จื่อจวิน หลานจื่อจวิน คือชื่อจริงของแม่นางม่อโฉวซือไท่กับมารดาของนางรู้จักกันจริงๆ ด้วยเวินซื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเข้าใจผิด คิดว่านางคือมารดา จึงโน้มตัวคำนับ “ข้าน้อยชื่อเวินซื่อ คำนับม่อโฉวซือไท่เจ้าค่ะ” ม่อโฉวซือไท่ชะงักสีหน้าของนางกลับมาเย็นชาและใจร้ายทันที นางหมุนกายถือกล้วยไม้เข้าไปในอีกด้านของลานกว้างบนชั้นวางไม้ที่มีกล้วยไม้ต่างๆ ยังมีที่ว่างอีกหนึ่งทีหลังจากวางกระถางกล้วยไม้ในอ้อมแขนที่ดูเหมือนเพิ่งผ่านการตกแต่งลงไป ม่อโฉวเอ่ยปากอย่างเย็นชา พูดย้ำคำพูดเมื่อครู่อีกหนึ่งรอบ“ที่นี่ไม่ใช่วิหารของอาราม หากสีกาต้องการสักการะ เดินออกไปแล้วเลี้ยวขวาก็จะถึง”เวินซื่อจุๆ ในใจซือไท่ท่านนี้อคติกับสกุลเวินมากจริงๆ ด้วยคำพูดนี้ฟังเหมือนบอกทาง แต่ไม่ต่างอะไรกับไล่คนเลย“ซือไท่ วันนี้ข้าน้อยไม่ได้มาที่นี่เพื่อสักการะ แต่มีเรื่องอยาก…”“ในเมื่อไม่ได้มาเพื่อสักการะ เช่นนั้นสีกาก็เชิญกลับเถอะ อารามซุ่ยเยว่อยู่ห่างไกลจากเมืองหลวง ไม่เหมาะที่จะอยู่นาน”ก่อนที่เวินซื่อจะกล่าวจบ ม่อโฉวซือไท่ก็กล่าวขัดนางอย่างไม่เกรงใจแต่น่าเสียดาย วันนี้นางจะไม่ยอมแพ้จนกว่าจะบรรลุเป้าหมายเวินซื่อเ
พลันเวินซื่อตะลึงนางมองใบหน้าที่โกรธเกรี้ยวของซือไท่ อดไม่ได้ที่จะยิ้มในใจวันเกิดของนางคืออีกสองเดือนข้างหน้าจริงๆถ้าหากไม่มีการปรากฏตัวอย่างไม่คาดคิดของเวินเยวี่ย ตามกฎก็ควรจัดพิธีปักปิ่นให้นางในอีกสองเดือนข้างหน้าจริงๆแต่เพราะ ‘อยากจัดพิธีปักปิ่นพร้อมกับพี่หญิง’ คำเดียวของเวินเยวี่ย ท่านพ่อกับพวกพี่ชายของนางก็ไม่สนใจความเห็นของนาง บังคับให้นางจัดพิธีปักปิ่นล่วงหน้าสองเดือน พร้อมกับในวันเกิดเมื่อวานของเวินเยวี่ยนี่ก็คือบิดากับเหล่าพี่ชายที่แสนดีของนางแต่หลังจากเกิดใหม่ เวินซื่อไม่รู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้มีอะไรน่าแปลกใจแต่สิ่งที่ทำให้เวินซื่อคิดไม่ถึงคือ ม่อโฉวซือไท่ก็จำวันเกิดของนางได้อย่างชัดเจนนางได้รู้มาจากปากของเต๋อกงกงว่าม่อโฉวซือไท่เคยไปจวนเจิ้นกั๋วกงตอนที่นางเกิดก็จริงแต่ผ่านมาหลายปีเช่นนี้ก็ยังจำได้ คิดว่ามิตรภาพของมารดากับม่อโฉวซือไท่ในสมัยนั้นต้องแน่นแฟ้นมากแน่ๆ“ซือไท่ใจเย็นๆ ไม่จำเป็นต้องโกรธเพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้เจ้าค่ะ”ระหว่างคิ้วของเวินซื่ออ่อนโยนลงโดยไม่รู้ตัว นางกล่าวเตือน “ก็แค่พิธีปักปิ่น ตอนนี้ข้าน้อยไม่อยากอยู่บ้านสกุลเวินอีกแล้ว และข้าน้อยก็ไ
