงหน้าเวินซื่อ แล้วคืนป้ายคำสั่งให้นาง“ในช่วงสองปีมานี้ ทางใต้ของแคว้นเกิดภัยพิบัติอย่างต่อเนื่อง ราษฎรทุกข์ร้อน เราค่อนข้างกังวล จำเป็นต้องมีใครสักคน คอยอธิษฐานขอพรให้แคว้นและราษฎรจากใจจริง”“หม่อมฉันยินดีเพคะ!”เวินซื่อตอบตกลงทันทีฮ่องเต้น้อยกลับส่ายศีรษะด้วยรอยยิ้ม “เจ้ายินดียังไม่พอ อารามสุ่ยเยว่บนภูเขาหนานที่อยู่นอกเมืองหลวง ผู้ดูแลอารามคือซือไท่ที่มีคุณธรรมและบุญบารมีสูงส่ง ถ้าหากซือไท่ท่านนั้นก็เห็นด้วยเช่นกัน เราจะตอบตกลงเจ้า” “เพคะ ขอบพระทัยฝ่าบาท!”“อย่าเพิ่งด่วนขอบคุณ ถ้าหากซือไท่ไม่เห็นด้วย เราจะไม่อนุโลมเจ้า”กล่าวจบ ฮ่องเต้น้อยก็โบกมือ “ไปเถอะ เรารอข่าวจากเจ้า”สำหรับเวินซื่อ ตอนนี้นางไม่มีทางเลือกอื่นแล้วดังนั้นไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ขอแค่สามารถไปจากสกุลเวิน ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟ นางก็จะลองดูสักตั้งในตอนที่เวินซื่อหมุนกายเตรียมจากไป จู่ๆ ฮ่องเต้น้อยก็เรียกนางอีก“รอก่อน”เวินซื่อหยุดฝีเท้า หันกลับไปมองด้วยความสงสัยเมื่อเห็น
ก่อนหน้านี้ เวินซื่อที่เสียเลือดมากเกินไป คุกเข่าอยู่ในห้องทรงพระอักษรเพียงแค่ครู่เดียวก็เกิดอาการหน้ามืดเล็กน้อยตอนนางลุกขึ้นจะกลับแต่นางอดกลั้นไม่ได้เสียมารยาทต่อหน้าฮ่องเต้ เดิมทีคิดว่าจะไปพักผ่อนในรถม้าสักเดี๋ยว แต่ใครจะรู้ว่าทันทีที่เดินออกจากห้องทรงอักษรพระก็ภาพตรงหน้าก็มือไป เห็นข้างหน้าไม่ชัดเจน ครู่ต่อมาที่เต๋อกงกงอุทานว่า “อ๋องผู้สำเร็จราชการแทน” ก็ชนโดนใครคนหนึ่งอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน?หลังจากถูกประคอง เวินซื่อปลายกัดลิ้นตัวเองทีหนึ่งแรง ๆ เมื่อรู้สึกเจ็บ สมองก็แจ่มชัดขึ้นมากเมื่อเงยหน้าเห็นว่าคนที่ประคองนางเป็นใคร ต่อให้ใบหน้าที่เฉยเมยนั้นจะหล่อเหลาเพียงใด นางยังตกใจจนหัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มผมสีเงินที่เป็นเอกลักษณ์นั่น ทั้งราชวงศ์ต้าหมิงมีใครไม่รู้จัก?นี่ก็คือเทพสงครามที่สังหารผู้คนนับไม่ถ้วน อ๋องผู้สำเร็จราชการแทนแห่งราชสำนัก…เป่ยเฉินหยวน“หม่อมฉันเสียมารยาท อ๋องผู้สำเร็จราชการแทนโปรดอภัยด้วยเพคะ”เวินซื่อรีบยืนตัวตรง คำนับอย่างนอบน้อมแน่นอนว่าสิ่งที่นางกลัวไม่ใช่ฉายาเทพสังหารของอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน อย่างไรเสีย ปัจจุบันราชวงศ์ต้าหมิงสามารถสงบสุขเช่นนี้ ล้
