ครั้งก่อนสวรรค์ให้โอกาสเกิดใหม่ในร่างทารกวัยสองขวบ กระทั่งถูกใส่ร้ายจนต้องโทษประหาร หนนี้นางได้ย้อนกลับมาในวัยสิบหก บุรุษผู้นั้นนับเป็นฝันร้ายที่มิอาจลืม นางจะขอเมินเขาเพื่อหลีกหนีวังวนเดิมที่เลวร้าย!
View Moreเสี่ยวไป๋ซึ่งนิ่งเงียบอยู่นานก็พลันเบิกตากว้าง เด็กหนุ่มส่ายศีรษะพัลวัน "ท่านอาจารย์ ไม่ขอรับ ทั้งหมดเป็นความผิดของข้า ข้ายินดีรับมันแต่เพียงผู้เดียว"ฟู่ซูหนิงกระซิบ "เสี่ยวไป๋ไม่ต้องกังวล อาจารย์เจ้าหลบแส้เก่งยิ่งกว่าอะไรเจ้าก็รู้"เสี่ยวไป๋หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก อาจารย์ของเขาถึงกับยกเรื่องที่มักถูกท่านตาทำโทษ แล้ววิ่งหลบเป็นกระต่ายมาปลอบใจเขา"ท่านอาจารย์แต่..."ฟู่ซูหนิงส่ายหน้า "ไม่ต้องแต่...ข้าจัดการได้ รับรองเราไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน"ที่นางมั่นใจเพียงนี้เพราะฟู่ซูหนิงรู้ดีว่าฉืออิ้งเทียนไม่มีทางปล่อยนางและศิษย์ให้คลาดสายตาเป็นแน่ ยิ่งอยู่ในตำหนักเขาแล้ว ราวกับมีกล้องวงจรปิดจากยุคที่นางจากมาติดไว้ทั่วตำหนักเชียวล่ะ"กุ้ยเฟยเพคะ นางกำลังท้าทายอำนาจของท่าน หากปล่อยนางไปก็จะยิ่งเหิมเกริมไม่เชื่อฟัง เพิ่งมาวันเดียวก็ปีกกล้าขาแข็ง อยู่ในวังหลวงแท้ ๆ แต่งกายยังไม่เคารพสถานที่เลย นางเข้ามาในสถานะหมอของชินอ๋อง แต่งกายมอซอเช่นนี้รู้ถึงไหนอายไปถึงนั่น"ฟู่ซูหนิงแค่นยิ้ม "ก็พวกข้าเป็นหมอบ้าน ๆ มาจากบ้านนอกไร้เงินทองและอำนาจ ท่านหญิงหวั
ฟู่ซูหนิงและซิ่วกุ้ยเฟยมาถึงที่เกิดเหตุก็พบว่าเสี่ยวไป๋ถูกผู้ติดตามรั่วรั่วสองนางพันธนาการแขนเอาไว้คนละฝั่ง ใบหน้าของเสี่ยวไป๋เหยเก เพราะรู้สึกอึดอัดและเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง เข่าของเขาถูกบังคับให้คุกเข่าลงจนปวดหนึบไปหมด"เสี่ยวไป๋!""ทะ...ท่านอาจารย์"ฟู่ซูหนิงถลาเข้ามา หมายประคองเสี่ยวไป๋ด้วยความเร่งร้อน "ปล่อยศิษย์ของข้าเดี๋ยวนี้!"สาวรับใช้สองนางซึ่งยืนขนาบข้างคุมแขนเสี่ยวไป๋มองหน้ากันหลุกหลิก ก่อนผินมองสีหน้าบอกบุญไม่รับของรั่วรั่วเสียงแหลมโพล่งขึ้น "อ้อ...เด็กนี่เป็นศิษย์ของเจ้าสินะ คนทำผิดก็ต้องได้รับโทษ เจ้าอย่าได้มายุ่ง"ฟู่ซูหนิงตวัดตามองฉับ "ผิดรึ ศิษย์ของข้าทำผิดเรื่องใด หากเขาผิดจริงพวกเรายินดีรับโทษโดยไร้ข้อกังขา""ศิษย์ของเจ้า เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ กล้าชนข้าไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ" รั่วรั่วเชิดคอตั้งตรง ทว่าเมื่อเห็นกุ้ยเฟยยืนไม่ห่าง นางจึงสาวเท้าเข้าหาจากนั้นยอบกายอย่างนอบน้อม"ถวายพระพรกุ้ยเฟยเพคะ"ซิ่วกุ้ยเฟยพยักหน้า "ไปอย่างไรมาอย่างไร จึงได้เกิดเรื่อง