เพราะจู่ๆ คำพูดของม่อโฉวซือไท่ก็ทำให้นางพบว่า กล้วยไม้กระถางนี้ เป็นดอกไม้อวยพรพิธีปักปิ่นเพียงหนึ่งเดียวที่นางได้รับในตลอดสองชาตินางจ้องดอกกล้วยไม้เล็กๆ นั่น มองจนเหม่อลอยเล็กน้อยกล้วยไม้กระถางนี้ถูกตกแต่งอย่างดี มองปราดเดียวก็รู้ว่าได้รับการดูแลอย่างเอาใจใส่ทุกวัน นางเคยสังเกต ต่อให้เป็นกล้วยไม้ต้นอื่นๆ ที่อยู่ในลานก็สู้กระถางนี้ไม่ได้แต่เพราะเหตุใดม่อโฉวซือไท่จึงปลูกกล้วยไม้มากมายเช่นนี้ และเลือกกระถางที่ได้รับการดูแลดีที่สุดให้นางล่ะ?เพียงเพราะชอบกล้วยไม้หรือ?หรือเพราะสาเหตุอื่น…?กล้วย…กล้วยไม้[1] หลานจื่อจวิน…หรือเป็นเพราะท่านแม่?จู่ๆ เวินซื่อก็นำไปเชื่อมโยงกับมารดาของตัวเอง รู้สึกประหลาดใจกับการคาดเดานี้เล็กน้อยตกลงซือไท่กับมารดาเกี่ยวข้องกันอย่างไร? แล้วตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่?เวลานี้ เวินซื่ออยากรู้มากนางกัดฟัน กล่าวกับข้างนอก “เต๋อกงกง หยุดรถก่อน”การเดินทางกลับค่อนข้างเร็ว ตอนที่จอดรถม้า ก็ได้มาถึงเชิงเขาของภูเขาหนานแล้วเวินซื่อกอดกล้วยไม้กระถางนั้นลงจากรถม้าอีกครั้ง นางเงยหน้ามองทางขึ้นเขาแวบหนึ่ง สูงมาก“คุณหนูห้ามีของอะไรลืมไว้ที่อารามซุ่ยเย
เมื่อคนผู้นั้นกล่าวเช่นนี้ มีหลายคนที่พยักหน้าเห็นด้วยอย่างยิ่งทันที“ต้องใช้แน่ๆ เวินซื่อเพิ่งถูกชุยซื่อจื่อถอนหมั้นเมื่อวาน วันนี้ก็หนีมาเรียกร้องความสนใจที่ภูเขาหนานแล้ว”“เกรงว่าไม่รู้ไปได้ยินมาจากที่ใด รู้ว่าวันนี้พวกเราจะมาเที่ยวชมธรรมชาติที่ภูเขาหนาน ดังนั้นจึงจงใจมาแสดงละครให้พวกเราดูที่นี่”แต่ก็บังเอิญเช่นกัน กลุ่มคนที่พูดล้วนเป็นเหล่าคุณชายที่ปกติค่อนข้างมีความใกล้ชิดกับชุยเส้าเจ๋อเดิมทีวันนี้พวกเขานัดกันมาเที่ยวชมธรรมชาติที่ภูเขาหนาน แต่เมื่อวานชุยเส้าเจ๋อทำให้จวนเจิ้นกั๋วกงอับอายต่อหน้าผู้คนกับเรื่องถอนหมั้น จึงถูกจงหย่งโหวขังไว้ในบ้าน ไม่อนุญาตให้ออกมาดังนั้นวันนี้จึงมีเพียงพวกเขาไม่กี่คนแน่นอนว่าเวินซื่อก็สังเกตเห็นพวกเขาแล้วเช่นกันแต่นางเลือกที่จะมองข้ามอย่าว่าแต่พวกเขาเลย วันนี้ต่อให้ชุยเส้าเจ๋อมาก็อย่าคิดจะขวางนางด้วยความสัมพันธ์ของชุยเส้าเจ๋อ คุณชายเหล่านั้นไม่แม้แต่จะเที่ยวชมธรรมชาติแล้ว พวกเขายืนจ้องเวินซื่อที่ริมทางทั้งเช่นนี้ มองดูนางกราบไหว้ตั้งแต่เชิงเขาขึ้นไปข้างบนแรกเริ่มคนทั้งกลุ่มยังเยาะเย้ยถากถางไม่หยุด แต่หลังจากผ่านไปหนึ่งเค่อ ผ่านไปหน
ม่อโฉวซือไท่มองเขาอย่างเย็นชาแวบหนึ่งสีหน้าเสี่ยวเต๋อจื่อไม่เปลี่ยน “คุณหนูห้าพยายามเช่นนี้ คิดว่านางก็อยากรู้คำตอบที่ชัดเจนเช่นกันขอรับ”ม่อโฉวซือไท่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งท้ายที่สุดนางค่อยๆ เอ่ยปาก “ในเมื่อนางมีความตั้งใจเช่นนี้ ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ฝ่าบาทเลือกนาง เช่นนั้นก็ให้นางมาเถอะ”อย่างน้อยอยู่ในอารามสุ่ยเยว่เล็กๆ แห่งนี้ ก็ไม่มีใครรังแกนางเสี่ยวเต๋อจื่อจึงจะเผยให้เห็นรอยยิ้มที่พึงพอใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ รบกวนม่อโฉวซือไท่ดูแลคุณหนูห้าให้ดี บ่าวขอตัวกลับไปรายงานภารกิจก่อนแล้วขอรับ”……ครั้งนี้เวินซื่อนอนหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆรอนางฟื้นคืนสติอีกครั้ง ก็เป็นช่วงบ่ายของวันที่สองแล้วมองดูสภาพแวดล้อม เหมือนยังอยู่ในอารามสุ่ยเยว่ขณะที่นางกำลังจะลุกขึ้น มีเสียงตำหนิที่เย็นชาดังมาจากประตู “อย่าขยับ นอนคว่ำอยู่อย่างนั้นแหละ”เมื่อเวินซื่อได้ยินก็รู้ว่าเป็นเสียงของม่อโฉวซือไท่ นางรีบนอนลงทันที ไม่กล้าขยับอีกหลังจากม่อโฉวเข้าไปก็เปลี่ยนยาที่แผลบนหลังให้นางก่อน“บาดแผลนี้ พ่อเจ้าเป็นคนตีหรือ?”เสียงของนางเย็นชามาก สีหน้าก็น่ากลัวมากเช่นกัน เวินซื่อกลัวจนยอมตอบแต่โ
“เจ้าบอกมาดีๆ สองวันก่อนเจ้าเข้าวังไปขอร้องฝ่าบาทใช่หรือไม่?!”ชุยเส้าเจ๋อกระโดดลงจากรถม้าด้วยความโมโห เดินเข้าไปตะคอกถามใส่หน้าเวินซื่ออย่างฉับไวเวินซื่อขมวดคิ้วเบาๆ “ข้าเข้าวังหลวงจริง แต่เกี่ยวอะไรกับ…”“ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าไม่มีทางละทิ้งความคิดชั่วๆ ของเจ้า!”เมื่อชุยเส้าเจ๋อได้ยินนางยอมรับ ก็ไม่รอให้นางกล่าวจนจบ และยังตะคอกใส่หน้านางด้วยสีหน้าเย็นชารังเกียจโดยตรง “เจ้าคิดว่าเจ้าไปขอร้องฝ่าบาท ก็ทำให้ข้ายกเลิกการถอนหมั้นได้แล้วหรือ? ข้าจะบอกให้นะ ไม่มีทาง!”“ข้าบอกแต่แรกแล้ว ชาตินี้ข้าชุยเส้าเจ๋อจะไม่แต่งงานกับผู้หญิงอำมหิตเยี่ยงเจ้าเด็ดขาด ต่อให้ฝ่าบาทมีพระราชโองการด้วยพระองค์เอง ข้าก็ไม่มีทางให้เจ้าสมใจ!”ในใจเวินซื่อหนาวเหน็บนางรู้สึกว่าชุยเส้าเจ๋อตลกมาก “ใช่ ข้าเข้าวังจริง แต่เจ้าเอาอะไรมาคิดว่าข้าเข้าวังเพราะเจ้า?”“เจ้ายังคิดจะแถอีก! เยวี่ยเอ๋อร์เล่าคำพูดที่เจ้าพูดกับนางให้ข้าฟังหมดแล้ว!”ขณะที่ชุยเส้าเจ๋อถามเวินซื่อ เวินเยวี่ยก็ลงมาจากรถม้าที่อยู่ข้างหลังเขาเวินเยวี่ยไม่อยู่บ้านสกุลเวิน กลับนั่งรถม้ากลับมากับชุยเส้าเจ๋อแทนมองปราดเดียวก็รู้ว่าไปหาชุยเส้าเจ๋อโด
สิ่งที่เวินเยวี่ยชอบไม่ได้พิศวาสตัวตนของชุยเส้าเจ๋อ แต่เป็นฐานะของเขาต่างหากชาติที่แล้วนางจำได้อย่างชัดเจน ต่อมาชุยเส้าเจ๋อเพราะไม่เห็นใครอยู่ในสายตา หลังจากล่วงเกินคนที่ไม่ควรล่วงเกินแล้ว ก็ถูกหักหาทั้งสองข้าง กลายเป็นคนพิการและก็เป็นครั้งนั้นเอง เวินเยวี่ยทิ้งเขาอย่างไม่ลังเล“พี่หญิงห้าไม่ต้องพูดแล้ว ท่านจะด่าก็ด่าข้าเถอะ อย่าด่าพี่เส้าเจ๋อได้หรือไม่?”เวินเยวี่ยรู้สึกว่าช่วงสองวันนี้ เวินซื่อเหมือนกินยาผิด ผิดปกติมากขึ้นทุกทีเมื่อเห็นนางยังคิดจะแฉตัวเอง เวินเยวี่ยใช้แผนซ้อนแผน แสร้งทำตัวน่าสงสารทันทีชุยเส้าเจ๋อหลงกลอย่างที่คาด“เจ้าเลิกมายุแยงพวกเราได้แล้ว!”