ฮ่องเต้น้อยกล่าวอย่างยิ้มแย้ม“แต่ม่อโฉวซือไท่จุกจิกมาก เราว่าเป็นไปได้มากที่นางต้องกลับมาพร้อมกับความผิดหวัง”บททดสอบที่ฮ่องเต้น้อยมอบให้เวินซื่อฟังดูง่าย แต่ทุกคนที่เคยใกล้ชิดม่อโฉวซือไท่รู้ดี ม่อโฉวซือไท่แห่งอารามสุ่ยเยว่เป็นคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนหัวโบราณและดื้อรั้น อย่าว่าแต่ฮ่องเต้น้อยเลย ต่อให้เป็นอดีตฮ่องเต้ยืนอยู่ตรงหน้านาง ก็ไม่คิดไว้หน้าเลยถ้าหากนางรู้สึกว่าเวินซื่อไม่ผ่าน เช่นนั้นเวินซื่อก็ไม่มีโอกาสเด็ดขาดดังนั้นฮ่องเต้น้อยจึงมั่นใจว่า เวินซื่อไปอารามสุ่ยเยว่แล้วต้องผิดหวังแน่นอน ถ้าหากสามารถทำให้นางล้มเลิกความคิดออกบวชเป็นชีได้ก็ยิ่งดีอย่างไรเสียเขาก็ไม่ค่อยอยากส่งลูกสาวของท่านอาหลานไปเป็นแม่ชีนักแม้กล่าวเช่นนี้ แต่เมื่อเป่ยเฉินหยวนนึกถึงตอนที่นางหนูน้อยล้มลงแล้วลุกขึ้นอีกครั้ง แม้ร่างกายยังคงแบกรับความเจ็บปวด กลับไม่โอนเอน และยังคงเดินจากไปอย่างแน่วแน่ เขาไม่ได้ปฏิเสธหรือเห็นด้วยกับคำพูดของฮ่องเต้น้อยเวลานี้เวินซื่อยังไม่รู้ว่าโอกาสที่นางได้รับนี้ ความจริงแล้วมีความหวังไม่มากนักแต่ต่อให้นางรู้ นางก็ไม่มีทางยอมแพ้เด็ดขาดในรถม้า เวินซื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอา
“ซือไท่กับท่านพ่อของข้า?”เมื่อเวินซื่อได้ยินเช่นนี้ ตะลึงงันครู่หนึ่งเสี่ยวเต๋อจื่อเหมือนกำลังคุยเล่นเรื่องที่น่าสนใจ พลางชื่นชมพระอาทิตย์ขึ้นที่อยู่ซ้ายมือ พลางกล่าวกับเวินซื่อ“เรื่องนี้พูดถึงก็น่าสนใจ เมื่อก่อนม่อโฉวซือไท่ไม่เคยลงเขา และน้อยครั้งที่จะออกจากอารามซุ่ยเยว่ แต่ในปีที่คุณหนูห้าเกิด ม่อโฉวซือไท่สั่งให้คนส่งของขวัญแสดงความยินดีไปที่จวนเจิ้นกั๋วกง คนนอกจึงจะรู้ว่าที่แท้ม่อโฉวซือไท่ที่ไม่สนใจเรื่องทางโลกท่านนั้นรู้จักกับจวนเจิ้นกั๋วกง”“ทุกคนล้วนคิดว่าเพราะใต้เท้าเจิ้นกั๋วกง แต่หลังจากนั้นม่อโฉวซือไท่ก็ไม่เคยไปมาหาสู่กับจวนเจิ้นกั๋วกง กระทั่งวันที่ฮูหยินเจิ้นกั๋วกงป่วยหนักกำลังจะสิ้นใจ ม่อโฉวซือไท่รีบลงจากเขา และได้ส่งฮูหยินเจิ้นกั๋วกงครั้งสุดท้าย”“หลังจากฝังศพนาง ม่อโฉวซือไท่ด่าทอเจิ้นกั๋วกงว่าเป็นคนเนรคุณ ทำผิดต่อฮูหยินของเขาอย่างเกรี้ยวกราดต่อหน้าผู้คน อีกทั้งยังสาบานว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับคนของจวนเจิ้นกั๋วกงอีกเด็ดขาด”ตอนนั้นผู้คนจึงจะเข้าใจ ที่แท้คนที่ม่อโฉวซือไท่รู้จักไม่ได้เจิ้นกั๋วกง แต่รู้จักกับฮูหยินเจิ้นกั๋วกงเสี่ยวเต๋อจื่อกล่าวเบาๆ “คุณหนูห้า มารดาของท่
จื่อจวิน หลานจื่อจวิน คือชื่อจริงของแม่นางม่อโฉวซือไท่กับมารดาของนางรู้จักกันจริงๆ ด้วยเวินซื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเข้าใจผิด คิดว่านางคือมารดา จึงโน้มตัวคำนับ “ข้าน้อยชื่อเวินซื่อ คำนับม่อโฉวซือไท่เจ้าค่ะ” ม่อโฉวซือไท่ชะงักสีหน้าของนางกลับมาเย็นชาและใจร้ายทันที นางหมุนกายถือกล้วยไม้เข้าไปในอีกด้านของลานกว้างบนชั้นวางไม้ที่มีกล้วยไม้ต่างๆ ยังมีที่ว่างอีกหนึ่งทีหลังจากวางกระถางกล้วยไม้ในอ้อมแขนที่ดูเหมือนเพิ่งผ่านการตกแต่งลงไป ม่อโฉวเอ่ยปากอย่างเย็นชา พูดย้ำคำพูดเมื่อครู่อีกหนึ่งรอบ“ที่นี่ไม่ใช่วิหารของอาราม หากสีกาต้องการสักการะ เดินออกไปแล้วเลี้ยวขวาก็จะถึง”เวินซื่อจุๆ ในใจซือไท่ท่านนี้อคติกับสกุลเวินมากจริงๆ ด้วยคำพูดนี้ฟังเหมือนบอกทาง แต่ไม่ต่างอะไรกับไล่คนเลย“ซือไท่ วันนี้ข้าน้อยไม่ได้มาที่นี่เพื่อสักการะ แต่มีเรื่องอยาก…”“ในเมื่อไม่ได้มาเพื่อสักการะ เช่นนั้นสีกาก็เชิญกลับเถอะ อารามซุ่ยเยว่อยู่ห่างไกลจากเมืองหลวง ไม่เหมาะที่จะอยู่นาน”ก่อนที่เวินซื่อจะกล่าวจบ ม่อโฉวซือไท่ก็กล่าวขัดนางอย่างไม่เกรงใจแต่น่าเสียดาย วันนี้นางจะไม่ยอมแพ้จนกว่าจะบรรลุเป้าหมายเวินซื่อเ
พลันเวินซื่อตะลึงนางมองใบหน้าที่โกรธเกรี้ยวของซือไท่ อดไม่ได้ที่จะยิ้มในใจวันเกิดของนางคืออีกสองเดือนข้างหน้าจริงๆถ้าหากไม่มีการปรากฏตัวอย่างไม่คาดคิดของเวินเยวี่ย ตามกฎก็ควรจัดพิธีปักปิ่นให้นางในอีกสองเดือนข้างหน้าจริงๆแต่เพราะ ‘อยากจัดพิธีปักปิ่นพร้อมกับพี่หญิง’ คำเดียวของเวินเยวี่ย ท่านพ่อกับพวกพี่ชายของนางก็ไม่สนใจความเห็นของนาง บังคับให้นางจัดพิธีปักปิ่นล่วงหน้าสองเดือน พร้อมกับในวันเกิดเมื่อวานของเวินเยวี่ยนี่ก็คือบิดากับเหล่าพี่ชายที่แสนดีของนางแต่หลังจากเกิดใหม่ เวินซื่อไม่รู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้มีอะไรน่าแปลกใจแต่สิ่งที่ทำให้เวินซื่อคิดไม่ถึงคือ ม่อโฉวซือไท่ก็จำวันเกิดของนางได้อย่างชัดเจนนางได้รู้มาจากปากของเต๋อกงกงว่าม่อโฉวซือไท่เคยไปจวนเจิ้นกั๋วกงตอนที่นางเกิดก็จริงแต่ผ่านมาหลายปีเช่นนี้ก็ยังจำได้ คิดว่ามิตรภาพของมารดากับม่อโฉวซือไท่ในสมัยนั้นต้องแน่นแฟ้นมากแน่ๆ“ซือไท่ใจเย็นๆ ไม่จำเป็นต้องโกรธเพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้เจ้าค่ะ”ระหว่างคิ้วของเวินซื่ออ่อนโยนลงโดยไม่รู้ตัว นางกล่าวเตือน “ก็แค่พิธีปักปิ่น ตอนนี้ข้าน้อยไม่อยากอยู่บ้านสกุลเวินอีกแล้ว และข้าน้อยก็ไ
เพราะจู่ๆ คำพูดของม่อโฉวซือไท่ก็ทำให้นางพบว่า กล้วยไม้กระถางนี้ เป็นดอกไม้อวยพรพิธีปักปิ่นเพียงหนึ่งเดียวที่นางได้รับในตลอดสองชาตินางจ้องดอกกล้วยไม้เล็กๆ นั่น มองจนเหม่อลอยเล็กน้อยกล้วยไม้กระถางนี้ถูกตกแต่งอย่างดี มองปราดเดียวก็รู้ว่าได้รับการดูแลอย่างเอาใจใส่ทุกวัน นางเคยสังเกต ต่อให้เป็นกล้วยไม้ต้นอื่นๆ ที่อยู่ในลานก็สู้กระถางนี้ไม่ได้แต่เพราะเหตุใดม่อโฉวซือไท่จึงปลูกกล้วยไม้มากมายเช่นนี้ และเลือกกระถางที่ได้รับการดูแลดีที่สุดให้นางล่ะ?เพียงเพราะชอบกล้วยไม้หรือ?หรือเพราะสาเหตุอื่น…?