ซิ่วกุ้ยเฟยถอนหายใจอย่างนึกระอา พระนางเอ็นดูรั่วรั่วผู้นี้มาตั้งแต่อ้อนแต่ออก ซ้ำยังหมายตาให้เป็นว่าที่พระชายาของฉืออิ้งเทียน เพราะบิดาของรั่วรั่วเป็นแม่ทัพใหญ่ รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับฝ่าบาทเมื่อหลายสิบปีก่อน แม่ทัพรั่วปกป้องฝ่าบาทจนสุดความสามารถจึงทำให้ตนต้องตายในสมรภูมิ ยามนั้นบุตรีของเขายังเล็กนัก ฮูหยินแม่ทัพรั่วก็ร่างกายอ่อนแอ ยิ่งได้รับข่าวร้ายก็ตรอมใจจนสิ้นใจในที่สุด
ฮ่องเต้ฉือเจียฉีเห็นแก่คุณงามความดีของแม่ทัพรั่ว ตั้งแต่รั่วรั่วยังมิรู้ความ นางก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นท่านหญิงสืบมา ทั้งยังมอบจวนหลังใหญ่ และเงินทองแพรพรรณมากมายแก่บุตรีเพียงหนึ่งเดียวของแม่ทัพ ต่อให้นางมิต้องทำงาน ทั้งชาติก็ไม่รู้จะใช้เงินทองเหล่านั้นหมดหรือไม่
"รั่วรั่ว ใจเย็น ๆ พี่เขาปลอดภัยดี ส่วนเรื่องดวงตาไว้ข้าจะให้หมอมาตรวจอาการอีกที"
รั่วรั่วร้องไห้กระซิกพลางใช้แพรพกปาดน้ำตา
เพราะฉืออิ้งเทียนมองรั่วรั่วดุจดั่งน้องสาวคลานตามกันมา แม้ทราบเจตนาและความรู้สึกของรั่วรั่ว แต่เขาก็มิอาจรับไมตรีจิตนี้ได้ ต่อให้มารดาของเขาเห็นดีเห็นงามด้วยก็ตามที
เมื่อครู่เขายังมิทันได้เผยความจริ
ฟู่ซูหนิงเดินเลาะเส้นทางลัดมาจนถึงหุบเขาร้อยโอสถ ใบหน้างดงามบูดบึ้งด้วยความหัวเสีย นางอุตส่าห์พรางตัวอย่างแนบเนียน ยังถูกซื่อจื่อไก่แจ้ตัวปัญหาจับได้เขากล้าใช้อุบายหยาบช้าเรื่องพิษในตำนานมาลวงหลอกหมอผู้ชาญฉลาดเช่นนางได้อย่างเจ็บแสบ พบกันคราวหน้า นางจะเอาคืนให้สาสม"ซื่อจื่อจอมกะล่อน ถึงกับใช้อุบายสกปรกเพื่อล่อลวงข้า" ฟู่ซูหนิงยกแขนเสื้อของตนเพื่อดอมดมซ้ายขวา พลางเป่าลมหายใจลงบนฝ่ามือกลิ่นสุราอบอวลจนชวนให้เวียนศีรษะ ฟู่ซูหนิงเดินวนไปมาบริเวณพืชสมุนไพรที่ตนและท่านตาท่านยายช่วยกันปลูกเอาไว้ บ้างเป็นไม้เลื้อย บ้างเป็นบุปผา สีสันละลานตาเรียงรายอย่างเป็นระเบียบนัยน์ตาดอกท้อกวาดมองครู่หนึ่งก็เปล่งประกายวาวระยับเมื่อพบสมุนไพรที่ตนต้องการ"อ่า...เจอเสียที หลบอยู่ตรงนี้เองรึ ให้ข้าตามหาจนหัวหมุน"ร่างระหงยอบกายลงเด็ดป๋อเหอ [1] มาสี่ห้าใบ จากนั้นเคี้ยวหยุบหยับด้วยสีหน้าเริงรื่น ฟู่ซูหนิงลองพ่นลมหายใจอีกครั้งเพื่อตรวจสอบผลลัพธ์"อืม...หอมสดชื่น เท่านี้ท่