"ฟู่ซูหนิงถวายพระพรกุ้ยเฟยเพคะ"ซิ่วกุ้ยเฟยกวาดสายตามองฟู่ซูหนิงตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า พลางเหลือบมองนางกำนัลคนสนิทที่ยามนี้ส่งยิ้มแหยด้วยความจนใจ"หมอฟู่ ข้าไม่คิดมาก่อนว่าเจ้าจะเป็นเพียงสตรีตัวเล็ก ๆ ซ้ำอายุยังน้อย การแต่งเนื้อแต่งตัวสกปรกมอมแมม แต่สามารถรักษาดวงตาของโอรสข้าได้จนหายดี""เดิมทีเป็นเพียงความบังเอิญ ท่านอ๋องชะตายังไม่ถึงฆาตเท่านั้นเพคะ คงนับว่าเป็นโชคดีของท่านอ๋องเองกระมัง""เหอะ! ก็ดี ชินอ๋องมีบุญญาธิการสูงส่ง เจ้าคงรู้ว่าที่ฝ่าบาทเรียกเจ้าเข้าวังเพราะเรื่องใด อย่าได้คิดเอาเต้าไต่เพื่อให้ได้เคียงข้างลูกชายข้า หรือคิดอยากนั่งกินนอนกินบนกองเงินกองทองด้วยทางลัดเล่า"ฟู่ซูหนิงงุนงง นางมาได้เพียงวันเดียวก็ถูกกล่าวหาว่าจะใช้เต้าไต่แล้วงั้นหรือ ฟู่ซูหนิงแหงนหน้าขึ้นแช่มช้า กระทั่งเห็นสีหน้ากุ้ยเฟยซึ่งยังจ้องนางเขม็งราวจะกินเลือดกินเนื้อก็พลันฉีกยิ้มกว้าง"กุ้ยเฟยไม่ต้องกังวลพระทัยไปเพคะ หม่อมฉันเป็นหมอ ก็ต้องทำหน้าที่หมอ หาได้มีเต้าให้ไปไต่ผู้ใดเพื่อเงินทองและความสบาย"คิดว่าเป็นชายาชินอ๋องจะได้อยู่อย่างผาสุกงั้นหรือ ทั้งศึก
แม้ฟู่ซูหนิงรู้สึกโมโหที่ถูกฉืออิ้งเทียนขโมยจูบ แต่เพราะนางก็เผลอใจไปกับเขาจึงไม่อยากติดใจเอาความ ถือเสียว่าตอบแทนที่เขาช่วยชีวิตก็แล้วกัน อย่าหวังได้ใจว่าจะมีครั้งต่อไปฟู่ซูหนิงกลับมาสนใจบาดแผลซึ่งเรื้อรังมานานบนแผ่นหลังกว้าง คาดไม่ถึงว่ารอยกลางหลังของเขาจะใหญ่โตจนน่าหวาดผวา ระหว่างนั่งทำแผลก็มิได้มีบทสนทนาใดเพิ่ม ทว่าความเงียบงันกลับเป็นเหตุให้คนทั้งสองได้ยินเสียงหัวใจของตนที่กำลังกระเพื่อมขึ้นลงอย่างบ้าระห่ำ ฉืออิ้งเทียนไม่อยากคาดคั้นฟู่ซูหนิงไปมากกว่านี้ เขาเพียงเดินมาส่งนางกลับหอนอนอย่างเงียบ ๆ ก็เพียงเท่านั้นต้นยามเหม่า [1] ร่างระหงนอนกระสับกระส่ายบิดกายไปมาไม่เป็นอันหลับนอนเพราะฟู่ซูหนิงเอาแต่นึกถึงคำพูดที่ฉืออิ้งเทียนสารภาพว่าชมชอบนางตลอดทั้งคืน หนำซ้ำเขายังฝากรสสัมผัสจากริมฝีปากเอาไว้เสียจนฟู่ซูหนิงเจียนคลั่ง พลันเลิกผ้าคลุมผ้าราวคนเสียสติตลอดทั้งราตรีก๊อก ก๊อกเช้าแล้วหรือนี่ เฮ้อ...ยังไม่ได้นอนเลย ขอบตาคงดำเป็นหมีแพนด้าไปแล้วแหงฟู่ซูห
