เวินจื่อเฉินพวกเขาอยากจะเยี่ยมเวินซื่อ แต่เวินซื่อกลับไม่อนุญาตให้พวกเขาเข้าไปในห้องของนาง“ปัง” หลังจากมีเสียงปิดประตูดังขึ้น นางก็รีบนำสิ่งของทั้งหมดในห้องที่เป็นของนางเก็บเข้าไปในมิติน่าเสียดายที่พวกเขาอยู่ด้านนอก ไม่อย่างนั้นนางยังอยากจะไปที่ห้องของท่านแม่ถึงแม้ว่าท่านแม่จะจากไปหลายปีแล้ว แต่ห้องของนางยังคงอยู่ จะมีคนเข้าไปทำความสะอาดทุกวันและคนที่จัดการเรื่องทั้งหมดนี้ก็คือท่านพ่อของนางเมื่อชาติก่อน เป็นเพราะเรื่องพวกนี้นางจึงไม่เคยสงสัยในความสัมพันธ์ของเวินเฉวียนเซิ่งและเวินเยวี่ยเลยสักนิดนางคิดว่าเวินเยวี่ยเป็นดั่งที่ท่านพ่อพูดแบบนั้นจริง ๆ เป็นเพียงบุตรสาวของผู้มีพระคุณของเขาจนกระทั่งต่อมาเวินเยวี่ยเปิดเผยตัวตนอย่างลำพองใจต่อหน้าของนาง นางถึงได้รู้ว่าตนกับท่านแม่ต่างก็ถูกคำหลอกลวงของท่านพ่อต้มเข้าให้แล้ว!เวินเยวี่ยไม่ใช่บุตรสาวของผู้มีพระคุณอะไรเลย แต่เป็นบุตรสาวของเวินเฉวียนเซิ่งกับอดีตนางในดวงใจคนนั้นของเขาต่างหาก!สิ่งที่ทำให้นางโมโหที่สุดก็คือ นางยังเป็นคนสุดท้ายที่รู้ความจริงเรื่องนี้พวกพี่ชายของนางรู้เร็วกว่านาง กลับไม่มีใครโกรธแค้นแทนท่านแม่เลยสักคน ในท
แม้ว่าเมื่อหลายปีก่อนตอนที่ครั้งหนึ่งเขาป่วยหนักไข้สูงจนนอนซมอยู่บนเตียง นางเคยเฝ้าเขาอยู่สามวันสามคืนเต็ม ๆ จนกระทั่งเขาไข้ลดฟื้นขึ้นมาถึงได้กลับไปพักผ่อนเวินเยวี่ยจ้องมองเวินอวี้จือเดินจากไป แสยะยิ้มที่มุมปากด้วยความลำพองใจอย่างยากที่จะสังเกตเห็นถึงแม้จะไม่รู้ว่าเวินซื่อนั่นใช้กลอุบายอะไรไปทูลขอสถานะนักบุญหญิงจากฝ่าบาท แต่ขอเพียงคนของสกุลเวินพวกนี้ยังถูกควบคุมอยู่ในมือของนาง จะมีอะไรที่นางไม่สามารถได้มาครองกันล่ะ?ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งนักบุญหญิงของเวินซื่อ ในที่สุดก็จะต้องเป็นของนางเวินเยวี่ยอยู่ดี!เมื่อคิดเช่นนี้ ความริษยาภายในใจของเวินเยวี่ยก็ลดลงไปบางส่วนแต่ว่าตอนนี้ นางจะต้องรู้ให้แน่ชัดก่อนว่าเวินซื่อใช้วิธีการใดในการเกลี้ยกล่อมฝ่าบาทหรือว่าบนตัวของนางยังมีความลับอะไรที่ตนไม่รู้อีก?เวินเยวี่ยเม้มริมฝีปาก ดวงตามีความเกลียดชังปรากฏขึ้นแวบหนึ่งในเวลานี้ จู่ ๆ เวินซื่อก็เปิดประตูออกมาหลังจากปิดประตูแล้วก็หันหลังแล้วเดินออกไปทันทีโดยไม่แม้แต่มองพวกเขาสักแวบทันทีที่เวินจื่อเฉินเห็นยังนึกว่านางกำลังจะหนี รีบเข้าไปขวางนางเอาไว้ “หยุดนะ เจ้าคิดจะไปไหน ข้าขอบอกเจ้านะเวินซ
