ทุกคนมองเวินซื่อที่อยู่ข้างหน้าสุดอย่างไม่กล้าเชื่อสายตาอย่าว่าแต่พวกเขาเลย แม้แต่เวินซื่อก็ตะลึงอยู่ตรงที่เดิมนางคิดไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะแต่งตั้งนางเป็น ‘ธิดาศักดิ์สิทธิ์’ตั้งแต่สถาปนาราชวงศ์ต้าหมิงจนถึงปัจจุบัน ไม่เคยมีธิดาศักดิ์สิทธิ์บัดนี้นางกลับเป็นคนแรกอีกทั้งยังมีฉายาว่า ‘ฝูหมิง’ชั่วขณะเวินซื่อที่เหม่อลอยลืมกระทั่งรับราชโองการแล้ว เต๋อกงกงเตือนนางด้วยรอยยิ้ม “ธิดาศักดิ์สิทธิ์รีบรับราชโองการเถอะ”รอหลังจากเวินซื่อขอบคุณและรับราชโองการมา ก็ถูกเต๋อกงกงประคองลุกขึ้นด้วยสองมือ “ต่อไปท่านคุกเข่าไม่ได้แล้ว นอกจากฟ้าดินก็มีแต่ฝ่าบาทกับพุทธองค์”ความหมายอีกนัยของคำพูดนี้ก็คือ ต่อไปเหนือนางมีแค่ฝ่าบาท ต่อให้เป็นเจิ้นกั๋วกงบิดาของนางอยู่ที่นี่ ก็ข่มนางไม่ลง“ขอบพระทัยฝ่าบาท เวินซื่อจะอธิษฐานขอพรให้บ้านเมืองด้วยความจริงใจ ไม่ให้ฝ่าบาทผิดหวังเด็ดขาด”หลังจากเต๋อกงกงเห็นนางเข้าใจแล้ว ก็กล่าว “ท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์เก็บสัมภาระก่อนเถอะ ต่อไปท่านจะย้ายไปอยู่อารามสุ่ยเยว่แล้ว ของบางอย่างที่ควรพกไม่ควรพก คิดว่าท่านก็น่าจะรู้ดี หลังจากนี้ครึ่งชั่วยามจะมีคนคุ้มกันส่งท่านไปจนถึงอารามสุ่
“เวินจื่อเฉิน ท่านนับได้อย่างชัดเจนหรือไม่ว่าตลอดครึ่งปีที่ผ่านมาท่านลงมือกับข้าไปกี่ครั้งแล้ว?”เวินจื่อเฉินกล่าวโต้แย้งทันที “นั่นถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าต้องทำตัวเป็นศัตรูกับน้องหกให้ได้หรือ น้องหกเป็นน้องสาวคนเล็ก ข้าย่อมต้องปกป้องนาง!”เวินซื่อผิดหวังอีกครั้งนางกำลังจ้องเวินจื่อเฉิน กล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “แต่ข้าก็เป็นน้องสาวของพวกท่านเช่นกัน”พวกเขาเกือบจะลืมไปแล้ว ก่อนหน้าที่เวินเยวี่ยจะมาตระกูลเวิน น้องสาวคนเล็กของตระกูลก็คือนาง!เวินซื่อที่เจ็บช้ำน้ำใจอย่างหนักมานานไม่อยากจะพูดกับพวกเขาให้มากความอีก หลังจากพูดประโยคนั้นจบ นางก็หันหลังกลับแล้วเดินออกจากที่นี่ กลับห้องไปจัดการเก็บกวาดเวินฉางอวิ้นและคนอื่น ๆ ที่ยังอยู่ที่เดิมมองไปทางเวินจื่อเฉินพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายเวินฉางอวิ้นเอ่ยปากพูดอย่างไม่เห็นด้วย “พี่รอง ช่วงนี้ท่านลงมือกับน้องห้าบ่อยจริง ๆ ครั้งก่อนในพิธีปักปิ่นก็เหมือนกัน ท่านไม่สนใจกาลเทศะเลยสักนิด ตบหน้าน้องห้าจนแดงขนาดนั้น”“นั่นยังไม่ใช่เพราะว่า...เพราะว่า...”เวินจื่อเฉินอยากจะออกมาพูดว่าเป็นความผิดของเวินซื่ออีกแบบไม่รู้ตัวแต่ครั้งนี้หลังจากที่เขาเอ่ยปาก
