"อ๊ะ! นี่ นี่ ท่านเดินระวังหน่อยไม่ได้หรือไร ชนแล้ว ๆ" ฟู่ซูหนิงยกมือคลึงขมับ
วันนี้นางจะเดินทางไปถึงตัวเมืองหรือไม่ ไฉนเขาเอาแต่เดินเปะปะชนโน่นชนนี่อยู่เรื่อย หรือดวงตาของเขายามนี้กลายเป็นบอดสนิทไปแล้วกันเล่า
"ขออภัยท่านหมอ ข้ามองไม่เห็นจริง ๆ"
"ท่านหยุด ไม่ต้องเดินต่อแล้ว เดินส่งเดชเช่นนี้สามวันก็ไม่ถึงหรอกเจ้าค่ะ"
ฉืออิ้งเทียนหยุดฝีเท้าลงทันควัน ริมฝีปากได้รูปยกโค้งจาง ๆ แผนล่อหลอกเพื่อประวิงเวลาสัมฤทธิผลเสียที
ฟู่ซูหนิงยกมือแกร่งคล้องลำคอด้วยความจำใจ นอกจากกลิ่นกายหอมกรุ่นดุจบุปผาต้องหยาดฝนของสตรีข้างกาย เส้นทางนี้ยังผสานด้วยกลิ่นอายหอมจรุงจากพืชพรรณโอสถ เพราะยามรบล้วนต้องผ่านการวางแผนและการฝึกฝนมามากจึงทำให้เขาสามารถแยกแยะรูป รส กลิ่น เสียงได้เป็นอย่างดี
ดอกไห่ถัง หอมยิ่งนัก เครื่องหอมของนางก็คงมาจากบุปผาชนิดนี้
"คุณชายอิ้งเทียน ดวงตาท่านมองไม่ชัด แต่ขาของท่านยังสามารถใช้งานได้อยู่กระมัง"
ฉืออิ้งเทียนพยักหน้า
"เช่นนั้นข้าจะพยุงท่านแล้วเดินไปพร้อมกัน
ฟู่ซูหนิงแหงนหน้าขึ้นแช่มช้า ก็ประสานเข้ากับดวงตาขมึงถึงของบุรุษร่างใหญ่ล่ำบึ้ก"นี่! เจ้าหน้าอ่อน เดินไม่ดูตาม้าตาเรือหรืออย่างไร อยากตายงั้นรึ"อาเป่าถลันเข้ามาค้อมศีรษะขอโทษขอโพยพัลวัน "นายท่าน ต้องขออภัยจริง ๆ ขอรับ นี่เป็นท่านหมอมาส่งผู้ป่วยเท่านั้น ได้โปรดละเว้นด้วย"ชายฉกรรจ์ถ่มถุยน้ำลายลงบนพื้นด้วยท่าทีหยาบโลน จากนั้นผลักอาเป่าซึ่งเรือนกายผอมแห้งจนล้มลงบนพื้น "เป็นแค่ลูกจ้างกระจอกงอกง่อย อย่าริอ่านมาต่อรองกับข้า รู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร"ฟู่ซูหนิงเหลืออดพลันขบฟันกรอด มือเรียวกำหมัดแน่นเสียจนกายสั่นเทิ้ม ครั้นยันกายของตนขึ้นได้แล้ว ใบหน้าเกลี้ยงเกลาก็เชิดขึ้นด้วยความโอหัง "เจ้าหมีควาย! กระทั่งตัวเจ้ายังไม่รู้ว่าตนเป็นใคร แล้วผู้อื่นเขาจะรู้ด้วยงั้นรึ สมองหมูจริงเชียว ไฉนต้องมายกตนข่มท่าน รังแกผู้คนไม่สนถูกผิด"ชายร่างกำยำตวัดตามองฉับ จากนั้นคว้าสาบเสื้อของฟู่ซูหนิงจนเท้าลอยเหนือพื้น "เจ้าหน้าอ่อน เจ้าเป็นบุรุษอย่างไร ไยหน้าหวานอ่อนแอคล้ายพวกสตรีไม่มีผิด ปากคอก็เราะรายใช่ย่อย มิรู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ปวกเปียกเช่นนี้ยังกล้าพ่นวาจาดูแคลนข้าอีก!"
