ฟู่ซูหนิงหยัดกายยืนขึ้นด้วยความทุลักทุเล ตะกร้าสานซึ่งเต็มไปด้วยพืชสมุนไพรถูกยกขึ้นสะพายบนบ่า ร่างระหงเดินตุปัดตุเป๋ออกจากถ้ำด้วยจิตใจอันล่องลอย สมองของนางเฝ้าตบตีกันซ้ำไปซ้ำมา
ข้าจะทิ้งให้เขาตายตรงนี้จริงน่ะหรือ
แต่หากข้าช่วยเขาทุกอย่างก็ต้องวนกลับมาซ้ำรอยเดิม ใครจะอยากถูกตัดศีรษะซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่รู้หรือว่ามันเจ็บเพียงใด
ฟู่ซูหนิงจึงไม่คิดสนใจบุรุษตรงหน้าอีก ทว่าจิตใจของนางช่างรู้สึกเจ็บปวดเหลือเกิน ยามนี้เขาก็เป็นเพียงชายหนุ่มวัยแรกรุ่นผู้หนึ่ง นางจะใจจืดใจดำทิ้งเขาได้ลงคอเชียวหรือ
แต่แล้วฟู่ซูหนิงก็ตัดสินใจทิ้งเขาไว้เบื้องหลังในที่สุด ขาเรียวค่อย ๆ เยื้องย่างห่างออกไปกระทั่งหอบสังขารกลับมาถึงจวนไม้ไผ่กลางหุบเขา ร่างระหงก็ฟุบลงด้วยความเหนื่อยล้า
"หนิงเอ๋อร์!"
หญิงชรารุดประคองเรือนร่างอันโรยแรงของหลานสาวด้วยอาการตื่นตระหนก
ริมฝีปากซีดขาวเผยรอยยิ้มเบาบาง "ท่านยาย หนิงเอ๋อร์กลับมาแล้วเจ้าค่ะ"
จู่ ๆ น้ำสีใสก็ไหลพรากลงตรงหางตา นานเหลือเกินที่ฟู่ซูหนิงจากหุบเขาร้อยโอสถไป นางคิดว่าชาตินี้คงมิได้กลับมาทดแทนคุณของท่านตาท่านยายเสียแล้ว ช่างคิดถึง คิดถึงชีวิตอันแสนเรียบง่ายเช่นนี้เหลือเกิน
ท่านตา ท่านยาย ข้ากลับมาแล้ว กลับมาแล้วจริง ๆ ...
จู่ ๆ สติของฟู่ซูหนิงก็มืดดับลง ทุกสิ่งพลิกผันสู่ห้วงอนธการในชั่วพริบตา
"หนิงเอ๋อร์ หนิงเอ๋อร์ เป็นอะไรไปลูก"
หญิงชราพยายามร้องเรียกฟู่ซูหนิง ชายชราเร่งถลันเข้ามาจับชีพจรก็ถอนหายใจโล่งอก "หนิงเอ๋อร์อ่อนเพลียเท่านั้น เดี๋ยวพาหลานไปพักและผลัดผ้า ต้มยาให้นาง พรุ่งนี้ก็น่าจะดีขึ้นแล้ว"
แพขนตาหนาค่อย ๆ ขยับไหว เมื่ออรุณรุ่งมาเยือน เพราะเมื่อคืนได้รับการดูแลอย่างดีจากหมอเทวดาทั้งสองจึงทำให้ยามนี้ร่างกายไม่รู้สึกเจ็บไข้เพียงนั้นแล้ว ฟู่ซูหนิงเหลียวมองบรรยากาศสดใสของม่านเมฆาซึ่งยังทิ้งกลิ่นอายของหยาดพิรุณเอาไว้
ฟ้าหลังฝนงดงามเช่นนี้นี่เอง
ริมฝีปากซีดจางเริ่มมีเลือดฝาด กลิ่นหอมจรุงของมวลบุปผาส่งผลให้ผ่อนคลายและสดชื่นยิ่งนัก มุมปากบางขยับยกเล็กน้อย กระนั้นจิตใจกลับรู้สึกไม่สุขสงบเอาเสียเลย
เขาจะเป็นยังไงบ้างนะ หรือว่าอาจถูกสัตว์ป่าฉีกร่างตายไปเสียแล้ว
ฟู่ซูหนิงระบายลมหายใจอ่อน เพราะนางขี้ขลาดจนต้องทิ้งชายอันเป็นที่รักของตน แต่ ณ ห้วงเวลานี้เขายังไม่นับว่าเป็นคนรักของนางเสียหน่อย
"หนิงเอ๋อร์ ตื่นแล้วหรือลูก ขอยายดูหน่อยว่าไข้ลดหรือยัง"
ท่านยายหรือฟู่หรงหมอหญิงแห่งหุบเขาร้อยโอสถหย่อนกายลงนั่งขนาบข้างฟู่ซูหนิง ครั้นเมื่อเห็นผู้เป็นยายห่วงใยตนเหลือคณา ฟู่ซูหนิงก็น้ำตาร่วงเผาะ แขนเรียวอ้าโอบรัดรึงร่างผอมกะหร่องของหญิงชราเอาไว้ด้วยใจคะนึงหา
"ฮื่อ...ท่านยาย หนิงเอ๋อร์คิดถึงท่านเหลือเกินเจ้าค่ะ"
"หนิงเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไร แค่ไปเก็บสมุนไพรไม่กี่ชั่วยาม [1] ก็ร้องกระจองอแงคิดถึงยายเสียแล้ว" มือเหี่ยวย่นยกขึ้นลูบไล้เรือนผมดำขลับของหลานรักด้วยความทะนุถนอม