ชุยเส้าเจ๋อไม่เชื่อคำพูดของเวินซื่อเลย เขาป้องเวินเยวี่ยไว้ข้างหลัง กล่าวด้วยความโกรธ “เยวี่ยเอ๋อร์ไม่เหมือนเจ้า นางเป็นคนจิตใจดีไร้เดียงสา และยิ่งไม่มีพิษมีภัย นางดีกว่าเจ้าเป็นพันเท่าหมื่นเท่า ผู้หญิงที่จิตใจอำมหิตเช่นเจ้าไม่มีวันเทียบนางได้!”เวินซื่อเหลือบเห็นอะไรบางอย่างอย่างตาดี ครู่ต่อมานางก็เหวี่ยงฝ่ามือไปหาชุยเส้าเจ๋ออีกครั้ง“เพียะ!”ตบซ้ายตบขวาข้างละที ตบจนชุยเส้าเจ๋อหน้าบวมคราวนี้ทำเอาชุยเส้าเจ๋อโกร
ทุกคนมองเวินซื่อที่อยู่ข้างหน้าสุดอย่างไม่กล้าเชื่อสายตาอย่าว่าแต่พวกเขาเลย แม้แต่เวินซื่อก็ตะลึงอยู่ตรงที่เดิมนางคิดไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะแต่งตั้งนางเป็น ‘ธิดาศักดิ์สิทธิ์’ตั้งแต่สถาปนาราชวงศ์ต้าหมิงจนถึงปัจจุบัน ไม่เคยมีธิดาศักดิ์สิทธิ์บัดนี้นางกลับเป็นคนแรกอีกทั้งยังมีฉายาว่า ‘ฝูหมิง’ชั่วขณะเวินซื่อที่เหม่อลอยลืมกระทั่งรับราชโองการแล้ว เต๋อกงกงเตือนนางด้วยรอยยิ้ม “ธิดาศักดิ์สิทธิ์รีบรับราชโองการเถอะ”รอหลังจากเวินซื่อขอบคุณและรับราชโองการมา ก็ถูกเต๋อกงกงประคองลุกขึ้นด้วยสองมือ “ต่อไปท่านคุกเข่าไม่ได้แล้ว นอกจากฟ้าดินก็มีแต่ฝ่าบาทกับพุทธองค์”ความหมายอีกนัยของคำพูดนี้ก็คือ ต่อไปเหนือนางมีแค่ฝ่าบาท ต่อให้เป็นเจิ้นกั๋วกงบิดาของนางอยู่ที่นี่ ก็ข่มนางไม่ลง“ขอบพระทัยฝ่าบาท เวินซื่อจะอธิษฐานขอพรให้บ้านเมืองด้วยความจริงใจ ไม่ให้ฝ่าบาทผิดหวังเด็ดขาด”หลังจากเต๋อกงกงเห็นนางเข้าใจแล้ว ก็กล่าว “ท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์เก็บสัมภาระก่อนเถอะ ต่อไปท่านจะย้ายไปอยู่อารามสุ่ยเยว่แล้ว ของบางอย่างที่ควรพกไม่ควรพก คิดว่าท่านก็น่าจะรู้ดี หลังจากนี้ครึ่งชั่วยามจะมีคนคุ้มกันส่งท่านไปจนถึงอารามสุ่
ดังนั้นหลังจากที่เวินเยวี่ยรู้ว่าเวินฉางอวิ้นกำลังจัดเตรียมงานศพ นางก็รู้สึกตกใจมาก ไม่คาดคิดเช่นกันว่านางเพิ่งจากไปเพียงไม่กี่วัน เวินฉางอวิ้นก็กลายเป็นแบบนี้ไปเสียแล้วแต่เวินจื่อเยวี่ยไม่รู้ว่านางตกใจเรื่องนี้ เข้าใจผิดนึกว่านางไม่รู้เรื่องอะไรจริง ๆแต่ในดอกไม้สามกระถางนั้นมีสองกระถางที่นางเป็นคนให้ และไม่รู้เช่นกันว่าดอกไม้นั้นมาจากไหนกันแน่ บางทีอาจถูกใครหลอกใช้ ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดจากบิดา เขาควรสืบหาความจริงให้กระจ่างก่อนแล้วค่อยบอกบิดาอีกครั้งดีกว่าหลังจากไตร่ตรองแล้วเวินจื่อเยวี่ยก็เอ่ยขึ้น “หมอเถื่อนข้างนอกพวกนั้น มองสถานการณ์ที่แท้จริงของพี่ใหญ่ไม่ออกด้วยซ้ำ ต่อมาลูกก็ไปเชิญหมอหลวงหลี่มา ถึงรู้ว่าถูกพิษมาตั้งแต่เมื่อไหร่”“ถูกวางยาพิษอีกแล้วหรือ?”ตอนนี้ทันทีที่เวินเฉวียนเซิ่งได้ยินว่า “ถูกวางยาพิษ” ก็กระวนกระวายใจเป็นอย่างมากในเวลาเพียงครึ่งปี ลูกชายทั้งหลายของเขาเกือบจะโดนวางยาพิษกันหมดทุกคนแล้วหากยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าวันไหนจู่ ๆ มีใครถูกพิษตายไปเขาก็คงไม่รู้ด้วยซ้ำสีหน้าของเวินเฉวียนเซิ่งดูเศร้าหมอง แม้ว่าเจ้าสี่และเวินเยวี่ยจะรู้จักยาพิ