เวินจื่อเฉินพวกเขาอยากจะเยี่ยมเวินซื่อ แต่เวินซื่อกลับไม่อนุญาตให้พวกเขาเข้าไปในห้องของนาง“ปัง” หลังจากมีเสียงปิดประตูดังขึ้น นางก็รีบนำสิ่งของทั้งหมดในห้องที่เป็นของนางเก็บเข้าไปในมิติน่าเสียดายที่พวกเขาอยู่ด้านนอก ไม่อย่างนั้นนางยังอยากจะไปที่ห้องของท่านแม่ถึงแม้ว่าท่านแม่จะจากไปหลายปีแล้ว แต่ห้องของนางยังคงอยู่ จะมีคนเข้าไปทำความสะอาดทุกวันและคนที่จัดการเรื่องทั้งหมดนี้ก็คือท่านพ่อของนางเมื่อชาติก่อน เป็นเพราะเรื่องพวกนี้นางจึงไม่เคยสงสัยในความสัมพันธ์ของเวินเฉวียนเซิ่งและเวินเยวี่ยเลยสักนิดนางคิดว่าเวินเยวี่ยเป็นดั่งที่ท่านพ่อพูดแบบนั้นจริง ๆ เป็นเพียงบุตรสาวของผู้มีพระคุณของเขาจนกระทั่งต่อมาเวินเยวี่ยเปิดเผยตัวตนอย่างลำพองใจต่อหน้าของนาง นางถึงได้รู้ว่าตนกับท่านแม่ต่างก็ถูกคำหลอกลวงของท่านพ่อต้มเข้าให้แล้ว!เวินเยวี่ยไม่ใช่บุตรสาวของผู้มีพระคุณอะไรเลย แต่เป็นบุตรสาวของเวินเฉวียนเซิ่งกับอดีตนางในดวงใจคนนั้นของเขาต่างหาก!สิ่งที่ทำให้นางโมโหที่สุดก็คือ นางยังเป็นคนสุดท้ายที่รู้ความจริงเรื่องนี้พวกพี่ชายของนางรู้เร็วกว่านาง กลับไม่มีใครโกรธแค้นแทนท่านแม่เลยสักคน ในท
แม้ว่าเมื่อหลายปีก่อนตอนที่ครั้งหนึ่งเขาป่วยหนักไข้สูงจนนอนซมอยู่บนเตียง นางเคยเฝ้าเขาอยู่สามวันสามคืนเต็ม ๆ จนกระทั่งเขาไข้ลดฟื้นขึ้นมาถึงได้กลับไปพักผ่อนเวินเยวี่ยจ้องมองเวินอวี้จือเดินจากไป แสยะยิ้มที่มุมปากด้วยความลำพองใจอย่างยากที่จะสังเกตเห็นถึงแม้จะไม่รู้ว่าเวินซื่อนั่นใช้กลอุบายอะไรไปทูลขอสถานะนักบุญหญิงจากฝ่าบาท แต่ขอเพียงคนของสกุลเวินพวกนี้ยังถูกควบคุมอยู่ในมือของนาง จะมีอะไรที่นางไม่สามารถได้มาครองกันล่ะ?ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งนักบุญหญิงของเวินซื่อ ในที่สุดก็จะต้องเป็นของนางเวินเยวี่ยอยู่ดี!เมื่อคิดเช่นนี้ ความริษยาภายในใจของเวินเยวี่ยก็ลดลงไปบางส่วนแต่ว่าตอนนี้ นางจะต้องรู้ให้แน่ชัดก่อนว่าเวินซื่อใช้วิธีการใดในการเกลี้ยกล่อมฝ่าบาทหรือว่าบนตัวของนางยังมีความลับอะไรที่ตนไม่รู้อีก?เวินเยวี่ยเม้มริมฝีปาก ดวงตามีความเกลียดชังปรากฏขึ้นแวบหนึ่งในเวลานี้ จู่ ๆ เวินซื่อก็เปิดประตูออกมาหลังจากปิดประตูแล้วก็หันหลังแล้วเดินออกไปทันทีโดยไม่แม้แต่มองพวกเขาสักแวบทันทีที่เวินจื่อเฉินเห็นยังนึกว่านางกำลังจะหนี รีบเข้าไปขวางนางเอาไว้ “หยุดนะ เจ้าคิดจะไปไหน ข้าขอบอกเจ้านะเวินซ
เวินซื่อหลุบตาลง เหมือนกับว่าหัวเราะเยาะตนเอง “ใช่สิ เป็นเพราะเหตุใดกันแน่นะ?”“คำตอบของคำถามข้อนี้ทุกคนล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจ หรือว่าท่านพ่อไม่รู้อย่างนั้นหรือ?”นัยน์ตาของเวินเฉวียนเซิ่งมีความไม่พอใจปรากฏขึ้นแวบหนึ่ง “เวินซื่อ ข้าจะพูดอีกรอบ เจ้าอย่าก่อเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ขึ้นอีก ไม่เช่นนั้นครั้งนี้ข้าอาจจะไม่ปล่อยเจ้าไปง่าย ๆ แน่”“ถ้าข้าจะก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นอีกล่ะ?