ฟู่ซูหนิงสูดน้ำสีใสเข้าโพรงจมูก พลางสะอึกสะอื้น ก่อนผละกายออกห่าง "ก็ข้าคิดถึงท่าน จะห่างกี่ชั่วยามข้าก็คิดถึง"
ฟู่หรงแย้มยิ้มพลางส่ายศีรษะอย่างนึกเอ็นดู "เด็กดี เจ้าจะเอาแต่ทำตัวติดตากับยายเช่นนี้ได้อย่างไร วันหนึ่งเจ้าก็ต้องออกเรือนมีสามี"
ฟู่ซูหนิงส่ายศีรษะเสียจนเส้นผมแตกกระเจิง พลันซบลงบนอกฟู่หรงอีกครั้ง "ไม่เจ้าค่ะ ชาตินี้ข้าจะไม่แต่งงาน ข้าจะอยู่ดูแลพวกท่านทั้งสองไม่จากไปไหน"
ฟู่ซูหนิงทราบดีว่าการแต่งงานของนางต้องเผชิญกับเส้นทางใดบ้าง บางทีหากอยากเลี่ยงชะตาแสนอาภัพ นางควรออกห่างจากบุรุษผู้นั้น
ฟู่หรงเห็นหลานสาวหน้านิ่วคิ้วขมวดก็ทอดถอนใจ "เอาล่ะ เรื่องนี้ยังไม่ต้องเร่งร้อน ไหนขอยายดูอาการเจ้าเสียหน่อย"
มือเหี่ยวย่นเอื้อมขึ้นวัดอุณหภูมิบริเวณหน้าผากนูนเด่น จากนั้นลดลงเพื่อตรวจวัดชีพจรบนข้อมือขาว ฟู่หรงพยักหน้าเล็กน้อย "อาการดีขึ้นมากแล้ว เช่นนั้นกินโจ๊กนี่เสียหน่อย มื้อต่อไปค่อยกินอาหารปกติ"
ฟู่ซูหนิงแย้มยิ้มทั้งน้ำตา "เจ้าค่ะท่านยาย"
ฟู่หรงเห็นใบหน้าเกลี้ยงเกลาเปื้อนเขรอะด้วยคราบน้ำตา ก็ช่วยเช็ดทำความสะอาดให้หลานรักด้วยความทะนุถนอม ฟู่ซูหนิงมองตามอีกฝ่ายด้วยสีหน้าตื้นตัน
คงมีเพียงท่านทั้งสอง ที่หวังดีและรักข้ามากที่สุดในดินแดนแห่งนี้ ท่านยาย ท่านตา
"ฮูหยินหากดูหลานเสร็จแล้วก็ช่วยเข้าไปดูพ่อหนุ่มนั่นหน่อย ไม่รู้ป่านนี้ได้สติหรือยัง" เสียงทุ้มดังจากด้านนอก
"ได้เจ้าค่ะ เดี๋ยวข้าจะเร่งไปดูให้"
มือที่กำลังยกโจ๊กทั้งชามเพื่อซดด้วยสีหน้าแช่มชื่นพลันชะงักลง คิ้วงามดุจกระบี่เลิกขึ้นหนึ่งฝั่ง "ท่านยายเจ้าคะ มีคนไข้งั้นหรือ"
"ใช่แล้ว ท่านตาของเจ้าพบเขานอนไร้สติที่ท้ายหุบเขา ใกล้บริเวณที่เจ้าไปเก็บโอสถ จึงช่วยเอาไว้ ว่าแต่ยามนั้นเจ้าไม่เห็นเขาหรือ"
ฟู่ซูหนิงตัวแข็งทื่อดั่งถูกตรึงร่าง สีหน้าแตกตื่นของนางเป็นเหตุให้ฟู่หรงนั้นรู้สึกหวาดเกรงไปด้วย
เพล้ง!!
"ตายแล้ว หนิงเอ๋อร์เป็นอะไรไปลูก"
ถ้วยกระเบื้องเคลือบหลุดมือกะทันหัน ฟู่ซูหนิงเอ่ยละล่ำละลัก "ทะ...ท่านยายเจ้าคะ ท่านอย่าบอกว่าท่านตาช่วยบุรุษผู้นั้นเอาไว้"
"หนิงเอ๋อร์ นี่เจ้าเห็นเขาแต่แรก แล้วไม่ได้ช่วยหรือ"
ฟู่ซูหนิงกลืนน้ำลายหนืดเหนียวลงคอ ใบหน้าของนางซีดขาวราวเกิดป่วยไข้อีกหน
ฟู่หรงเห็นท่าทีลำบากใจของหลานสาวจึงมิได้คะยั้นคะยอต่อ "...ช่างเถิดดูเหมือนเมื่อคืนเจ้าป่วยจึงไม่อาจช่วยเขาได้ใช่หรือไม่"
ฟู่ซูหนิงหูอื้ออึงไปหมด นางรู้สึกว่าจวนกำลังกลับด้านขึ้นลง ร่างระหงดีดกายผึง จากนั้นถลาออกจากห้องด้วยความรีบรน
"หนิงเอ๋อร์ นี่เจ้าจะไปที่ใด ยังไม่หายดีเดี๋ยวก็ล้มเอาหรอก"
ฟู่ซูหนิงหูดับไปตั้งนานแล้ว เท้าเปลือยเปล่าระเห็จมาหยุดยืนหน้าม่านกั้นเตียงสำหรับผู้ป่วย มือเรียวยกขึ้นด้วยอาการสั่นเทา
พรึบ!!
ม่านตากลมโตขยายกว้าง ฟู่ซูหนิงตื่นตระหนกจนหน้าถอดสี ความรู้สึกหนาวเหน็บถึงกระดูกก่อตัวขึ้นอีกครั้ง
"นะ...นี่เขาจริงน่ะหรือ ท่าน! ไยจึงดวงแข็งนัก ฉืออิ้งเทียน!"