“ท่านพ่อ รีบกลับไปเถอะ ลูกไม่อยากรออยู่ในนรกแห่งนี้อีกแล้วเจ้าค่ะ!”เวินเยวี่ยรีบวิ่งช้าบ้างเร็วบ้างออกไปข้างนอก เดิมทีคิดว่าน่าจะมีรถม้าคอยพวกเขาอยู่ข้างนอกแต่กลับพบว่าไม่มีใครอยู่ข้างนอกเลย“ให้ตายสิ พวกพี่ใหญ่ไม่รู้หรือว่าวันนี้พวกเราจะออกมา? ไม่รู้ว่าต้องมารับพวกเรา”เวลานี้เวินเยวี่ยเต็มไปด้วยความอัดอั้นตันใจ พอเห็นว่าไม่มีรถก็เอ่ยปากตัดพ้อทันทีเวินเฉวียนเซิ่งที่เดินตามมาชายตามองนางแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ “พี่สามของเจ้าถูกกักบริเวณ พี่สี่พักฟื้นขา พี่ใหญ่ของเจ้าช่วงนี้ก็ไม่ค่อยสบาย จะมารับพวกเราได้อย่างไร?”เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้เวินเยวี่ยถึงตระหนักได้ในที่สุด ก่อนจะเอ่ยด้วยความโมโห “ลูก...ลูกก็ลืมไปเหมือนกันนี่นา”ขณะที่นางพูดไปเช่นนี้ ความรู้สึกผิดก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าแวบหนึ่งนางเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ก่อนหน้านี้ได้ส่งกระถางดอกไม้สองใบไปให้พี่ใหญ่ เมื่อคำนวณเวลาดูแล้วน่าจะใกล้ถึงเวลาออกฤทธิ์แล้วหลังจากที่นางกลับไปก็จะใช้ยาถอนพิษกึ่งสำเร็จรูปที่แม่ของนางทิ้งไว้ให้ สุดท้ายค่อยลงมือช่วยชีวิตเวินฉางอวิ้นอีกครั้งแบบนี้พี่น้องสกุลเวินทั้งสามคนที่เหลือก็จะได้รับ “
“เจ้าว่าอะไรนะ? เข้าวัง?”เมื่อเวินซื่อได้ยินเรื่องนี้ หัวใจก็สั่นไหว“เจ้าจะเข้าวังไปเป็นพระสนมหรือ?”หลินเนี่ยนฉือเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นังเด็กแสบอย่าดูถูกข้านะ ข้าไม่ได้เข้าวังไปเป็นพระสนม แต่เข้าวังไปเป็นฮองเฮา”นางยิ้มตาหยี พูดกับเวินซื่อ “อีกไม่นานข้าจะเข้าวังไปเป็นฮองเฮาแล้ว ถึงเวลานั้นเจ้าเห็นข้าก็ต้องทำความเคารพข้าแต่โดยดี หากทำความเคารพไม่สวย ข้าจะให้เจ้าอุ่นเตียงนอนให้ข้า”เวินซื่อกลอกตาใส่นางอีกครั้ง “มาพูดเรื่องสำคัญดีกว่า อย่ามาดื้อกับข้า”“นี่ล่ะเรื่องสำคัญ ถูกต้องแล้ว”หลินเนี่ยนฉือกอดเวินซื่อที่ห่อตัวอยู่ในผ้าห่มกล่าวว่า “หลังจากที่สกุลหลินของเราถูกโยกย้ายออกไปแล้ว อิงจากเวลาโยกย้าย หากต้องการกลับเมืองหลวงให้เร็วขึ้นก็ต้องมีโอกาส มิฉะนั้นก็ต้องรอไปอย่างน้อยสิบถึงยี่สิบปี จนกว่าพ่อของข้าจะเข้ารับตำแหน่ง สร้างผลงานให้เฉิดฉายต่อหน้าฝ่าบาท ถึงจะสามารถถูกโยกย้ายกลับมา แต่สกุลหลินของเราไม่อาจรอได้นานขนาดนั้น”“เจ้าก็รู้ว่า เมืองหลวงนั้นมีแต่การแย่งชิง เวลานี้ฝ่าบาทยังเยาว์นัก ถึงเวลาขอกำลังคนช่วยเหลือแล้ว หากสกุลหลินของเราไม่กลับให้เร็วกว่านี้ ก็อย่าพูดถึงการรอคอยยี่สิบปี
