พิธีปักปิ่นอันใด?พิธีปักปิ่นของยางผ่านไปนานแล้วไม่ใช่หรือ?ความอัปยศที่ได้รับในพิธีปักปิ่นเวลานั้น นางยังคงได้จำได้จนถึงทุกวันนี้เสียงหัวเราะเยาะของแขกทั้งหลาย การเยาะเย้ยถากถางของพี่ชาย การถอนหมั้นของคู่หมั้น รวมไปถึงการตำหนิของบิดามารดา...นางเคยผ่านสถานการณ์เช่นนั้นมาแล้วครั้งหนึ่งทว่าตอนนี้ เหตุใดถึงเป็นพิธีปักปิ่นอีกเล่า? หรือว่าเวินเยวี่ยจะเล่นปาหี่ใหม่อะไรอีก อยากให้นางอับอายขายหน้าอีกครั้งแล้วค่อยส่งนางไปตายหรือ?!เวินซื่อหายใจถี่กระชั้นขึ้นในพริบตาแต่ในตอนที่นางกำลังจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ สายตาของนางกลับหยุดชะงักไปทันทีเดี๋ยวก่อน! นางเบิกตาโต จ้องมองมือสองข้างที่สมบูรณ์ไร้บาดแผลของตัวเอง แล้วก้มหน้ามองขาเท้าสองข้างของตัวเองทันที ใบหน้าค่อย ๆ ฉายแววเหมือนไม่อยากจะเชื่อมือและเท้าของนางถูกทำลายจนพิการไปแล้วไม่ใช่หรือ?เหตุใดตอนนี้กลับหายดีหมดแล้ว?นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?ควรรู้เอาไว้ว่าเอ็นมือเอ็นเท้าของนางถูกตัดจนขาดหมดแล้ว ไม่มีทางฟื้นฟูกลับมาได้อีก!เวินซื่อที่ตระหนักได้ถึงความผิดปกติจึงค่อย ๆ หันหน้ากลับมามองห้องนี้อีกครั้งเป็นการตกแต่งทั้งหมดที่ค่อย ๆ
เด็กสาวที่นั่งอยู่หน้ากระจกแต่งหน้า ไม่มีสาวใช้ปรนนิบัติ ทำได้เพียงหวีผมให้ตัวเอง นางมองเขาแวบหนึ่งแล้วข่มกลั้นความรู้สึกสะอิดสะเอียนไว้ ร้องเรียกอย่างเฉยชาว่า “พี่รอง”เวินจื่อเฉินที่บุกเข้ามาถลึงตาใส่เวินซื่อด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยโทสะ “ข้าขอถามเจ้า เจ้าทำลายชุดพิธีการของน้องหกใช่หรือไม่? เหตุใดจิตใจของเจ้าถึงชั่วร้ายเพียงนี้? รู้อยู่แก่ใจว่าวันนี้ก็เป็นพิธีปักปิ่นของน้องหก เจ้ายังจะทำลายชุดพิธีการของนางอีกหรือ!” ในขณะที่เวินจื่อเฉินซักถามเวินซื่อด้วยอารมณ์รุนแรง คนที่ทำให้เวินซื่อเกลียดชังเข้ากระดูกดำผู้นั้นก็โผล่ศีรษะออกมาจากด้านหลังเวินจื่อเฉินด้วยสีหน้าขอโทษ“พี่รอง อย่าพูดเลยเจ้าค่ะ ข้าอธิบายกับท่านแล้วไม่ใช่หรือ? พี่หญิงห้านางไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ แค่ไม่ระวังเท่านั้นเอง”เวินเยวี่ยมีรูปร่างเพรียวบาง หน้าตาน่ารัก มักจะแสดงสีหน้าอ่อนแออยู่เสมอบวกกับนัยน์ตาที่มีน้ำเอ่อคลอดูขลาดกลัวเหมือนลูกกวาง ใครเห็นจะไม่เกิดความรู้สึกรักเอ็นดูได้?นางเองก็รู้ข้อดีของตนเองจริง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรู้ว่าทุกคนในจวนเจิ้นกั๋วกงรู้สึกติดค้างนางเนื่องจากเวินเยวี่ยเพิ่งจะถูกคนของจวนเจิ้นกั๋วกงต