"ท่านตา…อยู่นี่เองหรือ" ฟู่ซูหนิงฉีกยิ้มประดักประเดิด จากนั้นก็แปรเป็นโอบกอดสองตายายคนละฝั่ง จากนั้นเอ่ยอู้อี้ "หนิงเอ๋อร์มิได้เที่ยวเตร็ดเตร่จนหลงลืมเวลาใดเลยเจ้าค่ะ หนิงเอ๋อร์ก็แค่ แค่..."นัยน์ตาดอกท้อลดมองสมุนไพรในมือ "อ่า...หนิงเอ๋อร์ แค่รู้สึกเมื่อยล้าเล็กน้อย เพราะหมอนั่น…เอ่อ คุณชายฉือ เอาแต่เดินเชื่องช้าเป็นเต่า หากหนิงเอ๋อร์เป็นบุรุษคงแบกเขาขึ้นหลังไปเสียตั้งนานแล้ว จะได้กลับถึงเรือนโดยเร็ว อีกอย่าง หนิงเอ๋อร์ก็กลับถึงหุบเขาร้อยโอสถตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ตก เพียงแต่กำลังแวะเก็บสมุนไพรพวกนี้เพื่อนำมาผสมเครื่องอาบน้ำให้สดชื่นเท่านั้นเองเจ้าค่ะ"ฟู่ซูหนิงผละห่างผู้เฒ่าทั้งสอง จากนั้นแสดงหลักฐานในมือไปเบื้องหน้า กระนั้นก็ยังถูกมือเหี่ยวย่นทว่ายังแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้าเคาะกะโหลกไปหนึ่งครา"โอ๊ย!""นี่แน่...คราวหลังอย่าทำให้ตากับยายเป็นห่วงเช่นวันนี้อีก""เจ้าค่ะทราบแล้ว ท่านตาก็...ท่านเอาแต่เคาะกะโหลกหนิงเอ๋อร์เช่นนี้ สมองไหล ความรู้หดหายจะทำอย่างไรเจ้าคะ หลานของท่านยิ่งฉลาดหลักแหลมอยู่มิรู้หรือ"ผู้เป็นยายขำพรืด หลานของนาง
ครึ่งเดือนผันผ่าน ณ ย่านการค้าเมืองเทียนหลันบริเวณริมท่าน้ำล้วนคึกคักไปด้วยบรรดาผู้คน มีทั้งชาวบ้านในพื้นที่และกลุ่มพ่อค้าต่างเมืองเดินกระทบไหล่กันให้ควักแผงลอยไม้ไผ่ต่างวางของขายเรียงรายเป็นทิวแถว บ้างขายพืชผัก บ้างขายเครื่องประดับ รวมถึงอาหารทั้งคาวและหวานละลานตาเต็มไปหมดเพราะเมืองเทียนหลันนั้นโอบล้อมไปด้วยแม่น้ำขนาดมหึมาอันเป็นเหตุให้เมืองเทียนหลันแห่งทิศบูรพาอุดมสมบูรณ์มากพร้อมด้วยพืชพรรณธัญญาหารหากนึกย้อนกลับไปเมื่อครึ่งเดือนก่อนพื้นที่แห่งนี้เกือบจมดิ่งอยู่ใต้ท้องสมุทร ยามถึงกลางฤดูหยี่สุ่ยฝนฟ้ามักเทกระจาดลงมาพร้อมลมพายุดั่งสวรรค์กำลังพิโรธ ทว่าประสบปัญหาได้ไม่นานก็ได้รับการแก้ไขจากเหออ๋องอย่างทันท่วงที จึงสามารถพลิกวิกฤติให้กลับมามั่งคั่งได้อีกครั้งแท้จริงวิธีแก้ปัญหาข้างต้นล้วนมาจากแนวความคิดขององค์ชายหกฉืออิ้งเทียน แม้ตัวเขาไม่อยู่เพราะเกิดเหตุไม่คาดฝันซึ่งมิได้เปิดเผยให้ใครทราบ กระนั้นเขาก็ยังส่งเหล่าทหารกล้าในสังกัดเข้ามาช่วยเหลือ ชาวเมืองเทียนหลันมิอาจนิ่งนอนใจจึงรวบรวมกำลังพลเข้าช่วยขุดลอกอ่างเก็บน้ำแหล่งใหม่เช่นเดีย
เด็กน้อยส่ายศีรษะทว่ากลับมีสีหน้าเศร้าสลด"เจ้ามิได้ป่วย แต่ดูสีหน้าของเจ้ากลับมิสู้ดีเท่าใด" แท้จริงเขามองเห็นเพียงเลือนราง ทว่าเขากำลังจับพิรุธจากน้ำเสียงของอีกฝ่ายเด็กคนนี้กำลังมีปัญหาครอบครัวเด็กน้อยแหงนหน้าขึ้นแช่มช้า แววตาแข็งกร้าวเมื่อครู่ไหวระริกแดงก่ำ จากท่าทีหยาบคายแข็งกระด้างก็แปรเปลี่ยนเฉกเช่นพลิกฝ่ามือ"พี่ชาย ข้ามิได้ป่วยจริง ๆ ขอรับ ทว่าน้องข้า น้องสาวข้า…"จู่ ๆ ไหล่แคบก็ไหวสะท้าน ชายหนุ่มเห็นอาการไม่สู้ดีของอีกฝ่าย เขาจึงเอื้อมมือขึ้นตบเปาะแปะไปยังลาดไหล่เล็กหนึ่งครา "เป็นลูกผู้ชาย ห้ามร้อง ต้องแข็งแกร่งเข้าใจหรือไม่"เด็กชายพยักหน้าหงึกหงัก "ขอรับ ตะ...