“มาโดนจั๊กจี้จากข้าสักที!”“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ผิดไปแล้ว ผิดไปแล้ว ธิดาศักดิ์สิทธิ์โปรดให้อภัยข้าน้อยด้วย ต่อไปข้าน้อยไม่กล้าอีกแล้ว! ฮ่า ๆ ๆ ๆ...”หลินเนี่ยนฉือไม่เกรงกลัวอะไรเลย ยกเว้นการจั๊กจี้ของเวินซื่อทั้งสองหัวเราะร่วนด้วยกันอีกครั้งในทันทีเสียงหัวเราะแห่งความสุขดังไปทั่วเรือนเล็กจู๋เยวี่ยที่ยอดหลังคามองดูครู่หนึ่งด้วยควากอยากรู้อยากเห็น จากนั้นก็ถอนสายตากลับช่างเถอะ ๆ ไม่อยากดูทั้งสองคนในห้องเริ่มคุยกันอีกครั้งหลินเนี่ยนฉือเพียงแค่เคยได้ยินมาก่อน ตอนนี้มาถึงเรือนของเวินซื่อแล้ว แน่นอนว่านางต้องการฟังเวินซื่อพูดเรื่องนั้นด้วยตัวเองนางแค่ต้องการรับรู้ ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมาอาซื่อมีเรื่องคับข้องใจแค่ไหนนางไม่เคยรู้เลยแม้แต่นิดเดียวเวินซื่อที่ไม่อาจขัดใจนางได้จึงต้องเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงหกเดือนที่ผ่านมาอย่างช้า ๆตั้งแต่เวินเยวี่ยถูกเวินเฉวียนเซิ่งพาเข้ามาในสกุลเวิน ทีละเรื่อง ทีละอย่างเมื่อพูดถึงตอนสุดท้ายสีหน้าของหลินเนี่ยนฉือก็ดำทะมึนเป็นก้นหม้อ ตบแผ่นกระดานเตียงของเวินซื่อดัง “ปัง” จนแทบจะพังลง จากนั้นหลินเนี่ยนฉือก็เด้งขึ้นจากเตียง หยิบเสื้อผ้าออกมาสวมใส่พลาง
หมอหลวงหลี่ ท่านกำลังพูดเรื่องอะไร? ดอกไม้พวกนี้จะมีพิษได้อย่างไร?”เวินจื่อเยวี่ยเกือบคิดว่าเป็นภาพหลอนของตัวเองเสียแล้วแต่หมอหลวงหลี่ยังคงยืนยันว่า “คุณชายสามสกุลเวิน ข้ามองไม่ผิดแน่ แม้ว่าจะไม่รู้ว่านี่คือดอกไม้ชนิดใด แต่กลิ่นหอมของดอกไม้นี้ดูเหมือนจะเป็นยาพิษร้ายแรงประเภทกล่อมประสาท หลังจากได้กลิ่นหอมของดอกไม้เป็นเวลานาน พิษนี้จะค่อย ๆ ซึมเข้าสู่ร่างกายของคุณชายใหญ่ ทั้งหมดสามต้น พิษรุนแรงขึ้นสามเท่า ไม่แปลกใจที่ร่างกายของคุณชายใหญ่จะทรุดลงอย่างรวดเร็วเช่นนี้”หลังจากฟังเขาพูดจนจบ สีหน้าของเวินจื่อเยวี่ยก็บึ้งตึงไม่รู้ว่าทำไม แต่เขานึกถึงเป็ดทอดกรอบที่เวินจื่อให้เขากินเมื่อตอนนั้นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกไม่ ๆ ๆ เป็นไปไม่ได้เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน น้องหกได้อธิบายให้เขาฟังตั้งแต่แรกแล้วว่า นางวางยาพิษตัวเองเพียงเพราะความโกรธและหวาดกลัว ในเมื่อพี่ใหญ่ไม่เคยเปิดเผยภูมิหลังของนาง จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไปยั่วยุน้องหกได้ น้องหกมีเหตุผลอะไรถึงต้องวางยาพิษพี่ใหญ่ด้วย?ช้าก่อน เวินจื่อเยวี่ยนึกอะไรออกทันใดเขามองไปที่อันเซิ่งอย่างดุดัน “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าอีกกระถางหนึ่งเป็นของใครนะ?”