"อาเหวิ่น ไยพวกเจ้าทำตัวเสียมารยาทนัก"บุรุษร่างสูงแต่งกายด้วยชุดผ้าไหมสีครามงามสง่า บนศีรษะสวมกวานหยกล้ำค่าลายประณีตมือของเขาถือพัดงาช้างพลางโบกสะบัดแช่มช้าใบหน้าของเขาหล่อเหลาทว่ากลับแฝงไปด้วยกลิ่นอายความกะล่อน ครั้นจะให้เปรียบเทียบกับบุรุษอีกคนที่นั่งสงบนิ่งในยามนี้ ชายหนุ่มทั้งสองก็นับว่ารูปงามไม่น้อยหน้ากันสักกระผีกริ้นหล่อเหลาสูงส่งแล้วอย่างไรหากทำตัวอันธพาลก็มิเท่ากับพวกดูดีเพียงรูปแต่จูบไม่หอมอย่างนั้นหรือ ฟู่ซูหนิงมิได้ใส่ใจผู้มาเยือนนัก ใบหน้าเกลี้ยงเกลายับยู่พลางปัดป่ายเพื่อจัดแจงอาภรณ์ซ้ายขวาชายร่างกำยำรวมถึงลูกน้องที่นอนโอดครวญอยู่บนพื้น ต่างลากสังขารไปหลบหลังบุรุษร่างสูงโปร่ง"นายน้อย เจ้าหนุ่มนี่ทำดวงตาของข้ามืดบอดขอรับ" นักเลงหัวไม้ร่างโตเมื่อครู่ก็คืออาเหวิ่นหรือจินเหวิ่น"หุบปากเสีย ร่างกายก็ใหญ่โตกว่าเขาตั้งหลายเท่า ไยขี้ฟ้องดุจเด็กสามขวบ รู้ถึงไหนอายถึงนั่น"จินเหวิ่นและลูกน้องเงียบเสียงลงฉับ บ้างกุมท้องบ้างกุมหน้าผาก ทว่าจินเหวิ่นยังปิดตาของตนไว้แน่นใบหน้าพวกเขาแดงก่ำเหยเ
ฟู่ซูหนิงถอนหายใจระอิดระอาตัวโตเสียเปล่าสมองหมูไม่เกินจริง ร้องอย่างกับลาถูกเชือด"ซื่อจื่อ ข้าจะบอกท่านให้ ว่านั่นมิใช่ยาพิษสักนิด ท่านเลิกให้ลูกน้องร่างยักษ์ร้องโอดโอยเป็นหมูถูกเชือดเสียที ผงผัดหน้าธรรมดาไม่รู้จักหรือไร เคืองเล็กน้อยก็ตีโพยตีพายยกใหญ่"ฉืออิ้งเทียนส่ายศีรษะพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นยกชาขึ้นจิบอย่างใจเย็น ที่แท้ฟู่ซูหนิงก็มีอุบายเช่นคาดเดาไม่มีผิด นางสามารถทำให้ผู้อื่นอกสั่นขวัญแขวนกันเป็นแถบ ช่างเป็นสตรีตัวแสบไม่เบาทีเดียวได้ยินเช่นนั้นจินเหวิ่นจึงลดฝ่ามือลงแช่มช้า พลันกะพริบตาสองสามคราก็พบว่าตนเพียงระคายเคืองเล็กน้อยเท่านั้น จินเหวิ่นยิ้มแหยเฉกเช่นเด็กน้อยกำลังถูกมารดาดุ ช่างไม่รับกับสีหน้าอันเกรี้ยวกราดนั่นเสียเลย มองดูก็อุจาดตาพิกลเหอหยางส่ายศีรษะเพราะรู้สึกขายหน้าเหลือแสน เขากระแอมแก้เก้อ"ขอบคุณน้องชายที่ยั้งมือไว้ไมตรี แต่ว่า..."หมอนี่ช่างขี้สงสัยจริงแท้"นี่ซื่อจื่อ ท่านเป็นไก่หรือไร ตามจิกตามสงสัยข้าอยู่นั่น เดี๋ยวข้าจับตุ๋นทำน้ำแกงเสียเลย"ลูกน
