ทั่วบริเวณหุบเขาร้อยโอสถ ซึ่งเต็มไปด้วยพืชสมุนไพรหลากหลายชนิดล้วนเปียกชุ่มไปด้วยหยดน้ำพราวระยับ เพราะยามนี้สายฝนกำลังเทกระหน่ำดุจสวรรค์ร่ำไห้ ผืนนภาอันเคยสว่างเจิดจ้าแปรเปลี่ยนเป็นอึมครึมแผ่กลิ่นอายน่าหวาดเกรง
เสียงสายฟ้าหวดสะบั้นเฉกเช่นอสนีเคราะห์ ภายในถ้ำแสนอนธการซ้ำยังอับชื้นพลันปรากฏสตรีร่างระหงนอนไร้สติเพียงลำพัง ความเย็นเยียบกำลังกัดลึกกร่อนกระดูกเสียจนหนาวเหน็บ เรือนร่างที่แน่นิ่งมานานจึงเริ่มขยับไหวพร้อมลมหายใจกระเพื่อมถี่
แค่ก แค่ก
"หนาวจัง..."
เสียงที่เคยสดใสแหบแห้งระคนสั่นเครือ เปลือกตาบางเปิดปรือขึ้นแช่มช้า ครั้นได้สตินางจึงดันกายของตนเพื่อพิงผนังผิวหยาบ อ้อมแขนยกขึ้นโอบกอดเรือนร่างตนหวังคลายความเย็นเยียบ พลางกวาดสายตาสำรวจสรรพสิ่งท่ามกลางความมืดมัว หญิงสาวขยับแขนเพื่อตรวจสอบทีละฝั่งด้วยสีหน้าฉงนสนเท่ห์
"นี่เรายังไม่ตายอีกหรือ" ฟู่ซูหนิงถอนหายใจด้วยความรู้สึกปลดปลง
นางจำได้ว่าถูกบั่นศีรษะสิ้นใจไปแล้วตั้งแต่อยู่ในวังหลวง โทษฐานวางยาพิษฮ่องเต้ คาดไม่ถึงว่ายามนี้ฟู่ซูหนิงได้หวนกลับมาในคืนฝนพรำเมื่อคราที่ตนอายุสิบหกหนาวอีกครั้ง
เหตุใดนางจึงไร้ท่าทีตื่นตระหนกเมื่อทราบว่าตนนั้นย้อนเวลากลับงั้นหรือ นั่นเพราะฟู่ซูหนิงเคยเจอเรื่องอัศจรรย์พันลึกยิ่งกว่านี้มาก่อน จะด้วยอะไรก็ช่าง ดูเหมือนสวรรค์คงไม่อนุญาตให้นางตายอย่างสงบ
มารดามันเถอะ!
ฟู่ซูหนิงลอบสบถในใจ แต่มิอาจฝืนลิขิตสวรรค์ได้จริง ๆ
เดิมฟู่ซูหนิงมีนามว่าเฝิงลู่ นางคือนักศึกษาแพทย์ปีสี่จากต่างยุคสมัย หนำซ้ำยังเคยสนทนากับผู้คุมกฎแห่งสวรรค์เก้าชั้นฟ้า เอ่ยไปใครจะเชื่อ คงมีคนกล่าวหาว่านางเพ้อเจ้อเสียสติ
ชีวิตเดิมในตอนที่ยังเป็นเฝิงลู่ นางได้ออกไปเที่ยวงานคอนเสิร์ตของศิลปินที่ชื่นชอบ ใครจะทันคาดคิดว่านั่นดันกลายเป็นวันสุดท้ายของชีวิตนักศึกษาแพทย์สาวซึ่งกำลังมีอนาคตอันสดใสและโชติช่วง
อยู่ ๆ ก็เกิดเหตุจลาจลไม่คาดฝัน ผู้คนกำลังหนีตายกันจ้าละหวั่น เฝิงลู่ผู้ป้ำเป๋อพลันสะดุดขาของตนล้มแอ้งแม้งลงบนพื้นสกปรกซ้ำยังเปียกแฉะ ร่างเล็กเกลือกกลิ้งไปมาเพื่อหลบใต้เท้าผู้คนนับร้อยพัน กระทั่งมิอาจหลีกพ้น ร่างของเฝิงลู่จึงถูกคนเหล่านั้นเหยียบย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนช้ำในกระอักโลหิตออกมาคำโต
ไม่มีใครยื่นมือเข้าช่วย ไม่มีใครใส่ใจนางเลยสักคน ผู้คนที่นี่แล้งน้ำใจเกินไปแล้ว ก่อนสิ้นใจเฝิงลู่ได้อธิษฐานต่อทวยเทพ ยกเอาคุณงามความดีไม่ว่าชาตินี้หรือชาติปางไหนมาอ้างสรรพคุณของตนเสียจนหมดสิ้น เพราะสิ่งที่นางหวาดกลัวที่สุดคือการตกนรก เฝิงลู่วาดฝันมาตลอดว่าในชีวิตอันแสนสั้นจะได้พานพบรักแท้กับชายในฝัน อยู่ด้วยกันตราบนิจนิรันดร์กาล
ไฉนตอนนี้ต้องมาตายอย่างน่าอนาถ ชาตินี้ยังไม่เคยมีแฟนเลย จะเร่งส่งนางไปปรโลกทำไมกัน!
ดูเหมือนสวรรค์รับรู้ถึงคำอธิษฐานของนาง จึงอุตส่าห์เมตตาส่งจิตวิญญาณของเฝิงลู่ให้ล่องลอยมาติดแหง็กในร่างเด็กหญิงวัยสองขวบผู้หนึ่ง ยามนั้นเด็กตัวน้อยถูกพ่อแม่ทอดทิ้งไว้ไม่ห่างจากหุบเขาร้อยโอสถมากนัก เด็กวัยกระเตาะถูกช่วยเหลือจากสองตายายคู่หนึ่ง นางจึงโชคดีมีชีวิตรอดมาจวบจนเติบใหญ่
แม้จิตวิญญาณเป็นผู้ใหญ่แต่ร่างกายยังเป็นเด็ก ส่งผลให้เฝิงลู่เปล่งวาจาออกมามีเพียงเสียงอ้อแอ้ มันช่างชวนอึดอัดอย่างยิ่ง
นี่มันชีวิตใหม่อันบัดซบใดกันเล่า จะพูดก็ยังเป็นเสียงเด็กไม่รู้ความ...
สองตายายจึงตั้งชื่อให้เฝิงลู่ใหม่ นามว่า'ฟู่ซูหนิง' จากนั้นเฝิงลู่จึงรู้สึกคุ้นชินกับนามว่าฟู่ซูหนิงและยอมรับความจริงในที่สุด นางได้กลายเป็นคนของมิติใบนี้ไปโดยปริยาย
เด็กน้อยกวาดสายตามองโดยรอบก็ทราบว่าที่นี่คือยุคโบราณห่างจากโลกเดิมของตนนับพันปี กระทั่งเฝิงลู่ในนามฟู่ซูหนิงค่อย ๆ เติบโตตามวัย ขณะที่จิตวิญญาณก็ยังคงเป็นหญิงสาววัยยี่สิบสอง ส่งผลให้พัฒนาการของเด็กหญิงฟู่ซูหนิงก้าวกระโดดมากกว่าเด็กทั่วไปมากโข
นับว่าดีหรือร้ายที่สวรรค์ดันถีบส่งนางลงมาอยู่ในร่างสตรีมิใช่บุรุษ หาไม่แล้วจิตวิญญาณเป็นหญิงสาวแต่ทว่ามีเนื้องอกห้อยต่องแต่งอยู่หว่างขา นางคงรับไม่ได้จนต้องกัดลิ้นตายอีกครั้งเป็นแน่
เรื่องบังเอิญอีกหนึ่งสิ่ง สองตายายที่ช่วยเหลือนาง ผู้คนล้วนขนานนามว่าหมอเทวดาแห่งหุบเขาร้อยโอสถ ประจวบเหมาะกับวิชาที่ติดกายมาแต่โลกกาลก่อน ฟู่ซูหนิงจึงเรียนรู้ศาสตร์แพทย์ได้รวดเร็วจนน่าฉงน นางสามารถจดจำทุกรายละเอียดของตำราโอสถราวผ่านตาไม่รู้ลืม ดูเหมือนสวรรค์คงมอบความสามารถนี้ให้นางเพื่อหวังประโลมจิตใจอันบอบช้ำ ฟู่ซูหนิงจึงนับว่าสวรรค์ยังมีเมตตาอยู่เล็กน้อยก็แล้วกัน ฟู่ซูหนิงนั้นใช้ชีวิตในคราบหลานสาวของหมอเทวดากระทั่งเติบใหญ่ นางได้สืบทอดวิชาจากสองตายายจนกลายเป็นหมอหญิงในที่สุด
ครั้นฟู่ซูหนิงอายุครบสิบหกหนาว สวรรค์ก็ส่งบุรุษผู้สูงส่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้า ตอนนั้นนางคิดว่าเขาคือรักแท้จากคำอธิษฐานจิต ทว่ายามนี้ฟู่ซูหนิงได้รู้แล้วว่า ชายหนุ่มผู้นี้นับเป็นฝันร้ายของตนไปตลอดกาล
"สวรรค์นะสวรรค์ กลั่นแกล้งข้าตั้งแต่โลกก่อนไม่พอ ไยต้องให้ข้าย้อนกลับมาในวันนี้ด้วยเล่า ให้ข้าตายไปเลยยังดีเสียกว่า ไม่ต้องรับรู้ ไม่ต้องแบกรับความเจ็บปวดอันหนักอึ้ง หรือไม่ก็ช่วยลบความทรงจำของข้าออกไปเถิด รังแกข้าสนุกนักหรือไร" ฟู่ซูหนิงระบายความอัดอั้น พลันแหงนหน้าด่าทอสรวงสวรรค์ ทั้งที่รู้ว่ามิอาจเปลี่ยนแปลงชะตาได้ตามอำเภอใจ
ความรู้สึกอันน่าหวาดผวา เป็นเหตุให้นางไม่อาจย้อนกลับมาแล้วหลงทางซ้ำซ้อน นัยน์ตาดอกท้อเหลือบเห็นบุรุษร่างสูง นอนหมดสติอยู่ข้างพงหญ้า ยามนี้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส เดิมทีนางเป็นหมอควรยื่นมือช่วยเหลือเขา บทเรียนครั้งก่อนมันได้สอนนางว่า เขามันตัวอันตราย อย่าหมายว่านางจะยื่นมือเข้าช่วยเหลืออีกเลย
ริมฝีปากบางเฉียบขยับเอ่ย "ท่านจงนอนรอความตายอยู่ตรงนั้นเถิด ท่านทิ้งข้าแล้วหนหนึ่ง ยามนี้ข้าจะเลือกหมางเมินท่านบ้าง หึ!"