เวินซื่อหลุบตาลง เหมือนกับว่าหัวเราะเยาะตนเอง “ใช่สิ เป็นเพราะเหตุใดกันแน่นะ?”“คำตอบของคำถามข้อนี้ทุกคนล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจ หรือว่าท่านพ่อไม่รู้อย่างนั้นหรือ?”นัยน์ตาของเวินเฉวียนเซิ่งมีความไม่พอใจปรากฏขึ้นแวบหนึ่ง “เวินซื่อ ข้าจะพูดอีกรอบ เจ้าอย่าก่อเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ขึ้นอีก ไม่เช่นนั้นครั้งนี้ข้าอาจจะไม่ปล่อยเจ้าไปง่าย ๆ แน่”“ถ้าข้าจะก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นอีกล่ะ?เมื่อเวินซื่อได้ยินประโยคนี้ก็เงยหน้าขึ้นมาทันที สบตากับเวินเฉวียนเซิ่งตรง ๆ อย่างไม่มีความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย “ท่านยังคิดจะทำอย่างไรอีก? ถ้าเฆี่ยนห้าสิบทีไม่พอ เช่นนั้นก็หนึ่งร้อยที? ถ้าหนึ่งร้อยทียังไม่พออีกละก็ เช่นนั้นท่านก็ตีข้าให้ตายไปเลยเป็นอย่างไร?”“เวินซื่อ”“ท่านพ่อ”เวินจื่อเฉินกับเวินฉางอวิ้นส่งเสียงออกมาพร้อมกันเวินจื่อเฉินคิดไม่ถึงว่าวันนี้เวินซื่อจะเป็นเหมือนกับคนเสียสติไปแล้วอยากจะเอาคืนเขาก็ช่างเถอะ ไม่คิดเลยว่ายังจะทำตัวท้าทายเช่นนี้ต่อหน้าท่านพ่ออีก!นางอยากรนหาที่ตายใช่หรือไม่?ถึงแม้ว่าเวินฉางอวิ้นเองก็รู้สึกว่าเวินซื่อจะทำตัวเหลวไหลเกินไปแล้วจริง ๆ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่สามารถให้ท่านพ่
แต่ชุยเส้าเจ๋อกลับคิดว่านางกำลังปากแข็ง “ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะอธิบายอย่างไร เจ้าทำเพื่อให้ข้ารู้ถึงใจจริงของเจ้า จงใจไปที่ภูเขาหนาน ให้พวกสหายฉีที่สนิทกับข้าเห็นเจ้าเดินหนึ่งก้าวคุกเข่าหนึ่งทีโขกหัวหนึ่งหนขึ้นเขา? หรือว่าเรื่องพวกนี้ไม่ใช่แผนการของเจ้า?”เวินจื่อเฉินสีหน้าเต็มไปด้วยความงุนงง “ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะทำเพื่อเขาถึงขั้นนี้?”หลังจากที่เวินเยวี่ยอึ้งไปครู่หนึ่ง ในไม่ช้าก็ได้สติกลับคืนมา ทำเป็นพูดด้วยความโศกเศร้าเสียใจ “ทั้งหมดต้องโทษข้า เป็นเพราะคืนนั้นข้าไม่ได้รับปากพี่หญิง พี่หญิงถึงได้ทรมานตนเองเช่นนี้เพื่อพี่เส้าเจ๋อ”คนอื่นถูกคำพูดของเวินเยวี่ยชักจูงในทันที“เวินซื่อ เพื่อผู้ชายคนหนึ่ง เจ้าถึงกับจะเป็นจะตายเช่นนี้ ถึงขั้นที่ไม่สนใจชื่อเสียงของสกุลเวิน?”“เวินซื่อ ถ้าหากเจ้านึกเสียใจแล้วจริง ๆ แล้วเหตุใดจึงไม่รีบพูดออกมาแต่แรก?”“เจ้ามีเรื่องอะไรจะบอกกับพวกข้าไม่ได้หรือ?”“เรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งแค่นี้ เจ้าถึงกับต้องทำจนทุกคนรู้ให้ได้หรือ?”เหล่าพี่น้องตระกูลเวินพากันเริ่มพูดจาสั่งสอนเวินซื่อเหล่าคุณชายซึ่งมีคุณชายฉีเป็นผู้นำและอยู่ด้านข้างในตอนนี้ เดิมทีแค่อยากจะให้
ชุยเส้าเจ๋อถูกต่อยหนึ่งทีโดยไม่ทันระวังตัวคนที่อยู่ข้าง ๆ ตกตะลึงโดยไม่มีใครช่วยดึงเวินจื่อเฉินเอาไว้เลยสักนิดอย่าว่าแต่บรรดาพี่น้องสกุลเวิน แม้แต่บรรดาคุณชายที่อยู่ข้าง ๆ เมื่อได้ยินคำพูดพวกนั้นของเขาต่างก็รู้สึกว่าเลยเถิดให้บุตรสาวทั้งสองของตระกูลเจิ้นกั๋วกงผู้สง่าผ่าเผยแต่งงานกับชุยเส้าเจ๋อ เขากล้าฝันหวานขนาดนี้ได้อย่างไรกัน?