ฉืออิ้งเทียนนั่งสงบนิ่งเฉกเช่นหุบเขาน้ำแข็งอยู่ภายในรถม้า ส่วนองครักษ์ทั้งสองควบอาชาคอยอารักขาผู้เป็นนายขนาบข้างคนละฝั่ง เขานั่งขบคิดตลอดทางถึงอาการแปลกพิกลของฟู่ซูหนิง กระทั่งบุรุษที่ตนถกเถียงจนน้ำลายแตกฟอง ยังสามารถพลิกมาเป็นพวกพ้องเพื่อหลบเลี่ยงมิให้องครักษ์ของเขาได้เห็นหน้าเกาซี "องค์ชาย ขอประทานอภัยที่กระหม่อมไม่อาจมองหน้าของท่านหมอได้อย่างชัดแจ้งพระองค์ประสงค์ให้พวกเราตามสืบเรื่องของเขาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ""เพราะนางไม่อยากให้พวกเจ้าเห็นเองต่างหาก"เกาซีและเติ้งเหวยเหลียวมองหน้ากัน เติ้งเหวยเอ่ย "เอ่อ...ท่านหมอเป็นผู้หญิงหรือพ่ะย่ะค่ะ แต่เมื่อครู่กระหม่อมเห็นเพียงบุรุษ ไม่มีสตรีสักนาง"ฉืออิ้งเทียนแค่นยิ้ม "ช่างเถิด ถึงอย่างไรเรื่องของท่านหมอข้าย่อมไม่ปล่อยผ่าน นางทำดีกับข้า ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บและดวงตาของข้า ทว่ากลับจงใจหนีหน้าข้า พวกเจ้าว่าดูไปแล้วนางมีพิรุธหรือไม่"องครักษ์ทั้งสองเหลียวมองหน้ากัน จากนั้นพยักหน้าโดยพร้อมเพรียงเกาซี "องค์ชาย แล้วจดหมายที่ติดต่อพวกเรา พระองค์ก็เป็นคน...""ข้าเป
"น้องชาย ลูกไม้เดิมเจ้าอย่านำมาใช้อีกจะดีกว่าไม่ได้ผลหรอก เช่นนั้นเอาอย่างนี้แล้วกัน หากเจ้าไร้แหล่งพักพิง ไปพักที่จวนข้าได้ ที่นั่นใหญ่โตโอ่โถงเพียงพอให้เจ้าได้หลบแดดบังฝนอย่างสบายเชียวล่ะ"ฟู่ซูหนิงส่ายหน้า "ไม่ขอรับ ข้ารักอิสระ"เหอหยางเยื้องย่างเข้าใกล้คนตัวเล็กแช่มช้า เขาโน้มกายลง "ไม่ต้องเกรงใจ..." เสียงทุ้มแผ่วโผย จากนั้นเอ่ยต่อว่า "น้องชายเจ้ายินดีเป็นสหายกับข้าหรือไม่ หากยามเบื่อหน่ายข้าจะได้มีเพื่อนร่ำสุราเคล้านารี ดู ๆ ไปแล้วมีเจ้าเป็นสหายคงมีเรื่องให้เล่นสนุกไม่เว้นวัน""ท่านเป็นถึงซื่อจื่อผู้สูงส่ง จะลากข้าไปร่ำสุราเป็นเพื่อนเพื่อสิ่งใด ข้าเป็นเพียงหมอนิรนามเนื้อตัวสกปรกกลิ่นกายเต็มไปด้วยโอสถเฉกเช่นคนแก่ชรา ลูกน้องก็มีเป็นโขยงยังจะอยากเพิ่มข้าเข้ามาให้ชวนปวดหัวอีก"เหอหยางกดยิ้มมุมปาก "นั่นไม่เหมือนกัน...และแน่นอนว่าข้าอยากเป็นสหายกับเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น สุราจอกนี้เป็นสัญญาแรกของเราดีหรือไม่"ฟู่ซูหนิงมองจอกขนาดเล็กในมือของเขา เหตุใดคนผู้นี้ว่องไวดุจปีศาจ เมื่อครู่นางยังมิเห็นว่าเขาหยิบมาด้วยเลย แล้วเขาไปเอาจอกสุรานี่มาได้อย่างไร
"เทียนเอ๋อร์ เป็นอย่างไรบ้างลูก"ซิ่วกุ้ยเฟยหรือซิ่วอิงเห็นโอรสของตนกลับมาในสภาพมีผ้าขาวคาดดวงตาก็ร้องไห้แทบเกิดลมจับ คาดไม่ถึงว่าลูกชายเพียงคนเดียวที่ยังหลงเหลือกลับกลายเป็นคนพิกลพิการตั้งแต่อายุเพียงสิบแปดปี โอรสคนโตก็สิ้นใจในสมรภูมิรบเมื่อสามปีก่อน ไยชะตาสนมเอกเช่นนางจึงอาภัพนัก"เสด็จแม่ ไม่ต้องกังวลพระทัย ยามที่ลูกหลงอยู่ในป่า ลูกบังเอิญพบกับหมอเทวดา แม้ดวงตาไม่อาจมองเห็น ทว่าร่างกายของลูกแข็งแรงดียิ่งพ่ะย่ะค่ะ""หมอเทวดางั้นหรือ หมอเทวดาใดกัน หากเป็นหมอเทวดาไยจึงไม่อาจรักษาดวงตาเจ้าได้ อีกอย่างแม่ไม่เคยได้ยินมาก่อนเรื่องหมอเทวดาเหลวไหลอะไรนั่น แบบนี้ไม่ได้การ แม่จะเรียกหมอหลวงมาตรวจร่างกายเจ้าอีกครั้ง บางทีหมอเทวดาที่เจ้าว่าอาจรักษาส่งเดชก็เป็นได้"ฉืออิ้งเทียนถอนหายใจอย่างนึกปลดปลง แม้เขาไม่ประสงค์ชิงดีชิงเด่นกับบรรดาพี่น้องต่างมารดาทว่าซิ่วกุ้ยเฟยกลับไม่เป็นเช่นนั้น นางช่างกระหายในอำนาจอย่างยิ่งยวดอีกไม่นานจะมีการแต่งตั้งชินอ๋อง แน่นอนว่าผู้เหมาะสมและเป็นที่หมายตาสำหรับตำแหน่งอ๋องขั้นหนึ่งย่อมหลีกไม่พ้นฉ
ซิ่วกุ้ยเฟยถอนหายใจอย่างนึกระอา พระนางเอ็นดูรั่วรั่วผู้นี้มาตั้งแต่อ้อนแต่ออก ซ้ำยังหมายตาให้เป็นว่าที่พระชายาของฉืออิ้งเทียน เพราะบิดาของรั่วรั่วเป็นแม่ทัพใหญ่ รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับฝ่าบาทเมื่อหลายสิบปีก่อน แม่ทัพรั่วปกป้องฝ่าบาทจนสุดความสามารถจึงทำให้ตนต้องตายในสมรภูมิ ยามนั้นบุตรีของเขายังเล็กนัก ฮูหยินแม่ทัพรั่วก็ร่างกายอ่อนแอ ยิ่งได้รับข่าวร้ายก็ตรอมใจจนสิ้นใจในที่สุดฮ่องเต้ฉือเจียฉีเห็นแก่คุณงามความดีของแม่ทัพรั่ว ตั้งแต่รั่วรั่วยังมิรู้ความ นางก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นท่านหญิงสืบมา ทั้งยังมอบจวนหลังใหญ่ และเงินทองแพรพรรณมากมายแก่บุตรีเพียงหนึ่งเดียวของแม่ทัพ ต่อให้นางมิต้องทำงาน ทั้งชาติก็ไม่รู้จะใช้เงินทองเหล่านั้นหมดหรือไม่"รั่วรั่ว ใจเย็น ๆ พี่เขาปลอดภัยดี ส่วนเรื่องดวงตาไว้ข้าจะให้หมอมาตรวจอาการอีกที"รั่วรั่วร้องไห้กระซิกพลางใช้แพรพกปาดน้ำตาเพราะฉืออิ้งเทียนมองรั่วรั่วดุจดั่งน้องสาวคลานตามกันมา แม้ทราบเจตนาและความรู้สึกของรั่วรั่ว แต่เขาก็มิอาจรับไมตรีจิตนี้ได้ ต่อให้มารดาของเขาเห็นดีเห็นงามด้วยก็ตามทีเมื่อครู่เขายังมิทันได้เผยความจริ
ฟู่ซูหนิงเดินเลาะเส้นทางลัดมาจนถึงหุบเขาร้อยโอสถ ใบหน้างดงามบูดบึ้งด้วยความหัวเสีย นางอุตส่าห์พรางตัวอย่างแนบเนียน ยังถูกซื่อจื่อไก่แจ้ตัวปัญหาจับได้เขากล้าใช้อุบายหยาบช้าเรื่องพิษในตำนานมาลวงหลอกหมอผู้ชาญฉลาดเช่นนางได้อย่างเจ็บแสบ พบกันคราวหน้า นางจะเอาคืนให้สาสม"ซื่อจื่อจอมกะล่อน ถึงกับใช้อุบายสกปรกเพื่อล่อลวงข้า" ฟู่ซูหนิงยกแขนเสื้อของตนเพื่อดอมดมซ้ายขวา พลางเป่าลมหายใจลงบนฝ่ามือกลิ่นสุราอบอวลจนชวนให้เวียนศีรษะ ฟู่ซูหนิงเดินวนไปมาบริเวณพืชสมุนไพรที่ตนและท่านตาท่านยายช่วยกันปลูกเอาไว้ บ้างเป็นไม้เลื้อย บ้างเป็นบุปผา สีสันละลานตาเรียงรายอย่างเป็นระเบียบนัยน์ตาดอกท้อกวาดมองครู่หนึ่งก็เปล่งประกายวาวระยับเมื่อพบสมุนไพรที่ตนต้องการ"อ่า...เจอเสียที หลบอยู่ตรงนี้เองรึ ให้ข้าตามหาจนหัวหมุน"ร่างระหงยอบกายลงเด็ดป๋อเหอ [1] มาสี่ห้าใบ จากนั้นเคี้ยวหยุบหยับด้วยสีหน้าเริงรื่น ฟู่ซูหนิงลองพ่นลมหายใจอีกครั้งเพื่อตรวจสอบผลลัพธ์"อืม...หอมสดชื่น เท่านี้ท่