แต่ หากข้าทำงานให้ท่าน ท่านจะให้เงินข้าจริง ๆ หรือ"ชายหนุ่มพยักหน้า "แน่นอน ข้าให้เจ้าทั้งหมด""จริง ๆ นะขอรับ""อืม...พี่ชายไม่เคยหลอกใคร เมื่อครู่เจ้าบอกว่าเจ้ามีน้องสาว แล้วพ่อแม่เล่า""ขอรับข้ามีน้องสาว แต่พ่อแม่ไม่มีแล้ว…" เสียงเล็กเงียบไปครู่หนึ่ง เสี่ยวไป๋เอ่ยต่อ "ยามนี้น้องสาวของข้าป่วยหนัก ข้าไม่ม
ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางฟู่ซูหนิงก็ตั้งใจออกไปเก็บสมุนไพรตามปกติ อีกไม่กี่วันก็จะถึงเวลาลงจากหุบเขาเพื่อไปช่วยเหลือชาวบ้านบางส่วนซึ่งไม่ได้รับโอกาสให้ขึ้นมาเยือนหุบเขาร้อยโอสถ การลงเขาแต่ละครั้งจะลงไปในตัวตนของหมอนิรนามก็เพียงเท่านั้นด้วยเหตุนี้โอสถทุกแขนงจำต้องมีอย่างครบครันเดิมทีฟู่ซูหนิงมักถูกกำชับให้อยู่เฝ้าที่เรือนไม้ไผ่ ท่านตาและท่านยายของนางจะเป็นฝ่ายลงไปเอง แม้ท่านตาของนางอายุแปดสิบปี ส่วนท่านยายอายุเจ็ดสิบห้า ทว่าทั้งสองยังร่างกายแข็งแรงกว่าคนแก่ชราทั่วไปนักการเดินเท้าและอยู่ท่ามกลางพืชสมุนไพรนับว่าเป็นยาวิเศษอย่างแท้จริงกรุ๊งกริ๊ง กรุ๊งกริ๊ง"ท่านตา เสียงกระดิ่งเจ้าค่ะ มีคนต้องการความช่วยเหลือ""เดี๋ยวตาออกไปดูเอง""ไม่ต้องเจ้าค่ะ อย่างไรข้าก็ต้องออกไปอยู่แล้ว ซ้ำท่านยังต้องเตรียมสัมภาระอีกมาก ให้หนิงเอ๋อร์ไปเองเจ้าค่ะแล้วจะเร่งกลับมานะเจ้าคะ""แต่เจ้าเทียวไปเทียวมาคงนับว่าลำบากแย่"ฟู่ซูหนิงฉีกยิ้มกว้าง "ท่านตา... เอาอีกแล้วนะเจ้าคะ พวกท่านอายุมากกว่าข้าตั้งกี่สิบปียังเทียวไปเทีย
"ท่านตาเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ"ฟู่ซูหนิงเคร่งเครียดเมื่อเห็นสีหน้าของเด็กหญิงเริ่มซีดขาว ลมหายใจที่พ่นออกมาก็ผะแผ่วลงทุกขณะต่งควนส่ายศีรษะ "เด็กคนนี้ป่วยเรื้อรัง ป่วยมานานเกินไป นางไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่โลกใบนี้นานนัก""...ท่านตาหมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ""ดูเหมือนว่านางอาจอยู่ได้ไม่เกินคืนนี้"ฟู่ซูหนิงตัวแข็งค้างดั่งถูกฟาดด้วยสายอสนีเคราะห์เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ น่าสงสารเพียงนี้ ยังไม่ทันได้ใช้ชีวิตหรือมีโอกาสเติบโตเฉกเช่นคนอื่นก็ต้องลาโลกแล้วอย่างนั้นหรือ แม้นางไม่อยากเชื่อแต่ท่านตาของนางมีญาณหยั่งรู้ ข้อนี้นางไม่อาจปฏิเสธความจริงได้เลย"...