“ซือไท่กับท่านพ่อของข้า?”เมื่อเวินซื่อได้ยินเช่นนี้ ตะลึงงันครู่หนึ่งเสี่ยวเต๋อจื่อเหมือนกำลังคุยเล่นเรื่องที่น่าสนใจ พลางชื่นชมพระอาทิตย์ขึ้นที่อยู่ซ้ายมือ พลางกล่าวกับเวินซื่อ“เรื่องนี้พูดถึงก็น่าสนใจ เมื่อก่อนม่อโฉวซือไท่ไม่เคยลงเขา และน้อยครั้งที่จะออกจากอารามซุ่ยเยว่ แต่ในปีที่คุณหนูห้าเกิด ม่อโฉวซือไท่สั่งให้คนส่งของขวัญแสดงความยินดีไปที่จวนเจิ้นกั๋วกง คนนอกจึงจะรู้ว่าที่แท้ม่อโฉวซือไท่ที่ไม่สนใจเรื่องทางโลกท่านนั้นรู้จักกับจวนเจิ้นกั๋วกง”“ทุกคนล้วนคิดว่าเพราะใต้เท้าเจิ้นกั๋วกง แต่หลังจากนั้นม่อโฉวซือไท่ก็ไม่เคยไปมาหาสู่กับจวนเจิ้นกั๋วกง กระทั่งวันที่ฮูหยินเจิ้นกั๋วกงป่วยหนักกำลังจะสิ้นใจ ม่อโฉวซือไท่รีบลงจากเขา และได้ส่งฮูหยินเจิ้นกั๋วกงครั้งสุดท้าย”“หลังจากฝังศพนาง ม่อโฉวซือไท่ด่าทอเจิ้นกั๋วกงว่าเป็นคนเนรคุณ ทำผิดต่อฮูหยินของเขาอย่างเกรี้ยวกราดต่อหน้าผู้คน อีกทั้งยังสาบานว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับคนของจวนเจิ้นกั๋วกงอีกเด็ดขาด”ตอนนั้นผู้คนจึงจะเข้าใจ ที่แท้คนที่ม่อโฉวซือไท่รู้จักไม่ได้เจิ้นกั๋วกง แต่รู้จักกับฮูหยินเจิ้นกั๋วกงเสี่ยวเต๋อจื่อกล่าวเบาๆ “คุณหนูห้า มารดาของท่
จื่อจวิน หลานจื่อจวิน คือชื่อจริงของแม่นางม่อโฉวซือไท่กับมารดาของนางรู้จักกันจริงๆ ด้วยเวินซื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเข้าใจผิด คิดว่านางคือมารดา จึงโน้มตัวคำนับ “ข้าน้อยชื่อเวินซื่อ คำนับม่อโฉวซือไท่เจ้าค่ะ” ม่อโฉวซือไท่ชะงักสีหน้าของนางกลับมาเย็นชาและใจร้ายทันที นางหมุนกายถือกล้วยไม้เข้าไปในอีกด้านของลานกว้างบนชั้นวางไม้ที่มีกล้วยไม้ต่างๆ ยังมีที่ว่างอีกหนึ่งทีหลังจากวางกระถางกล้วยไม้ในอ้อมแขนที่ดูเหมือนเพิ่งผ่านการตกแต่งลงไป ม่อโฉวเอ่ยปากอย่างเย็นชา พูดย้ำคำพูดเมื่อครู่อีกหนึ่งรอบ“ที่นี่ไม่ใช่วิหารของอาราม หากสีกาต้องการสักการะ เดินออกไปแล้วเลี้ยวขวาก็จะถึง”เวินซื่อจุๆ ในใจซือไท่ท่านนี้อคติกับสกุลเวินมากจริงๆ ด้วยคำพูดนี้ฟังเหมือนบอกทาง แต่ไม่ต่างอะไรกับไล่คนเลย“ซือไท่ วันนี้ข้าน้อยไม่ได้มาที่นี่เพื่อสักการะ แต่มีเรื่องอยาก…”“ในเมื่อไม่ได้มาเพื่อสักการะ เช่นนั้นสีกาก็เชิญกลับเถอะ อารามซุ่ยเยว่อยู่ห่างไกลจากเมืองหลวง ไม่เหมาะที่จะอยู่นาน”ก่อนที่เวินซื่อจะกล่าวจบ ม่อโฉวซือไท่ก็กล่าวขัดนางอย่างไม่เกรงใจแต่น่าเสียดาย วันนี้นางจะไม่ยอมแพ้จนกว่าจะบรรลุเป้าหมายเวินซื่อเ