ทุกคนต่างให้ความสนใจฟู่ซูหนิง และแน่นอนฉืออิ้งเทียนทราบว่าฟู่ซูหนิงลอบให้การรักษาซีผินอย่างลับ ๆ กระทั่งเขาสืบทราบความจริงว่าซีผินมิใช่ศัตรูตัวจริง ซีผินก็แค่ริษยาแต่ไม่เคยคิดกระทำการชั่วช้าหมายเอาชีวิตเขาแต่อย่างใด ทว่าคนที่สุขุมเยือกนิ่งกลับร้ายกาจที่สุด ฉืออิ้งเทียนจึงทราบว่าทั้งหมดเป็นแผนของหลิวเฟยและโอรสของเขา องค์ชายสามฉือลู่ถงซีผินเอ่ยต่อ "ขอบคุณหมอฟู่ หากไม่ได้ท่าน ข้าคงตายไปนานแล้ว"ฟู่ซูหนิงหลุกหลิก แท้จริงนางก็มิได้ต้องการให้ใครมาขอบคุณ นางเองก็อยากรู้ว่าคนร้ายตัวจริงจะใช่คนที่นางคิดหรือไม่หลิวเฟยตวัดตามองฟู่ซูหนิงฉับ "เจ้านี่มัน! หอกข้างแคร่ของข้าทุกเรื่อง"ฉืออิ้งเทียนสาวเท้าเข้ามาบังหน้าฟู่ซูหนิงไว้ในบัดดล ฟู่ซูหนิงเอ่ยเสียงแผ่ว "ท่านอ๋องกังวลมากเกินไปแล้วเพคะ""ข้าไม่อนุญาตให้ใครทำร้ายเจ้า กระทั่งสายตาก็ไม่ได้!!"นัยน์ตาดอกท้อแดงก่ำ ฟู่ซูหนิงมองตามแผ่นหลังกว้างของบุรุษเบื้องหน้าด้วยจิตใจสับสน เสียงใสเปล่งวาจาเบาหวิว "ขอบพระทัยเพคะ"ซีผินบอกเล่าวีรกรรมต่ำช้าของหลิวเฟยต่อไป "วันนั้นที่ฝ่าบาทประชวรหนัก ข้าเข้าไปยังห้องบร
ห้องรับรองพิเศษของโรงน้ำชา ณ ย่านกลางเมือง เดิมทีใช่ใครจะเข้าออกสถานที่แห่งนี้ได้โดยง่าย ทว่าคนเฝ้าทางเข้าเพียงหยิบมือไหนเลยจะสู้ทหารกล้าผู้เจนสนามรบ ขณะที่ด้านในมิได้ระแคะระคายใด พวกเขาก็แฝงกายเข้าไปอย่างง่ายดาย"นายหญิง พวกเราได้วางกู่พิษชนิดพิเศษไว้ในห้องเครื่องของตำหนักชินอ๋องเป็นที่เรียบร้อย ทุกคนที่นั่นจะยอมรับว่าตำหนักชินอ๋องก่อกบฏทุกประการ"การรับพิษกู่เข้าสู่ร่างกายจะส่งผลให้ทุกคนกลายเป็นหุ่นเชิด หากผู้สั่งการประสงค์ให้ทำสิ่งใดคนเหล่านั้นก็จะทำตามโดยไร้สติ ฟู่ซูหนิงลอบฟังก็กำหมัดแน่น หากยามนั้นผู้อาวุโสฟางซินไม่ยื่นมือเข้าช่วย ชาวบ้านคงไม่ต่างจากศพเดินได้ ประหนึ่งผีดิบดี ๆ นี่เอง โชคดีที่นางยังเก็บจินฉานเอาไว้ [1] เพราะต้องการศึกษาต่อ ไม่เช่นนั้นจวนชินอ๋องต้องถึงกาลวิบัติแน่แท้ก่อนออกมาฟู่ซูหนิงย้อนกลับไปเก็บกวาดของสกปรกเหล่านั้นทั้งหมด เพราะนางลอบมองการกระทำของมือสังหารอยู่นานจึงเห็นว่าเขาลอบวางกู่พิษในห้องเครื่องจริงฉืออิ้งเทียนยังแอบชื่นชมฟู่ซูหนิงเป็นมิได้ ขณะที่เขาเป็
