"ท่านตาเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ" ฟู่ซูหนิงเคร่งเครียดเมื่อเห็นสีหน้าของเด็กหญิงเริ่มซีดขาว ลมหายใจที่พ่นออกมาก็ผะแผ่วลงทุกขณะ
ต่งควนส่ายศีรษะ "เด็กคนนี้ป่วยเรื้อรัง ป่วยมานานเกินไป นางไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่โลกใบนี้นานนัก"
"...ท่านตาหมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ"
"ดูเหมือนว่านางอาจอยู่ได้ไม่เกินคืนนี้"
ฟู่ซูหนิงตัวแข็งค้างดั่งถูกฟาดด้วยสายอสนีเคราะห์ เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ น่าสงสารเพียงนี้ ยังไม่ทันได้ใช้ชีวิตหรือมีโอกาสเติบโตเฉกเช่นคนอื่นก็ต้องลาโลกแล้วอย่างนั้นหรือ แม้นางไม่อยากเชื่อแต่ท่านตาของนางมีญาณหยั่งรู้ ข้อนี้นางไม่อาจปฏิเสธความจริงได้เลย
"...ท่านตา ท่านตาเจ้าคะ แต่ว่าเรา เราเป็นหมอเทวดา ผู้ใดก็ว่าอย่างนั้น ข้าว่ายังมีหนทางหรือไม่ บางทีญาณของท่านอาจผิดพลาดก็ได้เจ้าค่ะ" ฟู่ซูหนิงละล้าละลัง นัยน์ตาดอกท้อแดงก่ำเพราะรู้สึกเวทนาสองพี่น้องจับใจ
ระหว่างเดินทางกลับเรือนไม้ไผ่ ฟู่ซูหนิงซักประวัติของสองพี่น้องแล้ว ยิ่งฟังก็ยิ่งหดหู่ เด็กชายมีนามว่าเสี่ยวไป๋อายุสิบขวบ ส่วนเด็กหญิงนามว่าเสี่ยวยี่ อายุเพียงเ
"น้องหก พี่สี่ของเจ้าไม่อยู่แล้ว ส่วนข้าเป็นพี่ห้า ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ยิ่ง ผลงานล้วนโดดเด่นไม่เป็นรองใคร เจ้ายังคิดว่าตนเองจะได้รับตำแหน่งชินอ๋องนี่อีกหรือ"วันนี้ฉืออิ้งเทียนแต่งกายด้วยเครื่องแบบผ้าไหมลายคราม บนศีรษะสวมกวานทองคำ ดวงตาของเขาผูกปิดด้วยผ้าแพรสีขาว"พี่ห้า ที่ข้ามาร่วมพิธีวันนี้ก็เพียงทำตามกฎมณเฑียรเท่านั้น ส่วนตำแหน่งที่ว่าก็สุดแล้วแต่เสด็จพ่อมิใช่หรือ""ฮ่า ฮ่า เช่นนี้เอง แต่เจ้ากลายเป็นองค์ชายพิการตาบอดไปแล้ว น้องหกเจ้าไม่มาสักคน เสด็จพ่อก็คงไม่เอาผิดกระมัง อย่าได้คร่ำเคร่งถึงเพียงนั้นเลย" ฉือเจิ้นหยู่เหยียดยิ้ม มือหยาบระคายวางลงบนบ่าของฉืออิ้งเทียน เขาออกแรงตบเปาะแปะพลางแสร้งถอนหายใจ องค์ชายคนอื่น ๆ ที่ยืนเรียงแถวต่างส่ายศีรษะในความผยองพองขนและมั่นอกมั่นใจของคนผู้นี้ เป็นเพียงโอรสตำแหน่งผินแต่กลับมิเคยเจียมกะลาหัว"พี่หก อย่าไปใส่ใจเขาเลย ข้าจะรอชมเศษใบหน้าที่กระจายเกลื่อนพื้นของเขา แม้ท่านมิได้ตำแหน่งชินอ๋อง แต่ข้าคิดว่าเขาเองก็คงไม่ได้"ฉืออิ้งเทียนยิ้มบาง "น้องแปด ไม่ต้องเป็นกังวล"องค์ชายแปดเป็นโอรสจากสนมตำแหน่งเฟยอีก