เมื่อเวินซื่อได้ยินประโยคนี้ก็เงยหน้าขึ้นมาทันที สบตากับเวินเฉวียนเซิ่งตรง ๆ อย่างไม่มีความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย “ท่านยังคิดจะทำอย่างไรอีก? ถ้าเฆี่ยนห้าสิบทีไม่พอ เช่นนั้นก็หนึ่งร้อยที? ถ้าหนึ่งร้อยทียังไม่พออีกละก็ เช่นนั้นท่านก็ตีข้าให้ตายไปเลยเป็นอย่างไร?”“เวินซื่อ”“ท่านพ่อ”เวินจื่อเฉินกับเวินฉางอวิ้นส่งเสียงออกมาพร้อมกันเวินจื่อเฉินคิดไม่ถึงว่าวันนี้เวินซื่อจะเป็นเหมือนกับคนเสียสติไปแล้วอยากจะเอาคืนเขาก็ช่างเถอะ ไม่คิดเลยว่ายังจะทำตัวท้าทายเช่นนี้ต่อหน้าท่านพ่ออีก!นางอยากรนหาที่ตายใช่หรือไม่?ถึงแม้ว่าเวินฉางอวิ้นเองก็รู้สึกว่าเวินซื่อจะทำตัวเหลวไหลเกินไปแล้วจริง ๆ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่สามารถให้ท่านพ่
แต่ชุยเส้าเจ๋อกลับคิดว่านางกำลังปากแข็ง “ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะอธิบายอย่างไร เจ้าทำเพื่อให้ข้ารู้ถึงใจจริงของเจ้า จงใจไปที่ภูเขาหนาน ให้พวกสหายฉีที่สนิทกับข้าเห็นเจ้าเดินหนึ่งก้าวคุกเข่าหนึ่งทีโขกหัวหนึ่งหนขึ้นเขา? หรือว่าเรื่องพวกนี้ไม่ใช่แผนการของเจ้า?”เวินจื่อเฉินสีหน้าเต็มไปด้วยความงุนงง “ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะทำเพื่อเขาถึงขั้นนี้?”หลังจากที่เวินเยวี่ยอึ้งไปครู่หนึ่ง ในไม่ช้าก็ได้สติกลับคืนมา ทำเป็นพูดด้วยความโศกเศร้าเสียใจ “ทั้งหมดต้องโทษข้า เป็นเพราะคืนนั้นข้าไม่ได้รับปากพี่หญิง พี่หญิงถึงได้ทรมานตนเองเช่นนี้เพื่อพี่เส้าเจ๋อ”คนอื่นถูกคำพูดของเวินเยวี่ยชักจูงในทันที“เวินซื่อ เพื่อผู้ชายคนหนึ่ง เจ้าถึงกับจะเป็นจะตายเช่นนี้ ถึงขั้นที่ไม่สนใจชื่อเสียงของสกุลเวิน?”“เวินซื่อ ถ้าหากเจ้านึกเสียใจแล้วจริง ๆ แล้วเหตุใดจึงไม่รีบพูดออกมาแต่แรก?”“เจ้ามีเรื่องอะไรจะบอกกับพวกข้าไม่ได้หรือ?”“เรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งแค่นี้ เจ้าถึงกับต้องทำจนทุกคนรู้ให้ได้หรือ?”เหล่าพี่น้องตระกูลเวินพากันเริ่มพูดจาสั่งสอนเวินซื่อเหล่าคุณชายซึ่งมีคุณชายฉีเป็นผู้นำและอยู่ด้านข้างในตอนนี้ เดิมทีแค่อยากจะให้
ชุยเส้าเจ๋อถูกต่อยหนึ่งทีโดยไม่ทันระวังตัวคนที่อยู่ข้าง ๆ ตกตะลึงโดยไม่มีใครช่วยดึงเวินจื่อเฉินเอาไว้เลยสักนิดอย่าว่าแต่บรรดาพี่น้องสกุลเวิน แม้แต่บรรดาคุณชายที่อยู่ข้าง ๆ เมื่อได้ยินคำพูดพวกนั้นของเขาต่างก็รู้สึกว่าเลยเถิดให้บุตรสาวทั้งสองของตระกูลเจิ้นกั๋วกงผู้สง่าผ่าเผยแต่งงานกับชุยเส้าเจ๋อ เขากล้าฝันหวานขนาดนี้ได้อย่างไรกัน?