เป็นเวลากว่าสองสัปดาห์ที่ฉืออิ้งเทียนได้รับการรักษาจากฟู่ซูหนิง ยามนี้อาการบาดเจ็บที่เรือนร่างหายเป็นปลิดทิ้ง ทว่าดวงตายังคงพร่าเบลอไม่ชัดเจน
"ต้องขอบคุณท่านหมอที่ช่วยดูแลข้าในทุกวัน ลำบากท่านแล้ว" การเรียกขานฟู่ซูหนิงของเขาเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ฉืออิ้งเทียนรับรู้ได้ว่าแม้นางเป็นหลานของผู้มีพระคุณที่เก็บตนกลับมา แต่จากวิธีการดูแลรักษาของนาง ฟู่ซูหนิงคงนับเป็นหมอหญิงที่มีฝีมือเก่งกาจไม่ต่างกัน มิเช่นนั้นผู้ที่นางเรียกว่าท่านตาคงไม่ปล่อยให้ฟู่ซูหนิงดูแลเขาอย่างใกล้ชิดเพียงลำพัง
"ท่านไม่ต้องเกรงใจ อีกสองชั่วยามเราจะออกไปข้างนอกกัน" ฟู่ซูหนิงเก็บอุปกรณ์การแพทย์ ถ้วยยา และผ้าเปียกชื้นซึ่งใช้ทำความสะอาดเรือนกายของชายหนุ่มไปพลางเอ่ยไปพลาง ทว่ามิได้จับจ้องใบหน้าบุรุษฝั่งตรงข้าม เดิมทีการเป็นแพทย์ล้วนเคยเห็น ได้สัมผัสเรือนร่างทั้งชายและหญิงมาจนนับไม่ถ้วน ทว่ายามที่ฟู่ซูหนิงต้องปรนนิบัติเขาในแต่ละครั้งกลับรู้สึกว่าตนเก้อกระดากอยู่ไม่น้อย
"เราจะไปที่ใด ในเมื่อข้ายังมองไม่เห็นเช่นนี้ อาจทำให้ท่านหมอลำบาก"
"ส่งท่านกลับ"
"กลับหรือ? แต่ดวงตาของข้ายัง..."
"คุณชายอิ้งเทียนไม่ต้องเป็นกังวลเจ้าค่ะ ข้าจะเขียนวิธีดูแล และรักษาดวงตาของท่านไว้ให้ รับรองว่าท่านจะกลับมามองเห็นกระจ่างชัดอย่างแน่นอน" ฟู่ซูหนิงตัดบท
"งั้นหรือ" เสียงทุ้มสลดลง จากนั้นเอ่ยต่อ "ไยท่านหมอไม่ให้ข้าอยู่ที่นี่จนดวงตาหายดีเล่า ข้า เอ่อ..."
ฟู่ซูหนิงหยุดมือที่เอาแต่สาละวนกับข้าวของ นัยน์ตาดอกท้อจับจ้องโครงหน้าวสันต์ก็พานใจเต้นระส่ำ นางไม่อยากรู้สึกเช่นนี้เลย คงต้องเร่งส่งเขากลับไปเดี๋ยวนี้ ฟู่ซูหนิงพยายามควบคุมน้ำเสียง "เอ่อ...อะไรของท่าน หากไม่มีอันใดแล้ว ข้าจะเอาของไปเก็บ อีกเดี๋ยวข้าจะมารับ"
"แต่...ท่านหมอ ท่านจะไม่บอกแม้แต่แซ่ให้ข้าทราบเลยหรือ อย่างน้อย ๆ ข้ามองไม่เห็น ก็ขอให้ได้ทราบนามของผู้มีพระคุณมิได้เชียวหรือ"
ฟู่ซูหนิงส่ายศีรษะ เพราะไม่อยากให้ฉืออิ้งเทียนต้องคิดว่าตนติดค้างใด ๆ กับนางอีก ชาตินี้ได้โปรดเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่ผ่านมาพบกันก็เพียงพอแล้ว "ท่านไม่ต้องรู้ว่าข้าคือใคร ถือเสียว่าผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ท่านเคยได้ยินหรือไม่ งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ข้าคิดว่านับจากนี้เราคงไม่ได้พบกันแล้ว เช่นนั้นอย่าได้ใส่ใจนามของข้า หรืออยากรู้ว่าที่แห่งนี้คือที่ใด ท่านกลับไปและไม่ต้องคิดว่าติดค้างบุญคุณใดกับข้า ท่านตาของข้าเป็นคนช่วยท่านอย่างแท้จริง ทว่าทุกอย่างที่ข้าและท่านตาท่านยายทำไปก็เพียงเพราะจรรยาบรรณของผู้เป็นหมอที่ยังค้ำคอและจิตสำนึกก็เท่านั้น"
เสียงฝีเท้าดังห่างออกไปเรื่อย ๆ ฟู่ซูหนิงยังเดินไม่พ้นธรณีประตูเสียทีเดียว
"ท่านหมอ ถึงอย่างไรพวกท่านก็มีพระคุณกับข้า สักวันข้าจะต้องตอบแทนบุญคุณที่ช่วยชีวิตอย่างแน่นอน"
ฟู่ซูหนิงชะงักพลางพ่นหายใจแผ่ว กระนั้นฉืออิ้งเทียนกลับได้ยินชัดถนัดหูทีเดียว ดูเหมือนนางไม่อยากทำความรู้จักกับเขาจริง ๆ เพราะเหตุใดกัน
คนดื้อด้าน ข้าไม่น่าช่วยท่านเลยจริง ๆ
ฟู่ซูหนิงเดินหน้าต่อโดยไม่ใส่ใจเขาอีก ทว่านางกลับรู้สึกประหวั่นเพราะฉืออิ้งเทียนเป็นคนหัวรั้นยิ่งนัก
เหตุใดนางต้องปิดบังข้า หลายวันมานี้นางคุยกับข้าไม่กี่ประโยค ทว่าเมื่อครู่ ร่ายวาจายาวเป็นพรวน หรือนางรังเกียจบุรุษตาใกล้มืดบอดเช่นข้างั้นหรือ
.