^หนึ่งชั่วยาม = สองชั่วโมง
"ท่านตา...ท่านช่วยเขาหรือเจ้าคะ" "ใช่ ตาช่วยเขาเอง พ่อหนุ่มนี่นอนหมดสติตากฝนอยู่ผู้เดียว ดูเหมือนร่างกายได้รับพิษเสียด้วย อีกอย่างเขายังไม่ถึงคราวตาย" "ท่านตาเจ้าคะ แต่เขาเป็น..." ฟู่ซูหนิงมิได้เอ่ยประโยคถัดไป นางก้มหน้างุดแทบหลั่งน้ำตา นิ้วโป้งสาละวนขึ้นลงพลางเหลือบมองผู้ป่วยบนเตียงด้วยอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เหตุใดข้าต้องโล่งอกด้วยนะ เฮ้อ.. "หนิงเอ๋อร์ เป็นอะไรของเจ้า"ฟู่ซูหนิงยังคงก้มหน้าอยู่เช่นนั้น ต่อให้อธิบายไปก็คงไม่มีใครเชื่อ ว่าบุรุษผู้นี้เปรียบดั่งพญามัจจุราชที่กำลังเข้ามาช่วงชิงชีวิตอันแสนสงบสุขไปจากนางตลอดกาล เจ้าของร่างสูงเบื้องหน้าฟู่ซูหนิงยามนี้คือองค์ชาย'ฉืออิ้งเทียน'แห่งแคว้นซีฮัน อีกไม่นานเขาจะได้รับตำแหน่งชินอ๋องด้วยอายุเพียงสิบแปดปี ชาติก่อนฉืออิ้งเทียนถูกลอบทำร้ายด้วยยาพิษเสียจนดวงตาใกล้มืดบอด ฉืออิ้งเทียนซัดเซพเนจรและได้บังเอิญผ่านมาถึงหุบเขาร้อยโอสถ ทั้งที่ด้านนอกมีค่ายกลขวางกั้นทว่าชายหนุ่มกลับข้ามผ่านเข้ามาได้อย่างน่าอัศจรรย์ ดูเหมือนสวรรค์จงใจส่งองค์ชายผู้นี้เข้ามาเพื่อทดสอบชีวิตรักช้ำของฟู่ซูหนิง หลังจากช่วยเหลือเขาจนหายดี นานวันเข้าความรักระหว่างช
ฟู่หรง "อ้าว หนิงเอ๋อร์ ไม่พักหรือ ออกมาทำไมเล่า"ฟู่ซูหนิงส่ายศีรษะ "ท่านยายเจ้าคะ ให้ข้าเป็นคนรักษาเขาได้หรือไม่"ประจวบเหมาะกับที่ต่งควนเดินเข้ามา "ไหนเจ้าบอกจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไรเล่า"จริงดังว่า นางไม่อยากข้องเกี่ยวกับเขาสักเสี้ยว ทว่าฟู่ซูหนิงประสงค์ให้ฉืออิ้งเทียนออกจากหุบเขาร้อยโอสถโดยเร็วต่างหาก โอกาสครั้งนี้ฟู่ซูหนิงขอเลือกเป็นหมอหญิงไร้สามารถ มิขออาจเอื้อมก้าวเข้าสู่รั่ววังชั่วชีวิต"ท่านตาสอนข้าเอง ยามเมื่อเราเห็นคนลำบากก็ต้องรู้จักยื่นมือเข้าช่วยเหลือมิใช่หรือเจ้าคะ อีกอย่างข้าจะได้พัฒนาฝีมือการแพทย์ของตนเองด้วยเจ้าค่ะ"ฟู่หรงอมยิ้ม มือเหี่ยวย่นลูบไล้เส้นผมสีดำขลับของหลานด้วยความเอ็นดูยิ่ง "ในที่สุดหลานยายก็โตเสียที"ฟู่ซูหนิงยิ้มแฉ่ง ทว่าภายในใจช่างฝืดฝืนเหลือทน "ท่านตาท่านยายสอนมาดีอย่างไรเจ้าคะ""หนาว หนาวเหลือเกิน อย่าทิ้งข้าไป..." เสียงทุ้มแหบพร่าสั่นเครือดังขึ้นตัดบทสนทนา"ท่านตา ข้าดูแลเขาเองเจ้าค่ะ"ชายชราชะงักฝีเท้าลง "แน่ใจหรือ"ฟู่ซูหนิงพยักหน้าหงึกหงัก "เจ้าค่ะ ท่านอย่าลืมว่าหลานของท่านอัจฉริยะเชียวนะเจ้าคะ ท่านลืมแล้วหรือ ว่าข้าท่องตำราการแพทย์ได้
เป็นเวลากว่าสองสัปดาห์ที่ฉืออิ้งเทียนได้รับการรักษาจากฟู่ซูหนิง ยามนี้อาการบาดเจ็บที่เรือนร่างหายเป็นปลิดทิ้ง ทว่าดวงตายังคงพร่าเบลอไม่ชัดเจน "ต้องขอบคุณท่านหมอที่ช่วยดูแลข้าในทุกวัน ลำบากท่านแล้ว" การเรียกขานฟู่ซูหนิงของเขาเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ฉืออิ้งเทียนรับรู้ได้ว่าแม้นางเป็นหลานของผู้มีพระคุณที่เก็บตนกลับมา แต่จากวิธีการดูแลรักษาของนาง ฟู่ซูหนิงคงนับเป็นหมอหญิงที่มีฝีมือเก่งกาจไม่ต่างกัน มิเช่นนั้นผู้ที่นางเรียกว่าท่านตาคงไม่ปล่อยให้ฟู่ซูหนิงดูแลเขาอย่างใกล้ชิดเพียงลำพัง "ท่านไม่ต้องเกรงใจ อีกสองชั่วยามเราจะออกไปข้างนอกกัน" ฟู่ซูหนิงเก็บอุปกรณ์การแพทย์ ถ้วยยา และผ้าเปียกชื้นซึ่งใช้ทำความสะอาดเรือนกายของชายหนุ่มไปพลางเอ่ยไปพลาง ทว่ามิได้จับจ้องใบหน้าบุรุษฝั่งตรงข้าม เดิมทีการเป็นแพทย์ล้วนเคยเห็น ได้สัมผัสเรือนร่างทั้งชายและหญิงมาจนนับไม่ถ้วน ทว่ายามที่ฟู่ซูหนิงต้องปรนนิบัติเขาในแต่ละครั้งกลับรู้สึกว่าตนเก้อกระดากอยู่ไม่น้อย "เราจะไปที่ใด ในเมื่อข้ายังมองไม่เห็นเช่นนี้ อาจทำให้ท่านหมอลำบาก" "ส่งท่านกลับ" "กลับหรือ? แต่ดวงตาของข้ายัง..." "คุณชายอิ้งเทียนไม่ต้องเป็นกังวลเจ้าค่ะ ข้า