ฟู่ซูหนิงหยัดกายยืนขึ้นด้วยความทุลักทุเล ตะกร้าสานซึ่งเต็มไปด้วยพืชสมุนไพรถูกยกขึ้นสะพายบนบ่า ร่างระหงเดินตุปัดตุเป๋ออกจากถ้ำด้วยจิตใจอันล่องลอย สมองของนางเฝ้าตบตีกันซ้ำไปซ้ำมาข้าจะทิ้งให้เขาตายตรงนี้จริงน่ะหรือแต่หากข้าช่วยเขาทุกอย่างก็ต้องวนกลับมาซ้ำรอยเดิม ใครจะอยากถูกตัดศีรษะซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่รู้หรือว่ามันเจ็บเพียงใดฟู่ซูหนิงจึงไม่คิดสนใจบุรุษตรงหน้าอีก ทว่าจิตใจของนางช่างรู้สึกเจ็บปวดเหลือเกิน ยามนี้เขาก็เป็นเพียงชายหนุ่มวัยแรกรุ่นผู้หนึ่ง นางจะใจจืดใจดำทิ้งเขาได้ลงคอเชียวหรือแต่แล้วฟู่ซูหนิงก็ตัดสินใจทิ้งเขาไว้เบื้องหลังในที่สุด ขาเรียวค่อย ๆ เยื้องย่างห่างออกไปกระทั่งหอบสังขารกลับมาถึงจวนไม้ไผ่กลางหุบเขา ร่างระหงก็ฟุบลงด้วยความเหนื่อยล้า"หนิงเอ๋อร์!"หญิงชรารุดประคองเรือนร่างอันโรยแรงของหลานสาวด้วยอาการตื่นตระหนกริมฝีปากซีดขาวเผยรอยยิ้มเบาบาง "ท่านยาย หนิงเอ๋อร์กลับมาแล้วเจ้าค่ะ"จู่ ๆ น้ำสีใสก็ไหลพรากลงตรงหางตา นานเหลือเกินที่ฟู่ซูหนิงจากหุบเขาร้อยโอสถไป นางคิดว่าชาตินี้คงมิได้กลับมาทดแทนคุณของท่านตาท่านยายเสียแล้ว ช่างคิดถึง คิดถึงชีวิตอันแสนเรียบง่ายเช่นนี้เหลือเกินท่า
"ท่านตา...ท่านช่วยเขาหรือเจ้าคะ" "ใช่ ตาช่วยเขาเอง พ่อหนุ่มนี่นอนหมดสติตากฝนอยู่ผู้เดียว ดูเหมือนร่างกายได้รับพิษเสียด้วย อีกอย่างเขายังไม่ถึงคราวตาย" "ท่านตาเจ้าคะ แต่เขาเป็น..." ฟู่ซูหนิงมิได้เอ่ยประโยคถัดไป นางก้มหน้างุดแทบหลั่งน้ำตา นิ้วโป้งสาละวนขึ้นลงพลางเหลือบมองผู้ป่วยบนเตียงด้วยอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เหตุใดข้าต้องโล่งอกด้วยนะ เฮ้อ.. "หนิงเอ๋อร์ เป็นอะไรของเจ้า"ฟู่ซูหนิงยังคงก้มหน้าอยู่เช่นนั้น ต่อให้อธิบายไปก็คงไม่มีใครเชื่อ ว่าบุรุษผู้นี้เปรียบดั่งพญามัจจุราชที่กำลังเข้ามาช่วงชิงชีวิตอันแสนสงบสุขไปจากนางตลอดกาล เจ้าของร่างสูงเบื้องหน้าฟู่ซูหนิงยามนี้คือองค์ชาย'ฉืออิ้งเทียน'แห่งแคว้นซีฮัน อีกไม่นานเขาจะได้รับตำแหน่งชินอ๋องด้วยอายุเพียงสิบแปดปี ชาติก่อนฉืออิ้งเทียนถูกลอบทำร้ายด้วยยาพิษเสียจนดวงตาใกล้มืดบอด ฉืออิ้งเทียนซัดเซพเนจรและได้บังเอิญผ่านมาถึงหุบเขาร้อยโอสถ ทั้งที่ด้านนอกมีค่ายกลขวางกั้นทว่าชายหนุ่มกลับข้ามผ่านเข้ามาได้อย่างน่าอัศจรรย์ ดูเหมือนสวรรค์จงใจส่งองค์ชายผู้นี้เข้ามาเพื่อทดสอบชีวิตรักช้ำของฟู่ซูหนิง หลังจากช่วยเหลือเขาจนหายดี นานวันเข้าความรักระหว่างช
ฟู่หรง "อ้าว หนิงเอ๋อร์ ไม่พักหรือ ออกมาทำไมเล่า"ฟู่ซูหนิงส่ายศีรษะ "ท่านยายเจ้าคะ ให้ข้าเป็นคนรักษาเขาได้หรือไม่"ประจวบเหมาะกับที่ต่งควนเดินเข้ามา "ไหนเจ้าบอกจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไรเล่า"จริงดังว่า นางไม่อยากข้องเกี่ยวกับเขาสักเสี้ยว ทว่าฟู่ซูหนิงประสงค์ให้ฉืออิ้งเทียนออกจากหุบเขาร้อยโอสถโดยเร็วต่างหาก โอกาสครั้งนี้ฟู่ซูหนิงขอเลือกเป็นหมอหญิงไร้สามารถ มิขออาจเอื้อมก้าวเข้าสู่รั่ววังชั่วชีวิต"ท่านตาสอนข้าเอง ยามเมื่อเราเห็นคนลำบากก็ต้องรู้จักยื่นมือเข้าช่วยเหลือมิใช่หรือเจ้าคะ อีกอย่างข้าจะได้พัฒนาฝีมือการแพทย์ของตนเองด้วยเจ้าค่ะ"ฟู่หรงอมยิ้ม มือเหี่ยวย่นลูบไล้เส้นผมสีดำขลับของหลานด้วยความเอ็นดูยิ่ง "ในที่สุดหลานยายก็โตเสียที"ฟู่ซูหนิงยิ้มแฉ่ง ทว่าภายในใจช่างฝืดฝืนเหลือทน "ท่านตาท่านยายสอนมาดีอย่างไรเจ้าคะ""หนาว หนาวเหลือเกิน อย่าทิ้งข้าไป..." เสียงทุ้มแหบพร่าสั่นเครือดังขึ้นตัดบทสนทนา"ท่านตา ข้าดูแลเขาเองเจ้าค่ะ"ชายชราชะงักฝีเท้าลง "แน่ใจหรือ"ฟู่ซูหนิงพยักหน้าหงึกหงัก "เจ้าค่ะ ท่านอย่าลืมว่าหลานของท่านอัจฉริยะเชียวนะเจ้าคะ ท่านลืมแล้วหรือ ว่าข้าท่องตำราการแพทย์ได้