.
สามวันก่อนฟู่ซูหนิงได้ส่งจดหมายไปหาองครักษ์ของฉืออิ้งเทียนเพื่อให้มารอรับเขา แม้ดูไม่สมเหตุสมผลที่นางสามารถรู้ช่องทางติดต่อดังกล่าว ทว่าฟู่ซูหนิงก็เอาตัวรอดโดยการกล่าวอ้างว่าฉืออิ้งเทียนเป็นฝ่ายบอกนางเอง แม้เขารู้สึกงงงวยเพียงใดกระนั้นฉืออิ้งเทียนเลือกจะไม่รบเร้านางอีก เขายินยอมเชื่อว่าตนหลุดปากบอกกับฟู่ซูหนิงโดยไม่รู้ตัวจริง แต่ก็อดคิดมิได้ว่านางอาจมีวิชาสะกดจิต เพราะหมอที่นี่ได้รับขนานนามว่าหมอเทวดามิใช่หรือไร
"หนิงเอ๋อร์ ไยแต่งกายคล้ายบุรุษเช่นนี้เล่า เจ้าจะออกไปที่ใด" ฟู่หรงนิ่วหน้า กวาดสายตามองเรือนร่างหลานรักด้วยความฉงน ฟู่ซูหนิงเป็นสตรีร่างบอบบาง อีกทั้งใบหน้ายังอ่อนหวานสะสวย ทว่านิสัยกลับตรงกันข้ามกับรูปลักษณ์ของตนโดยสิ้นเชิง
"ท่านยายเจ้าคะ นานมากแล้วที่หนิงเอ๋อร์ไม่ได้ออกจากหุบเขา วันนี้ข้าจะไปส่งคุณชายฉือกลับจวน หากแต่งกายเป็นสตรีท่านว่าเดินทางผู้เดียวจะปลอดภัยงั้นหรือ หลานของท่านยิ่งงดงามอยู่ด้วย"
ฟู่ซูหนิงเย้าแหย่พลางหัวเราะคิกคัก ร่างเด็กที่จิตวิญญาณของนางหลงมาติด ไม่คิดเลยว่าเมื่อเติบโตขึ้นจะสะสวยเฉกเช่นที่ตนเยินยอไว้จริง
ต่งควนโพล่ง "หนิงเอ๋อร์ แต่ดวงตาพ่อหนุ่มนั่นยังมองไม่ชัดมิใช่หรือ เหตุใดเร่งพาเขากลับ"
เพราะสิ่งนี้อย่างไร นางจึงขันอาสาเป็นหมอส่วนตัวของเขาเสียเอง หากปล่อยให้ท่านตาท่านยายทั้งสองเป็นผู้รักษา ดวงตาของฉืออิ้งเทียนย่อมหายเป็นปลิดทิ้ง ฟู่ซูหนิงเกรงว่าอาจเกิดเรื่องอีนุงตุงนังตามมาเช่นกาลก่อน
"ท่านตา ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ ยามนี้ร่างกายเขาแข็งแรงม๊ากมาก…ส่วนเรื่องดวงตา แค่มีเทียบยาและวิธีการดูแลให้ญาติของเขาก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือ หากรั้งเขาไว้นานญาติของเขาอาจร้อนใจ กระทั่งพลิกแผ่นดินหาก็เป็นได้นะเจ้าคะ" ฟู่ซูหนิงกะพริบตาปริบ ๆต่งควนมันเขี้ยวจึงเคาะกบาลนางไปหนหนึ่ง ฟู่ซูหนิงยกมือลูบศีรษะตนป้อย ๆ "ท่านตาเจ้าคะ หนิงเอ๋อร์ทำอะไรผิดงั้นหรือ" ฟู่ซูหนิงเหลียวมองฟู่หรงหมายขอความช่วยเหลือ ทว่าอีกฝ่ายกลับส่ายศีรษะ"ตาเคยสอนเจ้าว่าอย่างไร ช่วยคนต้องช่วยให้ถึงที่สุดมิใช่หรือ"ฟู่ซูหนิงถลาเข้าซบอกผู้เป็นตา พลางเอ่ยเว้าวอน หากไม่แสร้งว่านอนสอนง่ายแผนของนางต้องพังทลายแน่แท้ "ท่านตาเจ้าคะ หนิงเอ๋อร์รู้ดีเรื่องที่ท่านสอนไว้เสมอ แต่หากท่านหายออกจากบ้านไปเป็นแรมเดือน ข้ากับท่านยายก็ต้องร้อนใจเช่นกัน ท่านยายว่าหรือไม่เจ้าคะ" ฟู่ซูหนิงหันมองผู้เป็นยายเพื่อขอความเห็น ฟู่หรงก็อดใจอ่อนเป็นมิได้"ก็จริงเช่นหลานว่า"ฟู่ซูหนิงยิ้มกว้างอวดฟันเรียงสวย จากนั้นปรับน้ำเสียงให้อ่อนหวานดังเดิม "ท่านตาเจ้าคะ…เขาเป็นบุรุษตัวใหญ่โต ได้ยาดีจากหมอเทวดาเช่นท่าน เหตุใดต้องกังวลใจถึงเพียงนั้น ให้หนิงเอ๋อร์ไปส่งเขาเถอ