"ท่านตา ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ ยามนี้ร่างกายเขาแข็งแรงม๊ากมาก…ส่วนเรื่องดวงตา แค่มีเทียบยาและวิธีการดูแลให้ญาติของเขาก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือ หากรั้งเขาไว้นานญาติของเขาอาจร้อนใจ กระทั่งพลิกแผ่นดินหาก็เป็นได้นะเจ้าคะ" ฟู่ซูหนิงกะพริบตาปริบ ๆต่งควนมันเขี้ยวจึงเคาะกบาลนางไปหนหนึ่ง ฟู่ซูหนิงยกมือลูบศีรษะตนป้อย ๆ "ท่านตาเจ้าคะ หนิงเอ๋อร์ทำอะไรผิดงั้นหรือ" ฟู่ซูหนิงเหลียวมองฟู่หรงหมายขอความช่วยเหลือ ทว่าอีกฝ่ายกลับส่ายศีรษะ"ตาเคยสอนเจ้าว่าอย่างไร ช่วยคนต้องช่วยให้ถึงที่สุดมิใช่หรือ"ฟู่ซูหนิงถลาเข้าซบอกผู้เป็นตา พลางเอ่ยเว้าวอน หากไม่แสร้งว่านอนสอนง่ายแผนของนางต้องพังทลายแน่แท้ "ท่านตาเจ้าคะ หนิงเอ๋อร์รู้ดีเรื่องที่ท่านสอนไว้เสมอ แต่หากท่านหายออกจากบ้านไปเป็นแรมเดือน ข้ากับท่านยายก็ต้องร้อนใจเช่นกัน ท่านยายว่าหรือไม่เจ้าคะ" ฟู่ซูหนิงหันมองผู้เป็นยายเพื่อขอความเห็น ฟู่หรงก็อดใจอ่อนเป็นมิได้"ก็จริงเช่นหลานว่า"ฟู่ซูหนิงยิ้มกว้างอวดฟันเรียงสวย จากนั้นปรับน้ำเสียงให้อ่อนหวานดังเดิม "ท่านตาเจ้าคะ…เขาเป็นบุรุษตัวใหญ่โต ได้ยาดีจากหมอเทวดาเช่นท่าน เหตุใดต้องกังวลใจถึงเพียงนั้น ให้หนิงเอ๋อร์ไปส่งเขาเถอ
"อ๊ะ! นี่ นี่ ท่านเดินระวังหน่อยไม่ได้หรือไร ชนแล้ว ๆ" ฟู่ซูหนิงยกมือคลึงขมับวันนี้นางจะเดินทางไปถึงตัวเมืองหรือไม่ ไฉนเขาเอาแต่เดินเปะปะชนโน่นชนนี่อยู่เรื่อย หรือดวงตาของเขายามนี้กลายเป็นบอดสนิทไปแล้วกันเล่า"ขออภัยท่านหมอ ข้ามองไม่เห็นจริง ๆ""ท่านหยุด ไม่ต้องเดินต่อแล้ว เดินส่งเดชเช่นนี้สามวันก็ไม่ถึงหรอกเจ้าค่ะ"ฉืออิ้งเทียนหยุดฝีเท้าลงทันควัน ริมฝีปากได้รูปยกโค้งจาง ๆ แผนล่อหลอกเพื่อประวิงเวลาสัมฤทธิผลเสียทีฟู่ซูหนิงยกมือแกร่งคล้องลำคอด้วยความจำใจ นอกจากกลิ่นกายหอมกรุ่นดุจบุปผาต้องหยาดฝนของสตรีข้างกาย เส้นทางนี้ยังผสานด้วยกลิ่นอายหอมจรุงจากพืชพรรณโอสถ เพราะยามรบล้วนต้องผ่านการวางแผนและการฝึกฝนมามากจึงทำให้เขาสามารถแยกแยะรูป รส กลิ่น เสียงได้เป็นอย่างดีดอกไห่ถัง หอมยิ่งนัก เครื่องหอมของนางก็คงมาจากบุปผาชนิดนี้"คุณชายอิ้งเทียน ดวงตาท่านมองไม่ชัด แต่ขาของท่านยังสามารถใช้งานได้อยู่กระมัง"ฉืออิ้งเทียนพยักหน้า"เช่นนั้นข้าจะพยุงท่านแล้วเดินไปพร้อมกัน
ฟู่ซูหนิงแหงนหน้าขึ้นแช่มช้า ก็ประสานเข้ากับดวงตาขมึงถึงของบุรุษร่างใหญ่ล่ำบึ้ก"นี่! เจ้าหน้าอ่อน เดินไม่ดูตาม้าตาเรือหรืออย่างไร อยากตายงั้นรึ"อาเป่าถลันเข้ามาค้อมศีรษะขอโทษขอโพยพัลวัน "นายท่าน ต้องขออภัยจริง ๆ ขอรับ นี่เป็นท่านหมอมาส่งผู้ป่วยเท่านั้น ได้โปรดละเว้นด้วย"ชายฉกรรจ์ถ่มถุยน้ำลายลงบนพื้นด้วยท่าทีหยาบโลน จากนั้นผลักอาเป่าซึ่งเรือนกายผอมแห้งจนล้มลงบนพื้น "เป็นแค่ลูกจ้างกระจอกงอกง่อย อย่าริอ่านมาต่อรองกับข้า รู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร"ฟู่ซูหนิงเหลืออดพลันขบฟันกรอด มือเรียวกำหมัดแน่นเสียจนกายสั่นเทิ้ม ครั้นยันกายของตนขึ้นได้แล้ว ใบหน้าเกลี้ยงเกลาก็เชิดขึ้นด้วยความโอหัง "เจ้าหมีควาย! กระทั่งตัวเจ้ายังไม่รู้ว่าตนเป็นใคร แล้วผู้อื่นเขาจะรู้ด้วยงั้นรึ สมองหมูจริงเชียว ไฉนต้องมายกตนข่มท่าน รังแกผู้คนไม่สนถูกผิด"ชายร่างกำยำตวัดตามองฉับ จากนั้นคว้าสาบเสื้อของฟู่ซูหนิงจนเท้าลอยเหนือพื้น "เจ้าหน้าอ่อน เจ้าเป็นบุรุษอย่างไร ไยหน้าหวานอ่อนแอคล้ายพวกสตรีไม่มีผิด ปากคอก็เราะรายใช่ย่อย มิรู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ปวกเปียกเช่นนี้ยังกล้าพ่นวาจาดูแคลนข้าอีก!"