เป็นเวลากว่าสองสัปดาห์ที่ฉืออิ้งเทียนได้รับการรักษาจากฟู่ซูหนิง ยามนี้อาการบาดเจ็บที่เรือนร่างหายเป็นปลิดทิ้ง ทว่าดวงตายังคงพร่าเบลอไม่ชัดเจน "ต้องขอบคุณท่านหมอที่ช่วยดูแลข้าในทุกวัน ลำบากท่านแล้ว" การเรียกขานฟู่ซูหนิงของเขาเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ฉืออิ้งเทียนรับรู้ได้ว่าแม้นางเป็นหลานของผู้มีพระคุณที่เก็บตนกลับมา แต่จากวิธีการดูแลรักษาของนาง ฟู่ซูหนิงคงนับเป็นหมอหญิงที่มีฝีมือเก่งกาจไม่ต่างกัน มิเช่นนั้นผู้ที่นางเรียกว่าท่านตาคงไม่ปล่อยให้ฟู่ซูหนิงดูแลเขาอย่างใกล้ชิดเพียงลำพัง "ท่านไม่ต้องเกรงใจ อีกสองชั่วยามเราจะออกไปข้างนอกกัน" ฟู่ซูหนิงเก็บอุปกรณ์การแพทย์ ถ้วยยา และผ้าเปียกชื้นซึ่งใช้ทำความสะอาดเรือนกายของชายหนุ่มไปพลางเอ่ยไปพลาง ทว่ามิได้จับจ้องใบหน้าบุรุษฝั่งตรงข้าม เดิมทีการเป็นแพทย์ล้วนเคยเห็น ได้สัมผัสเรือนร่างทั้งชายและหญิงมาจนนับไม่ถ้วน ทว่ายามที่ฟู่ซูหนิงต้องปรนนิบัติเขาในแต่ละครั้งกลับรู้สึกว่าตนเก้อกระดากอยู่ไม่น้อย "เราจะไปที่ใด ในเมื่อข้ายังมองไม่เห็นเช่นนี้ อาจทำให้ท่านหมอลำบาก" "ส่งท่านกลับ" "กลับหรือ? แต่ดวงตาของข้ายัง..." "คุณชายอิ้งเทียนไม่ต้องเป็นกังวลเจ้าค่ะ ข้า
"ท่านตา ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ ยามนี้ร่างกายเขาแข็งแรงม๊ากมาก…ส่วนเรื่องดวงตา แค่มีเทียบยาและวิธีการดูแลให้ญาติของเขาก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือ หากรั้งเขาไว้นานญาติของเขาอาจร้อนใจ กระทั่งพลิกแผ่นดินหาก็เป็นได้นะเจ้าคะ" ฟู่ซูหนิงกะพริบตาปริบ ๆต่งควนมันเขี้ยวจึงเคาะกบาลนางไปหนหนึ่ง ฟู่ซูหนิงยกมือลูบศีรษะตนป้อย ๆ "ท่านตาเจ้าคะ หนิงเอ๋อร์ทำอะไรผิดงั้นหรือ" ฟู่ซูหนิงเหลียวมองฟู่หรงหมายขอความช่วยเหลือ ทว่าอีกฝ่ายกลับส่ายศีรษะ"ตาเคยสอนเจ้าว่าอย่างไร ช่วยคนต้องช่วยให้ถึงที่สุดมิใช่หรือ"ฟู่ซูหนิงถลาเข้าซบอกผู้เป็นตา พลางเอ่ยเว้าวอน หากไม่แสร้งว่านอนสอนง่ายแผนของนางต้องพังทลายแน่แท้ "ท่านตาเจ้าคะ หนิงเอ๋อร์รู้ดีเรื่องที่ท่านสอนไว้เสมอ แต่หากท่านหายออกจากบ้านไปเป็นแรมเดือน ข้ากับท่านยายก็ต้องร้อนใจเช่นกัน ท่านยายว่าหรือไม่เจ้าคะ" ฟู่ซูหนิงหันมองผู้เป็นยายเพื่อขอความเห็น ฟู่หรงก็อดใจอ่อนเป็นมิได้"ก็จริงเช่นหลานว่า"ฟู่ซูหนิงยิ้มกว้างอวดฟันเรียงสวย จากนั้นปรับน้ำเสียงให้อ่อนหวานดังเดิม "ท่านตาเจ้าคะ…เขาเป็นบุรุษตัวใหญ่โต ได้ยาดีจากหมอเทวดาเช่นท่าน เหตุใดต้องกังวลใจถึงเพียงนั้น ให้หนิงเอ๋อร์ไปส่งเขาเถอ