"อ๊ะ! นี่ นี่ ท่านเดินระวังหน่อยไม่ได้หรือไร ชนแล้ว ๆ" ฟู่ซูหนิงยกมือคลึงขมับวันนี้นางจะเดินทางไปถึงตัวเมืองหรือไม่ ไฉนเขาเอาแต่เดินเปะปะชนโน่นชนนี่อยู่เรื่อย หรือดวงตาของเขายามนี้กลายเป็นบอดสนิทไปแล้วกันเล่า"ขออภัยท่านหมอ ข้ามองไม่เห็นจริง ๆ""ท่านหยุด ไม่ต้องเดินต่อแล้ว เดินส่งเดชเช่นนี้สามวันก็ไม่ถึงหรอกเจ้าค่ะ"ฉืออิ้งเทียนหยุดฝีเท้าลงทันควัน ริมฝีปากได้รูปยกโค้งจาง ๆ แผนล่อหลอกเพื่อประวิงเวลาสัมฤทธิผลเสียทีฟู่ซูหนิงยกมือแกร่งคล้องลำคอด้วยความจำใจ นอกจากกลิ่นกายหอมกรุ่นดุจบุปผาต้องหยาดฝนของสตรีข้างกาย เส้นทางนี้ยังผสานด้วยกลิ่นอายหอมจรุงจากพืชพรรณโอสถ เพราะยามรบล้วนต้องผ่านการวางแผนและการฝึกฝนมามากจึงทำให้เขาสามารถแยกแยะรูป รส กลิ่น เสียงได้เป็นอย่างดีดอกไห่ถัง หอมยิ่งนัก เครื่องหอมของนางก็คงมาจากบุปผาชนิดนี้"คุณชายอิ้งเทียน ดวงตาท่านมองไม่ชัด แต่ขาของท่านยังสามารถใช้งานได้อยู่กระมัง"ฉืออิ้งเทียนพยักหน้า"เช่นนั้นข้าจะพยุงท่านแล้วเดินไปพร้อมกัน
ฟู่ซูหนิงแหงนหน้าขึ้นแช่มช้า ก็ประสานเข้ากับดวงตาขมึงถึงของบุรุษร่างใหญ่ล่ำบึ้ก"นี่! เจ้าหน้าอ่อน เดินไม่ดูตาม้าตาเรือหรืออย่างไร อยากตายงั้นรึ"อาเป่าถลันเข้ามาค้อมศีรษะขอโทษขอโพยพัลวัน "นายท่าน ต้องขออภัยจริง ๆ ขอรับ นี่เป็นท่านหมอมาส่งผู้ป่วยเท่านั้น ได้โปรดละเว้นด้วย"ชายฉกรรจ์ถ่มถุยน้ำลายลงบนพื้นด้วยท่าทีหยาบโลน จากนั้นผลักอาเป่าซึ่งเรือนกายผอมแห้งจนล้มลงบนพื้น "เป็นแค่ลูกจ้างกระจอกงอกง่อย อย่าริอ่านมาต่อรองกับข้า รู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร"ฟู่ซูหนิงเหลืออดพลันขบฟันกรอด มือเรียวกำหมัดแน่นเสียจนกายสั่นเทิ้ม ครั้นยันกายของตนขึ้นได้แล้ว ใบหน้าเกลี้ยงเกลาก็เชิดขึ้นด้วยความโอหัง "เจ้าหมีควาย! กระทั่งตัวเจ้ายังไม่รู้ว่าตนเป็นใคร แล้วผู้อื่นเขาจะรู้ด้วยงั้นรึ สมองหมูจริงเชียว ไฉนต้องมายกตนข่มท่าน รังแกผู้คนไม่สนถูกผิด"ชายร่างกำยำตวัดตามองฉับ จากนั้นคว้าสาบเสื้อของฟู่ซูหนิงจนเท้าลอยเหนือพื้น "เจ้าหน้าอ่อน เจ้าเป็นบุรุษอย่างไร ไยหน้าหวานอ่อนแอคล้ายพวกสตรีไม่มีผิด ปากคอก็เราะรายใช่ย่อย มิรู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ปวกเปียกเช่นนี้ยังกล้าพ่นวาจาดูแคลนข้าอีก!"