ตอนที่เขาพูดประโยคเหล่านั้นออกมา เขาไม่เห็นสีหน้าของเจิ้นกั๋วกงหรืออย่างไรว่าดำอย่างกับหมิ่นก้น?!ถ้าหากไม่ใช่ว่ามีความเกี่ยวข้องเป็นลุงกับหลานกันอยู่ เกรงว่าเจิ้นกั๋วกงคงจะเอาเขาตายไปแล้ว!แต่ว่าต่อให้เวินเฉวียนเซิ่งอดทนได้ พวกเวินจื่อเฉินก็คงอดทนไม่ไหวเวินฉางอวิ้นกลับไม่ได้ลงมือ แต่ตอนที่เวินจื่อเฉินลงมือ เวินจื่อเยวี่ยได้เข้าไปแสร้งทำเป็นดึงเอาไว้ แต่อันที่จริงกลับแอบลงมือลับ ๆผ่านไปสักพัก สิ่งที่น่าตกตะลึงคือชุยเส้าเจ๋อถูกทำร้ายจนใบหน้าปูดบวมเขียวช้ำ ปวดร้าวไปทั้งตัวคุณชายฉีและคนอื่น ๆ จ้องมองพร้อมกับยิ้มแหย ๆ รู้สึกขึ้นมาทันทีว่าที่นี่ไม่เหมาะที่จะอยู่นานเกรงว่าเพลิงโทสะของเจิ้นกั๋วกงจะลามมาถึงตน ด้วยเหตุนี้จึงรีบบอกลาเวินเฉวียนเซิ่ง ก่อนจ
ผ่านไปไม่นานนัก เวินซื่อก็ถูกพวกเขาไล่ตามทันจนได้“น้องห้า เลิกเอาแต่ใจตัวเองได้แล้ว”“ถ้าไม่อยากยั่วให้ท่านพ่อโมโหอีก ทางที่ดีเจ้าจงกลับไปอย่างว่าง่าย”เวินจื่อเฉินกับเวินจื่อเยวี่ยขวางนางเอาไว้หน้าคนหลังคนเวินเฉวียนเซิ่งออกคำสั่งเสียงเย็นชา “พาตัวไปแล้วขังเอาไว้ให้ดี ไม่มีคำสั่งของข้า ใครก็ห้ามปล่อยนางออกมา!”ในเวลานี้เอง ทันใดนั้นก็มีเสียงทุ้มต่ำและเกียจคร้านเสียงหนึ่งแว่วมาจากทางประตูใหญ่ “วันนี้จวนเจิ้นกั๋วกงช่างครึกครื้นยิ่งนัก”เมื่อทุกคนได้ยินเสียงก็หันหน้าไปมอง เห็นผู้ชายผมสีเงินหน้าตาหล่อเหลาราวกับเทพบุตรคนหนึ่งพากองทัพธงดำหลายนายก้าวเท้าเข้ามาในจวนกั๋วกง หรี่ดวงตาหงส์ กวาดสายตามองเวินเยวี่ยและคนอื่น ๆ ด้วยสายที่เต็มไปด้วยอำนาจเป่ยเฉินหยวนถาม “กำลังทำอะไรกันอยู่หรือ?”เวินฉางอวิ้นสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย พากันดึงเวินซื่อกับเวินเยวี่ยให้คุกเข่าทำความเคารพ“คารวะท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน”เวินเยวี่ยจ้องเป่ยเฉินหยวนตรง ๆ ดวงตาเปล่งประกายแวววาวเวินเฉวียนเซิ่งไม่ได้ทำความเคารพ เพียงแค่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยปากพูด “ที่แท้ก็เป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนมาเยือน แต่ว่าวั
ในฐานะบุตรสาวแห่งภรรยาเอกแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง เวินซื่อย่อมรู้จักของเหล่านี้อยู่แล้วและนางไม่เพียงแต่รู้จักเท่านั้น แต่เมื่อก่อนยังเคยใช้บ่อย ๆ อีกด้วยเพราะหลังจากที่มารดาล่วงลับไป จวนเจิ้นกั๋วกงก็มีนางเป็นบุตรสาวคนเดียว ดังนั้นในเวลานั้นเมื่อเวินเฉวียนเซิ่งได้รับสิ่งใดมาก็ตาม ก็จะมอบให้กับนางโดยตรงแต่ต่อมาเมื่อมีเวินเยวี่ยเข้ามาในสกุลเวินเวินเยวี่ยแค่เอ่ยคำเดียวว่าชอบ ปริมาณยาหยกหิมะที่ส่งมาที่ห้องนางก็ลดลงจากสามขวด สองขวด หนึ่งขวด จนสุดท้ายก็ไม่เคยได้รับมันอีกเลยในเวลานั้นเวินซื่อที่ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลยก็วิ่งไปหาเวินเฉวียนเซิ่งโดยตรงเพื่อถามบิดาของตนว่า ทำไมถึงมอบยาหยกหิมะแก่เวินเยวี่ย แต่นางกลับไม่มีสักขวดเลย?