เวินซื่อที่โซเซจนไปชนกับมุมโต๊ะเครื่องแป้งก็เม้มริมฝีปากแน่น ชาติที่แล้วนางเสียรู้ในน้ำมือของเวินเยวี่ยไปมากมายถึงเพียงนั้น ตอนนี้แค่เห็นเวินเยวี่ยทำท่าทางเช่นนี้ เวินซื่อก็รู้ว่านางจะเล่นตุกติกอะไรอีกแล้วนางหยิบชุดพิธีการที่ร่วงลงพื้นขึ้นมา“ข้าไม่รู้เหมือนกันว่าข้าทำอะไรถึงทำให้น้องหกมีปฏิกิริยายกใหญ่เช่นนี้ ไม่สู้รบกวนน้องหกอธิบายให้ข้าเถิด”“เจ้าทำอะไรไว้เจ้ารู้อยู่แก่ใจ!”ไม่รอให้เวินเยวี่ยเอ่ยวาจา เวินจื่อเฉินก็ตวาดใส่นางเสียงดุดันก่อน แววตาของเวินซื่อเย็นชาขึ้นเรื่อย ๆเมื่อก่อนนางยังดูไม่ออก ตอนนี้นางรู้สึกว่าเวินจื่อเฉินช่างตาบอดจริง ๆอยู่ต่อหน้าต่อตาของเขา ใครทำอะไร ใครไม่ได้ทำอะไร เขามองไม่เห็นเองทั้งนั้นบางทีต่อให้เห็น เขาก็แค่เชื่อคำพูดของคนผู้เดียวเวินจื่อเฉินถลึงตามองเวินซื่ออย่างอำมหิตแวบหนึ่งแล้วตบไหล่เวินเยวี่ยเบา ๆ ปลอบโยนด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “น้องหกไม่ต้องกลัวนะ มีเรื่องอะไรก็บอกกับพี่รอง ไม่ว่าอย่างไร พี่รองก็จะตัดสินแทนเจ้าเอง”ทั้งสองคนมีท่าทางแทบจะใกล้ชิดสนิทสนมกันมากแต่เวินจื่อเฉินกลับเหมือนไม่สังเกตเห็นเลย เขาไม่เก็บงำเลยแม้แต่น้อย ดวงตาที่
“เวินซื่อ เจ้าบ้าไปแล้วหรือ?!”เวินเยวี่ยที่เดิมทียังนึกว่ามีโอกาสแย่งกลับมาก็ร้องเสียงหลงด้วยความตกใจและโกรธเกรี้ยวอารมณ์หวั่นไหวรุนแรงราวกับว่าสิ่งที่เวินซื่อตัดคือชุดของนางเวินซื่อขยับมือไม่หยุด รอยยิ้มบนใบหน้ายังคงไม่แปรเปลี่ยน “ตัดชุดอย่างไรเล่า พี่รองกับน้องหกเห็นแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดต้องมีปฏิกิริยารุนแรงถึงเพียงนี้?”ดวงตาสองข้างของเวินจื่อเฉินพ่นไฟแล้ว “เจ้ายังกล้าถามข้าอีกหรือว่าเหตุใดถึงมีปฏิกิริยารุนแรงเช่นนี้?! ชุดนี้เป็นชุดที่ข้ากับพวกพี่ใหญ่ตั้งใจสั่งทำขึ้นมาเพื่อพิธีปักปิ่นของเจ้า ตอนนี้เจ้ากำลังทำอะไรอยู่? เหตุใดเจ้าต้องตัดมันจนเละด้วย?!” “เพราะว่าไม่มีใครต้องการมันแล้ว”เวินซื่อตัดลงไปดัง “ฉับ” อีกครั้ง “ข้าไม่ต้องการ น้องหกก็ไม่ต้องการ ของที่ไม่มีใครต้องการย่อมต้องจัดการทิ้ง” สีหน้าของนางเย็นชาจนทำให้เวินจื่อเฉินแทบจะรู้สึกแปลกตาใครบอกว่าข้าไม่ต้องการ?!เวินเยวี่ยโกรธจนแทบอยากจะกรีดร้อง นางแค่จงใจบอกปัดเพื่อไม่ให้เวินจื่อเฉินสงสัยเท่านั้นใครจะคิดว่าเวินซื่อกลับเสียสติถึงเพียงนี้?!ทั้ง ๆ ที่นางคิดไว้นานแล้วว่าวันนี้จะต้องสวมชุดพิธีการนี้ให้ได้ แต่ตอ