พลันเวินซื่อตะลึงนางมองใบหน้าที่โกรธเกรี้ยวของซือไท่ อดไม่ได้ที่จะยิ้มในใจวันเกิดของนางคืออีกสองเดือนข้างหน้าจริงๆถ้าหากไม่มีการปรากฏตัวอย่างไม่คาดคิดของเวินเยวี่ย ตามกฎก็ควรจัดพิธีปักปิ่นให้นางในอีกสองเดือนข้างหน้าจริงๆแต่เพราะ ‘อยากจัดพิธีปักปิ่นพร้อมกับพี่หญิง’ คำเดียวของเวินเยวี่ย ท่านพ่อกับพวกพี่ชายของนางก็ไม่สนใจความเห็นของนาง บังคับให้นางจัดพิธีปักปิ่นล่วงหน้าสองเดือน พร้อมกับในวันเกิดเมื่อวานของเวินเยวี่ยนี่ก็คือบิดากับเหล่าพี่ชายที่แสนดีของนางแต่หลังจากเกิดใหม่ เวินซื่อไม่รู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้มีอะไรน่าแปลกใจแต่สิ่งที่ทำให้เวินซื่อคิดไม่ถึงคือ ม่อโฉวซือไท่ก็จำวันเกิดของนางได้อย่างชัดเจนนางได้รู้มาจากปากของเต๋อกงกงว่าม่อโฉวซือไท่เคยไปจวนเจิ้นกั๋วกงตอนที่นางเกิดก็จริงแต่ผ่านมาหลายปีเช่นนี้ก็ยังจำได้ คิดว่ามิตรภาพของมารดากับม่อโฉวซือไท่ในสมัยนั้นต้องแน่นแฟ้นมากแน่ๆ“ซือไท่ใจเย็นๆ ไม่จำเป็นต้องโกรธเพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้เจ้าค่ะ”ระหว่างคิ้วของเวินซื่ออ่อนโยนลงโดยไม่รู้ตัว นางกล่าวเตือน “ก็แค่พิธีปักปิ่น ตอนนี้ข้าน้อยไม่อยากอยู่บ้านสกุลเวินอีกแล้ว และข้าน้อยก็ไ
เพราะจู่ๆ คำพูดของม่อโฉวซือไท่ก็ทำให้นางพบว่า กล้วยไม้กระถางนี้ เป็นดอกไม้อวยพรพิธีปักปิ่นเพียงหนึ่งเดียวที่นางได้รับในตลอดสองชาตินางจ้องดอกกล้วยไม้เล็กๆ นั่น มองจนเหม่อลอยเล็กน้อยกล้วยไม้กระถางนี้ถูกตกแต่งอย่างดี มองปราดเดียวก็รู้ว่าได้รับการดูแลอย่างเอาใจใส่ทุกวัน นางเคยสังเกต ต่อให้เป็นกล้วยไม้ต้นอื่นๆ ที่อยู่ในลานก็สู้กระถางนี้ไม่ได้แต่เพราะเหตุใดม่อโฉวซือไท่จึงปลูกกล้วยไม้มากมายเช่นนี้ และเลือกกระถางที่ได้รับการดูแลดีที่สุดให้นางล่ะ?เพียงเพราะชอบกล้วยไม้หรือ?หรือเพราะสาเหตุอื่น…?กล้วย…กล้วยไม้[1] หลานจื่อจวิน…หรือเป็นเพราะท่านแม่?จู่ๆ เวินซื่อก็นำไปเชื่อมโยงกับมารดาของตัวเอง รู้สึกประหลาดใจกับการคาดเดานี้เล็กน้อยตกลงซือไท่กับมารดาเกี่ยวข้องกันอย่างไร? แล้วตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่?เวลานี้ เวินซื่ออยากรู้มากนางกัดฟัน กล่าวกับข้างนอก “เต๋อกงกง หยุดรถก่อน”การเดินทางกลับค่อนข้างเร็ว ตอนที่จอดรถม้า ก็ได้มาถึงเชิงเขาของภูเขาหนานแล้วเวินซื่อกอดกล้วยไม้กระถางนั้นลงจากรถม้าอีกครั้ง นางเงยหน้ามองทางขึ้นเขาแวบหนึ่ง สูงมาก“คุณหนูห้ามีของอะไรลืมไว้ที่อารามซุ่ยเย
เมื่อคนผู้นั้นกล่าวเช่นนี้ มีหลายคนที่พยักหน้าเห็นด้วยอย่างยิ่งทันที“ต้องใช้แน่ๆ เวินซื่อเพิ่งถูกชุยซื่อจื่อถอนหมั้นเมื่อวาน วันนี้ก็หนีมาเรียกร้องความสนใจที่ภูเขาหนานแล้ว”“เกรงว่าไม่รู้ไปได้ยินมาจากที่ใด รู้ว่าวันนี้พวกเราจะมาเที่ยวชมธรรมชาติที่ภูเขาหนาน ดังนั้นจึงจงใจมาแสดงละครให้พวกเราดูที่นี่”แต่ก็บังเอิญเช่นกัน กลุ่มคนที่พูดล้วนเป็นเหล่าคุณชายที่ปกติค่อนข้างมีความใกล้ชิดกับชุยเส้าเจ๋อเดิมทีวันนี้พวกเขานัดกันมาเที่ยวชมธรรมชาติที่ภูเขาหนาน แต่เมื่อวานชุยเส้าเจ๋อทำให้จวนเจิ้นกั๋วกงอับอายต่อหน้าผู้คนกับเรื่องถอนหมั้น จึงถูกจงหย่งโหวขังไว้ในบ้าน ไม่อนุญาตให้ออกมาดังนั้นวันนี้จึงมีเพียงพวกเขาไม่กี่คนแน่นอนว่าเวินซื่อก็สังเกตเห็นพวกเขาแล้วเช่นกันแต่นางเลือกที่จะมองข้ามอย่าว่าแต่พวกเขาเลย วันนี้ต่อให้ชุยเส้าเจ๋อมาก็อย่าคิดจะขวางนางด้วยความสัมพันธ์ของชุยเส้าเจ๋อ คุณชายเหล่านั้นไม่แม้แต่จะเที่ยวชมธรรมชาติแล้ว พวกเขายืนจ้องเวินซื่อที่ริมทางทั้งเช่นนี้ มองดูนางกราบไหว้ตั้งแต่เชิงเขาขึ้นไปข้างบนแรกเริ่มคนทั้งกลุ่มยังเยาะเย้ยถากถางไม่หยุด แต่หลังจากผ่านไปหนึ่งเค่อ ผ่านไปหน
ม่อโฉวซือไท่มองเขาอย่างเย็นชาแวบหนึ่งสีหน้าเสี่ยวเต๋อจื่อไม่เปลี่ยน “คุณหนูห้าพยายามเช่นนี้ คิดว่านางก็อยากรู้คำตอบที่ชัดเจนเช่นกันขอรับ”ม่อโฉวซือไท่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งท้ายที่สุดนางค่อยๆ เอ่ยปาก “ในเมื่อนางมีความตั้งใจเช่นนี้ ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ฝ่าบาทเลือกนาง เช่นนั้นก็ให้นางมาเถอะ”อย่างน้อยอยู่ในอารามสุ่ยเยว่เล็กๆ แห่งนี้ ก็ไม่มีใครรังแกนางเสี่ยวเต๋อจื่อจึงจะเผยให้เห็นรอยยิ้มที่พึงพอใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ รบกวนม่อโฉวซือไท่ดูแลคุณหนูห้าให้ดี บ่าวขอตัวกลับไปรายงานภารกิจก่อนแล้วขอรับ”……ครั้งนี้เวินซื่อนอนหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆรอนางฟื้นคืนสติอีกครั้ง ก็เป็นช่วงบ่ายของวันที่สองแล้วมองดูสภาพแวดล้อม เหมือนยังอยู่ในอารามสุ่ยเยว่ขณะที่นางกำลังจะลุกขึ้น มีเสียงตำหนิที่เย็นชาดังมาจากประตู “อย่าขยับ นอนคว่ำอยู่อย่างนั้นแหละ”เมื่อเวินซื่อได้ยินก็รู้ว่าเป็นเสียงของม่อโฉวซือไท่ นางรีบนอนลงทันที ไม่กล้าขยับอีกหลังจากม่อโฉวเข้าไปก็เปลี่ยนยาที่แผลบนหลังให้นางก่อน“บาดแผลนี้ พ่อเจ้าเป็นคนตีหรือ?”เสียงของนางเย็นชามาก สีหน้าก็น่ากลัวมากเช่นกัน เวินซื่อกลัวจนยอมตอบแต่โ
“เจ้าบอกมาดีๆ สองวันก่อนเจ้าเข้าวังไปขอร้องฝ่าบาทใช่หรือไม่?!”ชุยเส้าเจ๋อกระโดดลงจากรถม้าด้วยความโมโห เดินเข้าไปตะคอกถามใส่หน้าเวินซื่ออย่างฉับไวเวินซื่อขมวดคิ้วเบาๆ “ข้าเข้าวังหลวงจริง แต่เกี่ยวอะไรกับ…”“ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าไม่มีทางละทิ้งความคิดชั่วๆ ของเจ้า!”เมื่อชุยเส้าเจ๋อได้ยินนางยอมรับ ก็ไม่รอให้นางกล่าวจนจบ และยังตะคอกใส่หน้านางด้วยสีหน้าเย็นชารังเกียจโดยตรง “เจ้าคิดว่าเจ้าไปขอร้องฝ่าบาท ก็ทำให้ข้ายกเลิกการถอนหมั้นได้แล้วหรือ? ข้าจะบอกให้นะ ไม่มีทาง!”