เวลานั้น ‘บิดาแสนดี’ พูดว่าอย่างไรนะ?เวินซื่อลองนึกดูสักครู่ใช่แล้ว ตอนนั้นเขาขมวดคิ้วพร้อมกับพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เพราะนางเป็นน้องสาวของเจ้า นางต้องลำบากลำบนมากมายตั้งแต่เด็ก เจ้าเป็นพี่สาวจะยอมเอื้อเฟื้อหน่อยไม่ได้หรือ?”ด้วยคำว่า ‘พี่สาว’ นำหน้า เวินซื่อจึงต้องยอมแม้ว่าในใจจะรู้สึกคับข้องเพียงใดก็ตามนางในเวลานั้นยังมีความคิดอย่างไร้เดียงสา...ช่างมันเถอะ
เวินหย่าลี่ที่แน่ใจแล้วว่าโจรที่ขโมยยาหยกหิมะไปคือเวินซื่อโกรธจัดจนด่าทอเสียงดัง...“โชคดีที่นางได้รับการแต่งตั้งจากฝ่าบาทให้เป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ฝูหมิงอะไรไปบวชชีที่อารามแม่ชี อ้างว่ากำลังฝึกบำเพ็ญสวดขอพร ผลปรากฏว่าได้เรียนรู้วิธีลักเล็กขโมยน้อยแทน อับอายขายหน้าเป็นที่สุด!”“พี่ใหญ่พูดถูกจริง ๆ ทำเรื่องอัปยศอดสูเช่นนี้ สมควรแล้วที่จะถอดแซ่เวินออกจากนาง ไม่ให้นางกระทำการในนามของสกุลเวินอีกในอนาคต เพื่อไม่ให้ชื่อเสียงของจวนเจิ้นกั๋วกงต้องแปดเปื้อนเสียหาย”“ท่านแม่ ไม่ใช่เวินซื่อ...”ชุยเส้าเจ๋อไม่นึกเลยว่าเวินหย่าลี่จะสงสัยเวินซื่อโดยไม่ลังเลแม้แต่นิดเขาเอ่ยปากอย่างยากลำบาก คิดว่าควรล้างมลทินให้เวินซื่อสักหน่อยถึงจะถูกแต่พูดไปเพียงไม่กี่คำ กลับพูดต่อไปไม่ได้ขึ้นมาอย่างกะทันหันถ้าจะล้างมลทิน เขาก็ต้องบอกมารดาสิว่า ยาหยกหิมะสามขวดนั่นเขามอบให้น้องหญิงเยวี่ยเอ๋อร์ไปหมดแล้ว?หากมารดาของเขานึกว่าน้องหญิงเยวี่ยเอ๋อร์ยุยงแล้วเขาจะทำอย่างไร?มารดาของเขาจะไม่หันกลับมาด่าทอน้องหญิงเยวี่ยเอ๋อร์เหมือนกับที่ด่าทอเวินซื่อในตอนนี้หรือ?อาจเป็นไปได้ด้วยซ้ำว่าพอรู้เรื่องนี้แล้วต่อไปมารดาของเ
ยาหยกหิมะนี้เป็นของเชื้อพระวงศ์ใช้กันในวัง ขวดเล็ก ๆ เพียงขวดเดียวก็มีมูลค่าสูงมากครอบครัวขุนนางธรรมดาและประชาชนทั่วไปไม่สามารถใช้ได้ นอกจากเหล่านางสนมจะพระราชทานเป็นรางวัลให้เท่านั้น ครอบครัวขุนนางระดับล่างและเหล่านางในถึงจะมีสิทธิ์ใช้เวินหย่าลี่อาศัยบารมีพี่ใหญ่ของนาง บวกกับสามีในฐานะจงหย่งโหวซึ่งในมือกุมอำนาจที่แท้จริง ดังนั้นไทเฮาจึงเรียกนางเข้าวังอยู่เป็นครั้งคราว ประทานของอย่างยาหยกหิมะอยู่ไม่น้อยทั้งสามขวดนี้คือของดีที่องค์ไทเฮาได้ประทานให้นาง เมื่อตอนที่นางเข้าวังคราวก่อนแม้แต่เวินหย่าลี่เองก็ตัดใจใช้มันไม่ลง ถึงได้นำยาหยกหิมะทั้งสามขวดไปเก็บไว้ในห้องเก็บของแต่สิ่งที่นางนึกไม่ถึงก็คือ ยาหยกหิมะทั้งสามขวดถูกเก็บเข้าไปในตอนเช้า