ฟู่ซูหนิงใจเต้นโครมคราม นางกลัวเหลือเกิน กลัวตัวเองจะตัดใจจากเขาไม่ได้ข้าไม่อยากคุยกับท่าน ข้าขี้เกียจรบกับแม่สามี กับสตรีนับสิบ ท่านไม่เข้าใจบ้างหรือ ฉืออิ้งเทียนฟู่ซูหนิงทำได้เพียงระบายความอัดอั้นภายในใจ ฉืออิ้งเทียนหัวรั้นเพียงนี้ หากนางไม่เต็มใจอยู่กับเขา เขาเองก็คงตามตื๊อนางไม่เลิกรา ฟู่ซูหนิงไม่รู้ควรทำเช่นไร ครั้นคิดจะมีสามีให้จบ ๆ ไป แต่ใครจะสามารถแต่งงานกับบุรุษที่ตนไม่ได้รักลงกันเล่า ตลกร้ายเกินไปหน่อยแล้วมือสังหารสองนายมีระแคะระคายอยู่บ้างที่การคุ้มกันของตำหนักฮ่องเต้หละหลวม แต่ด้วยความเร่งร้อนหวังจบภารกิจของตนโดยเร็ว จึงมิได้จับสังเกตใดอีกย่ามคู่ใจของฟู่ซูหนิงถูกวางทิ้งไว้ข้างเตากำยาน มือสังหารทั้งสองลอบวางยาพิษชนิดที่ว่าสูดดมเข้าไปภายในครึ่งชั่วยามก็สามารถคร่าชีวิตคนได้ทันที โชคดีที่ทุกคนได้รับยาสลายพิษของฟู่ซูหนิง กระทั่งทุกอย่างเป็นไปตามแผนการที่วางไว้ มือสังหารทั้งสองก็กระโจนหายไปท่ามกลางความมืดมิดเติ้งเหวยและเกาซีรับหน้าที่ติดตามมือสังหารทั้งสอง ส่วนฟู่ซูหนิงและฉืออิ้งเทียน รุดเข้ามาในห้องบรรทม ทั้งสอ
บทสนทนาอ้างถึงของสำคัญที่ฟู่ซูหนิงพกติดกาย ฟู่ซูหนิงครุ่นคิด เดิมนางมิได้มีของล้ำค่าใด ก็คงมีเพียงย่ามสะพายข้างที่พกติดกายเสมอ"ท่านอ๋อง ย่ามพกยังอยู่ที่ห้องหม่อมฉันเพคะ"ฉืออิ้งเทียนพยักหน้า เขาเร่งร้อนจะพานางกลับไปเอา แต่ฟู่ซูหนิงส่ายศีรษะ ฉืออิ้งเทียนงุนงง "ทำไมถึงห้ามข้า""เราตามพวกเขาไปเถิดเพคะ หนามยอกต้องเอาหนามบ่งมิใช่หรือ เช่นนั้นก็ให้พวกเขาเอาไป เราตามไปเงียบ ๆ ก็เพียงพอแล้ว"ฉืออิ้งเทียนจึงพาฟู่ซูหนิงลอบตามชายผู้บุกรุกไป และแน่นอนฟู่ซูหนิงจงใจเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายกระทำตามอำเภอใจ ถุงผ้าของฟู่ซูหนิงถูกสับเปลี่ยน นัยน์ตาดอกท้อหรี่ลงพิจารณาบุรุษที่สวมอาภรณ์สาวใช้ทั้งสองแล้วจึงจิ๊ปาก"สองคนนี้แอบแฝงตัวเข้ามากับขบวนนางกำนัลซีผินเมื่อช่วงบ่ายเพคะ""เมื่อบ่ายข้าก็เห็นความผิดปกติ ดูเหมือนตอนนั้นพวกมันยังไม่คิดลงมือ ข้าต้องการรู้ว่าแท้จริงนายพวกมันเป็นใคร จึงเล่นละครตามน้ำไปก่อน"ฟู่ซูหนิงตัวแข็งทื่อ แท้จริงเขาก็รู้ทุกเรื่อง แสร้งเป็นหมูเพื่อหลอกกินเสื้อจริงงั้นหรือ"ท่านอ๋อง ท่านคงมิได้สงสัยซีผินกระมังเพคะ"