“ข้าบอกแต่แรกแล้ว ชาตินี้ข้าชุยเส้าเจ๋อจะไม่แต่งงานกับผู้หญิงอำมหิตเยี่ยงเจ้าเด็ดขาด ต่อให้ฝ่าบาทมีพระราชโองการด้วยพระองค์เอง ข้าก็ไม่มีทางให้เจ้าสมใจ!”ในใจเวินซื่อหนาวเหน็บนางรู้สึกว่าชุยเส้าเจ๋อตลกมาก “ใช่ ข้าเข้าวังจริง แต่เจ้าเอาอะไรมาคิดว่าข้าเข้าวังเพราะเจ้า?”“เจ้ายังคิดจะแถอีก! เยวี่ยเอ๋อร์เล่าคำพูดที่เจ้าพูดกับนางให้ข้าฟังหมดแล้ว!”ขณะที่ชุยเส้าเจ๋อถามเวินซื่อ เวินเยวี่ยก็ลงมาจากรถม้าที่อยู่ข้างหลังเขาเวินเยวี่ยไม่อยู่บ้านสกุลเวิน กลับนั่งรถม้ากลับมากับชุยเส้าเจ๋อแทนมองปราดเดียวก็รู้ว่าไปหาชุยเส้าเจ๋อโด
สิ่งที่เวินเยวี่ยชอบไม่ได้พิศวาสตัวตนของชุยเส้าเจ๋อ แต่เป็นฐานะของเขาต่างหากชาติที่แล้วนางจำได้อย่างชัดเจน ต่อมาชุยเส้าเจ๋อเพราะไม่เห็นใครอยู่ในสายตา หลังจากล่วงเกินคนที่ไม่ควรล่วงเกินแล้ว ก็ถูกหักหาทั้งสองข้าง กลายเป็นคนพิการและก็เป็นครั้งนั้นเอง เวินเยวี่ยทิ้งเขาอย่างไม่ลังเล“พี่หญิงห้าไม่ต้องพูดแล้ว ท่านจะด่าก็ด่าข้าเถอะ อย่าด่าพี่เส้าเจ๋อได้หรือไม่?”เวินเยวี่ยรู้สึกว่าช่วงสองวันนี้ เวินซื่อเหมือนกินยาผิด ผิดปกติมากขึ้นทุกทีเมื่อเห็นนางยังคิดจะแฉตัวเอง เวินเยวี่ยใช้แผนซ้อนแผน แสร้งทำตัวน่าสงสารทันทีชุยเส้าเจ๋อหลงกลอย่างที่คาด“เจ้าเลิกมายุแยงพวกเราได้แล้ว!”ชุยเส้าเจ๋อไม่เชื่อคำพูดของเวินซื่อเลย เขาป้องเวินเยวี่ยไว้ข้างหลัง กล่าวด้วยความโกรธ “เยวี่ยเอ๋อร์ไม่เหมือนเจ้า นางเป็นคนจิตใจดีไร้เดียงสา และยิ่งไม่มีพิษมีภัย นางดีกว่าเจ้าเป็นพันเท่าหมื่นเท่า ผู้หญิงที่จิตใจอำมหิตเช่นเจ้าไม่มีวันเทียบนางได้!”เวินซื่อเหลือบเห็นอะไรบางอย่างอย่างตาดี ครู่ต่อมานางก็เหวี่ยงฝ่ามือไปหาชุยเส้าเจ๋ออีกครั้ง“เพียะ!”ตบซ้ายตบขวาข้างละที ตบจนชุยเส้าเจ๋อหน้าบวมคราวนี้ทำเอาชุยเส้าเจ๋อโกร
ในเวลานี้เอง…“แย่แล้ว! แย่แล้ว!คนรับใช้วิ่งออกมาอย่างรีบร้อนแล้วพูดด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “คุณชายรอง คุณชายสาม ป้าย...ป้ายวิญญาณของฮูหยินหายไปแล้วเจ้าค่ะ!”เวินจื่อเฉินกับเวินจื่อเยวี่ยสีหน้าเปลี่ยนไปทันที“อะไรนะ?! พวกเจ้าแต่ละคนทำงานกันอย่างไร? ป้ายวิญญาณที่โถงบรรพชนหายไปพวกเจ้ายังไม่รู้อีก?!”“ใครจะเอาป้ายวิญญาณของท่านแม่ไปได้?”เวินจื่อเยวี่ยขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัยแต่ทันใดนั้นเวินจื่อเฉินกลับคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ สองพี่น้องหันหน้าไปมองกัน กล่าวด้วยความตกใจและโมโห “หรือว่าจะเป็น...เวินซื่อ?!”“ไม่คิดเลยว่าแม้แต่ป้ายวิญญาณของท่านแม่ นางก็จะนำไปด้วย!”เวินจื่อเฉินเกรี้ยวกราด “นางเป็นหัวขโมยแท้ ๆ เลย! นางมีสิทธิ์อะไรนำป้ายวิญญาณของท่านแม่ไป!”สีหน้าของเวินจื่อเยวี่ยดูแย่มากเช่นเดียวกัน เขารู้สึกว่าน้องสาวคนนี้เป็นคนไม่มีเหตุผลเอามากขึ้น!นางออกบวชเป็นแม่ชีโดยไม่ได้รับการยินยอมจากท่านพ่อ ทำเรื่องให้สกุลเวินอับอายขายขี้หน้าก็ช่างเถอะ ไม่คิดเลยว่าตอนนี้ยังขโมยป้ายวิญญาณของท่านแม่ไปอีก!“สารเลว! ข้าก็ว่าแล้ว เมื่อวานนางเอาแต่ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ ทำอะไร ถ้ารู้แต่แรกข้าก็ควรจับต