ฉืออิ้งเทียนอึ้งงันชั่วขณะ มือของเขาไพล่อยู่ทางเบื้องหลังด้วยท่วงท่าสบายอารมณ์ ริมฝีปากได้รูปยกขึ้นจาง ๆ "บาดแผลเล็กน้อย เจ้าไม่ต้องกังวล ไม่กี่วันก็คงหาย""แต่เมื่อครู่ หม่อมฉันได้ยินว่า พระองค์ได้บาดแผลตั้งแต่อยู่ที่หมู่บ้านฮุ่ยเหอเพราะช่วยเหลือหม่อมฉัน พระองค์กำลังมีเรื่องปิดบังหม่อมฉันหรือเพคะ"ฉืออิ้งเทียนถอนหายใจแผ่ว เดิมทีเขาไม่คิดให้นางล่วงรู้เรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ เขาไม่อยากให้ฟู่ซูหนิงต้องใช้ชีวิตด้วยความหวาดระแวง เรื่องคอขาดบาดตายนี้ให้เป็นหน้าที่ของเขาที่ปกป้องคุ้มครองนางแต่เพียงผู้เดียวก็พอ"บาดแผลเล็กน้อยจริง ๆ"ฟู่ซูหนิงเริ่มหน้างอ นางสับเท้าเข้ามาใกล้เขา มือเรียวปลดผ้าคลุมไหล่ลง จากนั้นเขย่งปลายเท้าตวัดคลุมให้บุรุษร่างสูงดังเดิม "ท่านคิดว่าตนเองเป็นเทพเซียนหรืออย่างไร ท่านเจ็บไม่ได้ร้องไห้ไม่เป็นงั้นหรือ ไปเพคะ เข้าไปด้านในหม่อมฉันขอดูบาดแผลพระองค์หน่อย หากเล็กน้อยจริง ผ่านมาเนิ่นนานเพียงนี้ทำไมถึงยังไม่หายอีก"นัยน์ตาคมลดมองสตรีตัวเล็กซึ่งกำลังออกคำสั่งกับเขา ยังไม่เคยมีผู้ใดกล้ากระทำกิริยาเช่นนี้กับเขามาก่อน กระนั้นมันก
ภายในห้องทำงานของชินอ๋องซึ่งมีการจุดโคมไฟเพื่อให้ความสว่างขึ้นแล้ว เพราะอยู่ในช่วงยามฮ่าย [1] ร่างกำยำเปลื้องอาภรณ์ส่วนบนออก เผยให้เห็นแผ่นหลังกว้าง ภายใต้ความองอาจกลับปรากฏบาดแผลฉกรรจ์ขนาดกว้างทั้งรอยเก่าและใหม่เกาซีละเลงยาสมานแผลลงบนรอยบากที่ปริออกจนโลหิตซึมด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง ส่วนเติ้งเหวยยืนมองอย่างห่วงใยอยู่ไม่ห่างเกาซี "ท่านอ๋อง เหตุใดจึงไม่บอกท่านหมอฟู่ว่าพระองค์ถูกพิษตอนช่วยนางในวันก่อนเดินทางพ่ะย่ะค่ะ"ฉืออิ้งเทียนนั่งปรับลมปราณในกาย "เรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ ข้าตั้งใจปกป้องนางเอง อีกอย่างข้าไม่อยากให้หนิงเอ๋อร์ต้องลำบากใจเพราะข้า""แต่บาดแผลนี่ลึกมาก ดูเหมือนจะยิ่งลุกลามเพราะติดเชื้อ ถึงได้รับการถอนพิษแล้วก็ยากจะหายในเร็ววัน ไม่เช่นนั้นเราตามหมอหลวงดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ""ไม่ต้อง ข้าไม่เป็นไร พวกเจ้าทำราวกับข้าจะตายวันตายพรุ่ง ข้าไม่อยากให้เป็นเรื่องเอิกเกริกบานปลายหากศัตรูล่วงรู้ว่ายามนี้ข้าบาดเจ็บก็จะเกิดช่องโหว่ให้พวกมันหาทางเข้ามาเล่นงานได้ ในวังหลวงไม่ม