"อาเหวิ่น ไยพวกเจ้าทำตัวเสียมารยาทนัก"บุรุษร่างสูงแต่งกายด้วยชุดผ้าไหมสีครามงามสง่า บนศีรษะสวมกวานหยกล้ำค่าลายประณีตมือของเขาถือพัดงาช้างพลางโบกสะบัดแช่มช้าใบหน้าของเขาหล่อเหลาทว่ากลับแฝงไปด้วยกลิ่นอายความกะล่อน ครั้นจะให้เปรียบเทียบกับบุรุษอีกคนที่นั่งสงบนิ่งในยามนี้ ชายหนุ่มทั้งสองก็นับว่ารูปงามไม่น้อยหน้ากันสักกระผีกริ้นหล่อเหลาสูงส่งแล้วอย่างไรหากทำตัวอันธพาลก็มิเท่ากับพวกดูดีเพียงรูปแต่จูบไม่หอมอย่างนั้นหรือ ฟู่ซูหนิงมิได้ใส่ใจผู้มาเยือนนัก ใบหน้าเกลี้ยงเกลายับยู่พลางปัดป่ายเพื่อจัดแจงอาภรณ์ซ้ายขวาชายร่างกำยำรวมถึงลูกน้องที่นอนโอดครวญอยู่บนพื้น ต่างลากสังขารไปหลบหลังบุรุษร่างสูงโปร่ง"นายน้อย เจ้าหนุ่มนี่ทำดวงตาของข้ามืดบอดขอรับ" นักเลงหัวไม้ร่างโตเมื่อครู่ก็คืออาเหวิ่นหรือจินเหวิ่น"หุบปากเสีย ร่างกายก็ใหญ่โตกว่าเขาตั้งหลายเท่า ไยขี้ฟ้องดุจเด็กสามขวบ รู้ถึงไหนอายถึงนั่น"จินเหวิ่นและลูกน้องเงียบเสียงลงฉับ บ้างกุมท้องบ้างกุมหน้าผาก ทว่าจินเหวิ่นยังปิดตาของตนไว้แน่นใบหน้าพวกเขาแดงก่ำเหยเ
ฟู่ซูหนิงถอนหายใจระอิดระอาตัวโตเสียเปล่าสมองหมูไม่เกินจริง ร้องอย่างกับลาถูกเชือด"ซื่อจื่อ ข้าจะบอกท่านให้ ว่านั่นมิใช่ยาพิษสักนิด ท่านเลิกให้ลูกน้องร่างยักษ์ร้องโอดโอยเป็นหมูถูกเชือดเสียที ผงผัดหน้าธรรมดาไม่รู้จักหรือไร เคืองเล็กน้อยก็ตีโพยตีพายยกใหญ่"ฉืออิ้งเทียนส่ายศีรษะพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นยกชาขึ้นจิบอย่างใจเย็น ที่แท้ฟู่ซูหนิงก็มีอุบายเช่นคาดเดาไม่มีผิด นางสามารถทำให้ผู้อื่นอกสั่นขวัญแขวนกันเป็นแถบ ช่างเป็นสตรีตัวแสบไม่เบาทีเดียวได้ยินเช่นนั้นจินเหวิ่นจึงลดฝ่ามือลงแช่มช้า พลันกะพริบตาสองสามคราก็พบว่าตนเพียงระคายเคืองเล็กน้อยเท่านั้น จินเหวิ่นยิ้มแหยเฉกเช่นเด็กน้อยกำลังถูกมารดาดุ ช่างไม่รับกับสีหน้าอันเกรี้ยวกราดนั่นเสียเลย มองดูก็อุจาดตาพิกลเหอหยางส่ายศีรษะเพราะรู้สึกขายหน้าเหลือแสน เขากระแอมแก้เก้อ"ขอบคุณน้องชายที่ยั้งมือไว้ไมตรี แต่ว่า..."หมอนี่ช่างขี้สงสัยจริงแท้"นี่ซื่อจื่อ ท่านเป็นไก่หรือไร ตามจิกตามสงสัยข้าอยู่นั่น เดี๋ยวข้าจับตุ๋นทำน้ำแกงเสียเลย"ลูกน
ทุกคนต่างให้ความสนใจฟู่ซูหนิง และแน่นอนฉืออิ้งเทียนทราบว่าฟู่ซูหนิงลอบให้การรักษาซีผินอย่างลับ ๆ กระทั่งเขาสืบทราบความจริงว่าซีผินมิใช่ศัตรูตัวจริง ซีผินก็แค่ริษยาแต่ไม่เคยคิดกระทำการชั่วช้าหมายเอาชีวิตเขาแต่อย่างใด ทว่าคนที่สุขุมเยือกนิ่งกลับร้ายกาจที่สุด ฉืออิ้งเทียนจึงทราบว่าทั้งหมดเป็นแผนของหลิวเฟยและโอรสของเขา องค์ชายสามฉือลู่ถงซีผินเอ่ยต่อ "ขอบคุณหมอฟู่ หากไม่ได้ท่าน ข้าคงตายไปนานแล้ว"ฟู่ซูหนิงหลุกหลิก แท้จริงนางก็มิได้ต้องการให้ใครมาขอบคุณ นางเองก็อยากรู้ว่าคนร้ายตัวจริงจะใช่คนที่นางคิดหรือไม่หลิวเฟยตวัดตามองฟู่ซูหนิงฉับ "เจ้านี่มัน! หอกข้างแคร่ของข้าทุกเรื่อง"ฉืออิ้งเทียนสาวเท้าเข้ามาบังหน้าฟู่ซูหนิงไว้ในบัดดล ฟู่ซูหนิงเอ่ยเสียงแผ่ว "ท่านอ๋องกังวลมากเกินไปแล้วเพคะ""ข้าไม่อนุญาตให้ใครทำร้ายเจ้า กระทั่งสายตาก็ไม่ได้!!"นัยน์ตาดอกท้อแดงก่ำ ฟู่ซูหนิงมองตามแผ่นหลังกว้างของบุรุษเบื้องหน้าด้วยจิตใจสับสน เสียงใสเปล่งวาจาเบาหวิว "ขอบพระทัยเพคะ"ซีผินบอกเล่าวีรกรรมต่ำช้าของหลิวเฟยต่อไป "วันนั้นที่ฝ่าบาทประชวรหนัก ข้าเข้าไปยังห้องบร