ต้นยามสวี [1] "เรื่องที่ให้สืบ คืบหน้าถึงไหนแล้ว""ทูลท่านอ๋อง ที่ตลาดกลางเมือง มีโรงน้ำชาหนึ่ง..." เติ้งเหวยโน้มกระซิบเสียงแผ่ว ฉืออิ้งเทียนฟังอย่างตั้งใจฉืออิ้งเทียนพยักหน้าหลังจากได้ยินสิ่งที่เติ้งเหวยรายงานทั้งหมด "ดูเหมือนต้องเร่งสะสางเรื่องนี้ให้เรียบร้อย ยืดเยื้อมาหลายปีข้าเกรงทุกอย่างจะสายเกินไป""พ่ะย่ะค่ะ"บุรุษทั้งสามสวมเครื่องแต่งกายสีเข้ม ขาสูงเดินลัดเลาะเพื่อเฝ้าระวังความปลอดภัยโดยรอบตำหนัก จนมาถึงตำหนักกุ้ยเฟย ฉืออิ้งเทียนสังเกตเห็นความผิดปกติบริเวณหางตา เขาเห็นคนร่างเล็กสวมเครื่องแต่งกายปกปิดมิดชิด กำลังทำลับ ๆ ล่อ ๆ เมียงมองนางกำนัลผู้หนึ่งบริเวณห้องเครื่องเกาซีหมายเข้าจับกุมอีกฝ่าย ทว่าฉืออิ้งเทียนกลับปรามเอาไว้ "ไม่ต้อง แยกกันไปคนละทาง ข้าดูแล้วคนผู้นี้มาเพียงลำพัง ซ้ำยังไร้วรยุทธ์""พ่ะย่ะค่ะ"องครักษ์ทั้งสองจึงแยกย้ายไปตามคำสั่ง ฉืออิ้งเทียนเยื้องย่างไปทางด้านหลังร่างปริศนาด้วยฝีเท้าเบาหวิว มีดพกถูกดึงออกจากฟัก มือแกร่งคว้าหมับปิดริมฝีปากคนเบื้องหน
"นายหญิง พวกเราค้นหาจนทั่วแล้ว จวบจนบัดนี้ก็ยังไม่พบเย่อ๋องเลยพ่ะย่ะค่ะ ดูเหมือนว่าเย่อ๋องคง..."เพล้ง!เสียงถ้วยชากระเบื้องเคลือบแตกกระจาย บรรดามือสังหารในชุดคลุมสีเข้มต่างก้มหน้างุดไม่มีผู้ใดเปล่งวาจาอีก"ไม่จริง นี่อาจเป็นอุบายของชินอ๋อง เย่อ๋องน่ะหรือจะตายไปแล้ว ข้าไม่เชื่อเด็ดขาด เช่นนั้นก็ส่งคนลอบเข้าไปยังตำหนักชินอ๋องเสีย""แต่ที่นั่นการคุ้มกันแน่นหนามาก"ริมฝีปากซึ่งแต้มชาดสีแดงสดเหยียดยิ้ม "พวกโง่ ไม่ได้เรื่องจริง ๆ หากยังอืดอาดเช่นนี้ แผนการที่พยายามมาหลายปีต้องพังครืนไม่เป็นท่าแน่ คงต้องเร่งจัดการมันทุกคนให้สิ้นซาก"..ณ ตำหนักกุ้ยเฟยฟู่ซูหนิงถูกกุ้ยเฟยเรียกเข้าเฝ้าแทบไม่เว้นแต่ละวัน ไม่รู้ว่านางคือหมอผู้ติดตามชินอ๋องหรือติดตามกุ้ยเฟยกันแน่ ยิ่งฟู่ซูหนิงเข้าปรนนิบัติและใกล้ชิดซิ่วกุ้ยเฟยมากเท่าใด ก็ยิ่งสร้างความไม่พอใจให้รั่วรั่วมากขึ้นเท่านั้น"กุ้ยเฟยเพคะ ไยต้องให้นางมาเข้าเฝ้าท่านทุกวัน รั่วรั่วอยู่ด้วยทั้งคน ไม่ต้องให้นางมาปรนนิบัติแล้วก็ได้นะเ
ณ ห้องบรรทมฮ่องเต้"ไท่จื่อ พระองค์ไม่ต้องกังวลพระทัยเพคะ นี่เป็นเพียงการสำรอกเอาพิษออกจากพระวรกายของฝ่าบาทก็เท่านั้น""แต่นี่เสด็จพ่อ...""จวินเอ๋อร์" เสียงสั่นเครือแหบแห้งเอ่ยขึ้นไท่จื่อฉืออี้จวินรุดเข้ากุมมือผู้เป็นบิดาด้วยสีหน้าเป็นกังวล ฉืออิ้งเทียนก็เดินเข้ามาขนาบข้าง ฮ่องเต้เหลียวมองหน้าโอรสทั้งสองพลางแย้มสรวลเพื่อให้พวกเขาคลายกังวล"ข้าไม่เป็นไรแล้ว ต้องขอบคุณหมอฟู่ ยามนี้ข้ารู้สึกโล่งขึ้นมากจริง ๆ" ฮ่องเต้ฉือเจียฉีย้ายสายตาไปทางสตรีเพียงหนึ่ง"หมอฟู่""เพคะ""อิ้งเทียนมักกล่าวชมเจ้าให้ข้าฟังอยู่เสมอ เจ้าเป็นคนดูแลเขาในตอนที่ถูกทำร้ายและวางยาพิษจนดวงตาใกล้บอดกระทั่งเวลานี้ก็เป็นคนช่วยเหลือข้า ข้าจะปูนบำเหน็จให้เจ้าอย่างดี เจ้าและลูกศิษย์เองก็เหลือกันเพียงสองคน ฝีมือเก่งกาจเช่นนี้หากซ่อนเร้นอยู่เพียงในหุบเขาคงน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง เช่นนั้นหมอฟู่ยินดีเป็นหมอหลวงหรือไม่ ข้าจะมอบตำแหน่งหัวหน้าหมอหลวงให้เจ้า"ฉืออิ้งเทียนใจเต้นระส่ำ แม้ความคิดจะเห็นแก่ตัวไปบ้างแ