กล้วย…กล้วยไม้[1] หลานจื่อจวิน…หรือเป็นเพราะท่านแม่?จู่ๆ เวินซื่อก็นำไปเชื่อมโยงกับมารดาของตัวเอง รู้สึกประหลาดใจกับการคาดเดานี้เล็กน้อยตกลงซือไท่กับมารดาเกี่ยวข้องกันอย่างไร? แล้วตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่?เวลานี้ เวินซื่ออยากรู้มากนางกัดฟัน กล่าวกับข้างนอก “เต๋อกงกง หยุดรถก่อน”การเดินทางกลับค่อนข้างเร็ว ตอนที่จอดรถม้า ก็ได้มาถึงเชิงเขาของภูเขาหนานแล้วเวินซื่อกอดกล้วยไม้กระถางนั้นลงจากรถม้าอีกครั้ง นางเงยหน้ามองทางขึ้นเขาแวบหนึ่ง สูงมาก“คุณหนูห้ามีของอะไรลืมไว้ที่อารามซุ่ยเย
เมื่อคนผู้นั้นกล่าวเช่นนี้ มีหลายคนที่พยักหน้าเห็นด้วยอย่างยิ่งทันที“ต้องใช้แน่ๆ เวินซื่อเพิ่งถูกชุยซื่อจื่อถอนหมั้นเมื่อวาน วันนี้ก็หนีมาเรียกร้องความสนใจที่ภูเขาหนานแล้ว”“เกรงว่าไม่รู้ไปได้ยินมาจากที่ใด รู้ว่าวันนี้พวกเราจะมาเที่ยวชมธรรมชาติที่ภูเขาหนาน ดังนั้นจึงจงใจมาแสดงละครให้พวกเราดูที่นี่”แต่ก็บังเอิญเช่นกัน กลุ่มคนที่พูดล้วนเป็นเหล่าคุณชายที่ปกติค่อนข้างมีความใกล้ชิดกับชุยเส้าเจ๋อเดิมทีวันนี้พวกเขานัดกันมาเที่ยวชมธรรมชาติที่ภูเขาหนาน แต่เมื่อวานชุยเส้าเจ๋อทำให้จวนเจิ้นกั๋วกงอับอายต่อหน้าผู้คนกับเรื่องถอนหมั้น จึงถูกจงหย่งโหวขังไว้ในบ้าน ไม่อนุญาตให้ออกมาดังนั้นวันนี้จึงมีเพียงพวกเขาไม่กี่คนแน่นอนว่าเวินซื่อก็สังเกตเห็นพวกเขาแล้วเช่นกันแต่นางเลือกที่จะมองข้ามอย่าว่าแต่พวกเขาเลย วันนี้ต่อให้ชุยเส้าเจ๋อมาก็อย่าคิดจะขวางนางด้วยความสัมพันธ์ของชุยเส้าเจ๋อ คุณชายเหล่านั้นไม่แม้แต่จะเที่ยวชมธรรมชาติแล้ว พวกเขายืนจ้องเวินซื่อที่ริมทางทั้งเช่นนี้ มองดูนางกราบไหว้ตั้งแต่เชิงเขาขึ้นไปข้างบนแรกเริ่มคนทั้งกลุ่มยังเยาะเย้ยถากถางไม่หยุด แต่หลังจากผ่านไปหนึ่งเค่อ ผ่านไปหน
ในฐานะบุตรสาวแห่งภรรยาเอกแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง เวินซื่อย่อมรู้จักของเหล่านี้อยู่แล้วและนางไม่เพียงแต่รู้จักเท่านั้น แต่เมื่อก่อนยังเคยใช้บ่อย ๆ อีกด้วยเพราะหลังจากที่มารดาล่วงลับไป จวนเจิ้นกั๋วกงก็มีนางเป็นบุตรสาวคนเดียว ดังนั้นในเวลานั้นเมื่อเวินเฉวียนเซิ่งได้รับสิ่งใดมาก็ตาม ก็จะมอบให้กับนางโดยตรงแต่ต่อมาเมื่อมีเวินเยวี่ยเข้ามาในสกุลเวินเวินเยวี่ยแค่เอ่ยคำเดียวว่าชอบ ปริมาณยาหยกหิมะที่ส่งมาที่ห้องนางก็ลดลงจากสามขวด สองขวด หนึ่งขวด จนสุดท้ายก็ไม่เคยได้รับมันอีกเลยในเวลานั้นเวินซื่อที่ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลยก็วิ่งไปหาเวินเฉวียนเซิ่งโดยตรงเพื่อถามบิดาของตนว่า ทำไมถึงมอบยาหยกหิมะแก่เวินเยวี่ย แต่นางกลับไม่มีสักขวดเลย?