ฟู่ซูหนิงเห็นฉืออิ้งเทียนกลับมาเร็วดังว่า ก็เผลอฉีกยิ้มกว้างอย่างนึกลืมตัว"ท่านอ๋อง มาแล้วหรือเพคะ""หนิงเอ๋อร์ ข้ามีเรื่องรบกวนเจ้า ไปกับข้าครู่เดียวได้หรือไม่""เรื่องใดเพคะ"ฉืออิ้งเทียนเหลียวมองเสี่ยวไป๋ซึ่งนั่งอยู่ข้างกายฟู่ซูหนิง แม้เขาไว้ใจเด็กหนุ่ม กระนั้นเรื่องนี้ควรรู้น้อยคนที่สุดจึงนับว่าดีเสี่ยวไปผินหน้ามองฟู่ซูหนิงนางพยักหน้าเบาเสี่ยวไป๋ก็ทราบความประสงค์ของอาจารย์ทันใด เด็กหนุ่มจึงออกไปรอกับองครักษ์ที่ด้านนอก"พระองค์ตรัสมาเถิดเพคะ""เสด็จพ่อประชวรหนัก ข้าไม่กล้าเดาส่งเดชว่าเสด็จพ่อโดนพิษ กระทั่งหมอหลวงของที่นี่ยังตรวจไม่พบ ทุกคนเข้าใจว่าเกิดจากโรคระบาด"ฟู่ซูหนิงครุ่นคิด เมื่อชาติก่อนฟู่ซูหนิงไม่ได้รับอนุญาตให้ตรวจสอบอาการของฮ่องเต้แต่อย่างใดจึงไม่รู้ว่าฮ่องเต้ถูกพิษอะไรกันแน่ ยามนี้นางได้เข้าวังหลวงอีกครั้งก็ดีเช่นกัน หากฮ่องเต้ถูกพิษจริง นางจะต้องลากคอคนผู้นั้นมารับโทษที่ตนก่อเสีย"เพคะ หม่อมฉันจะลองดู"..ณ ตำหนักกุ้ยเฟย"กุ
ทันทีที่ขบวนของชินอ๋องกลับถึงราชวัง องครักษ์ของไท่จื่อก็เร่งเข้ามารายงานทันที"ทูลท่านอ๋อง องค์ไท่จื่อให้เชิญเสด็จพระองค์ไปยังห้องบรรทมของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ"ฉืออิ้งเทียนนิ่วหน้า "เหตุใดต้องไปพบเสด็จพ่อที่ห้องบรรทม""ท่านอ๋อง องค์ไท่จื่อทูลว่าจะเป็นคนตรัสเรื่องนี้กับพระองค์เองพ่ะย่ะค่ะ"ฉืออิ้งเทียนมิได้ถามให้มากความอีก เขาพยักหน้าด้วยความเข้าใจ จากนั้นจึงนำขบวนตามหลังองครักษ์ไท่จื่อไป ฟู่ซูหนิงนั่งอยู่ในรถม้า นางสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ เหตุการณ์คล้ายวันนั้นมิมีผิด เขาถูกเชิญให้ไปพบฝ่าบาทที่ห้องบรรทม ตอนที่กลับจากพานางเที่ยวชมรอบเมือง ฉืออิ้งเทียนรับปากนางจะเร่งกลับมาแต่เขาก็หายตัวไปหลายชั่วยาม ฟู่ซูหนิงถูกรายล้อมด้วยทหารนับสิบ พร้อมกับโดนยัดเยียดข้อหาวางยาพิษฮ่องเต้ตอนนี้ต่างกันก็เพียง นางยังมิได้เป็นชายาชินอ๋อง และไม่ได้ออกไปเที่ยวชมความงามนอกเมืองแต่อย่างใด ทว่าฟู่ซูหนิงก็ยังมิอาจวางใจอยู่ดี อกด้านซ้ายกระเพื่อมไหวครึกโครม ใบหน้าเกลี้ยงเกลาซีดขาวเสียจนเสี่ยวไป๋รู้สึกผิดสังเกต"ท่านอาจารย์ เป็นอะไรไปขอรับ"&