ตอนที่เขาพูดประโยคเหล่านั้นออกมา เขาไม่เห็นสีหน้าของเจิ้นกั๋วกงหรืออย่างไรว่าดำอย่างกับหมิ่นก้น?!ถ้าหากไม่ใช่ว่ามีความเกี่ยวข้องเป็นลุงกับหลานกันอยู่ เกรงว่าเจิ้นกั๋วกงคงจะเอาเขาตายไปแล้ว!แต่ว่าต่อให้เวินเฉวียนเซิ่งอดทนได้ พวกเวินจื่อเฉินก็คงอดทนไม่ไหวเวินฉางอวิ้นกลับไม่ได้ลงมือ แต่ตอนที่เวินจื่อเฉินลงมือ เวินจื่อเยวี่ยได้เข้าไปแสร้งทำเป็นดึงเอาไว้ แต่อันที่จริงกลับแอบลงมือลับ ๆผ่านไปสักพัก สิ่งที่น่าตกตะลึงคือชุยเส้าเจ๋อถูกทำร้ายจนใบหน้าปูดบวมเขียวช้ำ ปวดร้าวไปทั้งตัวคุณชายฉีและคนอื่น ๆ จ้องมองพร้อมกับยิ้มแหย ๆ รู้สึกขึ้นมาทันทีว่าที่นี่ไม่เหมาะที่จะอยู่นานเกรงว่าเพลิงโทสะของเจิ้นกั๋วกงจะลามมาถึงตน ด้วยเหตุนี้จึงรีบบอกลาเวินเฉวียนเซิ่ง ก่อนจ
ผ่านไปไม่นานนัก เวินซื่อก็ถูกพวกเขาไล่ตามทันจนได้“น้องห้า เลิกเอาแต่ใจตัวเองได้แล้ว”“ถ้าไม่อยากยั่วให้ท่านพ่อโมโหอีก ทางที่ดีเจ้าจงกลับไปอย่างว่าง่าย”เวินจื่อเฉินกับเวินจื่อเยวี่ยขวางนางเอาไว้หน้าคนหลังคนเวินเฉวียนเซิ่งออกคำสั่งเสียงเย็นชา “พาตัวไปแล้วขังเอาไว้ให้ดี ไม่มีคำสั่งของข้า ใครก็ห้ามปล่อยนางออกมา!”ในเวลานี้เอง ทันใดนั้นก็มีเสียงทุ้มต่ำและเกียจคร้านเสียงหนึ่งแว่วมาจากทางประตูใหญ่ “วันนี้จวนเจิ้นกั๋วกงช่างครึกครื้นยิ่งนัก”เมื่อทุกคนได้ยินเสียงก็หันหน้าไปมอง เห็นผู้ชายผมสีเงินหน้าตาหล่อเหลาราวกับเทพบุตรคนหนึ่งพากองทัพธงดำหลายนายก้าวเท้าเข้ามาในจวนกั๋วกง หรี่ดวงตาหงส์ กวาดสายตามองเวินเยวี่ยและคนอื่น ๆ ด้วยสายที่เต็มไปด้วยอำนาจเป่ยเฉินหยวนถาม “กำลังทำอะไรกันอยู่หรือ?”เวินฉางอวิ้นสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย พากันดึงเวินซื่อกับเวินเยวี่ยให้คุกเข่าทำความเคารพ“คารวะท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน”เวินเยวี่ยจ้องเป่ยเฉินหยวนตรง ๆ ดวงตาเปล่งประกายแวววาวเวินเฉวียนเซิ่งไม่ได้ทำความเคารพ เพียงแค่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยปากพูด “ที่แท้ก็เป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนมาเยือน แต่ว่าวั
“เจิ้นกั๋วกงไม่ต้องเป็นห่วง”กองทัพธงดำยกเก้าอี้ตัวหนึ่งมาให้เป่ยเฉินหยวน เขานั่งลงที่เดิม กล่าวด้วยท่าทีสบาย ๆ “คนใต้บังคับบัญชาของข้าล้วนเป็นยอดฝีมือที่เคยสังหารข้าศึกศัตรูในสนามรบมานับไม่ถ้วน เรื่องการชักดาบนี้พวกเขารู้จักพอเหมาะพอควรที่สุด ขอเพียงท่านกับลูกชายของท่านไม่ทำให้พวกเราเสียเวลาทำงาน พวกเขาย่อมไม่มีทางทำร้ายใครจริง ๆ”ความหมายแฝงก็คือ หากวันนี้พวกเจ้ากล้าขัดขวาง ถ้าอย่างนั้นก็อย่าหาว่าคนของเขาลงมือเวินเฉวียนเซิ่งรู้ว่าเป่ยเฉินหยวนชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่มาแต่ไหนแต่ไรแต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะกล้ามาใช้อำนาจบาตรใหญ่ที่จวนเจิ้นกั๋วกง!