ตอนบ่ายก็ถูกลูกชายของนางส่งไปที่จวนเจิ้นกั๋วกงทั้งหมด ปรากฏอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งของเวินเยวี่ยชุยเส้าเจ๋อก็รู้ว่ามารดาของเขาห่วงแหนยาหยกหิมะนั่นเพียงใด แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกใครใช้ให้เขาพูดผิดไปที่จวนเจิ้นกั๋วกงในวันนั้น ทำให้น้องหญิงเยวี่ยเอ๋อร์โกรธอยู่หลายวัน ไม่ว่าจะเอาอกเอาใจเพียงใดเพียงใดก็ไม่หายพอดีในตอนนั้นได้ยินมารดาของเขาพูดถึงยาหยกห
“แหกปากอะไร มีผีที่ไหนกันเล่า?”ชุยเส้าเจ๋อเกาใบหน้าและลำคอของตัวเอง พลางสวมเสื้อคลุม ดุด่าสาวใช้คนนั้นด้วยความหงุดหงิด“ไม่ใช่เจ้าค่ะ ท่านซื่อจื่อ บนหน้าของท่าน เป็น...เป็นอะไรไป?!”หลังจากสาวใช้ตระหนักว่าที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่ผีที่ใช้เสียงของชุยเส้าเจ๋อ แต่เป็นซื่อจื่อของพวกนางเอง สีหน้าของนางก็ยิ่งทวีความหวาดกลัวทันที“บนหน้าของข้าหรือ?”ชุยเส้าเจ๋อที่ยังไม่รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นขมวดคิ้วด้วยความสับสน เมื่อสาวใช้เอากระจกทองแดงมาอยู่ตรงหน้าเขา มองเห็นใบหน้าที่โชกเลือดอยู่ในกระจกนั้น ชุยเส้าเจ๋อก็หน้าถอดสีทันที“นี่มันเรื่องอะไรกัน? เกิดอะไรขึ้นกับใบหน้าของข้า?!”ใบหน้าที่เคยสง่างามหล่อเหลา ตอนนี้ไม่เพียงแต่เต็มไปด้วยเลือดเท่านั้น แต่ยังบวมแดง บวมจนแทบจะเหมือนหัวหมูอยู่แล้วและไม่ใช่แค่ใบหน้าของเขาเท่านั้น แต่รวมถึงคอ มือ และเท้าทั้งสองของเขา จนถึงขั้นทั่วร่างกายล้วนอยู่ในสภาพเดียวกับใบหน้าเมื่อดูอย่างถี่ถ้วน บริเวณที่มีคราบเลือดเหล่านั้นมากที่สุดชัดเจนว่าเป็นบริเวณที่เขาเกาอย่างแรงเมื่อครู่!ชุยเส้าเจ๋อตื่นตระหนกในทันที “ยังมัวยืนอึ้งอยู่ตรงนี้ทำไมเล่า ยังไม่รีบไปตามหมอมาให้ข้
“ใช่แล้วท่านอ๋อง ลงมาเร็วเข้า รีบขึ้นรถไปพูดคุยกับธิดาศักดิ์สิทธิ์ พัฒนาความสัมพันธ์หน่อยสิพ่ะย่ะค่ะ”เป่ยเฉินหยวนที่ถูกทั้งสองไล่ลงจากม้า “?”“พวกเจ้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไรกันอยู่?”เขาขมวดคิ้วกล่าวว่า “อู๋โยวและอาจารย์ของนางนั่งอยู่บนรถม้าด้วยกัน แล้วข้าจะเข้าไปร่วมสนุกอะไรด้วย?”เฮ้อ!ลืมเรื่องนี้ไปเลยรู้อย่างนี้จะเตรียมรถม้าเพิ่มไว้อีกหนึ่งคัน คันหนึ่งสำหรับม่อโฉวซือไท่คนเดียว อีกคันหนึ่งสำหรับท่านอ๋องของพวกเขากับธิดาศักดิ์สิทธิ์ถึงจะถูก!เกาเย่าและสหายคิดไว้เป็นอย่างดี แต่กลับไม่คิดว่าต่อให้มีรถม้าเพิ่มอีกคัน เวินซื่อก็จะไม่นั่งกับเป่ยเฉินหยวนตามลำพัง เพราะถึงอย่างไรแล้วต่อให้พวกเขาสองคนมีจิตใจบริสุทธิ์ แต่คนอื่น ๆ จะไม่คิดเช่นนี้ดังนั้นยามใดควรหลีกเลี่ยงความสงสัยก็หลีกเลี่ยงดีกว่าอย่างน้อยนี่คือสิ่งที่เวินซื่อคิดหลังจากที่เป่ยเฉินหยวนได้ม้าคืนมา ก็นำกองทัพธงดำไปส่งเวินซื่อและม่อโฉวซือไท่เวินซื่อหมอบอยู่ข้างหน้าต่างรถ มองดูถนนหนทางที่พลุกพล่านข้างนอกไปตามทางเนื่องจากวันนี้เป่ยเฉินหยวนมีปัญหามากพออยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อครู่นางจึงไม่ได้พูดถึงการไปเดินเล่นหรืออะไรท