"หมอฟู่ นี่เจ้ากล้าดีอย่างไร จึงลงโทษข้าด้วยวิธีโง่เง่าเช่นนี้ แน่จริงเจ้าก็ท่องให้ข้าฟังสิ สตรีบ้านป่าเมืองเถื่อนเช่นเจ้าเก่งแต่เรื่องยาผีบอก ริอาจนำสี่คุณธรรมสามคล้อยตามของสตรีผู้สูงศักดิ์มาใช้เป็นบทลงโทษข้า ไร้ยางอายไปหน่อยกระมัง"ฟู่ซูหนิงใช้นิ้วก้อยแคะหูของตนหมายยียวนอีกฝ่าย ซิ่วกุ้ยเฟยเห็นยังมิอาจรับได้กับกิริยาเสื่อมทราม ทว่าฉืออิ้งเทียนกลับมองฟู่ซูหนิงตาเป็นประกาย ซิ่วกุ้ยเฟยสังเกตเห็นสีหน้าโอรสของตนเคลิบเคลิ้มเพียงนั้นก็อยากกรีดร้องนัก ไม่รู้ว่าถูกเสน่ห์มนตราหมอหญิงเถื่อนเข้าหรือไร"ท่านหญิง หากข้าท่องได้ ท่านจะให้ข้าเพิ่มบทลงโทษท่านหรือไม่เจ้าคะ"รั่วรั่วเชิดหน้าด้วยความมั่นอกมั่นใจ นี่เป็นบทเรียนของสตรีสูงศักดิ์เท่านั้น คนเช่นฟู่ซูหนิงน่ะหรือสามารถท่องได้ อย่ามาข่มขู่นางเสียให้ยาก นางไม่มีทางหลงกลอุบายตื้นเขินนี้หรอก "ก็เอาสิ เจ้าว่ามาเลย หากเจ้าท่องได้ครบไม่ตกหล่นสักคำ ข้ายินดีทำตามบทลงโทษของเจ้า"ทุกอย่างลงรอยราวจับวาง ฟู่ซูหนิงอยากได้ยินคำนี้อยู่พอดี ฉืออิ้งเทียนมองดูอยู่ไม่ห่าง เขาแทบไม่ละสายตาจากฟู่ซูหนิงเลยดูเหมือนนางจ
เพราะรั่วรั่วสั่งจับกุมผู้อื่นโดยพลการและไร้การไต่สวน คนกระทำความผิดย่อมต้องรับโทษ"หนิงเอ๋อร์ เจ้าต้องการลงทัณฑ์เช่นไรเล่า"รั่วรั่วหน้าเผือดสี ในเมื่อฉืออิ้งเทียนเข้าข้างผู้อื่น ยามนี้ที่พึ่งหนึ่งเดียวของนางก็เหลือเพียงซิ่วกุ้ยเฟยแล้ว"กุ้ยเฟยเพคะ รั่วรั่วเป็นฝ่ายถูกกระทำเหตุใดจำต้องรับโทษด้วยเพคะ ท่านพี่อิ้งเทียนไม่ยุติธรรม""เรื่องนั้นได้รับการตัดสินแล้วมิใช่หรือ ท่านหญิงโปรดแยกแยะ" ฟู่ซูหนิงเหนื่อยหน่ายกับท่าทีงอแงดั่งเด็กไม่ประสาของท่านหญิงผู้นี้เต็มทน"เทียนเอ๋อร์ เจ้าจะให้นางลงโทษน้องจริงหรือ""ท่านแม่ เมื่อครู่รั่วรั่วทำให้เสี่ยวไป๋บาดเจ็บหากไม่ลงโทษนาง แล้วต่อไปผู้ใดจะเชื่อมั่นและยำเกรงชินอ๋องพ่ะย่ะค่ะ คนผิดก็ต้องว่าไปตามผิด"แม้ซิ่วกุ้ยเฟยขุ่นเคืองเพียงใด ทว่าฉืออิ้งเทียนเอ่ยมาล้วนมีเหตุผล ซิ่วกุ้ยเฟยทอดถอนใจ จากนั้นตบมือเปาะแปะลงบนหลังมือขาวเนียนที่เอาแต่เกาะแขนของตนเฉกเช่นปลิงตัวหนึ่ง"รั่วรั่ว นางอยากลงโทษเจ้าก็ให้ทำดูสักครา ข้าอยู่ตรงนี้ทั้งคนดูสิว่านางจะลงโทษ