ประการแรกคือพูดไม่ออกจริง ๆ และประการที่สองก็คือไม่มีแรงจะโน้มน้าวแล้วเขาเพิ่งโบกมือหย็อย ๆ ตรงหน้าก็มืดลง หมดสติไปอีกครั้ง“พี่ใหญ่?!”เวินจื่อเยวี่ยที่เห็นเวินฉางอวิ้นหมดสติอย่างกะทันหันเป็นครั้งแรกก็ตกใจทันใด เมื่อเขาพลิกตัวกลับมา หลังจากเห็นใบหน้าซีดเผือดราวกับคนตาย เขาก็ยิ่งหวาดกลัวมากขึ้นเกิดอะไรขึ้น?พี่ใหญ่ป่วยเป็นอะไรกันแน่?เหตุใดถึงดูอ่อนแอเพียงนี้?!หลังจากที่หมอมาถึงและตรวจอาการของเวินฉางอวิ้นแล้ว ก็ขมวดคิ้วส่ายหน้า ก่อนจะเอ่ยกับเวินจื่อเยวี่ยประโยคหนึ่ง “เตรียมตัวจัดงานศพโดยเร็วที่สุดเถอะ”“ท่านว่ายังไงนะ?!”เวินจื่อเยวี่ยตกใจหน้าถอดสีทันที “อะไรคือเตรียมงานศพ? พี่ชายของข้าแค่ป่วยเท่านั้น ท่านไม่รักษาเขาให้ดี ๆ ก็ยังพอทน แต่ยังกล้าสาปแช่งเขาอีกหรือ?!”หมอชราผู้นั้นรีบบอกว่า “ไม่ใช่ว่าข้าไม่ยอมช่วย แต่คุณชายใหญ่สกุลเวินป่วยหนักจนหมดทางรักษา ข้าไร้เรี่ยวแรงที่จะพลิกสถานการณ์ได้แล้ว”“หากคุณชายสามไม่เชื่อ ก็ลองหาคนอื่นที่เก่งกว่าข้า หาคนอื่นที่เก่งกว่าข้ามาก็แล้วกัน”จากนั้นหมอชราก็สะพายล่วมยาวิ่งหนีไปทิ้งเวินจื่อเยวี่ยไว้ให้อยู่ตามลำพังหน้าเตียงของเวินฉางอว
สุดท้าย เวินจื่อเยวี่ยก็ยังยืนกรานปฏิเสธที่จะพิมพ์ลายนิ้วมือลงบนจดหมายถอนหมั้นหลินเนี่ยนฉือไม่อยากเสียเวลากับเขาอีกต่อไป รู้สึกว่าพูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ เสียเวลาในการตามอาซื่อกลับไปรำลึกความหลัง ดังนั้นจึงตามเวินซื่อกลับไปที่อารามสุ่ยเยว่ทันทีเมื่อเห็นหลินเนี่ยนฉือพาเวินซื่อออกไปโดยไม่เหลียวหลัง เวินจื่อเยวี่ยก็รู้สึกคับข้องใจเป็นอย่างมากมองดูพวกนางจากไปตาปริบ ๆ เวินจื่อเยวี่ยกำหมัดแน่น ก่อนจะหันหลังไปเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน“แค่ก ๆ ๆ…”ในขณะนี้จู่ ๆ เขาก็ได้ยินเสียงไอดังมาจากด้านข้าง เมื่อหันไปมองก็เห็นเวินฉางอวิ้นปิดปากไออย่างรุนแรง“พี่ใหญ่ ท่านป่วยเป็นอะไร ทำไมถึงไอหนักขนาดนี้...พี่ใหญ่?!”เวินจื่อเยวี่ยเพิ่งก้าวขึ้นหน้าไปเพื่อช่วยตบหลังให้เวินฉางอวิ้น แต่วินาทีต่อมาก็เห็นเวินฉางอวิ้น “ไอเป็นเลือด”!“พี่ใหญ่ ท่านเป็นอะไรไป?! รีบตามหมอมาที รีบไปตามหมอมา!”เมื่อเวินจื่อเยวี่ยเห็นเลือดเต็มมือเวินฉางอวิ้น รูม่านตาก็หดตัวลงทันใด ตะโกนลั่นไม่หยุดอย่างร้อนอกร้อนใจในเวลานี้เวินฉางอวิ้นกลับคว้ามือของเขาไว้ พลางส่ายศีรษะด้วยใบหน้าซีดเผือด “ไม่ ไม่ต้องตามหมอ…”“ไม่ต้องตามหมอหมายค