ทันทีที่เวินเยวี่ยพูดออกไปก็ได้รับคำชมเชยจากเวินจื่อเฉินและคนอื่น ๆ ทันที“ท่านพ่อ น้องหกพูดถูก พวกเราทุกคนไม่สะดวกไปที่อารามสุ่ยเยว่จริง ๆ แต่ถ้าน้องหกไป ซือไท่ที่นั่นจะไม่มีเหตุผลขวางนาง”เวินเฉวียนเซิ่งพยักหน้า “เจ้าหกช่างรู้ใจเหลือเกิน ยกเรื่องนี้ให้เจ้าไปจัดการก็แล้วกัน”เวินเยวี่ยตบแผ่นอกทันทีพร้อมกล่าว “ท่านพ่อวางใจ เยวี่ยเอ๋อร์จะพาตัวพี่หญิงห้ากลับมาให้ได้เจ้าค่ะ!”เวินจื่อเฉินกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “น้องหกลงสนามรบ จะต้องสำเร็จแน่นอน!”“ถูกต้อง ๆ น้องหกจิตใจดีทั้งยังน่ารักขนาดนี้ ไปที่อารามสุ่ยเยว่บรรดาซือไท่จะต้องชื่นชอบอย่างแน่นอน”“ถึงเวลานั้นค่อยช่วยน้องหกพูดโน้มน้าวน้องห้า ไม่แน่ว่าน้องห้าอาจจะกลับมาก็ได้!”ก้นบึ้งหัวใจของเวินเยวี่ยรู้สึกดูถูกนางไม่ต้องการได้รับความชื่นชอบจากพวกแม่ชีเฒ่าพวกนั้นอัปมงคลแต่ว่าบนใบหน้าของนางยังคงรักษารอยยิ้มที่ไร้เดียงสาไร้พิษภัยเอาไว้เช่นเดิม บางครั้งยังทำท่าทางเขินอายจนหน้าแดงเพราะถูกชม ท่าทางแบบนั้นทำให้คนอื่นมองความคิดที่แท้จริงภายในใจของนางไม่ออกเลยแม้แต่นิดเดียวในตอนที่เวินจื่อเฉินพวกเขาชื่นชมเวินเยวี่ยไม่หยุดปากเวินฉางอวิ้นท
เวินซื่อรู้สึกรังเกียจตนเองอยู่เงียบ ๆ ครู่หนึ่งบัดนี้นางเป็นคนที่ออกบวชแล้ว ไม่ควรจะมีความคิดที่เกินเลยใด ๆหลังจากคิดได้เช่นนี้ หัวใจของเวินซื่อก็สงบนิ่งราวกับสายน้ำไม่ไหวติงอย่างรวดเร็ว“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรบกวนท่านอ๋องอีกครั้งแล้ว”“ข้ายังมีสัมภาระที่ต้องจัดการอีก ไม่รบกวนเวลาของท่านอ๋องแล้ว ท่านอ๋องเดินทางปลอดภัย”หลังจากที่เวินซื่อยิ้มออกมาเล็กน้อย ก็หันหลังแล้วเดินกลับไปในอารามหลังจากที่ร่างกายอันผ่ายผอมของนางเดินหายเข้าไปในซุ้มประตูวงพระจันทร์ เป่ยเฉินหยวนถึงได้หันหลังกลับและออกจากอารามสุ่ยเยว่ตอนที่เขาออกไป เวินฉางอวิ้นยังคงเฝ้าอยู่ที่ด้านนอกประตูใหญ่ทันทีที่เห็นเป่ยเฉินหยวนเดินออกมา เวินฉางอวิ้นก็รีบก้าวเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว กล่าวถามอย่างร้อนใจ “ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน น้องห้าล่ะ? น้องห้านางไม่ได้ออกมากับท่านหรือพ่ะย่ะค่ะ?”กองทัพธงดำขวางเขาให้ห่างออกไปสามก้าวเป่ยเฉินหยวนกวาดสายตามองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยแวบหนึ่ง “แน่นอนว่านางไม่ได้ออกมาด้วย เพราะตอนนี้นางได้เป็นแม่ชีน้อยอยู่ในอารามสุ่ยเยว่แล้ว”เมื่อเวินฉางอวิ้นได้ยินดังนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที “อะไรนะพ่ะย่