หนึ่งสัปดาห์ก่อนพิธีแต่งตั้งชินอ๋อง"ฉืออิ้งเทียนถวายบังคมเสด็จพ่อ""อิ้งเทียน เจ้านั่งลงเถิด""พ่ะย่ะค่ะ"ยามนี้พวกเขาอยู่ในห้องรับรองส่วนตัวของฉืออิ้งเทียน หลังจากพบกุ้ยเฟยเป็นที่เรียบร้อย ฮ่องเต้ก็มีเรื่องต้องพูดคุยกับฉืออิ้งเทียนเป็นการส่วนตัว"อิ้งเทียน ดวงตาของเจ้าไม่อาจรักษาได้เลยอย่างนั้นหรือ""เสด็จพ่อไม่ต้องกังวลพระทัย ลูกว่าจะไปเข้าเฝ้าเพื่อกราบทูลอยู่พอดีพ่ะย่ะค่ะ"ฮ่องเต้ฉือเจียฉีพยักหน้า แม้นใบหน้าดูเคร่งขรึม ทว่าภายในใจของเขาก็แอบประหวั่น หากโอรสผู้มากความสามารถดวงตามืดบอดจริง เขาคงมิอาจมอบตำแหน่งชินอ๋องให้ได้ ขุนนางทุกฝ่ายจะต้องคัดค้านภายในระบบราชวงศ์จะต้องอลหม่านเป็นแน่ความสัมพันธ์ฉันพี่น้องในบรรดาองค์ชายองค์หญิงหามีใครจริงใจเท่าสองพี่น้องตำหนักกุ้ยเฟยแล้วฮ่องเต้ฉือเจียฉีต้องแสร้งปิดตาข้างหนึ่งมาโดยตลอด เพราะถึงอย่างไรองค์ชายองค์หญิงเหล่านั้นก็ล้วนเป็นบุตรของตนด้วยกันทั้งสิ้นทว่าเขารู้จักนิสัยโอรสคนที่หกที่ถือกำเนิดจากซิ่วกุ้ยเฟยดี ฉืออิ้งเทียนเ
โชคดียิ่งที่เด็กชายสามารถคว้าราวบันไดไม้ไผ่ไว้ทันท่วงที เสี่ยวไป๋ผินมองฟู่ซูหนิงอย่างรู้สึกผิด หัวใจของเขาเต้นดังอึกทึกดั่งถูกตีกระหน่ำ เสี่ยวไป๋คลี่ยิ้มแห้งขอด"ท่านอาจารย์...ศิษย์ไม่เป็นอันใดขอรับ""ใจหายใจคว่ำหมด ระวังด้วย" ฟู่ซูหนิงโล่งอก เมื่อครู่คิดว่าศิษย์ของตนจะหัวร้างข้างแตกเข้าเสียแล้วฟู่หรงเข้ามาก็ทันได้เห็นเหตุการณ์พอดี "ตายจริง ไป๋เอ๋อร์ เจ้าระวังหน่อย อยู่กับอาจารย์เจ้ามากเกินไปหรือไร จึงติดนิสัยป้ำเป๋อจากนาง""อ้าว...ท่านยายเจ้าคะ ไฉนโยงมาถึงข้ากันเล่า หลานสาวของท่านออกจะเรียบร้อยเฉกเช่นผ้ายับที่พับไว้มิรู้หรือเจ้าคะ"ฟู่หรงอมยิ้ม หญิงชราส่ายหน้าน้อย ๆ "ผ้ายับแล้วนับว่าเรียบร้อยได้หรือ"ฟู่ซูหนิงหัวเราะคิกคัก "เรียบร้อยสิเจ้าคะ ถึงอย่างไรก็ยังพับนะเจ้าคะ"หญิงชราลดกายลงนั่งขนาบข้างฟู่ซูหนิง "หนิงเอ๋อร์ เจ้าไม่เคยออกจากหุบเขาร้อยโอสถเลยนับสิบเจ็ดปี ยามนี้ท่านตาของเจ้าเห็นดีเห็นงามให้เจ้าออกไป หากเจ้าอยากอยู่ที่นี่ต่อยายจะไปคุยกับตาของเจ้าให้เอง อีกอย่างข้าไม่ค่อยวางใจ ถึงเจ้ามีศิษย์เป็นชาย แต่เขายังเด็กมากนัก หากจู่ ๆ เ
ฟู่ซูหนิงและเสี่ยวไป๋เดินทางมาถึงตัวเมืองก็เป็นเวลาบ่ายคล้อย เมื่อเช้าพวกเขาเร่งเดินทางจึงหยิบเพียงหมั่นโถวติดมือมาคนละสองลูก ดูเหมือนท้องไส้เริ่มส่งเสียงประท้วงเสียแล้ว"ท่านอาจารย์ ข้าหิวแล้วขอรับ""เจ้าอยากกินอะไรเล่า""อืม..." เสี่ยวไป๋ครุ่นคิด พลางเหลียวมองซ้ายขวา "อ่า...