“ธิดาศักดิ์สิทธิ์ เป็นข้าน้อยที่ตามใจมากเกินไป จึงทำให้ลูกชายของข้าน้อยเอาแต่ใจและไม่รู้จักคิดถึงเพียงนี้ ธิดาศักดิ์สิทธิ์โปรดให้อภัยด้วย ต่อไปข้าน้อยจะอบรมสั่งสอนอย่างเข้มงวด ไม่สร้างปัญหาใด ๆ แก่องค์ธิดาศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป”น้ำเสียงของจงหย่งโหวจริงจังซ้ำยังแฝงการตำหนิตัวเองเล็กน้อยเห็นได้ชัดว่าเขาตระหนักดีว่า ภรรยาและบุตรชายของตัวเองทำกับเวินซื่อเกินไปเพียงใดเมื่อเห็นจงหย่งโหวแสดงท่าทีเช่นนี้ออกมา ต่อให้เวินซื่อจะเกลียดชังชุยเส้าเจ๋อมากสักแค่ไหนก็ตาม นางก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเพราะหากจะว่าไปแล้ว เมื่อก่อนนี้คนที่ดีกับนางมากที่สุดในจวนจงหย่งโหว ก็เป็นท่านโหวผู้นี้ที่ปกติดูไม่เป็นมิตรนัก แต่ในเวลาส่วนตัวกลับเป็นมิตรเป็นอย่างมาก“ท่านโหวลุกขึ้นเถิด ความผิดของผู้อื่นไม่เกี่ยวกับท่าน ข้าเองก็ไม่เคยนึกตำหนิท่านโหวมาก่อนเลย ดังนั้นท่านโหวไม่จำเป็นต้องตำหนิตัวเอง”“สำหรับชุยซื่อจื่อ...”เวินซื่อเหลือบมองชุยเส้าเจ๋อที่ใบหน้ายังคงเต็มไปด้วยความอัปยศและขุ่นเคือง นางเอ่ยอย่างราบเรียบ “ข้ากับเขามีอุปสรรคด้านการสื่อสาร ไม่สามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนกันได้ รบกวนท่านโหวช่วยบอกเขาว่า ต่อไปอย่าใช้คำว
เวินซื่อหลุบตาลงมองเวินจื่อเฉินที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้านาง ดวงตากระตุกเล็กน้อย ก่อนจะเบือนสายตาออกไปคนอื่น ๆ ก็มองไปที่เวินจื่อเฉินด้วยความประหลาดใจเช่นกันเวินจื่อเยวี่ยถึงกับขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ “พี่รอง?”“เจ้าสาม ยังจำคำพูดที่ท่านพ่อต้องการให้พวกเราถ่ายทอดได้ใช่ไหม?”เวินจื่อเฉินคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ตัวตรงเรียบร้อย เขาพูดโดยไม่เหลียวหลัง “พวกเจ้าเพิ่งพูดกับน้องห้าชัดเจนว่าอย่ากระทำการในนามของสกุลเวินอีกต่อไป ซ้ำยังบอกนางด้วยว่าห้ามใช้แซ่เวินอีก ดังนั้นตอนนี้น้องห้าจึงมายืนอยู่ตรงหน้าพวกเราในฐานะธิดาศักดิ์สิทธิ์ ที่ควรสำเหนียกตัวตนให้ดีไม่ใช่พวกเราหรอกหรือ?”คำพูดของเวินจื่อเฉินทำให้ทั้งเวินจื่อเยวี่ยและเวินเยวี่ยเป็นใบ้พูดไม่ออก ไม่มีใครสามารถโต้แย้งได้หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เวินจื่อเยวี่ยก็ค่อย ๆ หันร่างไป ก่อนจะคุกเข่าลงต่อเวินซื่อ“เวินจื่อเยวี่ย...คำนับธิดาศักดิ์สิทธิ์”แตกต่างจากการสีหน้าท่าทางที่เด็ดเดี่ยวของเวินจื่อเฉินเวลาที่เวินจื่อเยวี่ยพูดนั้นสายตายิ่งเยือกเย็นราวกับจุ่มลงในน้ำแข็ง“ทำไม พวกเจ้าทั้งสามไม่ยอมรับสถานะของธิดาศักดิ์สิทธิ์หรือ?”เป่ยเฉินหยวน