"อาเหวิ่น ไยพวกเจ้าทำตัวเสียมารยาทนัก"บุรุษร่างสูงแต่งกายด้วยชุดผ้าไหมสีครามงามสง่า บนศีรษะสวมกวานหยกล้ำค่าลายประณีตมือของเขาถือพัดงาช้างพลางโบกสะบัดแช่มช้าใบหน้าของเขาหล่อเหลาทว่ากลับแฝงไปด้วยกลิ่นอายความกะล่อน ครั้นจะให้เปรียบเทียบกับบุรุษอีกคนที่นั่งสงบนิ่งในยามนี้ ชายหนุ่มทั้งสองก็นับว่ารูปงามไม่น้อยหน้ากันสักกระผีกริ้นหล่อเหลาสูงส่งแล้วอย่างไรหากทำตัวอันธพาลก็มิเท่ากับพวกดูดีเพียงรูปแต่จูบไม่หอมอย่างนั้นหรือ ฟู่ซูหนิงมิได้ใส่ใจผู้มาเยือนนัก ใบหน้าเกลี้ยงเกลายับยู่พลางปัดป่ายเพื่อจัดแจงอาภรณ์ซ้ายขวาชายร่างกำยำรวมถึงลูกน้องที่นอนโอดครวญอยู่บนพื้น ต่างลากสังขารไปหลบหลังบุรุษร่างสูงโปร่ง"นายน้อย เจ้าหนุ่มนี่ทำดวงตาของข้ามืดบอดขอรับ" นักเลงหัวไม้ร่างโตเมื่อครู่ก็คืออาเหวิ่นหรือจินเหวิ่น"หุบปากเสีย ร่างกายก็ใหญ่โตกว่าเขาตั้งหลายเท่า ไยขี้ฟ้องดุจเด็กสามขวบ รู้ถึงไหนอายถึงนั่น"จินเหวิ่นและลูกน้องเงียบเสียงลงฉับ บ้างกุมท้องบ้างกุมหน้าผาก ทว่าจินเหวิ่นยังปิดตาของตนไว้แน่นใบหน้าพวกเขาแดงก่ำเหยเ
ฟู่ซูหนิงถอนหายใจระอิดระอาตัวโตเสียเปล่าสมองหมูไม่เกินจริง ร้องอย่างกับลาถูกเชือด"ซื่อจื่อ ข้าจะบอกท่านให้ ว่านั่นมิใช่ยาพิษสักนิด ท่านเลิกให้ลูกน้องร่างยักษ์ร้องโอดโอยเป็นหมูถูกเชือดเสียที ผงผัดหน้าธรรมดาไม่รู้จักหรือไร เคืองเล็กน้อยก็ตีโพยตีพายยกใหญ่"ฉืออิ้งเทียนส่ายศีรษะพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นยกชาขึ้นจิบอย่างใจเย็น ที่แท้ฟู่ซูหนิงก็มีอุบายเช่นคาดเดาไม่มีผิด นางสามารถทำให้ผู้อื่นอกสั่นขวัญแขวนกันเป็นแถบ ช่างเป็นสตรีตัวแสบไม่เบาทีเดียวได้ยินเช่นนั้นจินเหวิ่นจึงลดฝ่ามือลงแช่มช้า พลันกะพริบตาสองสามคราก็พบว่าตนเพียงระคายเคืองเล็กน้อยเท่านั้น จินเหวิ่นยิ้มแหยเฉกเช่นเด็กน้อยกำลังถูกมารดาดุ ช่างไม่รับกับสีหน้าอันเกรี้ยวกราดนั่นเสียเลย มองดูก็อุจาดตาพิกลเหอหยางส่ายศีรษะเพราะรู้สึกขายหน้าเหลือแสน เขากระแอมแก้เก้อ"ขอบคุณน้องชายที่ยั้งมือไว้ไมตรี แต่ว่า..."หมอนี่ช่างขี้สงสัยจริงแท้"นี่ซื่อจื่อ ท่านเป็นไก่หรือไร ตามจิกตามสงสัยข้าอยู่นั่น เดี๋ยวข้าจับตุ๋นทำน้ำแกงเสียเลย"ลูกน
ฉืออิ้งเทียนนั่งสงบนิ่งเฉกเช่นหุบเขาน้ำแข็งอยู่ภายในรถม้า ส่วนองครักษ์ทั้งสองควบอาชาคอยอารักขาผู้เป็นนายขนาบข้างคนละฝั่ง เขานั่งขบคิดตลอดทางถึงอาการแปลกพิกลของฟู่ซูหนิง กระทั่งบุรุษที่ตนถกเถียงจนน้ำลายแตกฟอง ยังสามารถพลิกมาเป็นพวกพ้องเพื่อหลบเลี่ยงมิให้องครักษ์ของเขาได้เห็นหน้าเกาซี "องค์ชาย ขอประทานอภัยที่กระหม่อมไม่อาจมองหน้าของท่านหมอได้อย่างชัดแจ้งพระองค์ประสงค์ให้พวกเราตามสืบเรื่องของเขาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ""เพราะนางไม่อยากให้พวกเจ้าเห็นเองต่างหาก"เกาซีและเติ้งเหวยเหลียวมองหน้ากัน เติ้งเหวยเอ่ย "เอ่อ...ท่านหมอเป็นผู้หญิงหรือพ่ะย่ะค่ะ แต่เมื่อครู่กระหม่อมเห็นเพียงบุรุษ ไม่มีสตรีสักนาง"ฉืออิ้งเทียนแค่นยิ้ม "ช่างเถิด ถึงอย่างไรเรื่องของท่านหมอข้าย่อมไม่ปล่อยผ่าน นางทำดีกับข้า ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บและดวงตาของข้า ทว่ากลับจงใจหนีหน้าข้า พวกเจ้าว่าดูไปแล้วนางมีพิรุธหรือไม่"องครักษ์ทั้งสองเหลียวมองหน้ากัน จากนั้นพยักหน้าโดยพร้อมเพรียงเกาซี "องค์ชาย แล้วจดหมายที่ติดต่อพวกเรา พระองค์ก็เป็นคน...""ข้าเป