นั่น ๆ เรากินบะหมี่กันนะขอรับ""ได้สิ"เพราะเป็นร้านบะหมี่ขนาดย่อม จึงมีเพียงเจ้าของร้านมิได้มีเสี่ยวเอ้อร์บริการแต่อย่างใด เสี่ยวไป๋และฟู่ซูหนิงสอดส่องหาโต๊ะที่ยังว่าง จากนั้นจึงตัดสินใจเดินไปบริเวณโต๊ะมุมซ้ายของร้าน ยังมิทันได้นั่งลงเพื่อคลายความเหนื่อยล้า ก็มีเท้าใครบางคนเหยียบย้ำลงบนเก้าอี้ที่นางหมายตาเสียก่อนฟู่ซูหนิงแค่นยิ้มอีกแล้วหรือ ออกมาข้างนอกคราใดไม่เคยได้ใช้ชีวิตแสนสงบเสียทีนัยน์ตาดอกท้อช้อนมองอีกฝ่ายไม่สบอารมณ์ ฟู่ซูหนิงยังไม่อยากมีเรื่องกับใครในยามนี้ จึงพยายามสงวนท่าทีเดือดดาลเอาไว้หนวดเคราปลอมซึ่งประดับเหนือริมฝีปากขยับยก "พี่ชาย ที่ตรงนี้พวกข้ามาถึงก่
นัยน์ตาคมหรี่ลงเล็กน้อย เขาเขม้นมองการวิวาทราวชมละครเรื่องหนึ่ง บุรุษร่างผอมบางกับเด็กชายไม่ประสากำลังบุกฝ่าพวกนักเลงด้วยสีหน้าขึงขัง ยิ่งสังเกตองคาพยพที่มีไรหนวดบดบัง เขาก็ยิ่งรู้สึกคุ้นตาอย่างน่าฉงน คิ้วดกดำเคลื่อนเข้าหากันแทบผูกเป็นปมเจ้าหนุ่มคนนั้น ไยจึงคุ้นหน้าข้านัก หรือข้าคิดถึงนางมากไป นับจากวันนั้นข้าก็ไม่อาจเข้าไปเหยียบหุบเขาร้อยโอสถได้เลย หนิงเอ๋อร์ เจ้าช่างแสบนักจู่ ๆ บุรุษที่เขามองแทบไม่ละสายตา ก็ล้วงบางอย่างออกมาจากสาบเสื้อ ผงฝุ่นสีขาวถูกซัดสาดเข้าดวงตาฝ่ายตรงข้ามจนลงไปร้องโอดครวญกองอยู่บนพื้น ชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็วางจอกสุราดังปึง ร่างสูงยืนขึ้นเต็มความสูง ม่านตาของเขาขยายกว้างในบัดดลซูหนิง! เป็นเจ้างั้นหรือเหตุการณ์อันคุ้นเคยผ่านมาแล้วนับปี เขาไม่เคยลืมเลือนแววตากระจ่างใสราวไข่มุกยามราตรี กับท่าทีก๋ากั่นของสตรีที่ตนคะนึงถึงได้เลย ความโอหังถือดีนี้ ต้องเป็นนางไม่ผิดแน่"พวกเจ้าไป ช่วยพวกเขาทั้งสองออกมาเร็วเข้า" เสียงสั่งการราวตื่นตระหนก ทำให้บรรดาลูกน้องต้องยกมือขึ้นเกาศีรษะ
ฟู่ซูหนิงเลื่อนมือเข้าหยิบของบางอย่างในแขนเสื้อ ก่อนจะทันส่งเข้าปาก บุรุษฝั่งตรงข้ามก็ยิ้มแฉ่งจ้องหน้าไม่ลดละ"น้องชาย กำลังคิดทำสิ่งใดงั้นหรือ"ฟู่ซูหนิงกระแอมกลบเกลื่อน ในเมื่อมิอาจหาจังหวะหยิบโอสถในสาบเสื้อออกมาได้ เช่นนั้นคงทำได้เพียงอาศัยปรับโทนเสียงให้ต่ำลงเสียหน่อย"นายท่าน ข้าและน้องชายเพียงผ่านมา ตอนนี้หิวมากเลยต้องการหาอะไรกินเพื่อรองท้อง เมื่อครู่เกิดเรื่องราวใหญ่โตต้องขออภัยที่ทำให้ท่านรู้สึกด้อยสุนทรีย์ไปด้วย เช่นนั้นข้าขอชดเชยกลับให้ท่านก็แล้วกัน"ฟู่ซูหนิงควานมือเพื่อหยิบก้อนตำลึงเงินออกจากถุงเงินข้างเอว"ไม่ต้อง ข้ายินดีชดเชยให้ด้วยความเต็มใจอีกอย่างข้าจำต้องดูแลความสงบสุขของทุกคนในเมืองเทียนหลันไม่นับว่าเป็นบุญคุณอันใด" บุรุษร่างสูงเอ่ยไปก็เยื้องย่างอ้อมโต๊ะใกล้เข้ามาเรื่อย ๆฟู่ซูหนิงถอยร่นไปเบื้องหลังแช่มช้า ก่อนที่เขาจะทันประชิดตัว นางจึงตัดสินใจค้อมศีรษะอีกครั้ง"เช่นนั้นหากหมดธุระแล้ว พวกเราขอลา"ฟู่ซูหนิงควานมือจับจูงศิษย์ที่ยืนอำพะนำเป็นเบื้อใบ้ก้าวแรกย