เวินเฉวียนเซิ่งสีหน้าเย็นยะเยือก “เวินซื่อเป็นบุตรสาวของข้า นางไม่ได้รับความเห็นชอบของข้าด้วยความวู่วามจึงไปทูลขอฝ่าบาทออกบวชเป็นแม่ชี บัดนี้ข้าจะให้นางไปทูลขอให้ฝ่าบาทยกเลิกราชโองการ ทูลฝ่าบาทว่านางไม่ไปแล้ว ดังนั้นก็ไม่จำเป็นต้องให้ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนมาคุ้มกันนางไปยังอารามสุ่ยเยว่อีก”เป่ยเฉินหยวนหันไปมองเวินซื่อที่หยุดชะงักฝีเท้า ถามนางด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “นี่คือความต้องการของเจ้าหรือ?”“ไม่ใช่เพคะ”เวินซื่อปฏิเสธอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต
ภาวนาให้ชาติหน้าท่านแม่ไม่ต้องมาพบเจอกับคนใดคนหนึ่งของสกุลเวินอีก!ในไม่ช้า เวินซื่อก็กลับมาที่ลานด้านหน้าของจวนเจิ้นกั๋วกงเมื่อเห็นเป่ยเฉินหยวนเหมือนกับว่ารอจนใกล้หมดความอดทนแล้ว นางรีบเดินไปข้างหน้าแล้วกล่าว “ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน หม่อมฉันเก็บของเสร็จเรียบร้อยแล้วเพคะ”“ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ”เป่ยเฉินหยวนลุกขึ้นแล้วก็เดินไปเวินซื่อรีบเดินตามเวินจื่อเฉินและคนอื่น ๆ พยายามจะก้าวไปข้างหน้า แต่ดาบของกองทัพธงดำไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม!เมื่อเห็นว่าเวินซื่อกำลังจะออกไปกับเป่ยเฉินหยวนจริง ๆ เวินจื่อเฉินอดไม่ได้ที่จะตะโกนเสียงดังขึ้นมา “เวินซื่อ! เจ้าไปแบบนี้ เจ้าไม่รู้สึกละอายใจต่อท่านพ่อกับพวกเราหรือ? เจ้าไม่กลัวว่าสักวันหนึ่งจะต้องเสียใจอย่างนั้นหรือ?!”เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ เวินซื่อหันหน้ากลับไปมองเขา กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง “ข้าเวินซื่อไม่เคยผิดต่อพวกท่านคนใดมาก่อน วันข้างหน้าก็ไม่มีทางเสียใจเด็ดขาด”พูดจบ นางก็ขึ้นไปนั่งบนรถม้าเป่ยเฉินหยวนพลิกตัวขึ้นม้า นำทัพอยู่ด้านหน้าเขาตะโกนออกมา ‘ไป’ แล้วก็พากองทัพธงดำที่คุ้มกันขบวนรถม้าออกเดินทาง มุ่งหน้าไปย
ในเวลานี้เอง…“แย่แล้ว! แย่แล้ว!คนรับใช้วิ่งออกมาอย่างรีบร้อนแล้วพูดด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “คุณชายรอง คุณชายสาม ป้าย...ป้ายวิญญาณของฮูหยินหายไปแล้วเจ้าค่ะ!”เวินจื่อเฉินกับเวินจื่อเยวี่ยสีหน้าเปลี่ยนไปทันที“อะไรนะ?! พวกเจ้าแต่ละคนทำงานกันอย่างไร? ป้ายวิญญาณที่โถงบรรพชนหายไปพวกเจ้ายังไม่รู้อีก?!”“ใครจะเอาป้ายวิญญาณของท่านแม่ไปได้?”เวินจื่อเยวี่ยขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัยแต่ทันใดนั้นเวินจื่อเฉินกลับคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ สองพี่น้องหันหน้าไปมองกัน กล่าวด้วยความตกใจและโมโห “หรือว่าจะเป็น...เวินซื่อ?!”