วินาทีนั้น ในใจของนางราวกับมีเสียงของเชือกตึงขาดสะบั้นดังขึ้นราวกับว่าพันธนาการบนตัวหายไปหมดสิ้น ในที่สุดนางก็หลุดพ้นจากสถานที่ที่ทำให้นางต้องทุกข์ทรมานมาสองชาตินั่นเสียทีน้ำตาหยดหนึ่งค่อย ๆ ไหลออกมาจากบริเวณหางตาของนางเป่ยเฉินหยวนจ้องมองนางด้วยความตกตะลึงต่อให้เวลาจะผ่านไปหลายปี เขาก็จะไม่สามารถลืมฉากนี้ได้อย่างเด็ดขาดอยู่ในสนามรบเขาเคยแต่เห็นการเข่นฆ่าและความตายมากมายนับไม่ถ้วน ทุกครั้งล้วนมีความรู้สึกที่แตกต่างกัน แต่เทียบไม่ได้กับอารมณ์ที่หวั่นไหวของเขาในขณะนี้นัยน์ตาที่เต็มไปด้วยการเข่นฆ่านองเลือดคู่นั้น สะท้อนภาพของพระพุทธรูปทองคำและสาวน้อยภาพนั้นคือแสงแห่งพุทธะสาดส่อง ราวกับได้ไถ่บาปและเหมือนกับว่าสาวน้อยได้เกิดใหม่......ตอนที่เป่ยเฉินหยวนออกไป เวินซื่อได้มาส่งเขาที่บริเวณประตูใหญ่นางไม่ได้เข้าใกล้ประตูใหญ่ เพียงแค่ยืนพนมมือสองข้างอยู่บริเวณไม่ไกล พยักหน้าเล็กน้อยเป็นการทำความเคารพ“วันนี้ต้องขอขอบคุณท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนมาก”ถ้าหากไม่ได้เป่ยเฉินหยวนช่วยเหลือ เกรงว่านางคงจะไม่ได้ออกจากสกุลเวินง่ายดายขนาดนี้ต่อให้ออกจากสกุลเวินแล้ว ก็มีความเป็นไปได้
หนทางตอนหลังขรุขระอย่างยิ่งดังคาดโดยเฉพาะรถม้าที่เคลื่อนตัวด้วยความเร็วเต็มพิกัด หลายครั้งที่เกือบจะทำให้เวินซื่อที่อยู่ในห้องโดยสารกระเด็นออกไปแต่นี่ก็คือความต้องการของนางอยู่แล้วดังนั้นแม้ว่าจะกระแทกจนเจ็บแผลที่แผ่นหลัง นางก็ต้องกัดฟันทน ไม่ส่งเสียงร้องสักแอะขบวนรถม้าที่เคลื่อนตัวด้วยความเร็วเต็มพิกัดเร็วมากอย่างที่คิดไว้ ครั้งก่อนที่นั่งรถม้าของเต๋อกงกงใช้เวลาหนึ่งชั่วยามกว่าจะถึงภูเขาหนาน แต่ครั้งนี้ใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้น รถม้าที่โคลงเคลงตลอดทางก็หยุดลงอย่างกะทันหัน ด้านนอกมีเสียงเตือนของเป่ยเฉินหยวนดังลอยมา...“ถึงแล้ว”เวินซื่อถูกกระเทือนจนมึนงงเล็กน้อยหลังจากที่นางนั่งพักครู่หนึ่ง ถึงได้เลิกผ้าม่านขึ้นแล้วเดินลงไปแบบตุปัดตุเป๋เป่ยเฉินหยวนอยู่บนหลังม้า ก้มมองนางที่ลงจากรถม้าอย่างระมัดระวัง ในมือของเขาถือบังเหียน ไม่ได้พูดว่าจะเข้าไปช่วยประคองอะไรถึงอย่างไรก็กำลังมองเวินซื่อ ดูนางจัดแจงท่าทางให้เรียบร้อย หลังจากที่ทรงตัวบนพื้นอย่างมั่นคงแล้วจึงกล่าว “ตามพระบัญชาของฝ่าบาท ข้าจะเข้าไปกับเจ้า ดูเจ้าออกบวชเป็นแม่ชีอย่างเป็นทางการด้วยตาของตนเองจึงจะกลับ ดัง