"เจ้าควายถึก ก็ข้าน่ะสิ ทำเสียเรื่องหมดแล้ว ชีวิตอันสุขสงบของท่านหมอฟู่ เฮ้อ...ต้องมาพังเพราะพวกเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า อีกอย่างหนวดของข้ามิอาจดึงส่งเดชได้ ต้องใช้น้ำยาชะล้างโดยเฉพาะนะ คนโง่!" ฟู่ซูหนิงหน้างอ"ขอโทษเจ้าด้วยข้ามิได้ตั้งใจ" เหอหยางซื่อจื่อเขย่ามือที่ประสานเข้าหากันสองสามคราเป็นการหยอกล้อฟู่ซูหนิงตั้งท่าอ้าปากต่อว่าเขาอีกครา ทว่าเสียงดังจ้อกก็ร้องตัดบทขึ้นเสียก่อน ทุกคนพร้อมใจเมียงมองไปยังเด็กชายซึ่งยืนลูบท้องพลางส่งยิ้มแหยเป็นตาเดียว"แฮ่...ขออภัยขอรับ ข้าหิวนี่นา""ตายแล้ว ต้องโทษท่าน โทษท่านทีเดียวซื่อจื่อ ทำศิษย์ของข้าหิวจนไส้กิ่วแล้ว ท่านจะรับผิดชอบเช่นไร"เหอหยางซื่อจื่อรอจังหวะอันเหมาะสมอยู่ทีเดียว เขาชื่นชอบการรับผิดชอบฟู่ซูหนิงยิ่งนัก "ได้ ๆ เป็นข้าผิดเอง เช่นนั้นมื้อนี้ข้าเป็นเจ้ามือพวกเจ้าอยากกินอะไรสั่งเลยเต็มที่"ซื่อจื่อคนโง่งมอีกแล้ว ข้าจะสั่งไม่ยั้ง ปอกลอกท่านให้หมดตัว จะได้เลิกวอแวกับข้าเสียที..เสียงกระดิ่งดังขึ้นบริเวณทางเข้าหุบเขาร้อยโอสถ ทว่าเมื่อต่งควนออกมาสำรวจ
"หนิงเอ๋อร์ เจ้าสั่งอาหารมากมายเพียงนี้กินหมดแน่หรือ"ฟู่ซูหนิงปรายตามองเหอหยางซื่อจื่อ ส่วนปากยังคาบน่องไก่รสจัดจ้านเอาไว้ "อำไอ อัวอ่ายไอ้ไอ๋อึ้! (ทำไม กลัวจ่ายไม่ไหวรึ)"ผ่านมาหนึ่งปีคนผู้นี้ยังตามราวีนางไม่เลิกเช่นนั้นฟู่ซูหนิงจะช่วยปอกลอกตามความประสงค์ของเขาเสียหน่อยเหอหยางยิ้มกริ่ม "เปล่า พวกเจ้าอยากกินเท่าไหร่ก็สั่งได้เลย หรืออยากเหมาทั้งร้านดีเล่า ข้าชอบยามเจ้าเคี้ยวอาหารแก้มตุ่ย ๆ เช่นกระต่ายน้อยอยู่พอดี"เหอหยางเท้าคางมองฟู่ซูหนิงตาเยิ้มแค่ก แค่กฟู่ซูหนิงสำลักเสียจนใบหน้าเขียวคล้ำ น่องไก่ถูกวางลงมือเรียวยกชาถ้วยเล็กขึ้นจิบพัลวัน"นะ...นี่ ซื่อจื่อ ข้าถามจริง ท่านไม่มีสหายหรือไร ไยต้องมาตามตอแยข้า ข้ามิได้อยากเป็นสหายกับท่าน""มี แต่ข้าไม่ชอบ หากเจ้าไม่อยากเป็นสหายข้า เช่นนั้นก็มาเป็นฮูหยินข้า ดีหรือไม่"ทุกคน ณ ที่แห่งนั้นตะลึงงัน เสี่ยวไป๋คาบขาหมูน้ำแดงในปากก็ปล่อยให้ร่วงลงทันควันพรวด...แค่ก แค่กชาที่ยังไม่ถูกกลืนโดนพ่นออกมา ทว่ามือหยาบระ