"อ๊ะ! นี่ นี่ ท่านเดินระวังหน่อยไม่ได้หรือไร ชนแล้ว ๆ" ฟู่ซูหนิงยกมือคลึงขมับวันนี้นางจะเดินทางไปถึงตัวเมืองหรือไม่ ไฉนเขาเอาแต่เดินเปะปะชนโน่นชนนี่อยู่เรื่อย หรือดวงตาของเขายามนี้กลายเป็นบอดสนิทไปแล้วกันเล่า"ขออภัยท่านหมอ ข้ามองไม่เห็นจริง ๆ""ท่านหยุด ไม่ต้องเดินต่อแล้ว เดินส่งเดชเช่นนี้สามวันก็ไม่ถึงหรอกเจ้าค่ะ"ฉืออิ้งเทียนหยุดฝีเท้าลงทันควัน ริมฝีปากได้รูปยกโค้งจาง ๆ แผนล่อหลอกเพื่อประวิงเวลาสัมฤทธิผลเสียทีฟู่ซูหนิงยกมือแกร่งคล้องลำคอด้วยความจำใจ นอกจากกลิ่นกายหอมกรุ่นดุจบุปผาต้องหยาดฝนของสตรีข้างกาย เส้นทางนี้ยังผสานด้วยกลิ่นอายหอมจรุงจากพืชพรรณโอสถ เพราะยามรบล้วนต้องผ่านการวางแผนและการฝึกฝนมามากจึงทำให้เขาสามารถแยกแยะรูป รส กลิ่น เสียงได้เป็นอย่างดีดอกไห่ถัง หอมยิ่งนัก เครื่องหอมของนางก็คงมาจากบุปผาชนิดนี้"คุณชายอิ้งเทียน ดวงตาท่านมองไม่ชัด แต่ขาของท่านยังสามารถใช้งานได้อยู่กระมัง"ฉืออิ้งเทียนพยักหน้า"เช่นนั้นข้าจะพยุงท่านแล้วเดินไปพร้อมกัน
ฟู่ซูหนิงแหงนหน้าขึ้นแช่มช้า ก็ประสานเข้ากับดวงตาขมึงถึงของบุรุษร่างใหญ่ล่ำบึ้ก"นี่! เจ้าหน้าอ่อน เดินไม่ดูตาม้าตาเรือหรืออย่างไร อยากตายงั้นรึ"อาเป่าถลันเข้ามาค้อมศีรษะขอโทษขอโพยพัลวัน "นายท่าน ต้องขออภัยจริง ๆ ขอรับ นี่เป็นท่านหมอมาส่งผู้ป่วยเท่านั้น ได้โปรดละเว้นด้วย"ชายฉกรรจ์ถ่มถุยน้ำลายลงบนพื้นด้วยท่าทีหยาบโลน จากนั้นผลักอาเป่าซึ่งเรือนกายผอมแห้งจนล้มลงบนพื้น "เป็นแค่ลูกจ้างกระจอกงอกง่อย อย่าริอ่านมาต่อรองกับข้า รู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร"ฟู่ซูหนิงเหลืออดพลันขบฟันกรอด มือเรียวกำหมัดแน่นเสียจนกายสั่นเทิ้ม ครั้นยันกายของตนขึ้นได้แล้ว ใบหน้าเกลี้ยงเกลาก็เชิดขึ้นด้วยความโอหัง "เจ้าหมีควาย! กระทั่งตัวเจ้ายังไม่รู้ว่าตนเป็นใคร แล้วผู้อื่นเขาจะรู้ด้วยงั้นรึ สมองหมูจริงเชียว ไฉนต้องมายกตนข่มท่าน รังแกผู้คนไม่สนถูกผิด"ชายร่างกำยำตวัดตามองฉับ จากนั้นคว้าสาบเสื้อของฟู่ซูหนิงจนเท้าลอยเหนือพื้น "เจ้าหน้าอ่อน เจ้าเป็นบุรุษอย่างไร ไยหน้าหวานอ่อนแอคล้ายพวกสตรีไม่มีผิด ปากคอก็เราะรายใช่ย่อย มิรู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ปวกเปียกเช่นนี้ยังกล้าพ่นวาจาดูแคลนข้าอีก!"
"อาเหวิ่น ไยพวกเจ้าทำตัวเสียมารยาทนัก"บุรุษร่างสูงแต่งกายด้วยชุดผ้าไหมสีครามงามสง่า บนศีรษะสวมกวานหยกล้ำค่าลายประณีตมือของเขาถือพัดงาช้างพลางโบกสะบัดแช่มช้าใบหน้าของเขาหล่อเหลาทว่ากลับแฝงไปด้วยกลิ่นอายความกะล่อน ครั้นจะให้เปรียบเทียบกับบุรุษอีกคนที่นั่งสงบนิ่งในยามนี้ ชายหนุ่มทั้งสองก็นับว่ารูปงามไม่น้อยหน้ากันสักกระผีกริ้นหล่อเหลาสูงส่งแล้วอย่างไรหากทำตัวอันธพาลก็มิเท่ากับพวกดูดีเพียงรูปแต่จูบไม่หอมอย่างนั้นหรือ ฟู่ซูหนิงมิได้ใส่ใจผู้มาเยือนนัก ใบหน้าเกลี้ยงเกลายับยู่พลางปัดป่ายเพื่อจัดแจงอาภรณ์ซ้ายขวาชายร่างกำยำรวมถึงลูกน้องที่นอนโอดครวญอยู่บนพื้น ต่างลากสังขารไปหลบหลังบุรุษร่างสูงโปร่ง"นายน้อย เจ้าหนุ่มนี่ทำดวงตาของข้ามืดบอดขอรับ" นักเลงหัวไม้ร่างโตเมื่อครู่ก็คืออาเหวิ่นหรือจินเหวิ่น"หุบปากเสีย ร่างกายก็ใหญ่โตกว่าเขาตั้งหลายเท่า ไยขี้ฟ้องดุจเด็กสามขวบ รู้ถึงไหนอายถึงนั่น"จินเหวิ่นและลูกน้องเงียบเสียงลงฉับ บ้างกุมท้องบ้างกุมหน้าผาก ทว่าจินเหวิ่นยังปิดตาของตนไว้แน่นใบหน้าพวกเขาแดงก่ำเหยเ