ห้องรับรองพิเศษของโรงน้ำชา ณ ย่านกลางเมือง เดิมทีใช่ใครจะเข้าออกสถานที่แห่งนี้ได้โดยง่าย ทว่าคนเฝ้าทางเข้าเพียงหยิบมือไหนเลยจะสู้ทหารกล้าผู้เจนสนามรบ ขณะที่ด้านในมิได้ระแคะระคายใด พวกเขาก็แฝงกายเข้าไปอย่างง่ายดาย"นายหญิง พวกเราได้วางกู่พิษชนิดพิเศษไว้ในห้องเครื่องของตำหนักชินอ๋องเป็นที่เรียบร้อย ทุกคนที่นั่นจะยอมรับว่าตำหนักชินอ๋องก่อกบฏทุกประการ"การรับพิษกู่เข้าสู่ร่างกายจะส่งผลให้ทุกคนกลายเป็นหุ่นเชิด หากผู้สั่งการประสงค์ให้ทำสิ่งใดคนเหล่านั้นก็จะทำตามโดยไร้สติ ฟู่ซูหนิงลอบฟังก็กำหมัดแน่น หากยามนั้นผู้อาวุโสฟางซินไม่ยื่นมือเข้าช่วย ชาวบ้านคงไม่ต่างจากศพเดินได้ ประหนึ่งผีดิบดี ๆ นี่เอง โชคดีที่นางยังเก็บจินฉานเอาไว้ [1] เพราะต้องการศึกษาต่อ ไม่เช่นนั้นจวนชินอ๋องต้องถึงกาลวิบัติแน่แท้ก่อนออกมาฟู่ซูหนิงย้อนกลับไปเก็บกวาดของสกปรกเหล่านั้นทั้งหมด เพราะนางลอบมองการกระทำของมือสังหารอยู่นานจึงเห็นว่าเขาลอบวางกู่พิษในห้องเครื่องจริงฉืออิ้งเทียนยังแอบชื่นชมฟู่ซูหนิงเป็นมิได้ ขณะที่เขาเป็
ฟู่ซูหนิงใจเต้นโครมคราม นางกลัวเหลือเกิน กลัวตัวเองจะตัดใจจากเขาไม่ได้ข้าไม่อยากคุยกับท่าน ข้าขี้เกียจรบกับแม่สามี กับสตรีนับสิบ ท่านไม่เข้าใจบ้างหรือ ฉืออิ้งเทียนฟู่ซูหนิงทำได้เพียงระบายความอัดอั้นภายในใจ ฉืออิ้งเทียนหัวรั้นเพียงนี้ หากนางไม่เต็มใจอยู่กับเขา เขาเองก็คงตามตื๊อนางไม่เลิกรา ฟู่ซูหนิงไม่รู้ควรทำเช่นไร ครั้นคิดจะมีสามีให้จบ ๆ ไป แต่ใครจะสามารถแต่งงานกับบุรุษที่ตนไม่ได้รักลงกันเล่า ตลกร้ายเกินไปหน่อยแล้วมือสังหารสองนายมีระแคะระคายอยู่บ้างที่การคุ้มกันของตำหนักฮ่องเต้หละหลวม แต่ด้วยความเร่งร้อนหวังจบภารกิจของตนโดยเร็ว จึงมิได้จับสังเกตใดอีกย่ามคู่ใจของฟู่ซูหนิงถูกวางทิ้งไว้ข้างเตากำยาน มือสังหารทั้งสองลอบวางยาพิษชนิดที่ว่าสูดดมเข้าไปภายในครึ่งชั่วยามก็สามารถคร่าชีวิตคนได้ทันที โชคดีที่ทุกคนได้รับยาสลายพิษของฟู่ซูหนิง กระทั่งทุกอย่างเป็นไปตามแผนการที่วางไว้ มือสังหารทั้งสองก็กระโจนหายไปท่ามกลางความมืดมิดเติ้งเหวยและเกาซีรับหน้าที่ติดตามมือสังหารทั้งสอง ส่วนฟู่ซูหนิงและฉืออิ้งเทียน รุดเข้ามาในห้องบรรทม ทั้งสอ
บทสนทนาอ้างถึงของสำคัญที่ฟู่ซูหนิงพกติดกาย ฟู่ซูหนิงครุ่นคิด เดิมนางมิได้มีของล้ำค่าใด ก็คงมีเพียงย่ามสะพายข้างที่พกติดกายเสมอ"ท่านอ๋อง ย่ามพกยังอยู่ที่ห้องหม่อมฉันเพคะ"ฉืออิ้งเทียนพยักหน้า เขาเร่งร้อนจะพานางกลับไปเอา แต่ฟู่ซูหนิงส่ายศีรษะ ฉืออิ้งเทียนงุนงง "ทำไมถึงห้ามข้า""เราตามพวกเขาไปเถิดเพคะ หนามยอกต้องเอาหนามบ่งมิใช่หรือ เช่นนั้นก็ให้พวกเขาเอาไป เราตามไปเงียบ ๆ ก็เพียงพอแล้ว"ฉืออิ้งเทียนจึงพาฟู่ซูหนิงลอบตามชายผู้บุกรุกไป