เห็นแล้วหลินเนี่ยนฉือก็ตื่นเต้นดีใจยิ่งขึ้น อดไม่ใจไม่ไหวจริง ๆ พลางยื่นมือออกไปลูบคลำเวินซื่อพักหนึ่งเวินซื่อ “…”“ผัวะ!”นางยกมือขึ้นตบอีกครั้ง ปัดมือของใครบางคนที่รุ่มร่ามอยู่บนตัวนางออกไป “ยืนนิ่ง ๆ ห้ามมือไม้อยู่ไม่สุข”หลินเนี่ยนฉือเอ่ยเสียง “อ้อ” แล้วเบะปากไม่พูดอะไรอีกท่าทางสนิทชิดเชื้อของทั้งสองเวินจื่อเยวี่ยเห็นแล้วไฟโทสะก็ยิ่งทวีมากขึ้น “หญิงสองคนยื้อยุดฉุดกระชากกันไม่เข้าท่าเลย เห็นแล้วน่าสะอิดสะเอียนจริง ๆ”ทันทีที่เขาพูดออกมาเช่นนี้ ก็ถูกทั้งเวินซื่อและหลินเนี่ยนฉือถลึงตาใส่ทันที“คนที่มีจิตใจสกปรกเห็นอะไรก็สกปรกไปหมด มิตรภาพระหว่างข้ากับอาซื่อยาวนานกว่าสิบปีเต็ม ๆ ใกล้ชิดกันบ้างจะเป็นไรไป เกี่ยวอะไรกับคนนอกอย่างท่านด้วย?”หลินเนี่ยนฉือดูหมิ่นเขาอย่างแรงเสียยกใหญ่เวินซื่อกลับดูมีสีหน้าเฉยชา “ข้าไม่ได้เป็นคนของจวนเจิ้นกั๋วกงของพวกท่าน และไม่ใช่คราวของพวกท่านจวนเจิ้นกั๋วกงที่จะมาจัดการ”ความหมายโดยนัยก็คือ…ยุ่งเรื่องคนอื่น!“พี่ใหญ่ ท่านดูนังเด็กแสบสองคนนี่สิ พวกนางกำลังจะทะเลาะกันครึกโครมแล้ว ท่านจะไม่พูดอะไรเพื่อช่วยน้องชายสักคำหรือ?!”เดิมทีเวินจื่อเยวี่ยต
“อาซื่อ!”ดวงตาของหลินเนี่ยนฉือเป็นประกายขึ้นมาทันที พุ่งตัวเข้าไปหาเวินซื่อซึ่งกำลังก้าวเท้าเดินเข้ามาด้วยความดีใจ“อ๊ะ เดี๋ยวก่อน!”พอเวินซื่อเห็นท่าทางยกมือของนาง ก็พลันนึกบางอย่างขึ้นมาได้ สีหน้าจึงเปลี่ยนไปวินาทีต่อมา นางยังไม่ทันได้ห้าม ก็ถูกหลินเนี่ยนฉือคว้าเอวแล้วยกตัวขึ้นกอด จากนั้นก็หมุนตัวอยู่กับที่หลายรอบ จนเวินซื่อตาลาย“ฮ่าๆ ฮ่าๆ อาซื่อ ในที่สุดก็ได้เจอเจ้าแล้ว! แยกกันนานขนาดนี้ข้าคิดถึงเจ้าใจจะขาดแล้ว เจ้าคิดถึงข้าบ้างหรือไม่ รีบพูดเร็วเข้า ถ้าไม่พูดข้าจะไม่ปล่อยเจ้าลง!”ความรู้สึกที่คุ้นเคย คนที่คุ้นเคยเวินซื่อโอบคอของหลินเนี่ยนฉือไว้ รีบเอ่ยขึ้น “คิดถึง คิดถึงสิ ต้องคิดถึงเจ้าอยู่แล้ว ดังนั้นรีบปล่อยข้าลงเถอะ หากเจ้าหมุนอีกสักสองรอบ ข้าได้อาเจียนออกมาจริงๆ แน่!”ปรากฏว่าหลินเนี่ยนฉือกลับหัวเราะเสียงดังพลางกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นก็หมุนอีกรอบ!”จากนั้นก็ยกเวินซื่อขึ้นหมุนอีกรอบหนึ่งด้วยความตื่นเต้น ไม่มากไม่น้อย กำลังพอดีทำให้นางพอใจ หมุนจนนางเวียนหัวตอนที่เท้าของเวินซื่อเหยียบลงถึงพื้น ขาก็อ่อนแรงไปหมดไม่ได้ถูกหลินเนี่ยนฉือจับหมุนเช่นนี้มานานแล้ว พอจู่ๆ ต