ฟู่ซูหนิงถอนหายใจระอิดระอาตัวโตเสียเปล่าสมองหมูไม่เกินจริง ร้องอย่างกับลาถูกเชือด"ซื่อจื่อ ข้าจะบอกท่านให้ ว่านั่นมิใช่ยาพิษสักนิด ท่านเลิกให้ลูกน้องร่างยักษ์ร้องโอดโอยเป็นหมูถูกเชือดเสียที ผงผัดหน้าธรรมดาไม่รู้จักหรือไร เคืองเล็กน้อยก็ตีโพยตีพายยกใหญ่"ฉืออิ้งเทียนส่ายศีรษะพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นยกชาขึ้นจิบอย่างใจเย็น ที่แท้ฟู่ซูหนิงก็มีอุบายเช่นคาดเดาไม่มีผิด นางสามารถทำให้ผู้อื่นอกสั่นขวัญแขวนกันเป็นแถบ ช่างเป็นสตรีตัวแสบไม่เบาทีเดียวได้ยินเช่นนั้นจินเหวิ่นจึงลดฝ่ามือลงแช่มช้า พลันกะพริบตาสองสามคราก็พบว่าตนเพียงระคายเคืองเล็กน้อยเท่านั้น จินเหวิ่นยิ้มแหยเฉกเช่นเด็กน้อยกำลังถูกมารดาดุ ช่างไม่รับกับสีหน้าอันเกรี้ยวกราดนั่นเสียเลย มองดูก็อุจาดตาพิกลเหอหยางส่ายศีรษะเพราะรู้สึกขายหน้าเหลือแสน เขากระแอมแก้เก้อ"ขอบคุณน้องชายที่ยั้งมือไว้ไมตรี แต่ว่า..."หมอนี่ช่างขี้สงสัยจริงแท้"นี่ซื่อจื่อ ท่านเป็นไก่หรือไร ตามจิกตามสงสัยข้าอยู่นั่น เดี๋ยวข้าจับตุ๋นทำน้ำแกงเสียเลย"ลูกน
"อาเหวิ่น ไยพวกเจ้าทำตัวเสียมารยาทนัก"บุรุษร่างสูงแต่งกายด้วยชุดผ้าไหมสีครามงามสง่า บนศีรษะสวมกวานหยกล้ำค่าลายประณีตมือของเขาถือพัดงาช้างพลางโบกสะบัดแช่มช้าใบหน้าของเขาหล่อเหลาทว่ากลับแฝงไปด้วยกลิ่นอายความกะล่อน ครั้นจะให้เปรียบเทียบกับบุรุษอีกคนที่นั่งสงบนิ่งในยามนี้ ชายหนุ่มทั้งสองก็นับว่ารูปงามไม่น้อยหน้ากันสักกระผีกริ้นหล่อเหลาสูงส่งแล้วอย่างไรหากทำตัวอันธพาลก็มิเท่ากับพวกดูดีเพียงรูปแต่จูบไม่หอมอย่างนั้นหรือ ฟู่ซูหนิงมิได้ใส่ใจผู้มาเยือนนัก ใบหน้าเกลี้ยงเกลายับยู่พลางปัดป่ายเพื่อจัดแจงอาภรณ์ซ้ายขวาชายร่างกำยำรวมถึงลูกน้องที่นอนโอดครวญอยู่บนพื้น ต่างลากสังขารไปหลบหลังบุรุษร่างสูงโปร่ง"นายน้อย เจ้าหนุ่มนี่ทำดวงตาของข้ามืดบอดขอรับ" นักเลงหัวไม้ร่างโตเมื่อครู่ก็คืออาเหวิ่นหรือจินเหวิ่น"หุบปากเสีย ร่างกายก็ใหญ่โตกว่าเขาตั้งหลายเท่า ไยขี้ฟ้องดุจเด็กสามขวบ รู้ถึงไหนอายถึงนั่น"จินเหวิ่นและลูกน้องเงียบเสียงลงฉับ บ้างกุมท้องบ้างกุมหน้าผาก ทว่าจินเหวิ่นยังปิดตาของตนไว้แน่นใบหน้าพวกเขาแดงก่ำเหยเ
ฟู่ซูหนิงแหงนหน้าขึ้นแช่มช้า ก็ประสานเข้ากับดวงตาขมึงถึงของบุรุษร่างใหญ่ล่ำบึ้ก"นี่! เจ้าหน้าอ่อน เดินไม่ดูตาม้าตาเรือหรืออย่างไร อยากตายงั้นรึ"อาเป่าถลันเข้ามาค้อมศีรษะขอโทษขอโพยพัลวัน "นายท่าน ต้องขออภัยจริง ๆ ขอรับ นี่เป็นท่านหมอมาส่งผู้ป่วยเท่านั้น ได้โปรดละเว้นด้วย"ชายฉกรรจ์ถ่มถุยน้ำลายลงบนพื้นด้วยท่าทีหยาบโลน จากนั้นผลักอาเป่าซึ่งเรือนกายผอมแห้งจนล้มลงบนพื้น "เป็นแค่ลูกจ้างกระจอกงอกง่อย อย่าริอ่านมาต่อรองกับข้า รู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร"ฟู่ซูหนิงเหลืออดพลันขบฟันกรอด มือเรียวกำหมัดแน่นเสียจนกายสั่นเทิ้ม ครั้นยันกายของตนขึ้นได้แล้ว ใบหน้าเกลี้ยงเกลาก็เชิดขึ้นด้วยความโอหัง "เจ้าหมีควาย! กระทั่งตัวเจ้ายังไม่รู้ว่าตนเป็นใคร แล้วผู้อื่นเขาจะรู้ด้วยงั้นรึ สมองหมูจริงเชียว ไฉนต้องมายกตนข่มท่าน รังแกผู้คนไม่สนถูกผิด"ชายร่างกำยำตวัดตามองฉับ จากนั้นคว้าสาบเสื้อของฟู่ซูหนิงจนเท้าลอยเหนือพื้น "เจ้าหน้าอ่อน เจ้าเป็นบุรุษอย่างไร ไยหน้าหวานอ่อนแอคล้ายพวกสตรีไม่มีผิด ปากคอก็เราะรายใช่ย่อย มิรู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ปวกเปียกเช่นนี้ยังกล้าพ่นวาจาดูแคลนข้าอีก!"
"อ๊ะ! นี่ นี่ ท่านเดินระวังหน่อยไม่ได้หรือไร ชนแล้ว ๆ" ฟู่ซูหนิงยกมือคลึงขมับวันนี้นางจะเดินทางไปถึงตัวเมืองหรือไม่ ไฉนเขาเอาแต่เดินเปะปะชนโน่นชนนี่อยู่เรื่อย หรือดวงตาของเขายามนี้กลายเป็นบอดสนิทไปแล้วกันเล่า"ขออภัยท่านหมอ ข้ามองไม่เห็นจริง ๆ""ท่านหยุด ไม่ต้องเดินต่อแล้ว เดินส่งเดชเช่นนี้สามวันก็ไม่ถึงหรอกเจ้าค่ะ"ฉืออิ้งเทียนหยุดฝีเท้าลงทันควัน ริมฝีปากได้รูปยกโค้งจาง ๆ แผนล่อหลอกเพื่อประวิงเวลาสัมฤทธิผลเสียทีฟู่ซูหนิงยกมือแกร่งคล้องลำคอด้วยความจำใจ นอกจากกลิ่นกายหอมกรุ่นดุจบุปผาต้องหยาดฝนของสตรีข้างกาย เส้นทางนี้ยังผสานด้วยกลิ่นอายหอมจรุงจากพืชพรรณโอสถ เพราะยามรบล้วนต้องผ่านการวางแผนและการฝึกฝนมามากจึงทำให้เขาสามารถแยกแยะรูป รส กลิ่น เสียงได้เป็นอย่างดีดอกไห่ถัง หอมยิ่งนัก เครื่องหอมของนางก็คงมาจากบุปผาชนิดนี้"คุณชายอิ้งเทียน ดวงตาท่านมองไม่ชัด แต่ขาของท่านยังสามารถใช้งานได้อยู่กระมัง"ฉืออิ้งเทียนพยักหน้า"เช่นนั้นข้าจะพยุงท่านแล้วเดินไปพร้อมกัน
"ท่านตา ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ ยามนี้ร่างกายเขาแข็งแรงม๊ากมาก…ส่วนเรื่องดวงตา แค่มีเทียบยาและวิธีการดูแลให้ญาติของเขาก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือ หากรั้งเขาไว้นานญาติของเขาอาจร้อนใจ กระทั่งพลิกแผ่นดินหาก็เป็นได้นะเจ้าคะ" ฟู่ซูหนิงกะพริบตาปริบ ๆต่งควนมันเขี้ยวจึงเคาะกบาลนางไปหนหนึ่ง ฟู่ซูหนิงยกมือลูบศีรษะตนป้อย ๆ "ท่านตาเจ้าคะ หนิงเอ๋อร์ทำอะไรผิดงั้นหรือ" ฟู่ซูหนิงเหลียวมองฟู่หรงหมายขอความช่วยเหลือ ทว่าอีกฝ่ายกลับส่ายศีรษะ"ตาเคยสอนเจ้าว่าอย่างไร ช่วยคนต้องช่วยให้ถึงที่สุดมิใช่หรือ"ฟู่ซูหนิงถลาเข้าซบอกผู้เป็นตา พลางเอ่ยเว้าวอน หากไม่แสร้งว่านอนสอนง่ายแผนของนางต้องพังทลายแน่แท้ "ท่านตาเจ้าคะ หนิงเอ๋อร์รู้ดีเรื่องที่ท่านสอนไว้เสมอ แต่หากท่านหายออกจากบ้านไปเป็นแรมเดือน ข้ากับท่านยายก็ต้องร้อนใจเช่นกัน ท่านยายว่าหรือไม่เจ้าคะ" ฟู่ซูหนิงหันมองผู้เป็นยายเพื่อขอความเห็น ฟู่หรงก็อดใจอ่อนเป็นมิได้"ก็จริงเช่นหลานว่า"ฟู่ซูหนิงยิ้มกว้างอวดฟันเรียงสวย จากนั้นปรับน้ำเสียงให้อ่อนหวานดังเดิม "ท่านตาเจ้าคะ…เขาเป็นบุรุษตัวใหญ่โต ได้ยาดีจากหมอเทวดาเช่นท่าน เหตุใดต้องกังวลใจถึงเพียงนั้น ให้หนิงเอ๋อร์ไปส่งเขาเถอ
เป็นเวลากว่าสองสัปดาห์ที่ฉืออิ้งเทียนได้รับการรักษาจากฟู่ซูหนิง ยามนี้อาการบาดเจ็บที่เรือนร่างหายเป็นปลิดทิ้ง ทว่าดวงตายังคงพร่าเบลอไม่ชัดเจน "ต้องขอบคุณท่านหมอที่ช่วยดูแลข้าในทุกวัน ลำบากท่านแล้ว" การเรียกขานฟู่ซูหนิงของเขาเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ฉืออิ้งเทียนรับรู้ได้ว่าแม้นางเป็นหลานของผู้มีพระคุณที่เก็บตนกลับมา แต่จากวิธีการดูแลรักษาของนาง ฟู่ซูหนิงคงนับเป็นหมอหญิงที่มีฝีมือเก่งกาจไม่ต่างกัน มิเช่นนั้นผู้ที่นางเรียกว่าท่านตาคงไม่ปล่อยให้ฟู่ซูหนิงดูแลเขาอย่างใกล้ชิดเพียงลำพัง "ท่านไม่ต้องเกรงใจ อีกสองชั่วยามเราจะออกไปข้างนอกกัน" ฟู่ซูหนิงเก็บอุปกรณ์การแพทย์ ถ้วยยา และผ้าเปียกชื้นซึ่งใช้ทำความสะอาดเรือนกายของชายหนุ่มไปพลางเอ่ยไปพลาง ทว่ามิได้จับจ้องใบหน้าบุรุษฝั่งตรงข้าม เดิมทีการเป็นแพทย์ล้วนเคยเห็น ได้สัมผัสเรือนร่างทั้งชายและหญิงมาจนนับไม่ถ้วน ทว่ายามที่ฟู่ซูหนิงต้องปรนนิบัติเขาในแต่ละครั้งกลับรู้สึกว่าตนเก้อกระดากอยู่ไม่น้อย "เราจะไปที่ใด ในเมื่อข้ายังมองไม่เห็นเช่นนี้ อาจทำให้ท่านหมอลำบาก" "ส่งท่านกลับ" "กลับหรือ? แต่ดวงตาของข้ายัง..." "คุณชายอิ้งเทียนไม่ต้องเป็นกังวลเจ้าค่ะ ข้า