ท่านตา ท่านตาเจ้าคะ แต่ว่าเรา เราเป็นหมอเทวดา ผู้ใดก็ว่าอย่างนั้น ข้าว่ายังมีหนทางหรือไม่ บางทีญาณของท่านอาจผิดพลาดก็ได้เจ้าค่ะ" ฟู่ซูหนิงละล้าละลัง นัยน์ตาดอกท้อแดงก่ำเพราะรู้สึกเวทนาสองพี่น้องจับใจระหว่างเดินทางกลับเรือนไม้ไผ่ ฟู่ซูหนิงซักประวัติของสองพี่น้องแล้วยิ่งฟังก็ยิ่งหดหู่ เด็กชายมีนามว่าเสี่ยวไป๋อายุสิบขวบ ส่วนเด็กหญิงนามว่าเสี่ยวยี่ อายุเพียงเ
"น้องหก พี่สี่ของเจ้าไม่อยู่แล้ว ส่วนข้าเป็นพี่ห้า ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ยิ่ง ผลงานล้วนโดดเด่นไม่เป็นรองใคร เจ้ายังคิดว่าตนเองจะได้รับตำแหน่งชินอ๋องนี่อีกหรือ"วันนี้ฉืออิ้งเทียนแต่งกายด้วยเครื่องแบบผ้าไหมลายคราม บนศีรษะสวมกวานทองคำ ดวงตาของเขาผูกปิดด้วยผ้าแพรสีขาว"พี่ห้า ที่ข้ามาร่วมพิธีวันนี้ก็เพียงทำตามกฎมณเฑียรเท่านั้น ส่วนตำแหน่งที่ว่าก็สุดแล้วแต่เสด็จพ่อมิใช่หรือ""ฮ่า ฮ่า เช่นนี้เอง แต่เจ้ากลายเป็นองค์ชายพิการตาบอดไปแล้ว น้องหกเจ้าไม่มาสักคน เสด็จพ่อก็คงไม่เอาผิดกระมัง อย่าได้คร่ำเคร่งถึงเพียงนั้นเลย" ฉือเจิ้นหยู่เหยียดยิ้ม มือหยาบระคายวางลงบนบ่าของฉืออิ้งเทียน เขาออกแรงตบเปาะแปะพลางแสร้งถอนหายใจ องค์ชายคนอื่น ๆ ที่ยืนเรียงแถวต่างส่ายศีรษะในความผยองพองขนและมั่นอกมั่นใจของคนผู้นี้ เป็นเพียงโอรสตำแหน่งผินแต่กลับมิเคยเจียมกะลาหัว"พี่หก อย่าไปใส่ใจเขาเลย ข้าจะรอชมเศษใบหน้าที่กระจายเกลื่อนพื้นของเขา แม้ท่านมิได้ตำแหน่งชินอ๋อง แต่ข้าคิดว่าเขาเองก็คงไม่ได้"ฉืออิ้งเทียนยิ้มบาง "น้องแปด ไม่ต้องเป็นกังวล"องค์ชายแปดเป็นโอรสจากสนมตำแหน่งเฟยอีก
หนึ่งสัปดาห์ก่อนพิธีแต่งตั้งชินอ๋อง"ฉืออิ้งเทียนถวายบังคมเสด็จพ่อ""อิ้งเทียน เจ้านั่งลงเถิด""พ่ะย่ะค่ะ"ยามนี้พวกเขาอยู่ในห้องรับรองส่วนตัวของฉืออิ้งเทียน หลังจากพบกุ้ยเฟยเป็นที่เรียบร้อย ฮ่องเต้ก็มีเรื่องต้องพูดคุยกับฉืออิ้งเทียนเป็นการส่วนตัว"อิ้งเทียน ดวงตาของเจ้าไม่อาจรักษาได้เลยอย่างนั้นหรือ""เสด็จพ่อไม่ต้องกังวลพระทัย ลูกว่าจะไปเข้าเฝ้าเพื่อกราบทูลอยู่พอดีพ่ะย่ะค่ะ"ฮ่องเต้ฉือเจียฉีพยักหน้า แม้นใบหน้าดูเคร่งขรึม ทว่าภายในใจของเขาก็แอบประหวั่น หากโอรสผู้มากความสามารถดวงตามืดบอดจริง เขาคงมิอาจมอบตำแหน่งชินอ๋องให้ได้ ขุนนางทุกฝ่ายจะต้องคัดค้านภายในระบบราชวงศ์จะต้องอลหม่านเป็นแน่ความสัมพันธ์ฉันพี่น้องในบรรดาองค์ชายองค์หญิงหามีใครจริงใจเท่าสองพี่น้องตำหนักกุ้ยเฟยแล้วฮ่องเต้ฉือเจียฉีต้องแสร้งปิดตาข้างหนึ่งมาโดยตลอด เพราะถึงอย่างไรองค์ชายองค์หญิงเหล่านั้นก็ล้วนเป็นบุตรของตนด้วยกันทั้งสิ้นทว่าเขารู้จักนิสัยโอรสคนที่หกที่ถือกำเนิดจากซิ่วกุ้ยเฟยดี ฉืออิ้งเทียนเ
ฮ่องเต้ฉือเจียฉีใจเต้นระส่ำ ร่างกายสั่นเทา ดวงตาแดงก่ำ อารมณ์ยามนี้ทั้งโกรธแค้นและเจ็บปวดฉือเจิ้นหยู่คุกเข่าค้อมศีรษะ "เสด็จพ่อ องค์ชายสามคิดกบฏยึดบัลลังก์มังกร หมายช่วงชิงลัญจกรของพระองค์ เขาสังหารทหารกล้าไปนับร้อยชีวิต ทว่าชินอ๋องระแคะระคายเกรงว่าวังหลวงจะเกิดจลาจล จึงได้วางกองกำลังเพื่อดูสถานการณ์โดยให้ลูกเป็นทัพหน้า เพราะองค์ชายสามกระทำความผิดฐานก่อกบฏ การประหัตประหารนี้ก็นับว่าสมควรแล้ว ถูกต้องหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ"ฮ่องเต้ฉือเจียฉีอึ้งงัน การที่เขามากภรรยาหลายบุตรมันช่างยุ่งเหยิงและแสนเจ็บปวดนักมือหยาบระคายเอื้อมลูบศีรษะฉือเจิ้นหยู่แผ่วเบา "เจิ้นหยู่ เป็นพ่อที่ละเลยเจ้า ทั้งที่เจ้าปกป้องบ้านเมืองมาโดยตลอด ข้าไม่รู้เลยว่าเจ้าจะรู้จักรักผองพี่น้อง ลูกพ่อ..." ฮ่องเต้เหลียวมองรัชทายาท และฉืออิ้งเทียนร่วมด้วย "พวกเจ้าล้วนแล้วแต่เหมาะสมกับการเป็นโอรสของข้า เจิ้นหยู่ อิ้งเทียน พวกเจ้าตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดและเฉียบขาดยิ่ง เรื่องวันนี้คนเลวจะต้องถูกลงทัณฑ์โทษทัณฑ์ที่ลู่ถงได้รับก็สาสมแล้ว"ฮ่องเต้ฉือเจียฉีกัดฟันกรอด "จับตัวพวกมันไปตัดหัวให้หมด!"
ทุกคนต่างให้ความสนใจฟู่ซูหนิง และแน่นอนฉืออิ้งเทียนทราบว่าฟู่ซูหนิงลอบให้การรักษาซีผินอย่างลับ ๆ กระทั่งเขาสืบทราบความจริงว่าซีผินมิใช่ศัตรูตัวจริง ซีผินก็แค่ริษยาแต่ไม่เคยคิดกระทำการชั่วช้าหมายเอาชีวิตเขาแต่อย่างใด ทว่าคนที่สุขุมเยือกนิ่งกลับร้ายกาจที่สุด ฉืออิ้งเทียนจึงทราบว่าทั้งหมดเป็นแผนของหลิวเฟยและโอรสของเขา องค์ชายสามฉือลู่ถงซีผินเอ่ยต่อ "ขอบคุณหมอฟู่ หากไม่ได้ท่าน ข้าคงตายไปนานแล้ว"ฟู่ซูหนิงหลุกหลิก แท้จริงนางก็มิได้ต้องการให้ใครมาขอบคุณ นางเองก็อยากรู้ว่าคนร้ายตัวจริงจะใช่คนที่นางคิดหรือไม่หลิวเฟยตวัดตามองฟู่ซูหนิงฉับ "เจ้านี่มัน! หอกข้างแคร่ของข้าทุกเรื่อง"ฉืออิ้งเทียนสาวเท้าเข้ามาบังหน้าฟู่ซูหนิงไว้ในบัดดล ฟู่ซูหนิงเอ่ยเสียงแผ่ว "ท่านอ๋องกังวลมากเกินไปแล้วเพคะ""ข้าไม่อนุญาตให้ใครทำร้ายเจ้า กระทั่งสายตาก็ไม่ได้!!"นัยน์ตาดอกท้อแดงก่ำ ฟู่ซูหนิงมองตามแผ่นหลังกว้างของบุรุษเบื้องหน้าด้วยจิตใจสับสน เสียงใสเปล่งวาจาเบาหวิว "ขอบพระทัยเพคะ"ซีผินบอกเล่าวีรกรรมต่ำช้าของหลิวเฟยต่อไป "วันนั้นที่ฝ่าบาทประชวรหนัก ข้าเข้าไปยังห้องบร