ฟู่ซูหนิงยู่หน้า ทว่านางมิอาจตอบโต้ ยามนี้แก้มของนางโป่งพองเพราะโจ๊กเมื่อครู่ ฟู่ซูหนิงเคี้ยวหยุบหยับด้วยสีหน้ามู่ทู่ ทว่าแก้มตุ่ย ๆ เช่นนี้ช่างทำให้ฉืออิ้งเทียนรู้สึกเอ็นดูนางเป็นอย่างยิ่ง"อร่อยหรือไม่""ก็งั้น ๆ เพคะ" ฟู่ซูหนิงเบือนหน้าหนี นางจำรสมือของเขาได้ นี่เขาถึงขั้นลงแรงทำโจ๊กให้นางด้วยตนเองเลยหรือจู่ ๆ ใบหน้าเกลี้ยงเกลาก็พลอยขึ้นสีชมพูระเรื่อเมื่อหวนนึกถึงภาพวันเก่า ฉืออิ้งเทียนสวามีนางในกาลก่อนมักดูแลเอาใจใส่ฟู่ซูหนิงเช่นนี้เสมอ"เป็นอะไร ไข้ขึ้นหรือ" ฉืออิ้งเทียนใช้หลังมืออังหน้าผากฟู่ซูหนิงอย่างถือวิสาสะ"ทำอะไรน่ะเพคะ" จากใบหน้าชมพูก็พลิกผันเป็นแดงก่ำไปจนถึงใบหู"ก็ข้าเห็นเจ้าหน้าแดง คิดว่าไข้ขึ้นเสียอีก ดูสิแดงไปทั้งตัวแล้ว""ปะ...เปล่าเสียหน่อย เป็นเพราะโจ๊กฝีมือท่านไม่ได้เรื่องต่างหาก"ฉืออิ้งเทียนตัวแข็งทื่อ เขายังไม่ได้บอกนางด้วยซ้ำว่าตนเป็นคนทำ ตอนเสี่ยวไป๋ดูแลนางเองก็ยังไม่ได้สติ แล้วฟู่ซูหนิงทราบได้อย่างไรว่านี่คือรสมือใคร เดิมทีเขาไม่เคยเข้าครัวทำอาหารให้ผู้ใดทานด้วยซ้ำ กระทั่งองครักษ์ทั้งสองของเขายังงง
ทั่วบริเวณหุบเขาร้อยโอสถ ซึ่งเต็มไปด้วยพืชสมุนไพรหลากหลายชนิดล้วนเปียกชุ่มไปด้วยหยดน้ำพราวระยับ เพราะยามนี้สายฝนกำลังเทกระหน่ำดุจสวรรค์ร่ำไห้ ผืนนภาอันเคยสว่างเจิดจ้าแปรเปลี่ยนเป็นอึมครึมแผ่กลิ่นอายน่าหวาดเกรงเสียงสายฟ้าหวดสะบั้นเฉกเช่นอสนีเคราะห์ ภายในถ้ำแสนอนธการซ้ำยังอับชื้นพลันปรากฏสตรีร่างระหงนอนไร้สติเพียงลำพัง ความเย็นเยียบกำลังกัดลึกกร่อนกระดูกเสียจนหนาวเหน็บ เรือนร่างที่แน่นิ่งมานานจึงเริ่มขยับไหวพร้อมลมหายใจกระเพื่อมถี่ แค่ก แค่ก"หนาวจัง..." เสียงที่เคยสดใสแหบแห้งระคนสั่นเครือ เปลือกตาบางเปิดปรือขึ้นแช่มช้า ครั้นได้สตินางจึงดันกายของตนเพื่อพิงผนังผิวหยาบ อ้อมแขนยกขึ้นโอบกอดเรือนร่างตนหวังคลายความเย็นเยียบ พลางกวาดสายตาสำรวจสรรพสิ่งท่ามกลางความมืดมัว หญิงสาวขยับแขนเพื่อตรวจสอบทีละฝั่งด้วยสีหน้าฉงนสนเท่ห์ "นี่เรายังไม่ตายอีกหรือ" ฟู่ซูหนิงถอนหายใจด้วยความรู้สึกปลดปลง นางจำได้ว่าถูกบั่นศีรษะสิ้นใจไปแล้วตั้งแต่อยู่ในวังหลวง โทษฐานวางยาพิษฮ่องเต้ คาดไม่ถึงว่ายามนี้ฟู่ซูหนิงได้หวนกลับมาในคืนฝนพรำเมื่อคราที่ตนอายุสิบหกหนาวอีกครั้งเหตุใดนางจึงไร้ท่าทีตื่นตระหนกเมื่อทราบว่าต...
Comments