"น้องชาย ลูกไม้เดิมเจ้าอย่านำมาใช้อีกจะดีกว่าไม่ได้ผลหรอก เช่นนั้นเอาอย่างนี้แล้วกัน หากเจ้าไร้แหล่งพักพิง ไปพักที่จวนข้าได้ ที่นั่นใหญ่โตโอ่โถงเพียงพอให้เจ้าได้หลบแดดบังฝนอย่างสบายเชียวล่ะ"ฟู่ซูหนิงส่ายหน้า "ไม่ขอรับ ข้ารักอิสระ"เหอหยางเยื้องย่างเข้าใกล้คนตัวเล็กแช่มช้า เขาโน้มกายลง "ไม่ต้องเกรงใจ..." เสียงทุ้มแผ่วโผย จากนั้นเอ่ยต่อว่า "น้องชายเจ้ายินดีเป็นสหายกับข้าหรือไม่ หากยามเบื่อหน่ายข้าจะได้มีเพื่อนร่ำสุราเคล้านารี ดู ๆ ไปแล้วมีเจ้าเป็นสหายคงมีเรื่องให้เล่นสนุกไม่เว้นวัน""ท่านเป็นถึงซื่อจื่อผู้สูงส่ง จะลากข้าไปร่ำสุราเป็นเพื่อนเพื่อสิ่งใด ข้าเป็นเพียงหมอนิรนามเนื้อตัวสกปรกกลิ่นกายเต็มไปด้วยโอสถเฉกเช่นคนแก่ชรา ลูกน้องก็มีเป็นโขยงยังจะอยากเพิ่มข้าเข้ามาให้ชวนปวดหัวอีก"เหอหยางกดยิ้มมุมปาก "นั่นไม่เหมือนกัน...และแน่นอนว่าข้าอยากเป็นสหายกับเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น สุราจอกนี้เป็นสัญญาแรกของเราดีหรือไม่"ฟู่ซูหนิงมองจอกขนาดเล็กในมือของเขา เหตุใดคนผู้นี้ว่องไวดุจปีศาจ เมื่อครู่นางยังมิเห็นว่าเขาหยิบมาด้วยเลย แล้วเขาไปเอาจอกสุรานี่มาได้อย่างไร
"เทียนเอ๋อร์ เป็นอย่างไรบ้างลูก"ซิ่วกุ้ยเฟยหรือซิ่วอิงเห็นโอรสของตนกลับมาในสภาพมีผ้าขาวคาดดวงตาก็ร้องไห้แทบเกิดลมจับ คาดไม่ถึงว่าลูกชายเพียงคนเดียวที่ยังหลงเหลือกลับกลายเป็นคนพิกลพิการตั้งแต่อายุเพียงสิบแปดปี โอรสคนโตก็สิ้นใจในสมรภูมิรบเมื่อสามปีก่อน ไยชะตาสนมเอกเช่นนางจึงอาภัพนัก"เสด็จแม่ ไม่ต้องกังวลพระทัย ยามที่ลูกหลงอยู่ในป่า ลูกบังเอิญพบกับหมอเทวดา แม้ดวงตาไม่อาจมองเห็น ทว่าร่างกายของลูกแข็งแรงดียิ่งพ่ะย่ะค่ะ""หมอเทวดางั้นหรือ หมอเทวดาใดกัน หากเป็นหมอเทวดาไยจึงไม่อาจรักษาดวงตาเจ้าได้ อีกอย่างแม่ไม่เคยได้ยินมาก่อนเรื่องหมอเทวดาเหลวไหลอะไรนั่น แบบนี้ไม่ได้การ แม่จะเรียกหมอหลวงมาตรวจร่างกายเจ้าอีกครั้ง บางทีหมอเทวดาที่เจ้าว่าอาจรักษาส่งเดชก็เป็นได้"ฉืออิ้งเทียนถอนหายใจอย่างนึกปลดปลง แม้เขาไม่ประสงค์ชิงดีชิงเด่นกับบรรดาพี่น้องต่างมารดาทว่าซิ่วกุ้ยเฟยกลับไม่เป็นเช่นนั้น นางช่างกระหายในอำนาจอย่างยิ่งยวดอีกไม่นานจะมีการแต่งตั้งชินอ๋อง แน่นอนว่าผู้เหมาะสมและเป็นที่หมายตาสำหรับตำแหน่งอ๋องขั้นหนึ่งย่อมหลีกไม่พ้นฉ
เหลือเวลาไม่ถึงสองวันแล้วที่พวกเขาจะต้องกลับไปให้ทันถอนกู่พิษ ทว่ายามนี้ฉืออิ้งเทียนและฟู่ซูหนิงยังต้องมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านเก่าแก่แห่งหนึ่ง โชคดียิ่งที่นางพบว่าท่านตาและท่านยายของนางมิใช่หมอเทวดาแค่เพียงในนาม ทว่าคือหมอเทวดาอย่างแท้จริง กระนั้นสหายของพวกท่านกลับเดินอีกเส้นทาง หาใช่หมอรักษาโรคทางร่างกายโดยตรง แต่กลับเป็นหมอไสยสามารถรักษาอาการถูกกู่พิษได้"ท่านอ๋อง แน่ใจหรือเพคะ ทางนี้ออกจะเปลี่ยวเกินไป" ฟู่ซูหนิงซึ่งนั่งอยู่เบื้องหน้าเริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากล ตลอดเส้นทางนางสัมผัสได้ถึงความเงียบงันอันผิดปกติฉืออิ้งเทียนพยักหน้า "ทางนี้ แน่นอน"ฟู่ซูหนิงมิได้ปริปากอีก นางปล่อยให้ฉืออิ้งเทียนบังคับบังเหียนอยู่เบื้องหลังตนดังเดิม ดูเหมือนฟู่ซูหนิงรู้สึกชินกับการเดินทางที่ต้องมีเขาคอยโอบประคองตลอดทางเสียแล้ว จะบังคับขี่ม้าเองก็ไม่ได้เพราะเกรงจะยิ่งล่าช้าเข้าไปใหญ่จู่ ๆ ม้าตัวเขื่องก็ยกกีบเท้าหน้าขึ้นตะกุยอากาศ กระทั่งหยุดลงในที่สุด ฟู่ซูหนิงเขม้นมองทางเข้าหมู่บ้านด้วยความลังเลที่นี่วังเวงชอบกลราวกับเป็นหมู่บ้านร้าง ฉืออิ้งเทียนเหล