ฮ่องเต้ฉือเจียฉีใจเต้นระส่ำ ร่างกายสั่นเทา ดวงตาแดงก่ำ อารมณ์ยามนี้ทั้งโกรธแค้นและเจ็บปวดฉือเจิ้นหยู่คุกเข่าค้อมศีรษะ "เสด็จพ่อ องค์ชายสามคิดกบฏยึดบัลลังก์มังกร หมายช่วงชิงลัญจกรของพระองค์ เขาสังหารทหารกล้าไปนับร้อยชีวิต ทว่าชินอ๋องระแคะระคายเกรงว่าวังหลวงจะเกิดจลาจล จึงได้วางกองกำลังเพื่อดูสถานการณ์โดยให้ลูกเป็นทัพหน้า เพราะองค์ชายสามกระทำความผิดฐานก่อกบฏ การประหัตประหารนี้ก็นับว่าสมควรแล้ว ถูกต้องหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ"ฮ่องเต้ฉือเจียฉีอึ้งงัน การที่เขามากภรรยาหลายบุตรมันช่างยุ่งเหยิงและแสนเจ็บปวดนักมือหยาบระคายเอื้อมลูบศีรษะฉือเจิ้นหยู่แผ่วเบา "เจิ้นหยู่ เป็นพ่อที่ละเลยเจ้า ทั้งที่เจ้าปกป้องบ้านเมืองมาโดยตลอด ข้าไม่รู้เลยว่าเจ้าจะรู้จักรักผองพี่น้อง ลูกพ่อ..." ฮ่องเต้เหลียวมองรัชทายาท และฉืออิ้งเทียนร่วมด้วย "พวกเจ้าล้วนแล้วแต่เหมาะสมกับการเป็นโอรสของข้า เจิ้นหยู่ อิ้งเทียน พวกเจ้าตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดและเฉียบขาดยิ่ง เรื่องวันนี้คนเลวจะต้องถูกลงทัณฑ์โทษทัณฑ์ที่ลู่ถงได้รับก็สาสมแล้ว"ฮ่องเต้ฉือเจียฉีกัดฟันกรอด "จับตัวพวกมันไปตัดหัวให้หมด!"
ทุกคนต่างให้ความสนใจฟู่ซูหนิง และแน่นอนฉืออิ้งเทียนทราบว่าฟู่ซูหนิงลอบให้การรักษาซีผินอย่างลับ ๆ กระทั่งเขาสืบทราบความจริงว่าซีผินมิใช่ศัตรูตัวจริง ซีผินก็แค่ริษยาแต่ไม่เคยคิดกระทำการชั่วช้าหมายเอาชีวิตเขาแต่อย่างใด ทว่าคนที่สุขุมเยือกนิ่งกลับร้ายกาจที่สุด ฉืออิ้งเทียนจึงทราบว่าทั้งหมดเป็นแผนของหลิวเฟยและโอรสของเขา องค์ชายสามฉือลู่ถงซีผินเอ่ยต่อ "ขอบคุณหมอฟู่ หากไม่ได้ท่าน ข้าคงตายไปนานแล้ว"ฟู่ซูหนิงหลุกหลิก แท้จริงนางก็มิได้ต้องการให้ใครมาขอบคุณ นางเองก็อยากรู้ว่าคนร้ายตัวจริงจะใช่คนที่นางคิดหรือไม่หลิวเฟยตวัดตามองฟู่ซูหนิงฉับ "เจ้านี่มัน! หอกข้างแคร่ของข้าทุกเรื่อง"ฉืออิ้งเทียนสาวเท้าเข้ามาบังหน้าฟู่ซูหนิงไว้ในบัดดล ฟู่ซูหนิงเอ่ยเสียงแผ่ว "ท่านอ๋องกังวลมากเกินไปแล้วเพคะ""ข้าไม่อนุญาตให้ใครทำร้ายเจ้า กระทั่งสายตาก็ไม่ได้!!"นัยน์ตาดอกท้อแดงก่ำ ฟู่ซูหนิงมองตามแผ่นหลังกว้างของบุรุษเบื้องหน้าด้วยจิตใจสับสน เสียงใสเปล่งวาจาเบาหวิว "ขอบพระทัยเพคะ"ซีผินบอกเล่าวีรกรรมต่ำช้าของหลิวเฟยต่อไป "วันนั้นที่ฝ่าบาทประชวรหนัก ข้าเข้าไปยังห้องบร