และแน่นอนฟู่ซูหนิงจงใจเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายกระทำตามอำเภอใจ ถุงผ้าของฟู่ซูหนิงถูกสับเปลี่ยน นัยน์ตาดอกท้อหรี่ลงพิจารณาบุรุษที่สวมอาภรณ์สาวใช้ทั้งสองแล้วจึงจิ๊ปาก"สองคนนี้แอบแฝงตัวเข้ามากับขบวนนางกำนัลซีผินเมื่อช่วงบ่ายเพคะ""เมื่อบ่ายข้าก็เห็นความผิดปกติ ดูเหมือนตอนนั้นพวกมันยังไม่คิดลงมือ ข้าต้องการรู้ว่าแท้จริงนายพวกมันเป็นใคร จึงเล่นละครตามน้ำไปก่อน"ฟู่ซูหนิงตัวแข็งทื่อ แท้จริงเขาก็รู้ทุกเรื่อง แสร้งเป็นหมูเพื่อหลอกกินเสื้อจริงงั้นหรือ"ท่านอ๋อง ท่านคงมิได้สงสัยซีผินกระมังเพคะ"
ต้นยามสวี [1] "เรื่องที่ให้สืบ คืบหน้าถึงไหนแล้ว""ทูลท่านอ๋อง ที่ตลาดกลางเมือง มีโรงน้ำชาหนึ่ง..." เติ้งเหวยโน้มกระซิบเสียงแผ่ว ฉืออิ้งเทียนฟังอย่างตั้งใจฉืออิ้งเทียนพยักหน้าหลังจากได้ยินสิ่งที่เติ้งเหวยรายงานทั้งหมด "ดูเหมือนต้องเร่งสะสางเรื่องนี้ให้เรียบร้อย ยืดเยื้อมาหลายปีข้าเกรงทุกอย่างจะสายเกินไป""พ่ะย่ะค่ะ"บุรุษทั้งสามสวมเครื่องแต่งกายสีเข้ม ขาสูงเดินลัดเลาะเพื่อเฝ้าระวังความปลอดภัยโดยรอบตำหนัก จนมาถึงตำหนักกุ้ยเฟย ฉืออิ้งเทียนสังเกตเห็นความผิดปกติบริเวณหางตา เขาเห็นคนร่างเล็กสวมเครื่องแต่งกายปกปิดมิดชิด กำลังทำลับ ๆ ล่อ ๆ เมียงมองนางกำนัลผู้หนึ่งบริเวณห้องเครื่องเกาซีหมายเข้าจับกุมอีกฝ่าย ทว่าฉืออิ้งเทียนกลับปรามเอาไว้ "ไม่ต้อง แยกกันไปคนละทาง ข้าดูแล้วคนผู้นี้มาเพียงลำพัง ซ้ำยังไร้วรยุทธ์""พ่ะย่ะค่ะ"องครักษ์ทั้งสองจึงแยกย้ายไปตามคำสั่ง ฉืออิ้งเทียนเยื้องย่างไปทางด้านหลังร่างปริศนาด้วยฝีเท้าเบาหวิว มีดพกถูกดึงออกจากฟัก มือแกร่งคว้าหมับปิดริมฝีปากคนเบื้องหน
"นายหญิง พวกเราค้นหาจนทั่วแล้ว จวบจนบัดนี้ก็ยังไม่พบเย่อ๋องเลยพ่ะย่ะค่ะ ดูเหมือนว่าเย่อ๋องคง..."เพล้ง!เสียงถ้วยชากระเบื้องเคลือบแตกกระจาย บรรดามือสังหารในชุดคลุมสีเข้มต่างก้มหน้างุดไม่มีผู้ใดเปล่งวาจาอีก"ไม่จริง นี่อาจเป็นอุบายของชินอ๋อง เย่อ๋องน่ะหรือจะตายไปแล้ว ข้าไม่เชื่อเด็ดขาด เช่นนั้นก็ส่งคนลอบเข้าไปยังตำหนักชินอ๋องเสีย""แต่ที่นั่นการคุ้มกันแน่นหนามาก"ริมฝีปากซึ่งแต้มชาดสีแดงสดเหยียดยิ้ม "พวกโง่ ไม่ได้เรื่องจริง ๆ หากยังอืดอาดเช่นนี้ แผนการที่พยายามมาหลายปีต้องพังครืนไม่เป็นท่าแน่ คงต้องเร่งจัดการมันทุกคนให้สิ้นซาก"..ณ ตำหนักกุ้ยเฟยฟู่ซูหนิงถูกกุ้ยเฟยเรียกเข้าเฝ้าแทบไม่เว้นแต่ละวัน ไม่รู้ว่านางคือหมอผู้ติดตามชินอ๋องหรือติดตามกุ้ยเฟยกันแน่ ยิ่งฟู่ซูหนิงเข้าปรนนิบัติและใกล้ชิดซิ่วกุ้ยเฟยมากเท่าใด ก็ยิ่งสร้างความไม่พอใจให้รั่วรั่วมากขึ้นเท่านั้น"กุ้ยเฟยเพคะ ไยต้องให้นางมาเข้าเฝ้าท่านทุกวัน รั่วรั่วอยู่ด้วยทั้งคน ไม่ต้องให้นางมาปรนนิบัติแล้วก็ได้นะเ