ฉืออิ้งเทียนตั้งสติ เขายอบกายนั่งลงเบื้องหน้าฟู่ซูหนิง จากนั้นค่อย ๆ ยกมือปาดน้ำตาที่ร่วงเผาะด้วยความทะนุถนอม "หนิงเอ๋อร์ อย่าร้อง เจ้ายิ่งร้องไห้หนัก พวกท่านก็จะยิ่งไม่สบายใจ"นัยน์ตาดอกท้อช้อนขึ้นสบประสานกับบุรุษตรงข้าม "ฮึก ฮื่อ...ท่านไม่ได้สูญเสียเช่นข้า ท่านก็พูดได้""ข้าเองก็เคยสูญเสียคนที่รัก"ฟู่ซูหนิงสะอึก ใช่แล้วฉืออิ้งเทียนเคยเอ่ยถึงพี่ชายร่วมบิดามารดาให้นางฟังอยู่เสมอ"ข้ารู้ดีว่าเจ้าเจ็บปวดเพียงใด เช่นนั้นก็ร้องออกมาให้หมด แล้วอย่าลืมสิ่งที่ท่านตาท่านยายฝากฝังไว้ด้วยเล่า เจ้าคงได้อ่านแล้วกระมัง"ฟู่ซูหนิงนิ่งเงียบไปสักพัก นางก้มหน้างุดไม่มองเขาอีก ฉืออิ้งเทียนยังนั่งชันเข่าอยู่บนพื้นเช่นนั้น ปล่อยให้นางได้ร้องไห้ระบายจนรู้สึกดีขึ้น เป็นเวลาหลายชั่วยามที่ทั้งสองแทบไม่ขยับกาย กระทั่งฟู่ซูหนิงร้องไห้จนม่อยหลับไม่รู้ตัว ฉืออิ้งเทียนยกมือประคองศีรษะเล็กเอาไว้ ขาของเขากำลังชาหนึบจนมิอาจขยับ ฉืออิ้งเทียนกัดฟันกรอดกระทั่งอุ้มร่างระหงไปพักยังเตียงหนานุ่มได้อย่างทุลักทุเลราตรีกาลมาเยือนแล้ว ฉืออิ้งเทียนไม่อาจนั่งรอให้ฟู่ซูห
เมื่อสงครามน้ำลายสงบลง ฟู่ซูหนิงก็เลี่ยงไม่ได้ที่ต้องพักในห้องเดียวกันกับฉืออิ้งเทียนเตียงหนานุ่มเป็นของนาง ส่วนฉืออิ้งเทียนนั่งหลับจนคอแข็งอยู่บนตั่งแทบทั้งคืน คิดรังแกนางก็สมควรแล้วมิใช่หรือ กระนั้นฟู่ซูหนิงก็อดเป็นห่วงเขามิได้ ชาติก่อนนางและเขาเคยนอนเตียงเดียวกัน ทว่านางไม่อาจนำชีวิตในชาตินี้มาเหมารวมได้ชายหญิงไม่ควรใกล้ชิด!"มีอะไร อยากให้ข้านอนด้วยแล้วหรือ" ฉืออิ้งเทียนเอ่ยทั้งที่ยังหลับตาฟู่ซูหนิงสะดุ้งเฮือก ดูเหมือนเขาคงใช้ชีวิตในคราบองค์ชายตาบอดนานเกินไปจึงความรู้สึกว่องไวเพียงนี้"เหลวไหล ท่านรับปากข้าแล้วว่าจะนั่งอยู่ตรงนั้นไม่คิดล้ำเส้น อย่าให้รู้ว่ายามค่ำคืนท่านแอบย่องเบาราวโจรปล้นสวาทเล่า"ฉืออิ้งเทียนเย้าแหย่"กำลังอยากลองอาชีพนี้อยู่ทีเดียว โจรปล้นสวาทน่าสนเป็นอย่างยิ่ง"ฟู่ซูหนิงหน้าร้อนผ่าว "ไร้ยางอาย" มือเรียวคว้าผ้าห่มผืนหนาขึ้นคลุมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า อกซ้ายเต้นระส่ำคล้ายจะกระดอนออกมาโลดแล่น นางได้ยินเสียงเขาแค่นหัวเราะเบาก็ยิ่งไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ ราตรีนี้จึงเต็มไปด้วยความประดักประเดิดแ
เพราะฉืออิ้งเทียนเร่งร้อนควบม้าจนฝุ่นตลบทำให้ยามนี้ฟู่ซูหนิงรู้สึกว่าร่างกายช่างเหนียวเหนอะหนะจึงต้องการอาบน้ำเป็นอย่างยิ่ง แม้ในห้องมีฉากกั้นระหว่างพื้นที่อาบน้ำและบริเวณเตียงนอนทว่านางเป็นสตรีเขาเป็นบุรุษ จะให้นางเปลื้องผ้าในขณะที่บุรุษอยู่ด้วยได้อย่างไร"นี่ นายท่านฉือ ท่านไม่หิวรึ"ฉืออิ้งเทียนเอนกายพิงหัวเตียงพลางยกแขนทั้งสองก่ายเกยศีรษะ เขาผินหน้ามองฟู่ซูหนิง เอ่ยเสียงเรียบเรื่อย "หิวสิ แต่ตอนนี้ร้อนมากกว่า อีกอย่างเราเร่งเดินทางจนร่างกายสกปรกมอมแมม ท่านหมอว่าหรือไม่"ข้าล่ะหน่ายกับหมอนี่จริง ๆฟู่ซูหนิงค่อนขอดในใจแต่ก็ทำได้เพียงพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ดูเหมือนฟู่ซูหนิงกำลังหลงลืมว่าน้ำเสียงแหบแห้งที่แสร้งกรีดร้องจนได้มานั้นหายไปแล้ว "หากท่านหิวก็ลงไปหาอะไรกินก่อน ข้าจะอาบน้ำ"ฉืออิ้งเทียนเลิกคิ้ว ร่างสูงยืดกายยืนเต็มความสูง เขาหย่อนเท้าลงจากเตียง ขาแกร่งเยื้องย่างเข้าใกล้ฟู่ซูหนิงเนิบนาบพลางหรี่นัยน์ตาด้วยความเคลือบแคลงฟู่ซูหนิงหวาดระแวงเขาเช่นกัน"นี่.