ห้องรับรองพิเศษของโรงน้ำชา ณ ย่านกลางเมือง เดิมทีใช่ใครจะเข้าออกสถานที่แห่งนี้ได้โดยง่าย ทว่าคนเฝ้าทางเข้าเพียงหยิบมือไหนเลยจะสู้ทหารกล้าผู้เจนสนามรบ ขณะที่ด้านในมิได้ระแคะระคายใด พวกเขาก็แฝงกายเข้าไปอย่างง่ายดาย"นายหญิง พวกเราได้วางกู่พิษชนิดพิเศษไว้ในห้องเครื่องของตำหนักชินอ๋องเป็นที่เรียบร้อย ทุกคนที่นั่นจะยอมรับว่าตำหนักชินอ๋องก่อกบฏทุกประการ"การรับพิษกู่เข้าสู่ร่างกายจะส่งผลให้ทุกคนกลายเป็นหุ่นเชิด หากผู้สั่งการประสงค์ให้ทำสิ่งใดคนเหล่านั้นก็จะทำตามโดยไร้สติ ฟู่ซูหนิงลอบฟังก็กำหมัดแน่น หากยามนั้นผู้อาวุโสฟางซินไม่ยื่นมือเข้าช่วย ชาวบ้านคงไม่ต่างจากศพเดินได้ ประหนึ่งผีดิบดี ๆ นี่เอง โชคดีที่นางยังเก็บจินฉานเอาไว้ [1] เพราะต้องการศึกษาต่อ ไม่เช่นนั้นจวนชินอ๋องต้องถึงกาลวิบัติแน่แท้ก่อนออกมาฟู่ซูหนิงย้อนกลับไปเก็บกวาดของสกปรกเหล่านั้นทั้งหมด เพราะนางลอบมองการกระทำของมือสังหารอยู่นานจึงเห็นว่าเขาลอบวางกู่พิษในห้องเครื่องจริงฉืออิ้งเทียนยังแอบชื่นชมฟู่ซูหนิงเป็นมิได้ ขณะที่เขาเป็
ฟู่ซูหนิงใจเต้นโครมคราม นางกลัวเหลือเกิน กลัวตัวเองจะตัดใจจากเขาไม่ได้ข้าไม่อยากคุยกับท่าน ข้าขี้เกียจรบกับแม่สามี กับสตรีนับสิบ ท่านไม่เข้าใจบ้างหรือ ฉืออิ้งเทียนฟู่ซูหนิงทำได้เพียงระบายความอัดอั้นภายในใจ ฉืออิ้งเทียนหัวรั้นเพียงนี้ หากนางไม่เต็มใจอยู่กับเขา เขาเองก็คงตามตื๊อนางไม่เลิกรา ฟู่ซูหนิงไม่รู้ควรทำเช่นไร ครั้นคิดจะมีสามีให้จบ ๆ ไป แต่ใครจะสามารถแต่งงานกับบุรุษที่ตนไม่ได้รักลงกันเล่า ตลกร้ายเกินไปหน่อยแล้วมือสังหารสองนายมีระแคะระคายอยู่บ้างที่การคุ้มกันของตำหนักฮ่องเต้หละหลวม แต่ด้วยความเร่งร้อนหวังจบภารกิจของตนโดยเร็ว จึงมิได้จับสังเกตใดอีกย่ามคู่ใจของฟู่ซูหนิงถูกวางทิ้งไว้ข้างเตากำยาน มือสังหารทั้งสองลอบวางยาพิษชนิดที่ว่าสูดดมเข้าไปภายในครึ่งชั่วยามก็สามารถคร่าชีวิตคนได้ทันที โชคดีที่ทุกคนได้รับยาสลายพิษของฟู่ซูหนิง กระทั่งทุกอย่างเป็นไปตามแผนการที่วางไว้ มือสังหารทั้งสองก็กระโจนหายไปท่ามกลางความมืดมิดเติ้งเหวยและเกาซีรับหน้าที่ติดตามมือสังหารทั้งสอง ส่วนฟู่ซูหนิงและฉืออิ้งเทียน รุดเข้ามาในห้องบรรทม ทั้งสอ
บทสนทนาอ้างถึงของสำคัญที่ฟู่ซูหนิงพกติดกาย ฟู่ซูหนิงครุ่นคิด เดิมนางมิได้มีของล้ำค่าใด ก็คงมีเพียงย่ามสะพายข้างที่พกติดกายเสมอ"ท่านอ๋อง ย่ามพกยังอยู่ที่ห้องหม่อมฉันเพคะ"ฉืออิ้งเทียนพยักหน้า เขาเร่งร้อนจะพานางกลับไปเอา แต่ฟู่ซูหนิงส่ายศีรษะ ฉืออิ้งเทียนงุนงง "ทำไมถึงห้ามข้า""เราตามพวกเขาไปเถิดเพคะ หนามยอกต้องเอาหนามบ่งมิใช่หรือ เช่นนั้นก็ให้พวกเขาเอาไป เราตามไปเงียบ ๆ ก็เพียงพอแล้ว"ฉืออิ้งเทียนจึงพาฟู่ซูหนิงลอบตามชายผู้บุกรุกไป และแน่นอนฟู่ซูหนิงจงใจเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายกระทำตามอำเภอใจ ถุงผ้าของฟู่ซูหนิงถูกสับเปลี่ยน นัยน์ตาดอกท้อหรี่ลงพิจารณาบุรุษที่สวมอาภรณ์สาวใช้ทั้งสองแล้วจึงจิ๊ปาก"สองคนนี้แอบแฝงตัวเข้ามากับขบวนนางกำนัลซีผินเมื่อช่วงบ่ายเพคะ""เมื่อบ่ายข้าก็เห็นความผิดปกติ ดูเหมือนตอนนั้นพวกมันยังไม่คิดลงมือ ข้าต้องการรู้ว่าแท้จริงนายพวกมันเป็นใคร จึงเล่นละครตามน้ำไปก่อน"ฟู่ซูหนิงตัวแข็งทื่อ แท้จริงเขาก็รู้ทุกเรื่อง แสร้งเป็นหมูเพื่อหลอกกินเสื้อจริงงั้นหรือ"ท่านอ๋อง ท่านคงมิได้สงสัยซีผินกระมังเพคะ"
ต้นยามสวี [1] "เรื่องที่ให้สืบ คืบหน้าถึงไหนแล้ว""ทูลท่านอ๋อง ที่ตลาดกลางเมือง มีโรงน้ำชาหนึ่ง..." เติ้งเหวยโน้มกระซิบเสียงแผ่ว ฉืออิ้งเทียนฟังอย่างตั้งใจฉืออิ้งเทียนพยักหน้าหลังจากได้ยินสิ่งที่เติ้งเหวยรายงานทั้งหมด "ดูเหมือนต้องเร่งสะสางเรื่องนี้ให้เรียบร้อย ยืดเยื้อมาหลายปีข้าเกรงทุกอย่างจะสายเกินไป""พ่ะย่ะค่ะ"บุรุษทั้งสามสวมเครื่องแต่งกายสีเข้ม ขาสูงเดินลัดเลาะเพื่อเฝ้าระวังความปลอดภัยโดยรอบตำหนัก จนมาถึงตำหนักกุ้ยเฟย ฉืออิ้งเทียนสังเกตเห็นความผิดปกติบริเวณหางตา เขาเห็นคนร่างเล็กสวมเครื่องแต่งกายปกปิดมิดชิด กำลังทำลับ ๆ ล่อ ๆ เมียงมองนางกำนัลผู้หนึ่งบริเวณห้องเครื่องเกาซีหมายเข้าจับกุมอีกฝ่าย ทว่าฉืออิ้งเทียนกลับปรามเอาไว้ "ไม่ต้อง แยกกันไปคนละทาง ข้าดูแล้วคนผู้นี้มาเพียงลำพัง ซ้ำยังไร้วรยุทธ์""พ่ะย่ะค่ะ"องครักษ์ทั้งสองจึงแยกย้ายไปตามคำสั่ง ฉืออิ้งเทียนเยื้องย่างไปทางด้านหลังร่างปริศนาด้วยฝีเท้าเบาหวิว มีดพกถูกดึงออกจากฟัก มือแกร่งคว้าหมับปิดริมฝีปากคนเบื้องหน
"นายหญิง พวกเราค้นหาจนทั่วแล้ว จวบจนบัดนี้ก็ยังไม่พบเย่อ๋องเลยพ่ะย่ะค่ะ ดูเหมือนว่าเย่อ๋องคง..."เพล้ง!เสียงถ้วยชากระเบื้องเคลือบแตกกระจาย บรรดามือสังหารในชุดคลุมสีเข้มต่างก้มหน้างุดไม่มีผู้ใดเปล่งวาจาอีก"ไม่จริง นี่อาจเป็นอุบายของชินอ๋อง เย่อ๋องน่ะหรือจะตายไปแล้ว ข้าไม่เชื่อเด็ดขาด เช่นนั้นก็ส่งคนลอบเข้าไปยังตำหนักชินอ๋องเสีย""แต่ที่นั่นการคุ้มกันแน่นหนามาก"ริมฝีปากซึ่งแต้มชาดสีแดงสดเหยียดยิ้ม "พวกโง่ ไม่ได้เรื่องจริง ๆ หากยังอืดอาดเช่นนี้ แผนการที่พยายามมาหลายปีต้องพังครืนไม่เป็นท่าแน่ คงต้องเร่งจัดการมันทุกคนให้สิ้นซาก"..ณ ตำหนักกุ้ยเฟยฟู่ซูหนิงถูกกุ้ยเฟยเรียกเข้าเฝ้าแทบไม่เว้นแต่ละวัน ไม่รู้ว่านางคือหมอผู้ติดตามชินอ๋องหรือติดตามกุ้ยเฟยกันแน่ ยิ่งฟู่ซูหนิงเข้าปรนนิบัติและใกล้ชิดซิ่วกุ้ยเฟยมากเท่าใด ก็ยิ่งสร้างความไม่พอใจให้รั่วรั่วมากขึ้นเท่านั้น"กุ้ยเฟยเพคะ ไยต้องให้นางมาเข้าเฝ้าท่านทุกวัน รั่วรั่วอยู่ด้วยทั้งคน ไม่ต้องให้นางมาปรนนิบัติแล้วก็ได้นะเ