“ไม่คิดเลยว่าแม้แต่ป้ายวิญญาณของท่านแม่ นางก็จะนำไปด้วย!”เวินจื่อเฉินเกรี้ยวกราด “นางเป็นหัวขโมยแท้ ๆ เลย! นางมีสิทธิ์อะไรนำป้ายวิญญาณของท่านแม่ไป!”สีหน้าของเวินจื่อเยวี่ยดูแย่มากเช่นเดียวกัน เขารู้สึกว่าน้องสาวคนนี้เป็นคนไม่มีเหตุผลเอามากขึ้น!นางออกบวชเป็นแม่ชีโดยไม่ได้รับการยินยอมจากท่านพ่อ ทำเรื่องให้สกุลเวินอับอายขายขี้หน้าก็ช่างเถอะ ไม่คิดเลยว่าตอนนี้ยังขโมยป้ายวิญญาณของท่านแม่ไปอีก!“สารเลว! ข้าก็ว่าแล้ว เมื่อวานนางเอาแต่ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ ทำอะไร ถ้ารู้แต่แรกข้าก็ควรจับต
ทันทีที่เวินเยวี่ยพูดออกไปก็ได้รับคำชมเชยจากเวินจื่อเฉินและคนอื่น ๆ ทันที“ท่านพ่อ น้องหกพูดถูก พวกเราทุกคนไม่สะดวกไปที่อารามสุ่ยเยว่จริง ๆ แต่ถ้าน้องหกไป ซือไท่ที่นั่นจะไม่มีเหตุผลขวางนาง”เวินเฉวียนเซิ่งพยักหน้า “เจ้าหกช่างรู้ใจเหลือเกิน ยกเรื่องนี้ให้เจ้าไปจัดการก็แล้วกัน”เวินเยวี่ยตบแผ่นอกทันทีพร้อมกล่าว “ท่านพ่อวางใจ เยวี่ยเอ๋อร์จะพาตัวพี่หญิงห้ากลับมาให้ได้เจ้าค่ะ!”เวินจื่อเฉินกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “น้องหกลงสนามรบ จะต้องสำเร็จแน่นอน!”“ถูกต้อง ๆ น้องหกจิตใจดีทั้งยังน่ารักขนาดนี้ ไปที่อารามสุ่ยเยว่บรรดาซือไท่จะต้องชื่นชอบอย่างแน่นอน”“ถึงเวลานั้นค่อยช่วยน้องหกพูดโน้มน้าวน้องห้า ไม่แน่ว่าน้องห้าอาจจะกลับมาก็ได้!”ก้นบึ้งหัวใจของเวินเยวี่ยรู้สึกดูถูกนางไม่ต้องการได้รับความชื่นชอบจากพวกแม่ชีเฒ่าพวกนั้นอัปมงคลแต่ว่าบนใบหน้าของนางยังคงรักษารอยยิ้มที่ไร้เดียงสาไร้พิษภัยเอาไว้เช่นเดิม บางครั้งยังทำท่าทางเขินอายจนหน้าแดงเพราะถูกชม ท่าทางแบบนั้นทำให้คนอื่นมองความคิดที่แท้จริงภายในใจของนางไม่ออกเลยแม้แต่นิดเดียวในตอนที่เวินจื่อเฉินพวกเขาชื่นชมเวินเยวี่ยไม่หยุดปากเวินฉางอวิ้นท
เวินซื่อรู้สึกรังเกียจตนเองอยู่เงียบ ๆ ครู่หนึ่งบัดนี้นางเป็นคนที่ออกบวชแล้ว ไม่ควรจะมีความคิดที่เกินเลยใด ๆหลังจากคิดได้เช่นนี้ หัวใจของเวินซื่อก็สงบนิ่งราวกับสายน้ำไม่ไหวติงอย่างรวดเร็ว“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรบกวนท่านอ๋องอีกครั้งแล้ว”“ข้ายังมีสัมภาระที่ต้องจัดการอีก ไม่รบกวนเวลาของท่านอ๋องแล้ว ท่านอ๋องเดินทางปลอดภัย”หลังจากที่เวินซื่อยิ้มออกมาเล็กน้อย ก็หันหลังแล้วเดินกลับไปในอารามหลังจากที่ร่างกายอันผ่ายผอมของนางเดินหายเข้าไปในซุ้มประตูวงพระจันทร์ เป่ยเฉินหยวนถึงได้หันหลังกลับและออกจากอารามสุ่ยเยว่ตอนที่เขาออกไป เวินฉางอวิ้นยังคงเฝ้าอยู่ที่ด้านนอกประตูใหญ่ทันทีที่เห็นเป่ยเฉินหยวนเดินออกมา เวินฉางอวิ้นก็รีบก้าวเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว กล่าวถามอย่างร้อนใจ “ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน น้องห้าล่ะ? น้องห้านางไม่ได้ออกมากับท่านหรือพ่ะย่ะค่ะ?”