ณ ห้องบรรทมฮ่องเต้"ไท่จื่อ พระองค์ไม่ต้องกังวลพระทัยเพคะ นี่เป็นเพียงการสำรอกเอาพิษออกจากพระวรกายของฝ่าบาทก็เท่านั้น""แต่นี่เสด็จพ่อ...""จวินเอ๋อร์" เสียงสั่นเครือแหบแห้งเอ่ยขึ้นไท่จื่อฉืออี้จวินรุดเข้ากุมมือผู้เป็นบิดาด้วยสีหน้าเป็นกังวล ฉืออิ้งเทียนก็เดินเข้ามาขนาบข้าง ฮ่องเต้เหลียวมองหน้าโอรสทั้งสองพลางแย้มสรวลเพื่อให้พวกเขาคลายกังวล"ข้าไม่เป็นไรแล้ว ต้องขอบคุณหมอฟู่ ยามนี้ข้ารู้สึกโล่งขึ้นมากจริง ๆ" ฮ่องเต้ฉือเจียฉีย้ายสายตาไปทางสตรีเพียงหนึ่ง"หมอฟู่""เพคะ""อิ้งเทียนมักกล่าวชมเจ้าให้ข้าฟังอยู่เสมอ เจ้าเป็นคนดูแลเขาในตอนที่ถูกทำร้ายและวางยาพิษจนดวงตาใกล้บอดกระทั่งเวลานี้ก็เป็นคนช่วยเหลือข้า ข้าจะปูนบำเหน็จให้เจ้าอย่างดี เจ้าและลูกศิษย์เองก็เหลือกันเพียงสองคน ฝีมือเก่งกาจเช่นนี้หากซ่อนเร้นอยู่เพียงในหุบเขาคงน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง เช่นนั้นหมอฟู่ยินดีเป็นหมอหลวงหรือไม่ ข้าจะมอบตำแหน่งหัวหน้าหมอหลวงให้เจ้า"ฉืออิ้งเทียนใจเต้นระส่ำ แม้ความคิดจะเห็นแก่ตัวไปบ้างแ
"หมอฟู่ นี่เจ้ากล้าดีอย่างไร จึงลงโทษข้าด้วยวิธีโง่เง่าเช่นนี้ แน่จริงเจ้าก็ท่องให้ข้าฟังสิ สตรีบ้านป่าเมืองเถื่อนเช่นเจ้าเก่งแต่เรื่องยาผีบอก ริอาจนำสี่คุณธรรมสามคล้อยตามของสตรีผู้สูงศักดิ์มาใช้เป็นบทลงโทษข้า ไร้ยางอายไปหน่อยกระมัง"ฟู่ซูหนิงใช้นิ้วก้อยแคะหูของตนหมายยียวนอีกฝ่าย ซิ่วกุ้ยเฟยเห็นยังมิอาจรับได้กับกิริยาเสื่อมทราม ทว่าฉืออิ้งเทียนกลับมองฟู่ซูหนิงตาเป็นประกาย ซิ่วกุ้ยเฟยสังเกตเห็นสีหน้าโอรสของตนเคลิบเคลิ้มเพียงนั้นก็อยากกรีดร้องนัก ไม่รู้ว่าถูกเสน่ห์มนตราหมอหญิงเถื่อนเข้าหรือไร"ท่านหญิง หากข้าท่องได้ ท่านจะให้ข้าเพิ่มบทลงโทษท่านหรือไม่เจ้าคะ"รั่วรั่วเชิดหน้าด้วยความมั่นอกมั่นใจ นี่เป็นบทเรียนของสตรีสูงศักดิ์เท่านั้น คนเช่นฟู่ซูหนิงน่ะหรือสามารถท่องได้ อย่ามาข่มขู่นางเสียให้ยาก นางไม่มีทางหลงกลอุบายตื้นเขินนี้หรอก "ก็เอาสิ เจ้าว่ามาเลย หากเจ้าท่องได้ครบไม่ตกหล่นสักคำ ข้ายินดีทำตามบทลงโทษของเจ้า"ทุกอย่างลงรอยราวจับวาง ฟู่ซูหนิงอยากได้ยินคำนี้อยู่พอดี ฉืออิ้งเทียนมองดูอยู่ไม่ห่าง เขาแทบไม่ละสายตาจากฟู่ซูหนิงเลยดูเหมือนนางจ
เพราะรั่วรั่วสั่งจับกุมผู้อื่นโดยพลการและไร้การไต่สวน คนกระทำความผิดย่อมต้องรับโทษ"หนิงเอ๋อร์ เจ้าต้องการลงทัณฑ์เช่นไรเล่า"รั่วรั่วหน้าเผือดสี ในเมื่อฉืออิ้งเทียนเข้าข้างผู้อื่น ยามนี้ที่พึ่งหนึ่งเดียวของนางก็เหลือเพียงซิ่วกุ้ยเฟยแล้ว"กุ้ยเฟยเพคะ รั่วรั่วเป็นฝ่ายถูกกระทำเหตุใดจำต้องรับโทษด้วยเพคะ ท่านพี่อิ้งเทียนไม่ยุติธรรม""เรื่องนั้นได้รับการตัดสินแล้วมิใช่หรือ ท่านหญิงโปรดแยกแยะ" ฟู่ซูหนิงเหนื่อยหน่ายกับท่าทีงอแงดั่งเด็กไม่ประสาของท่านหญิงผู้นี้เต็มทน"เทียนเอ๋อร์ เจ้าจะให้นางลงโทษน้องจริงหรือ""ท่านแม่ เมื่อครู่รั่วรั่วทำให้เสี่ยวไป๋บาดเจ็บหากไม่ลงโทษนาง แล้วต่อไปผู้ใดจะเชื่อมั่นและยำเกรงชินอ๋องพ่ะย่ะค่ะ คนผิดก็ต้องว่าไปตามผิด"แม้ซิ่วกุ้ยเฟยขุ่นเคืองเพียงใด ทว่าฉืออิ้งเทียนเอ่ยมาล้วนมีเหตุผล ซิ่วกุ้ยเฟยทอดถอนใจ จากนั้นตบมือเปาะแปะลงบนหลังมือขาวเนียนที่เอาแต่เกาะแขนของตนเฉกเช่นปลิงตัวหนึ่ง"รั่วรั่ว นางอยากลงโทษเจ้าก็ให้ทำดูสักครา ข้าอยู่ตรงนี้ทั้งคนดูสิว่านางจะลงโทษ