ม้าถูกเตรียมไว้ราวรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า แท้จริงฉืออิ้งเทียนให้เกาซีนั้นเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมสรรพเผื่อกรณีฉุกเฉินต้องเร่งเดินทาง แต่ทว่ากลับมีม้าเพียงตัวเดียว ไม่รั้งรอให้ฟู่ซูหนิงลังเลอีก ฉืออิ้งเทียนก็ยกร่างระหงลอยหวือขึ้นนั่งอยู่บนหลังม้า ก่อนที่ตนจะกระโดดคร่อมตามไปฟู่ซูหนิงอึ้งงันกะพริบตาถี่แขนแกร่งเอื้อมไปเบื้องหน้าประหนึ่งโอบกอดเรือนร่างคนตัวเล็กเอาไว้หละหลวม มือแกร่งดึงบังเหียนเพื่อควบคุมการเคลื่อนไหวของม้าตัวโต กีบเท้าหน้าตะกุยพื้นสองสามคราก่อนยกขึ้นเสียจนฝุ่นตลบ ฟู่ซูหนิงไม่ทันระวัง กายของนางก็ไหลครืดปะทะอกแกร่ง"ท่านหมอ ไร้กำลังจริงแท้ จับดี ๆ เล่า"ไม่ทันได้เตรียมตัว ฉืออิ้งเทียนก็ดึงบังเหียนอย่างรวดเร็ว อาชาสีดำเลื่อมห้อทะยานราวพายุในบัดดล ฟู่ซูหนิงถูกลมตีเข้าหน้าเสียจนองคาพยพแทบหลุดหาย นางหมายโน้มตัวลงเพื่อกอดคอม้าเอาไว้เพราะเกรงว่าตนจะตกลงไปเสียก่อน ทว่าแขนแกร่งกลับรวบรัดบริเวณเอวคอดอย่างถือวิสาสะ"ไม่ต้องกลัว"ฟู่ซูหนิงสะดุ้งโหยง นางเหลียวมองเขาด้วยใจไหวระทึก "ท่านทำอะไร ปล่อยข้า ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง""เหตุใดจึงบอกไม่เห
"ไม่ได้การแล้ว หากปล่อยไว้นานทุกคนต้องตายแน่นอน" ฟู่ซูหนิงตื่นตระหนกทว่านางเป็นหมอยาธรรมดา เดิมทีฟู่ซูหนิงทราบอยู่แล้วว่าชาวบ้านมิได้ติดโรคระบาดแต่เป็นพิษ กระนั้นยังจับมือใครดมไม่ได้ครานี้ไม่เหมือนกัน เกิดความยุ่งยากยิ่งกว่าโรคระบาดปลอมที่ผ่านมาเสียอีก ดูเหมือนฟู่ซูหนิงคงต้องย้อนกลับไปยังหุบเขาร้อยโอสถเพื่อขอคำแนะนำจากท่านตาโดยด่วน"แต่นี่ไม่ใช่พิษที่หมอธรรมดานั้นสามารถรักษาได้" ฉืออิ้งเทียนเป็นกังวลใจไม่ต่างกันโชคดียิ่งที่องครักษ์ของเขาและเสี่ยวไป๋กินเพียงเนื้อแกะย่างจนลืมแตะต้องน้ำแกงรากบัวที่ชาวบ้านนำมาให้ ทว่าบรรดาทหารกล้าอีกนับสิบ กลับได้รับพิษชนิดนี้เช่นเดียวกัน เมื่อคืนเขาแทบไม่ได้หลับนอนเพราะวิ่งวุ่นเปิดตำราเพื่อหาวิธีการแก้กู่พิษ แต่เพราะฟู่ซูหนิงมิใช่หมอคุณไสย นางจึงมิได้มีตำราชนิดนี้อยู่"ท่านช่วยดูแลพวกเขาได้หรือไม่เจ้าคะ เดี๋ยวข้ากลับมาไม่นาน"ฉืออิ้งเทียนพยักหน้า เมื่อครู่นางหลุดปากแสดงตัวตนโดยบังเอิญ ทว่าความอลหม่านกลับทำให้ฟู่ซูหนิงลืมตัวไปเสียสนิทฟู่ซูหนิงเร่งร้อนไปหาเสี่ยวไป๋ นางกำลังอธิ
ชาวบ้านที่รวมตัวกันอยู่ภายในศาลาต่างหลับใหลเพราะความสำราญและอิ่มหนำ ทว่าใครจะทราบแท้จริงมิใช่เหตุบังเอิญ ฉืออิ้งเทียนแหงนมองจันทร์กระจ่างฟ้า เขานั่งร่ำสุรากับฟู่ซูหนิงจนล่วงเลยมาจนถึงช่วงกลางยามจื่อ [1] ชายหนุ่มอุ้มร่างระหงไว้บนอ้อมแขน จากนั้นกระโจนลงจากหลังคา ฉืออิ้งเทียนพยักหน้าให้เติ้งเหวยและเกาซี เกาซีแสร้งไร้สติรวมอยู่กับบรรดาชาวบ้าน ส่วนเติ้งเหวยติดตามผู้เป็นนายไปห่าง