ฟู่หรง "อ้าว หนิงเอ๋อร์ ไม่พักหรือ ออกมาทำไมเล่า"ฟู่ซูหนิงส่ายศีรษะ "ท่านยายเจ้าคะ ให้ข้าเป็นคนรักษาเขาได้หรือไม่"ประจวบเหมาะกับที่ต่งควนเดินเข้ามา "ไหนเจ้าบอกจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไรเล่า"จริงดังว่า นางไม่อยากข้องเกี่ยวกับเขาสักเสี้ยว ทว่าฟู่ซูหนิงประสงค์ให้ฉืออิ้งเทียนออกจากหุบเขาร้อยโอสถโดยเร็วต่างหาก โอกาสครั้งนี้ฟู่ซูหนิงขอเลือกเป็นหมอหญิงไร้สามารถ มิขออาจเอื้อมก้าวเข้าสู่รั่ววังชั่วชีวิต"ท่านตาสอนข้าเอง ยามเมื่อเราเห็นคนลำบากก็ต้องรู้จักยื่นมือเข้าช่วยเหลือมิใช่หรือเจ้าคะ อีกอย่างข้าจะได้พัฒนาฝีมือการแพทย์ของตนเองด้วยเจ้าค่ะ"ฟู่หรงอมยิ้ม มือเหี่ยวย่นลูบไล้เส้นผมสีดำขลับของหลานด้วยความเอ็นดูยิ่ง "ในที่สุดหลานยายก็โตเสียที"ฟู่ซูหนิงยิ้มแฉ่ง ทว่าภายในใจช่างฝืดฝืนเหลือทน "ท่านตาท่านยายสอนมาดีอย่างไรเจ้าคะ""หนาว หนาวเหลือเกิน อย่าทิ้งข้าไป..." เสียงทุ้มแหบพร่าสั่นเครือดังขึ้นตัดบทสนทนา"ท่านตา ข้าดูแลเขาเองเจ้าค่ะ"ชายชราชะงักฝีเท้าลง "แน่ใจหรือ"ฟู่ซูหนิงพยักหน้าหงึกหงัก "เจ้าค่ะ ท่านอย่าลืมว่าหลานของท่านอัจฉริยะเชียวนะเจ้าคะ ท่านลืมแล้วหรือ ว่าข้าท่องตำราการแพทย์ได้
"ท่านตา...ท่านช่วยเขาหรือเจ้าคะ" "ใช่ ตาช่วยเขาเอง พ่อหนุ่มนี่นอนหมดสติตากฝนอยู่ผู้เดียว ดูเหมือนร่างกายได้รับพิษเสียด้วย อีกอย่างเขายังไม่ถึงคราวตาย" "ท่านตาเจ้าคะ แต่เขาเป็น..." ฟู่ซูหนิงมิได้เอ่ยประโยคถัดไป นางก้มหน้างุดแทบหลั่งน้ำตา นิ้วโป้งสาละวนขึ้นลงพลางเหลือบมองผู้ป่วยบนเตียงด้วยอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เหตุใดข้าต้องโล่งอกด้วยนะ เฮ้อ.. "หนิงเอ๋อร์ เป็นอะไรของเจ้า"ฟู่ซูหนิงยังคงก้มหน้าอยู่เช่นนั้น ต่อให้อธิบายไปก็คงไม่มีใครเชื่อ ว่าบุรุษผู้นี้เปรียบดั่งพญามัจจุราชที่กำลังเข้ามาช่วงชิงชีวิตอันแสนสงบสุขไปจากนางตลอดกาล เจ้าของร่างสูงเบื้องหน้าฟู่ซูหนิงยามนี้คือองค์ชาย'ฉืออิ้งเทียน'แห่งแคว้นซีฮัน อีกไม่นานเขาจะได้รับตำแหน่งชินอ๋องด้วยอายุเพียงสิบแปดปี ชาติก่อนฉืออิ้งเทียนถูกลอบทำร้ายด้วยยาพิษเสียจนดวงตาใกล้มืดบอด ฉืออิ้งเทียนซัดเซพเนจรและได้บังเอิญผ่านมาถึงหุบเขาร้อยโอสถ ทั้งที่ด้านนอกมีค่ายกลขวางกั้นทว่าชายหนุ่มกลับข้ามผ่านเข้ามาได้อย่างน่าอัศจรรย์ ดูเหมือนสวรรค์จงใจส่งองค์ชายผู้นี้เข้ามาเพื่อทดสอบชีวิตรักช้ำของฟู่ซูหนิง หลังจากช่วยเหลือเขาจนหายดี นานวันเข้าความรักระหว่างช
ฟู่ซูหนิงหยัดกายยืนขึ้นด้วยความทุลักทุเล ตะกร้าสานซึ่งเต็มไปด้วยพืชสมุนไพรถูกยกขึ้นสะพายบนบ่า ร่างระหงเดินตุปัดตุเป๋ออกจากถ้ำด้วยจิตใจอันล่องลอย สมองของนางเฝ้าตบตีกันซ้ำไปซ้ำมาข้าจะทิ้งให้เขาตายตรงนี้จริงน่ะหรือแต่หากข้าช่วยเขาทุกอย่างก็ต้องวนกลับมาซ้ำรอยเดิม ใครจะอยากถูกตัดศีรษะซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่รู้หรือว่ามันเจ็บเพียงใดฟู่ซูหนิงจึงไม่คิดสนใจบุรุษตรงหน้าอีก ทว่าจิตใจของนางช่างรู้สึกเจ็บปวดเหลือเกิน ยามนี้เขาก็เป็นเพียงชายหนุ่มวัยแรกรุ่นผู้หนึ่ง นางจะใจจืดใจดำทิ้งเขาได้ลงคอเชียวหรือแต่แล้วฟู่ซูหนิงก็ตัดสินใจทิ้งเขาไว้เบื้องหลังในที่สุด ขาเรียวค่อย ๆ เยื้องย่างห่างออกไปกระทั่งหอบสังขารกลับมาถึงจวนไม้ไผ่กลางหุบเขา ร่างระหงก็ฟุบลงด้วยความเหนื่อยล้า"หนิงเอ๋อร์!"หญิงชรารุดประคองเรือนร่างอันโรยแรงของหลานสาวด้วยอาการตื่นตระหนกริมฝีปากซีดขาวเผยรอยยิ้มเบาบาง "ท่านยาย หนิงเอ๋อร์กลับมาแล้วเจ้าค่ะ"จู่ ๆ น้ำสีใสก็ไหลพรากลงตรงหางตา นานเหลือเกินที่ฟู่ซูหนิงจากหุบเขาร้อยโอสถไป นางคิดว่าชาตินี้คงมิได้กลับมาทดแทนคุณของท่านตาท่านยายเสียแล้ว ช่างคิดถึง คิดถึงชีวิตอันแสนเรียบง่ายเช่นนี้เหลือเกินท่า