ตอนที่ออกมาจากห้องทรงพระอักษร สีหน้าของเวินเฉวียนเซิ่งและเวินฉางอวิ้นสองคนพ่อลูกอึดอัดใจเล็กน้อยเวินฉางอวิ้นถอนหายใจ “ท่านพ่อ นี่เป็นความผิดของข้าเอง เป็นเพราะข้าควบคุมน้องห้าไม่ดี”เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจเล็กน้อยคาดว่าที่เวินซื่อยืนกรานอยากจะออกบวชเป็นแม่ชีขนาดนั้น มีความเป็นไปได้ว่าอาจเป็นเพราะวันนั้นเขาเฆี่ยนตีนางรุนแรงจนเกินไปจริง ๆการเฆี่ยนด้วยแส้ห้าสิบที หากในใจของน้องห้าจะมีความเคียดแค้นก็เป็นเรื่องปกติเพียงแต่น้องห้าช่างไม่ประสีประสาเอาเสียเลยในเมื่อนางรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ แล้วเหตุใดจึงไม่ยอมพูดออกมาตรง ๆ?จะต้องก่อเรื่องให้วุ่นวายใหญ่โตขนาดนี้ให้ได้ถึงจะพอใจแม้เมื่อครู่นี้ฮ่องเต้น้อยได้กล่าวชี้นำบ้างแล้ว เหมือนกับว่าเวินฉางอวิ้นก็ยังไม่ได้ตระหนักถึงเหตุผลที่แท้จริงที่เวินซื่ออยากจะออกจากสกุลเวินแม้แต่เวินเฉวียนเซิ่งก็เช่นเดียวกันเขาโบกมืออย่างเฉยชา “นี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้า เป็นเพราะเมื่อก่อนพวกเราตามใจนางมากเกินไป ตามใจจนนางไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ถึงได้กล้าพูดเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ออกมา”“แต่โชคดีที่สุดท้ายแล้วฝ่าบาทยังทรงเห็นแก่หน้าของท่านพ่อถึงได้ให้โอกา
ภาวนาให้ชาติหน้าท่านแม่ไม่ต้องมาพบเจอกับคนใดคนหนึ่งของสกุลเวินอีก!ในไม่ช้า เวินซื่อก็กลับมาที่ลานด้านหน้าของจวนเจิ้นกั๋วกงเมื่อเห็นเป่ยเฉินหยวนเหมือนกับว่ารอจนใกล้หมดความอดทนแล้ว นางรีบเดินไปข้างหน้าแล้วกล่าว “ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน หม่อมฉันเก็บของเสร็จเรียบร้อยแล้วเพคะ”“ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ”เป่ยเฉินหยวนลุกขึ้นแล้วก็เดินไปเวินซื่อรีบเดินตามเวินจื่อเฉินและคนอื่น ๆ พยายามจะก้าวไปข้างหน้า แต่ดาบของกองทัพธงดำไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม!เมื่อเห็นว่าเวินซื่อกำลังจะออกไปกับเป่ยเฉินหยวนจริง ๆ เวินจื่อเฉินอดไม่ได้ที่จะตะโกนเสียงดังขึ้นมา “เวินซื่อ! เจ้าไปแบบนี้ เจ้าไม่รู้สึกละอายใจต่อท่านพ่อกับพวกเราหรือ? เจ้าไม่กลัวว่าสักวันหนึ่งจะต้องเสียใจอย่างนั้นหรือ?!”เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ เวินซื่อหันหน้ากลับไปมองเขา กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง “ข้าเวินซื่อไม่เคยผิดต่อพวกท่านคนใดมาก่อน วันข้างหน้าก็ไม่มีทางเสียใจเด็ดขาด”พูดจบ นางก็ขึ้นไปนั่งบนรถม้าเป่ยเฉินหยวนพลิกตัวขึ้นม้า นำทัพอยู่ด้านหน้าเขาตะโกนออกมา ‘ไป’ แล้วก็พากองทัพธงดำที่คุ้มกันขบวนรถม้าออกเดินทาง มุ่งหน้าไปย