ๆกระทั่งมาถึงโรงหมอ ฉืออิ้งเทียนส่งฟู่ซูหนิงเข้านอนในห้องส่วนตัว ยิ่งพิศมองใบหน้าพริ้มเพราหัวใจของเขาก็ยิ่งเต้นระส่ำ เขากวาดสายตามองโดยรอบก็พบสัญลักษณ์การนับวัน ที่ฟู่ซูหนิงขีดเขียนเอาไว้ฉืออิ้งเทียนขมวดคิ้วงุนงง ร่างสูงเยื้องย่างเข้าใกล้เพื่อสำรวจ ก็พบว่ามีจุดผิดสังเกตหนึ่งที่ปรากฏสัญลักษณ์สีเข้มเด่นชัด คล้ายเพิ่งมีการเขียนลงไม่นาน สัญลักษณ์ตรงหน้าคือการนับของแต่ละสัปดาห์ และเส้นสุดท้ายอันเด่นชัดก็เป็นเส้นที่เจ็ดของสัปดาห์สุดท้ายพอดี"หรือว่าเสียงของนาง ที่แหบห้าวแบบนั้นเพราะเกี่ยวข้องกับการนับสัปดาห์นี้หรือ"
ฟู่ซูหนิงหรี่ตาเพราะเคลือบแคลงดูเหมือนเขากำลังโกหกตาใส ฟู่ซูหนิงเริ่มไม่ไว้ใจเขาเสียแล้ว"ก็ดี ขะ...ข้าเหนื่อยแล้ว งานยังไม่เลิกท่านอยู่ต่อที่นี่เถิด ขอตัวกลับก่อน"ร่างระหงเร่งร้อนลุกขึ้น ฟู่ซูหนิงรู้สึกวิงเวียนดุจดั่งโลกกำลังเอียงกระเท่เร่ ทว่าฉืออิ้งเทียนเห็นท่าไม่ดี เขาจึงคว้าข้อมือเล็กไว้ทันควัน "ท่านหมอ อย่าเพิ่งไปสิขอรับ ดูท่านคงกลับเองไม่ได้เสียด้วย อีกอย่างยามนี้ดวงจันทร์กำลังงดงาม ร่ำสุรายังไม่หนำใจท่านก็จะไปแล้วหรือ นี่เพียงไหแรกไยจึงคออ่อนนัก""ปล่อยข้า ข้าไม่ไหวแล้ว"ริมฝีปากได้รูปกระตุกเบา เมื่อครู่นางดื่มไปเพียงสองครั้งเองมิใช่หรือ ไฉนจึงดูจะเมามายเพียงนี้กันฉืออิ้งเทียนเว้าวอน "ท่านหมอ นั่งก่อนนะขอรับ อีกครู่เดียวเท่านั้น ข้ายังสนทนากับท่านไม่จบเลย"ฟู่ซูหนิงถอนหายใจระอิดระอา "ก็ได้ ก็ได้"หมอนี่จบเอกการแสดงที่ไหนมากัน อ้อนเก่งอย่างกับลูกสุนัข ชิ!ฉืออิ้งเทียนยื่นไหสุราในมือของตนให้ฟู่ซูหนิง "ท่านรับข้าเป็นสหายอีกคนได้หรือไม่""เมื่อครู่ข้าบอกท่านอย่างชัดเจนแล้วมิใช่หรือ อีกอย่า
"นายท่านฉือ นายท่านฉือเจ้าคะ"เหล่าสตรีกำลังส่งเสียงร้องเรียกพลางเดินสาละวนพร้อมถาดอาหารในมือเที่ยวตามหาฉืออิ้งเทียนให้ควัก"พวกนางกำลังตามหาท่าน ลงไปได้แล้ว"ฉืออิ้งเทียนส่ายหน้า "ข้าไม่ไป หลายคนก็มากเรื่องมากความ ข้าอิ่มแล้ว ยามนี้ต้องการร่ำสุราเป็นเพื่อนของท่านหมอ"ฟู่ซูหนิงจิ๊ปาก นัยน์ตาดอกท้อลดมองเบื้องล่าง ฟู่ซูหนิงคิดกระทำการบางอย่าง ริมฝีปากบางขยับยกเป็นรอยยิ้ม ก่อนจะได้ตะโกนเพื่อให้คนด้านล่างรู้ตัว ทว่ากลับถูกมือหยาบระคายตะปบปิดปากไว้เสียก่อน"อื้อ...อ่อยอ้า (ปล่อยข้า)""ชู่...ข้าบอกว่าอยากอยู่เป็นสหายร่ำสุรากับท่าน ท่านหมอต้องสัญญากับข้าก่อนว่าจะไม่เรียกพวกนาง"ฟู่ซูหนิงถอนหายใจ ดูเหมือนนางไร้ทางเลือกเสียแล้ว เปลือกตาบางกะพริบถี่ ฟู่ซูหนิงพยักหน้าหงึกหงักฉืออิ้งเทียนพึงใจในคำตอบริมฝีปากชายหนุ่มพลันยกโค้งเบาบาง เขาลดฝ่ามือของตนลงแช่มช้า ครั้นเมื่อหลุดพ้นจากพันธนาการฟู่ซูหนิงจึงผลักเขาให้ถอยห่าง ทว่านางลืมไปเสียสนิทว่ายามนี้ตนกำลังยืนอยู่บนหลังคา เท้าซึ่งเหยียบกระเบื้องเก่าคร่ำคร