กองทัพธงดำขวางเขาให้ห่างออกไปสามก้าวเป่ยเฉินหยวนกวาดสายตามองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยแวบหนึ่ง “แน่นอนว่านางไม่ได้ออกมาด้วย เพราะตอนนี้นางได้เป็นแม่ชีน้อยอยู่ในอารามสุ่ยเยว่แล้ว”เมื่อเวินฉางอวิ้นได้ยินดังนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที “อะไรนะพ่ะย่
วินาทีนั้น ในใจของนางราวกับมีเสียงของเชือกตึงขาดสะบั้นดังขึ้นราวกับว่าพันธนาการบนตัวหายไปหมดสิ้น ในที่สุดนางก็หลุดพ้นจากสถานที่ที่ทำให้นางต้องทุกข์ทรมานมาสองชาตินั่นเสียทีน้ำตาหยดหนึ่งค่อย ๆ ไหลออกมาจากบริเวณหางตาของนางเป่ยเฉินหยวนจ้องมองนางด้วยความตกตะลึงต่อให้เวลาจะผ่านไปหลายปี เขาก็จะไม่สามารถลืมฉากนี้ได้อย่างเด็ดขาดอยู่ในสนามรบเขาเคยแต่เห็นการเข่นฆ่าและความตายมากมายนับไม่ถ้วน ทุกครั้งล้วนมีความรู้สึกที่แตกต่างกัน แต่เทียบไม่ได้กับอารมณ์ที่หวั่นไหวของเขาในขณะนี้นัยน์ตาที่เต็มไปด้วยการเข่นฆ่านองเลือดคู่นั้น สะท้อนภาพของพระพุทธรูปทองคำและสาวน้อยภาพนั้นคือแสงแห่งพุทธะสาดส่อง ราวกับได้ไถ่บาปและเหมือนกับว่าสาวน้อยได้เกิดใหม่......ตอนที่เป่ยเฉินหยวนออกไป เวินซื่อได้มาส่งเขาที่บริเวณประตูใหญ่นางไม่ได้เข้าใกล้ประตูใหญ่ เพียงแค่ยืนพนมมือสองข้างอยู่บริเวณไม่ไกล พยักหน้าเล็กน้อยเป็นการทำความเคารพ“วันนี้ต้องขอขอบคุณท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนมาก”ถ้าหากไม่ได้เป่ยเฉินหยวนช่วยเหลือ เกรงว่านางคงจะไม่ได้ออกจากสกุลเวินง่ายดายขนาดนี้ต่อให้ออกจากสกุลเวินแล้ว ก็มีความเป็นไปได้
หนทางตอนหลังขรุขระอย่างยิ่งดังคาดโดยเฉพาะรถม้าที่เคลื่อนตัวด้วยความเร็วเต็มพิกัด หลายครั้งที่เกือบจะทำให้เวินซื่อที่อยู่ในห้องโดยสารกระเด็นออกไปแต่นี่ก็คือความต้องการของนางอยู่แล้วดังนั้นแม้ว่าจะกระแทกจนเจ็บแผลที่แผ่นหลัง นางก็ต้องกัดฟันทน ไม่ส่งเสียงร้องสักแอะขบวนรถม้าที่เคลื่อนตัวด้วยความเร็วเต็มพิกัดเร็วมากอย่างที่คิดไว้ ครั้งก่อนที่นั่งรถม้าของเต๋อกงกงใช้เวลาหนึ่งชั่วยามกว่าจะถึงภูเขาหนาน แต่ครั้งนี้ใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้น รถม้าที่โคลงเคลงตลอดทางก็หยุดลงอย่างกะทันหัน ด้านนอกมีเสียงเตือนของเป่ยเฉินหยวนดังลอยมา...“ถึงแล้ว”เวินซื่อถูกกระเทือนจนมึนงงเล็กน้อยหลังจากที่นางนั่งพักครู่หนึ่ง ถึงได้เลิกผ้าม่านขึ้นแล้วเดินลงไปแบบตุปัดตุเป๋เป่ยเฉินหยวนอยู่บนหลังม้า ก้มมองนางที่ลงจากรถม้าอย่างระมัดระวัง ในมือของเขาถือบังเหียน ไม่ได้พูดว่าจะเข้าไปช่วยประคองอะไรถึงอย่างไรก็กำลังมองเวินซื่อ ดูนางจัดแจงท่าทางให้เรียบร้อย หลังจากที่ทรงตัวบนพื้นอย่างมั่นคงแล้วจึงกล่าว “ตามพระบัญชาของฝ่าบาท ข้าจะเข้าไปกับเจ้า ดูเจ้าออกบวชเป็นแม่ชีอย่างเป็นทางการด้วยตาของตนเองจึงจะกลับ ดัง