เวลานั้น ‘บิดาแสนดี’ พูดว่าอย่างไรนะ?เวินซื่อลองนึกดูสักครู่ใช่แล้ว ตอนนั้นเขาขมวดคิ้วพร้อมกับพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เพราะนางเป็นน้องสาวของเจ้า นางต้องลำบากลำบนมากมายตั้งแต่เด็ก เจ้าเป็นพี่สาวจะยอมเอื้อเฟื้อหน่อยไม่ได้หรือ?”ด้วยคำว่า ‘พี่สาว’ นำหน้า เวินซื่อจึงต้องยอมแม้ว่าในใจจะรู้สึกคับข้องเพียงใดก็ตามนางในเวลานั้นยังมีความคิดอย่างไร้เดียงสา...ช่างมันเถอะ
เวินหย่าลี่ที่แน่ใจแล้วว่าโจรที่ขโมยยาหยกหิมะไปคือเวินซื่อโกรธจัดจนด่าทอเสียงดัง...“โชคดีที่นางได้รับการแต่งตั้งจากฝ่าบาทให้เป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ฝูหมิงอะไรไปบวชชีที่อารามแม่ชี อ้างว่ากำลังฝึกบำเพ็ญสวดขอพร ผลปรากฏว่าได้เรียนรู้วิธีลักเล็กขโมยน้อยแทน อับอายขายหน้าเป็นที่สุด!”“พี่ใหญ่พูดถูกจริง ๆ ทำเรื่องอัปยศอดสูเช่นนี้ สมควรแล้วที่จะถอดแซ่เวินออกจากนาง ไม่ให้นางกระทำการในนามของสกุลเวินอีกในอนาคต เพื่อไม่ให้ชื่อเสียงของจวนเจิ้นกั๋วกงต้องแปดเปื้อนเสียหาย”“ท่านแม่ ไม่ใช่เวินซื่อ...”ชุยเส้าเจ๋อไม่นึกเลยว่าเวินหย่าลี่จะสงสัยเวินซื่อโดยไม่ลังเลแม้แต่นิดเขาเอ่ยปากอย่างยากลำบาก คิดว่าควรล้างมลทินให้เวินซื่อสักหน่อยถึงจะถูกแต่พูดไปเพียงไม่กี่คำ กลับพูดต่อไปไม่ได้ขึ้นมาอย่างกะทันหันถ้าจะล้างมลทิน เขาก็ต้องบอกมารดาสิว่า ยาหยกหิมะสามขวดนั่นเขามอบให้น้องหญิงเยวี่ยเอ๋อร์ไปหมดแล้ว?หากมารดาของเขานึกว่าน้องหญิงเยวี่ยเอ๋อร์ยุยงแล้วเขาจะทำอย่างไร?มารดาของเขาจะไม่หันกลับมาด่าทอน้องหญิงเยวี่ยเอ๋อร์เหมือนกับที่ด่าทอเวินซื่อในตอนนี้หรือ?อาจเป็นไปได้ด้วยซ้ำว่าพอรู้เรื่องนี้แล้วต่อไปมารดาของเ
ยาหยกหิมะนี้เป็นของเชื้อพระวงศ์ใช้กันในวัง ขวดเล็ก ๆ เพียงขวดเดียวก็มีมูลค่าสูงมากครอบครัวขุนนางธรรมดาและประชาชนทั่วไปไม่สามารถใช้ได้ นอกจากเหล่านางสนมจะพระราชทานเป็นรางวัลให้เท่านั้น ครอบครัวขุนนางระดับล่างและเหล่านางในถึงจะมีสิทธิ์ใช้เวินหย่าลี่อาศัยบารมีพี่ใหญ่ของนาง บวกกับสามีในฐานะจงหย่งโหวซึ่งในมือกุมอำนาจที่แท้จริง ดังนั้นไทเฮาจึงเรียกนางเข้าวังอยู่เป็นครั้งคราว ประทานของอย่างยาหยกหิมะอยู่ไม่น้อยทั้งสามขวดนี้คือของดีที่องค์ไทเฮาได้ประทานให้นาง เมื่อตอนที่นางเข้าวังคราวก่อนแม้แต่เวินหย่าลี่เองก็ตัดใจใช้มันไม่ลง ถึงได้นำยาหยกหิมะทั้งสามขวดไปเก็บไว้ในห้องเก็บของแต่สิ่งที่นางนึกไม่ถึงก็คือ ยาหยกหิมะทั้งสามขวดถูกเก็บเข้าไปในตอนเช้า ตอนบ่ายก็ถูกลูกชายของนางส่งไปที่จวนเจิ้นกั๋วกงทั้งหมด ปรากฏอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งของเวินเยวี่ยชุยเส้าเจ๋อก็รู้ว่ามารดาของเขาห่วงแหนยาหยกหิมะนั่นเพียงใด แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกใครใช้ให้เขาพูดผิดไปที่จวนเจิ้นกั๋วกงในวันนั้น ทำให้น้องหญิงเยวี่ยเอ๋อร์โกรธอยู่หลายวัน ไม่ว่าจะเอาอกเอาใจเพียงใดเพียงใดก็ไม่หายพอดีในตอนนั้นได้ยินมารดาของเขาพูดถึงยาหยกห