“เจิ้นกั๋วกงไม่ต้องเป็นห่วง”กองทัพธงดำยกเก้าอี้ตัวหนึ่งมาให้เป่ยเฉินหยวน เขานั่งลงที่เดิม กล่าวด้วยท่าทีสบาย ๆ “คนใต้บังคับบัญชาของข้าล้วนเป็นยอดฝีมือที่เคยสังหารข้าศึกศัตรูในสนามรบมานับไม่ถ้วน เรื่องการชักดาบนี้พวกเขารู้จักพอเหมาะพอควรที่สุด ขอเพียงท่านกับลูกชายของท่านไม่ทำให้พวกเราเสียเวลาทำงาน พวกเขาย่อมไม่มีทางทำร้ายใครจริง ๆ”ความหมายแฝงก็คือ หากวันนี้พวกเจ้ากล้าขัดขวาง ถ้าอย่างนั้นก็อย่าหาว่าคนของเขาลงมือเวินเฉวียนเซิ่งรู้ว่าเป่ยเฉินหยวนชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่มาแต่ไหนแต่ไรแต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะกล้ามาใช้อำนาจบาตรใหญ่ที่จวนเจิ้นกั๋วกง!เวินเฉวียนเซิ่งสีหน้าเย็นยะเยือก “เวินซื่อเป็นบุตรสาวของข้า นางไม่ได้รับความเห็นชอบของข้าด้วยความวู่วามจึงไปทูลขอฝ่าบาทออกบวชเป็นแม่ชี บัดนี้ข้าจะให้นางไปทูลขอให้ฝ่าบาทยกเลิกราชโองการ ทูลฝ่าบาทว่านางไม่ไปแล้ว ดังนั้นก็ไม่จำเป็นต้องให้ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนมาคุ้มกันนางไปยังอารามสุ่ยเยว่อีก”เป่ยเฉินหยวนหันไปมองเวินซื่อที่หยุดชะงักฝีเท้า ถามนางด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “นี่คือความต้องการของเจ้าหรือ?”“ไม่ใช่เพคะ”เวินซื่อปฏิเสธอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต
ผ่านไปไม่นานนัก เวินซื่อก็ถูกพวกเขาไล่ตามทันจนได้“น้องห้า เลิกเอาแต่ใจตัวเองได้แล้ว”“ถ้าไม่อยากยั่วให้ท่านพ่อโมโหอีก ทางที่ดีเจ้าจงกลับไปอย่างว่าง่าย”เวินจื่อเฉินกับเวินจื่อเยวี่ยขวางนางเอาไว้หน้าคนหลังคนเวินเฉวียนเซิ่งออกคำสั่งเสียงเย็นชา “พาตัวไปแล้วขังเอาไว้ให้ดี ไม่มีคำสั่งของข้า ใครก็ห้ามปล่อยนางออกมา!”ในเวลานี้เอง ทันใดนั้นก็มีเสียงทุ้มต่ำและเกียจคร้านเสียงหนึ่งแว่วมาจากทางประตูใหญ่ “วันนี้จวนเจิ้นกั๋วกงช่างครึกครื้นยิ่งนัก”เมื่อทุกคนได้ยินเสียงก็หันหน้าไปมอง เห็นผู้ชายผมสีเงินหน้าตาหล่อเหลาราวกับเทพบุตรคนหนึ่งพากองทัพธงดำหลายนายก้าวเท้าเข้ามาในจวนกั๋วกง หรี่ดวงตาหงส์ กวาดสายตามองเวินเยวี่ยและคนอื่น ๆ ด้วยสายที่เต็มไปด้วยอำนาจเป่ยเฉินหยวนถาม “กำลังทำอะไรกันอยู่หรือ?”เวินฉางอวิ้นสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย พากันดึงเวินซื่อกับเวินเยวี่ยให้คุกเข่าทำความเคารพ“คารวะท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน”เวินเยวี่ยจ้องเป่ยเฉินหยวนตรง ๆ ดวงตาเปล่งประกายแวววาวเวินเฉวียนเซิ่งไม่ได้ทำความเคารพ เพียงแค่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยปากพูด “ที่แท้ก็เป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนมาเยือน แต่ว่าวั