ตอนที่ออกมาจากห้องทรงพระอักษร สีหน้าของเวินเฉวียนเซิ่งและเวินฉางอวิ้นสองคนพ่อลูกอึดอัดใจเล็กน้อยเวินฉางอวิ้นถอนหายใจ “ท่านพ่อ นี่เป็นความผิดของข้าเอง เป็นเพราะข้าควบคุมน้องห้าไม่ดี”เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจเล็กน้อยคาดว่าที่เวินซื่อยืนกรานอยากจะออกบวชเป็นแม่ชีขนาดนั้น มีความเป็นไปได้ว่าอาจเป็นเพราะวันนั้นเขาเฆี่ยนตีนางรุนแรงจนเกินไปจริง ๆการเฆี่ยนด้วยแส้ห้าสิบที หากในใจของน้องห้าจะมีความเคียดแค้นก็เป็นเรื่องปกติเพียงแต่น้องห้าช่างไม่ประสีประสาเอาเสียเลยในเมื่อนางรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ แล้วเหตุใดจึงไม่ยอมพูดออกมาตรง ๆ?จะต้องก่อเรื่องให้วุ่นวายใหญ่โตขนาดนี้ให้ได้ถึงจะพอใจแม้เมื่อครู่นี้ฮ่องเต้น้อยได้กล่าวชี้นำบ้างแล้ว เหมือนกับว่าเวินฉางอวิ้นก็ยังไม่ได้ตระหนักถึงเหตุผลที่แท้จริงที่เวินซื่ออยากจะออกจากสกุลเวินแม้แต่เวินเฉวียนเซิ่งก็เช่นเดียวกันเขาโบกมืออย่างเฉยชา “นี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้า เป็นเพราะเมื่อก่อนพวกเราตามใจนางมากเกินไป ตามใจจนนางไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ถึงได้กล้าพูดเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ออกมา”“แต่โชคดีที่สุดท้ายแล้วฝ่าบาทยังทรงเห็นแก่หน้าของท่านพ่อถึงได้ให้โอกา
ภาวนาให้ชาติหน้าท่านแม่ไม่ต้องมาพบเจอกับคนใดคนหนึ่งของสกุลเวินอีก!ในไม่ช้า เวินซื่อก็กลับมาที่ลานด้านหน้าของจวนเจิ้นกั๋วกงเมื่อเห็นเป่ยเฉินหยวนเหมือนกับว่ารอจนใกล้หมดความอดทนแล้ว นางรีบเดินไปข้างหน้าแล้วกล่าว “ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน หม่อมฉันเก็บของเสร็จเรียบร้อยแล้วเพคะ”“ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ”เป่ยเฉินหยวนลุกขึ้นแล้วก็เดินไปเวินซื่อรีบเดินตามเวินจื่อเฉินและคนอื่น ๆ พยายามจะก้าวไปข้างหน้า แต่ดาบของกองทัพธงดำไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม!เมื่อเห็นว่าเวินซื่อกำลังจะออกไปกับเป่ยเฉินหยวนจริง ๆ เวินจื่อเฉินอดไม่ได้ที่จะตะโกนเสียงดังขึ้นมา “เวินซื่อ! เจ้าไปแบบนี้ เจ้าไม่รู้สึกละอายใจต่อท่านพ่อกับพวกเราหรือ? เจ้าไม่กลัวว่าสักวันหนึ่งจะต้องเสียใจอย่างนั้นหรือ?!”เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ เวินซื่อหันหน้ากลับไปมองเขา กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง “ข้าเวินซื่อไม่เคยผิดต่อพวกท่านคนใดมาก่อน วันข้างหน้าก็ไม่มีทางเสียใจเด็ดขาด”พูดจบ นางก็ขึ้นไปนั่งบนรถม้าเป่ยเฉินหยวนพลิกตัวขึ้นม้า นำทัพอยู่ด้านหน้าเขาตะโกนออกมา ‘ไป’ แล้วก็พากองทัพธงดำที่คุ้มกันขบวนรถม้าออกเดินทาง มุ่งหน้าไปย