“แหกปากอะไร มีผีที่ไหนกันเล่า?”ชุยเส้าเจ๋อเกาใบหน้าและลำคอของตัวเอง พลางสวมเสื้อคลุม ดุด่าสาวใช้คนนั้นด้วยความหงุดหงิด“ไม่ใช่เจ้าค่ะ ท่านซื่อจื่อ บนหน้าของท่าน เป็น...เป็นอะไรไป?!”หลังจากสาวใช้ตระหนักว่าที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่ผีที่ใช้เสียงของชุยเส้าเจ๋อ แต่เป็นซื่อจื่อของพวกนางเอง สีหน้าของนางก็ยิ่งทวีความหวาดกลัวทันที“บนหน้าของข้าหรือ?”ชุยเส้าเจ๋อที่ยังไม่รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นขมวดคิ้วด้วยความสับสน เมื่อสาวใช้เอากระจกทองแดงมาอยู่ตรงหน้าเขา มองเห็นใบหน้าที่โชกเลือดอยู่ในกระจกนั้น ชุยเส้าเจ๋อก็หน้าถอดสีทันที“นี่มันเรื่องอะไรกัน? เกิดอะไรขึ้นกับใบหน้าของข้า?!”ใบหน้าที่เคยสง่างามหล่อเหลา ตอนนี้ไม่เพียงแต่เต็มไปด้วยเลือดเท่านั้น แต่ยังบวมแดง บวมจนแทบจะเหมือนหัวหมูอยู่แล้วและไม่ใช่แค่ใบหน้าของเขาเท่านั้น แต่รวมถึงคอ มือ และเท้าทั้งสองของเขา จนถึงขั้นทั่วร่างกายล้วนอยู่ในสภาพเดียวกับใบหน้าเมื่อดูอย่างถี่ถ้วน บริเวณที่มีคราบเลือดเหล่านั้นมากที่สุดชัดเจนว่าเป็นบริเวณที่เขาเกาอย่างแรงเมื่อครู่!ชุยเส้าเจ๋อตื่นตระหนกในทันที “ยังมัวยืนอึ้งอยู่ตรงนี้ทำไมเล่า ยังไม่รีบไปตามหมอมาให้ข้
“ใช่แล้วท่านอ๋อง ลงมาเร็วเข้า รีบขึ้นรถไปพูดคุยกับธิดาศักดิ์สิทธิ์ พัฒนาความสัมพันธ์หน่อยสิพ่ะย่ะค่ะ”เป่ยเฉินหยวนที่ถูกทั้งสองไล่ลงจากม้า “?”“พวกเจ้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไรกันอยู่?”เขาขมวดคิ้วกล่าวว่า “อู๋โยวและอาจารย์ของนางนั่งอยู่บนรถม้าด้วยกัน แล้วข้าจะเข้าไปร่วมสนุกอะไรด้วย?”เฮ้อ!ลืมเรื่องนี้ไปเลยรู้อย่างนี้จะเตรียมรถม้าเพิ่มไว้อีกหนึ่งคัน คันหนึ่งสำหรับม่อโฉวซือไท่คนเดียว อีกคันหนึ่งสำหรับท่านอ๋องของพวกเขากับธิดาศักดิ์สิทธิ์ถึงจะถูก!เกาเย่าและสหายคิดไว้เป็นอย่างดี แต่กลับไม่คิดว่าต่อให้มีรถม้าเพิ่มอีกคัน เวินซื่อก็จะไม่นั่งกับเป่ยเฉินหยวนตามลำพัง เพราะถึงอย่างไรแล้วต่อให้พวกเขาสองคนมีจิตใจบริสุทธิ์ แต่คนอื่น ๆ จะไม่คิดเช่นนี้ดังนั้นยามใดควรหลีกเลี่ยงความสงสัยก็หลีกเลี่ยงดีกว่าอย่างน้อยนี่คือสิ่งที่เวินซื่อคิดหลังจากที่เป่ยเฉินหยวนได้ม้าคืนมา ก็นำกองทัพธงดำไปส่งเวินซื่อและม่อโฉวซือไท่เวินซื่อหมอบอยู่ข้างหน้าต่างรถ มองดูถนนหนทางที่พลุกพล่านข้างนอกไปตามทางเนื่องจากวันนี้เป่ยเฉินหยวนมีปัญหามากพออยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อครู่นางจึงไม่ได้พูดถึงการไปเดินเล่นหรืออะไรท