หลังจากพูดจบ ชุยเส้าเจ๋อถึงได้รู้ตัวว่าดูเหมือนจะพูดมากเกินไปหน่อยเขามองไปยังเวินซื่อโดยสัญชาตญาณ ราวกับคิดว่านางเจ็บปวดกับคำพูดของตัวเองแต่เวินซื่อกลับไม่มีการแสดงออกใด ๆ“จวนจงหย่งโหววิเศษอะไรเช่นนี้!”ม่อโฉวซือไท่สีหน้าเย็นชาเวินจื่อเฉินโกรธจัดจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันสายตาของเวินเยวี่ยภาคภูมิใจจนสุดจะเปรียบเปรย มองดูเวินซื่อ แล้วมองไปที่ชุยเส้าเจ๋อในที่สุดเจ้าโง่คนนี้ก็รู้ว่าต้องเลือกใครส่วนเวินจื่อเยวี่ยที่อยู่ข้าง ๆ ก็ยิ้มเยาะพูดขึ้นมาประโยคหนึ่ง “ถูกผู้อื่นรังเกียจถึงเพียงนี้ จะโทษใครได้?”“เจ้าสาม เจ้าหุบปากเสีย”เวินจื่อเฉินถลึงตาใส่เขาแต่เวินจื่อเยวี่ยกลับไม่ฟังเขาเลย ซ้ำยังย้อนถามว่า “ข้าพูดผิดไปหรือ? วันนี้นางมาถึงจุดนี้แล้ว ถูกขับไล่ออกจากสกุลเวิน ถูกท่านพ่อถอดแซ่ ถูกถอนหมั้น ถูกหยามหน้า...ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะนางก่อกรรมทำเข็ญมากเกินไปในอดีต สมควรได้รับมันแล้วหรอกหรือ?”“ข้าบอกให้เจ้าหุบปาก!”เวินจื่อเฉินตะคอกด้วยความโกรธออกมาทันที อารมณ์ที่ปะทุขึ้นมาของเขาสยบเวินจื่อเยวี่ยลงได้ในที่สุดแต่เวินจื่อเยวี่ยแค่หุบปากลง เบือนใบหน้าอึมครึมชั่วร้ายออกไปอีกทาง“หยา
จู๋เยวี่ยที่หลบซ่อนอยู่ในมุมลับ “...”จะให้ปรากฏตัวก็แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้เพราะถึงอย่างไรจากสถานการณ์นี้แค่เห็นก็รู้แล้วว่าไม่สามารถออกไปทำให้เจ้านายเสียเรื่องดังนั้นเมื่อเวินซื่อตะโกนไปรอบ ๆ ก็ไม่มีใครออกมา“ชุยซื่อจื่อ ทีนี้เจ้าเห็นแล้วใช่ไหม ข้าไม่รู้จักจู๋เยวี่ยอะไรนั่นจริง ๆเวินซื่อส่ายหัว ทำท่าทางจริงจังมากม่อโฉวซือไท่ที่ดูอยู่ข้าง ๆ ยังอดเบือนหน้าหนีไม่ได้กลัวว่าตัวเองจะหัวเราะส่งเสียงออกมาชุยเส้าเจ๋อถลึงตาใส่อย่างโกรธเกรี้ยว “เจ้าอย่ามาหลอกข้า! ข้าถูกจู๋เยวี่ยนั่นซ้อมจนบาดเจ็บไปทั้งตัว ขาก็เกือบจะถูกตีจนพิการแล้ว ตอนนี้เจ้ามาบอกว่าไม่รู้จักเช่นนั้นหรือ? เจ้ากำลังหลอกใคร!”“บาดเจ็บไปทั้งตัว? ไหนล่ะ?”เวินซื่อเลิกคิ้วขึ้น “บนตัวชุยซื่อจื่อมีบาดแผลด้วยหรือ?”ชุยเส้าเจ๋อเอ่ยขึ้นทันที “เจ้าดูหน้าข้าสิ! มองบาดแผลบนตัวข้า บนแขนของข้า บน...หือ? บาดแผลของข้าล่ะ?”ชี้ไปที่ใบหน้าของตัวเอง ม้วนแขนเสื้อขึ้นเพื่อเปิดแผลให้นางดู ปรากฏว่ายังพูดไม่ทันจบ ชุยเส้าเจ๋อก็สังเกตเห็นความผิดปกติเขาจดจำได้อย่างชัดเจนว่าตัวเองถูกคนปิดหน้าที่ชื่อจู๋เยวี่ยทุบตีไปทั่วร่างจนถึงตอนนี้เขา