“เจิ้นกั๋วกงไม่ต้องเป็นห่วง”กองทัพธงดำยกเก้าอี้ตัวหนึ่งมาให้เป่ยเฉินหยวน เขานั่งลงที่เดิม กล่าวด้วยท่าทีสบาย ๆ “คนใต้บังคับบัญชาของข้าล้วนเป็นยอดฝีมือที่เคยสังหารข้าศึกศัตรูในสนามรบมานับไม่ถ้วน เรื่องการชักดาบนี้พวกเขารู้จักพอเหมาะพอควรที่สุด ขอเพียงท่านกับลูกชายของท่านไม่ทำให้พวกเราเสียเวลาทำงาน พวกเขาย่อมไม่มีทางทำร้ายใครจริง ๆ”ความหมายแฝงก็คือ หากวันนี้พวกเจ้ากล้าขัดขวาง ถ้าอย่างนั้นก็อย่าหาว่าคนของเขาลงมือเวินเฉวียนเซิ่งรู้ว่าเป่ยเฉินหยวนชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่มาแต่ไหนแต่ไรแต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะกล้ามาใช้อำนาจบาตรใหญ่ที่จวนเจิ้นกั๋วกง!เวินเฉวียนเซิ่งสีหน้าเย็นยะเยือก “เวินซื่อเป็นบุตรสาวของข้า นางไม่ได้รับความเห็นชอบของข้าด้วยความวู่วามจึงไปทูลขอฝ่าบาทออกบวชเป็นแม่ชี บัดนี้ข้าจะให้นางไปทูลขอให้ฝ่าบาทยกเลิกราชโองการ ทูลฝ่าบาทว่านางไม่ไปแล้ว ดังนั้นก็ไม่จำเป็นต้องให้ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนมาคุ้มกันนางไปยังอารามสุ่ยเยว่อีก”เป่ยเฉินหยวนหันไปมองเวินซื่อที่หยุดชะงักฝีเท้า ถามนางด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “นี่คือความต้องการของเจ้าหรือ?”“ไม่ใช่เพคะ”เวินซื่อปฏิเสธอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต
ผ่านไปไม่นานนัก เวินซื่อก็ถูกพวกเขาไล่ตามทันจนได้“น้องห้า เลิกเอาแต่ใจตัวเองได้แล้ว”“ถ้าไม่อยากยั่วให้ท่านพ่อโมโหอีก ทางที่ดีเจ้าจงกลับไปอย่างว่าง่าย”เวินจื่อเฉินกับเวินจื่อเยวี่ยขวางนางเอาไว้หน้าคนหลังคนเวินเฉวียนเซิ่งออกคำสั่งเสียงเย็นชา “พาตัวไปแล้วขังเอาไว้ให้ดี ไม่มีคำสั่งของข้า ใครก็ห้ามปล่อยนางออกมา!”ในเวลานี้เอง ทันใดนั้นก็มีเสียงทุ้มต่ำและเกียจคร้านเสียงหนึ่งแว่วมาจากทางประตูใหญ่ “วันนี้จวนเจิ้นกั๋วกงช่างครึกครื้นยิ่งนัก”เมื่อทุกคนได้ยินเสียงก็หันหน้าไปมอง เห็นผู้ชายผมสีเงินหน้าตาหล่อเหลาราวกับเทพบุตรคนหนึ่งพากองทัพธงดำหลายนายก้าวเท้าเข้ามาในจวนกั๋วกง หรี่ดวงตาหงส์ กวาดสายตามองเวินเยวี่ยและคนอื่น ๆ ด้วยสายที่เต็มไปด้วยอำนาจเป่ยเฉินหยวนถาม “กำลังทำอะไรกันอยู่หรือ?”เวินฉางอวิ้นสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย พากันดึงเวินซื่อกับเวินเยวี่ยให้คุกเข่าทำความเคารพ“คารวะท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน”เวินเยวี่ยจ้องเป่ยเฉินหยวนตรง ๆ ดวงตาเปล่งประกายแวววาวเวินเฉวียนเซิ่งไม่ได้ทำความเคารพ เพียงแค่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยปากพูด “ที่แท้ก็เป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนมาเยือน แต่ว่าวั