“ธิดาศักดิ์สิทธิ์ เป็นข้าน้อยที่ตามใจมากเกินไป จึงทำให้ลูกชายของข้าน้อยเอาแต่ใจและไม่รู้จักคิดถึงเพียงนี้ ธิดาศักดิ์สิทธิ์โปรดให้อภัยด้วย ต่อไปข้าน้อยจะอบรมสั่งสอนอย่างเข้มงวด ไม่สร้างปัญหาใด ๆ แก่องค์ธิดาศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป”น้ำเสียงของจงหย่งโหวจริงจังซ้ำยังแฝงการตำหนิตัวเองเล็กน้อยเห็นได้ชัดว่าเขาตระหนักดีว่า ภรรยาและบุตรชายของตัวเองทำกับเวินซื่อเกินไปเพียงใดเมื่อเห็นจงหย่งโหวแสดงท่าทีเช่นนี้ออกมา ต่อให้เวินซื่อจะเกลียดชังชุยเส้าเจ๋อมากสักแค่ไหนก็ตาม นางก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเพราะหากจะว่าไปแล้ว เมื่อก่อนนี้คนที่ดีกับนางมากที่สุดในจวนจงหย่งโหว ก็เป็นท่านโหวผู้นี้ที่ปกติดูไม่เป็นมิตรนัก แต่ในเวลาส่วนตัวกลับเป็นมิตรเป็นอย่างมาก“ท่านโหวลุกขึ้นเถิด ความผิดของผู้อื่นไม่เกี่ยวกับท่าน ข้าเองก็ไม่เคยนึกตำหนิท่านโหวมาก่อนเลย ดังนั้นท่านโหวไม่จำเป็นต้องตำหนิตัวเอง”“สำหรับชุยซื่อจื่อ...”เวินซื่อเหลือบมองชุยเส้าเจ๋อที่ใบหน้ายังคงเต็มไปด้วยความอัปยศและขุ่นเคือง นางเอ่ยอย่างราบเรียบ “ข้ากับเขามีอุปสรรคด้านการสื่อสาร ไม่สามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนกันได้ รบกวนท่านโหวช่วยบอกเขาว่า ต่อไปอย่าใช้คำว
เวินซื่อหลุบตาลงมองเวินจื่อเฉินที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้านาง ดวงตากระตุกเล็กน้อย ก่อนจะเบือนสายตาออกไปคนอื่น ๆ ก็มองไปที่เวินจื่อเฉินด้วยความประหลาดใจเช่นกันเวินจื่อเยวี่ยถึงกับขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ “พี่รอง?”“เจ้าสาม ยังจำคำพูดที่ท่านพ่อต้องการให้พวกเราถ่ายทอดได้ใช่ไหม?”เวินจื่อเฉินคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ตัวตรงเรียบร้อย เขาพูดโดยไม่เหลียวหลัง “พวกเจ้าเพิ่งพูดกับน้องห้าชัดเจนว่าอย่ากระทำการในนามของสกุลเวินอีกต่อไป ซ้ำยังบอกนางด้วยว่าห้ามใช้แซ่เวินอีก ดังนั้นตอนนี้น้องห้าจึงมายืนอยู่ตรงหน้าพวกเราในฐานะธิดาศักดิ์สิทธิ์ ที่ควรสำเหนียกตัวตนให้ดีไม่ใช่พวกเราหรอกหรือ?”คำพูดของเวินจื่อเฉินทำให้ทั้งเวินจื่อเยวี่ยและเวินเยวี่ยเป็นใบ้พูดไม่ออก ไม่มีใครสามารถโต้แย้งได้หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เวินจื่อเยวี่ยก็ค่อย ๆ หันร่างไป ก่อนจะคุกเข่าลงต่อเวินซื่อ“เวินจื่อเยวี่ย...คำนับธิดาศักดิ์สิทธิ์”แตกต่างจากการสีหน้าท่าทางที่เด็ดเดี่ยวของเวินจื่อเฉินเวลาที่เวินจื่อเยวี่ยพูดนั้นสายตายิ่งเยือกเย็นราวกับจุ่มลงในน้ำแข็ง“ทำไม พวกเจ้าทั้งสามไม่ยอมรับสถานะของธิดาศักดิ์สิทธิ์หรือ?”เป่ยเฉินหยวน