ห้องรับรองพิเศษของโรงน้ำชา ณ ย่านกลางเมือง เดิมทีใช่ใครจะเข้าออกสถานที่แห่งนี้ได้โดยง่าย ทว่าคนเฝ้าทางเข้าเพียงหยิบมือไหนเลยจะสู้ทหารกล้าผู้เจนสนามรบ ขณะที่ด้านในมิได้ระแคะระคายใด พวกเขาก็แฝงกายเข้าไปอย่างง่ายดาย"นายหญิง พวกเราได้วางกู่พิษชนิดพิเศษไว้ในห้องเครื่องของตำหนักชินอ๋องเป็นที่เรียบร้อย ทุกคนที่นั่นจะยอมรับว่าตำหนักชินอ๋องก่อกบฏทุกประการ"การรับพิษกู่เข้าสู่ร่างกายจะส่งผลให้ทุกคนกลายเป็นหุ่นเชิด หากผู้สั่งการประสงค์ให้ทำสิ่งใดคนเหล่านั้นก็จะทำตามโดยไร้สติ ฟู่ซูหนิงลอบฟังก็กำหมัดแน่น หากยามนั้นผู้อาวุโสฟางซินไม่ยื่นมือเข้าช่วย ชาวบ้านคงไม่ต่างจากศพเดินได้ ประหนึ่งผีดิบดี ๆ นี่เอง โชคดีที่นางยังเก็บจินฉานเอาไว้ [1] เพราะต้องการศึกษาต่อ ไม่เช่นนั้นจวนชินอ๋องต้องถึงกาลวิบัติแน่แท้ก่อนออกมาฟู่ซูหนิงย้อนกลับไปเก็บกวาดของสกปรกเหล่านั้นทั้งหมด เพราะนางลอบมองการกระทำของมือสังหารอยู่นานจึงเห็นว่าเขาลอบวางกู่พิษในห้องเครื่องจริงฉืออิ้งเทียนยังแอบชื่นชมฟู่ซูหนิงเป็นมิได้ ขณะที่เขาเป็
ฟู่ซูหนิงใจเต้นโครมคราม นางกลัวเหลือเกิน กลัวตัวเองจะตัดใจจากเขาไม่ได้ข้าไม่อยากคุยกับท่าน ข้าขี้เกียจรบกับแม่สามี กับสตรีนับสิบ ท่านไม่เข้าใจบ้างหรือ ฉืออิ้งเทียนฟู่ซูหนิงทำได้เพียงระบายความอัดอั้นภายในใจ ฉืออิ้งเทียนหัวรั้นเพียงนี้ หากนางไม่เต็มใจอยู่กับเขา เขาเองก็คงตามตื๊อนางไม่เลิกรา ฟู่ซูหนิงไม่รู้ควรทำเช่นไร ครั้นคิดจะมีสามีให้จบ ๆ ไป แต่ใครจะสามารถแต่งงานกับบุรุษที่ตนไม่ได้รักลงกันเล่า ตลกร้ายเกินไปหน่อยแล้วมือสังหารสองนายมีระแคะระคายอยู่บ้างที่การคุ้มกันของตำหนักฮ่องเต้หละหลวม แต่ด้วยความเร่งร้อนหวังจบภารกิจของตนโดยเร็ว จึงมิได้จับสังเกตใดอีกย่ามคู่ใจของฟู่ซูหนิงถูกวางทิ้งไว้ข้างเตากำยาน มือสังหารทั้งสองลอบวางยาพิษชนิดที่ว่าสูดดมเข้าไปภายในครึ่งชั่วยามก็สามารถคร่าชีวิตคนได้ทันที โชคดีที่ทุกคนได้รับยาสลายพิษของฟู่ซูหนิง กระทั่งทุกอย่างเป็นไปตามแผนการที่วางไว้ มือสังหารทั้งสองก็กระโจนหายไปท่ามกลางความมืดมิดเติ้งเหวยและเกาซีรับหน้าที่ติดตามมือสังหารทั้งสอง ส่วนฟู่ซูหนิงและฉืออิ้งเทียน รุดเข้ามาในห้องบรรทม ทั้งสอ
บทสนทนาอ้างถึงของสำคัญที่ฟู่ซูหนิงพกติดกาย ฟู่ซูหนิงครุ่นคิด เดิมนางมิได้มีของล้ำค่าใด ก็คงมีเพียงย่ามสะพายข้างที่พกติดกายเสมอ"ท่านอ๋อง ย่ามพกยังอยู่ที่ห้องหม่อมฉันเพคะ"ฉืออิ้งเทียนพยักหน้า เขาเร่งร้อนจะพานางกลับไปเอา แต่ฟู่ซูหนิงส่ายศีรษะ ฉืออิ้งเทียนงุนงง "ทำไมถึงห้ามข้า""เราตามพวกเขาไปเถิดเพคะ หนามยอกต้องเอาหนามบ่งมิใช่หรือ เช่นนั้นก็ให้พวกเขาเอาไป เราตามไปเงียบ ๆ ก็เพียงพอแล้ว"ฉืออิ้งเทียนจึงพาฟู่ซูหนิงลอบตามชายผู้บุกรุกไป และแน่นอนฟู่ซูหนิงจงใจเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายกระทำตามอำเภอใจ ถุงผ้าของฟู่ซูหนิงถูกสับเปลี่ยน นัยน์ตาดอกท้อหรี่ลงพิจารณาบุรุษที่สวมอาภรณ์สาวใช้ทั้งสองแล้วจึงจิ๊ปาก"สองคนนี้แอบแฝงตัวเข้ามากับขบวนนางกำนัลซีผินเมื่อช่วงบ่ายเพคะ""เมื่อบ่ายข้าก็เห็นความผิดปกติ ดูเหมือนตอนนั้นพวกมันยังไม่คิดลงมือ ข้าต้องการรู้ว่าแท้จริงนายพวกมันเป็นใคร จึงเล่นละครตามน้ำไปก่อน"ฟู่ซูหนิงตัวแข็งทื่อ แท้จริงเขาก็รู้ทุกเรื่อง แสร้งเป็นหมูเพื่อหลอกกินเสื้อจริงงั้นหรือ"ท่านอ๋อง ท่านคงมิได้สงสัยซีผินกระมังเพคะ"
ต้นยามสวี [1] "เรื่องที่ให้สืบ คืบหน้าถึงไหนแล้ว""ทูลท่านอ๋อง ที่ตลาดกลางเมือง มีโรงน้ำชาหนึ่ง..." เติ้งเหวยโน้มกระซิบเสียงแผ่ว ฉืออิ้งเทียนฟังอย่างตั้งใจฉืออิ้งเทียนพยักหน้าหลังจากได้ยินสิ่งที่เติ้งเหวยรายงานทั้งหมด "ดูเหมือนต้องเร่งสะสางเรื่องนี้ให้เรียบร้อย ยืดเยื้อมาหลายปีข้าเกรงทุกอย่างจะสายเกินไป""พ่ะย่ะค่ะ"บุรุษทั้งสามสวมเครื่องแต่งกายสีเข้ม ขาสูงเดินลัดเลาะเพื่อเฝ้าระวังความปลอดภัยโดยรอบตำหนัก จนมาถึงตำหนักกุ้ยเฟย ฉืออิ้งเทียนสังเกตเห็นความผิดปกติบริเวณหางตา เขาเห็นคนร่างเล็กสวมเครื่องแต่งกายปกปิดมิดชิด กำลังทำลับ ๆ ล่อ ๆ เมียงมองนางกำนัลผู้หนึ่งบริเวณห้องเครื่องเกาซีหมายเข้าจับกุมอีกฝ่าย ทว่าฉืออิ้งเทียนกลับปรามเอาไว้ "ไม่ต้อง แยกกันไปคนละทาง ข้าดูแล้วคนผู้นี้มาเพียงลำพัง ซ้ำยังไร้วรยุทธ์""พ่ะย่ะค่ะ"องครักษ์ทั้งสองจึงแยกย้ายไปตามคำสั่ง ฉืออิ้งเทียนเยื้องย่างไปทางด้านหลังร่างปริศนาด้วยฝีเท้าเบาหวิว มีดพกถูกดึงออกจากฟัก มือแกร่งคว้าหมับปิดริมฝีปากคนเบื้องหน
"นายหญิง พวกเราค้นหาจนทั่วแล้ว จวบจนบัดนี้ก็ยังไม่พบเย่อ๋องเลยพ่ะย่ะค่ะ ดูเหมือนว่าเย่อ๋องคง..."เพล้ง!เสียงถ้วยชากระเบื้องเคลือบแตกกระจาย บรรดามือสังหารในชุดคลุมสีเข้มต่างก้มหน้างุดไม่มีผู้ใดเปล่งวาจาอีก"ไม่จริง นี่อาจเป็นอุบายของชินอ๋อง เย่อ๋องน่ะหรือจะตายไปแล้ว ข้าไม่เชื่อเด็ดขาด เช่นนั้นก็ส่งคนลอบเข้าไปยังตำหนักชินอ๋องเสีย""แต่ที่นั่นการคุ้มกันแน่นหนามาก"ริมฝีปากซึ่งแต้มชาดสีแดงสดเหยียดยิ้ม "พวกโง่ ไม่ได้เรื่องจริง ๆ หากยังอืดอาดเช่นนี้ แผนการที่พยายามมาหลายปีต้องพังครืนไม่เป็นท่าแน่ คงต้องเร่งจัดการมันทุกคนให้สิ้นซาก"..ณ ตำหนักกุ้ยเฟยฟู่ซูหนิงถูกกุ้ยเฟยเรียกเข้าเฝ้าแทบไม่เว้นแต่ละวัน ไม่รู้ว่านางคือหมอผู้ติดตามชินอ๋องหรือติดตามกุ้ยเฟยกันแน่ ยิ่งฟู่ซูหนิงเข้าปรนนิบัติและใกล้ชิดซิ่วกุ้ยเฟยมากเท่าใด ก็ยิ่งสร้างความไม่พอใจให้รั่วรั่วมากขึ้นเท่านั้น"กุ้ยเฟยเพคะ ไยต้องให้นางมาเข้าเฝ้าท่านทุกวัน รั่วรั่วอยู่ด้วยทั้งคน ไม่ต้องให้นางมาปรนนิบัติแล้วก็ได้นะเ