ณ ห้องบรรทมฮ่องเต้"ไท่จื่อ พระองค์ไม่ต้องกังวลพระทัยเพคะ นี่เป็นเพียงการสำรอกเอาพิษออกจากพระวรกายของฝ่าบาทก็เท่านั้น""แต่นี่เสด็จพ่อ...""จวินเอ๋อร์" เสียงสั่นเครือแหบแห้งเอ่ยขึ้นไท่จื่อฉืออี้จวินรุดเข้ากุมมือผู้เป็นบิดาด้วยสีหน้าเป็นกังวล ฉืออิ้งเทียนก็เดินเข้ามาขนาบข้าง ฮ่องเต้เหลียวมองหน้าโอรสทั้งสองพลางแย้มสรวลเพื่อให้พวกเขาคลายกังวล"ข้าไม่เป็นไรแล้ว ต้องขอบคุณหมอฟู่ ยามนี้ข้ารู้สึกโล่งขึ้นมากจริง ๆ" ฮ่องเต้ฉือเจียฉีย้ายสายตาไปทางสตรีเพียงหนึ่ง"หมอฟู่""เพคะ""อิ้งเทียนมักกล่าวชมเจ้าให้ข้าฟังอยู่เสมอ เจ้าเป็นคนดูแลเขาในตอนที่ถูกทำร้ายและวางยาพิษจนดวงตาใกล้บอดกระทั่งเวลานี้ก็เป็นคนช่วยเหลือข้า ข้าจะปูนบำเหน็จให้เจ้าอย่างดี เจ้าและลูกศิษย์เองก็เหลือกันเพียงสองคน ฝีมือเก่งกาจเช่นนี้หากซ่อนเร้นอยู่เพียงในหุบเขาคงน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง เช่นนั้นหมอฟู่ยินดีเป็นหมอหลวงหรือไม่ ข้าจะมอบตำแหน่งหัวหน้าหมอหลวงให้เจ้า"ฉืออิ้งเทียนใจเต้นระส่ำ แม้ความคิดจะเห็นแก่ตัวไปบ้างแ
"หมอฟู่ นี่เจ้ากล้าดีอย่างไร จึงลงโทษข้าด้วยวิธีโง่เง่าเช่นนี้ แน่จริงเจ้าก็ท่องให้ข้าฟังสิ สตรีบ้านป่าเมืองเถื่อนเช่นเจ้าเก่งแต่เรื่องยาผีบอก ริอาจนำสี่คุณธรรมสามคล้อยตามของสตรีผู้สูงศักดิ์มาใช้เป็นบทลงโทษข้า ไร้ยางอายไปหน่อยกระมัง"ฟู่ซูหนิงใช้นิ้วก้อยแคะหูของตนหมายยียวนอีกฝ่าย ซิ่วกุ้ยเฟยเห็นยังมิอาจรับได้กับกิริยาเสื่อมทราม ทว่าฉืออิ้งเทียนกลับมองฟู่ซูหนิงตาเป็นประกาย ซิ่วกุ้ยเฟยสังเกตเห็นสีหน้าโอรสของตนเคลิบเคลิ้มเพียงนั้นก็อยากกรีดร้องนัก ไม่รู้ว่าถูกเสน่ห์มนตราหมอหญิงเถื่อนเข้าหรือไร"ท่านหญิง หากข้าท่องได้ ท่านจะให้ข้าเพิ่มบทลงโทษท่านหรือไม่เจ้าคะ"รั่วรั่วเชิดหน้าด้วยความมั่นอกมั่นใจ นี่เป็นบทเรียนของสตรีสูงศักดิ์เท่านั้น คนเช่นฟู่ซูหนิงน่ะหรือสามารถท่องได้ อย่ามาข่มขู่นางเสียให้ยาก นางไม่มีทางหลงกลอุบายตื้นเขินนี้หรอก "ก็เอาสิ เจ้าว่ามาเลย หากเจ้าท่องได้ครบไม่ตกหล่นสักคำ ข้ายินดีทำตามบทลงโทษของเจ้า"ทุกอย่างลงรอยราวจับวาง ฟู่ซูหนิงอยากได้ยินคำนี้อยู่พอดี ฉืออิ้งเทียนมองดูอยู่ไม่ห่าง เขาแทบไม่ละสายตาจากฟู่ซูหนิงเลยดูเหมือนนางจ