หลังจากพูดจบ ชุยเส้าเจ๋อถึงได้รู้ตัวว่าดูเหมือนจะพูดมากเกินไปหน่อยเขามองไปยังเวินซื่อโดยสัญชาตญาณ ราวกับคิดว่านางเจ็บปวดกับคำพูดของตัวเองแต่เวินซื่อกลับไม่มีการแสดงออกใด ๆ“จวนจงหย่งโหววิเศษอะไรเช่นนี้!”ม่อโฉวซือไท่สีหน้าเย็นชาเวินจื่อเฉินโกรธจัดจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันสายตาของเวินเยวี่ยภาคภูมิใจจนสุดจะเปรียบเปรย มองดูเวินซื่อ แล้วมองไปที่ชุยเส้าเจ๋อในที่สุดเจ้าโง่คนนี้ก็รู้ว่าต้องเลือกใครส่วนเวินจื่อเยวี่ยที่อยู่ข้าง ๆ ก็ยิ้มเยาะพูดขึ้นมาประโยคหนึ่ง “ถูกผู้อื่นรังเกียจถึงเพียงนี้ จะโทษใครได้?”“เจ้าสาม เจ้าหุบปากเสีย”เวินจื่อเฉินถลึงตาใส่เขาแต่เวินจื่อเยวี่ยกลับไม่ฟังเขาเลย ซ้ำยังย้อนถามว่า “ข้าพูดผิดไปหรือ? วันนี้นางมาถึงจุดนี้แล้ว ถูกขับไล่ออกจากสกุลเวิน ถูกท่านพ่อถอดแซ่ ถูกถอนหมั้น ถูกหยามหน้า...ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะนางก่อกรรมทำเข็ญมากเกินไปในอดีต สมควรได้รับมันแล้วหรอกหรือ?”“ข้าบอกให้เจ้าหุบปาก!”เวินจื่อเฉินตะคอกด้วยความโกรธออกมาทันที อารมณ์ที่ปะทุขึ้นมาของเขาสยบเวินจื่อเยวี่ยลงได้ในที่สุดแต่เวินจื่อเยวี่ยแค่หุบปากลง เบือนใบหน้าอึมครึมชั่วร้ายออกไปอีกทาง“หยา
จู๋เยวี่ยที่หลบซ่อนอยู่ในมุมลับ “...”จะให้ปรากฏตัวก็แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้เพราะถึงอย่างไรจากสถานการณ์นี้แค่เห็นก็รู้แล้วว่าไม่สามารถออกไปทำให้เจ้านายเสียเรื่องดังนั้นเมื่อเวินซื่อตะโกนไปรอบ ๆ ก็ไม่มีใครออกมา“ชุยซื่อจื่อ ทีนี้เจ้าเห็นแล้วใช่ไหม ข้าไม่รู้จักจู๋เยวี่ยอะไรนั่นจริง ๆเวินซื่อส่ายหัว ทำท่าทางจริงจังมากม่อโฉวซือไท่ที่ดูอยู่ข้าง ๆ ยังอดเบือนหน้าหนีไม่ได้กลัวว่าตัวเองจะหัวเราะส่งเสียงออกมาชุยเส้าเจ๋อถลึงตาใส่อย่างโกรธเกรี้ยว “เจ้าอย่ามาหลอกข้า! ข้าถูกจู๋เยวี่ยนั่นซ้อมจนบาดเจ็บไปทั้งตัว ขาก็เกือบจะถูกตีจนพิการแล้ว ตอนนี้เจ้ามาบอกว่าไม่รู้จักเช่นนั้นหรือ? เจ้ากำลังหลอกใคร!”“บาดเจ็บไปทั้งตัว? ไหนล่ะ?”เวินซื่อเลิกคิ้วขึ้น “บนตัวชุยซื่อจื่อมีบาดแผลด้วยหรือ?”ชุยเส้าเจ๋อเอ่ยขึ้นทันที “เจ้าดูหน้าข้าสิ! มองบาดแผลบนตัวข้า บนแขนของข้า บน...หือ? บาดแผลของข้าล่ะ?”ชี้ไปที่ใบหน้าของตัวเอง ม้วนแขนเสื้อขึ้นเพื่อเปิดแผลให้นางดู ปรากฏว่ายังพูดไม่ทันจบ ชุยเส้าเจ๋อก็สังเกตเห็นความผิดปกติเขาจดจำได้อย่างชัดเจนว่าตัวเองถูกคนปิดหน้าที่ชื่อจู๋เยวี่ยทุบตีไปทั่วร่างจนถึงตอนนี้เขา