ณ ห้องบรรทมฮ่องเต้"ไท่จื่อ พระองค์ไม่ต้องกังวลพระทัยเพคะ นี่เป็นเพียงการสำรอกเอาพิษออกจากพระวรกายของฝ่าบาทก็เท่านั้น""แต่นี่เสด็จพ่อ...""จวินเอ๋อร์" เสียงสั่นเครือแหบแห้งเอ่ยขึ้นไท่จื่อฉืออี้จวินรุดเข้ากุมมือผู้เป็นบิดาด้วยสีหน้าเป็นกังวล ฉืออิ้งเทียนก็เดินเข้ามาขนาบข้าง ฮ่องเต้เหลียวมองหน้าโอรสทั้งสองพลางแย้มสรวลเพื่อให้พวกเขาคลายกังวล"ข้าไม่เป็นไรแล้ว ต้องขอบคุณหมอฟู่ ยามนี้ข้ารู้สึกโล่งขึ้นมากจริง ๆ" ฮ่องเต้ฉือเจียฉีย้ายสายตาไปทางสตรีเพียงหนึ่ง"หมอฟู่""เพคะ""อิ้งเทียนมักกล่าวชมเจ้าให้ข้าฟังอยู่เสมอ เจ้าเป็นคนดูแลเขาในตอนที่ถูกทำร้ายและวางยาพิษจนดวงตาใกล้บอดกระทั่งเวลานี้ก็เป็นคนช่วยเหลือข้า ข้าจะปูนบำเหน็จให้เจ้าอย่างดี เจ้าและลูกศิษย์เองก็เหลือกันเพียงสองคน ฝีมือเก่งกาจเช่นนี้หากซ่อนเร้นอยู่เพียงในหุบเขาคงน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง เช่นนั้นหมอฟู่ยินดีเป็นหมอหลวงหรือไม่ ข้าจะมอบตำแหน่งหัวหน้าหมอหลวงให้เจ้า"ฉืออิ้งเทียนใจเต้นระส่ำ แม้ความคิดจะเห็นแก่ตัวไปบ้างแ
"หมอฟู่ นี่เจ้ากล้าดีอย่างไร จึงลงโทษข้าด้วยวิธีโง่เง่าเช่นนี้ แน่จริงเจ้าก็ท่องให้ข้าฟังสิ สตรีบ้านป่าเมืองเถื่อนเช่นเจ้าเก่งแต่เรื่องยาผีบอก ริอาจนำสี่คุณธรรมสามคล้อยตามของสตรีผู้สูงศักดิ์มาใช้เป็นบทลงโทษข้า ไร้ยางอายไปหน่อยกระมัง"ฟู่ซูหนิงใช้นิ้วก้อยแคะหูของตนหมายยียวนอีกฝ่าย ซิ่วกุ้ยเฟยเห็นยังมิอาจรับได้กับกิริยาเสื่อมทราม ทว่าฉืออิ้งเทียนกลับมองฟู่ซูหนิงตาเป็นประกาย ซิ่วกุ้ยเฟยสังเกตเห็นสีหน้าโอรสของตนเคลิบเคลิ้มเพียงนั้นก็อยากกรีดร้องนัก ไม่รู้ว่าถูกเสน่ห์มนตราหมอหญิงเถื่อนเข้าหรือไร"ท่านหญิง หากข้าท่องได้ ท่านจะให้ข้าเพิ่มบทลงโทษท่านหรือไม่เจ้าคะ"รั่วรั่วเชิดหน้าด้วยความมั่นอกมั่นใจ นี่เป็นบทเรียนของสตรีสูงศักดิ์เท่านั้น คนเช่นฟู่ซูหนิงน่ะหรือสามารถท่องได้ อย่ามาข่มขู่นางเสียให้ยาก นางไม่มีทางหลงกลอุบายตื้นเขินนี้หรอก "ก็เอาสิ เจ้าว่ามาเลย หากเจ้าท่องได้ครบไม่ตกหล่นสักคำ ข้ายินดีทำตามบทลงโทษของเจ้า"ทุกอย่างลงรอยราวจับวาง ฟู่ซูหนิงอยากได้ยินคำนี้อยู่พอดี ฉืออิ้งเทียนมองดูอยู่ไม่ห่าง เขาแทบไม่ละสายตาจากฟู่ซูหนิงเลยดูเหมือนนางจ