ผู้ที่มามีรูปร่างสูงสง่าราวกับไผ่สน สวมอาภรณ์เสื้อคลุมสีกรมท่า รูปลักษณ์สง่างาม โฉมหน้าหล่อเหลาชื่อของเขาคือเวินฉางอวิ้น เป็นพี่ใหญ่ของนาง และก็เป็นคุณชายใหญ่ของจวนกั๋วกง“น้องห้า เจ้ารู้ความผิดหรือไม่?” เวินฉางอวิ้นมองเวินซื่อด้วยสายตาเย็นชา ความรู้สึกกดดันที่แผ่ลงมาจากด้านบนทำให้เวินซื่อแทบหายใจไม่ออกนิดหน่อย เมื่อก่อนนางโง่งม คิดเพียงว่าเวินฉางอวิ้นรูปร่างสูงใหญ่ ถึงมอบความรู้สึกน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ให้นาง ทว่าต่อมาจนกระทั่งเมื่อนางเห็นกับตาว่าเวินฉางอวิ้นก้มตัว ก้มหน้าให้สายตาอยู่ระดับเดียวกับเวินเยวี่ยเพียงเพื่อรับฟังความคับข้องใจจากปากของนาง เวินซื่อถึงได้เข้าใจว่าที่แท้ตนเองเป็นเพียงคนชั้นล่างที่ไม่เคยอยู่ในสายตาของพี่ใหญ่ “ข้าไม่เข้าใจคำพูดของพี่ใหญ่ ไม่ทราบว่าข้ามีความผิดอันใด ขอพี่ใหญ่โปรดชี้แจงด้วย”ไม่ใช่ว่าเวินซื่อไม่เห็นชุดพิธีการที่เขาถืออยู่ในมือ ดังนั้นไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเขามาเพราะเหตุใด แต่แล้วอย่างไรเล่า?ไม่ถามสักคำ มาถึงก็อยากให้นางยอมรับความผิด?มีสิทธิอันใด?เวินฉางอวิ้นทำสายตาเย็นชา แต่สายตาของเวินซื่อกลับเย็นชายิ่งกว่าเขา เวินฉางอวิ้นขมวดค
ชุยเส้าเจ๋อก้าวเท้าเดินมาทางเวินซื่อ ท่าทางดูเกรี้ยวกราดหมายจะหาเรื่องเมื่อมองไปทางด้านหลังของเขาอีกก็เห็นเวินเยวี่ยอ้าปากพูดว่า “อย่าเลย” ด้วยความหวาดกลัว แต่ไม่ได้ทำท่าจะฉุดรั้งชุยเส้าเจ๋อเลยสักนิดหลังจากที่สบสายตาของเวินซื่อ ดวงตาของนางถึงขนาดฉายแววกระหยิ่มยิ้มย่องเห็นได้ชัดว่าการที่นางสามารถยุให้ชุยเส้าเจ๋อออกหน้าเพื่อนางได้ง่าย ๆ นั้นทำให้นางภาคภูมิใจเอามาก ๆแต่ว่าน่าเสียดายมาก ยังไม่ทันที่ชุยเส้าเจ๋อจะเดินเข้ามาใกล้เวินซื่อ เสียงทุ้มหนึ่งดังมาจากทางด้านปะรำพิธี...“เจ้าห้า เจ้าหก ถึงฤกษ์งามยามดีแล้ว ยังไม่รีบมาเตรียมตัวทำพิธีปักปิ่นอีก” เวินซื่อหันหน้าไปมองบนปะรำพิธี บุรุษวัยกลางคนสวมชุดเสื้อคลุมยาวสีเขียวดูสง่าผ่าเผยเปี่ยมไปด้วยความรู้กำลังนั่งอยู่ตำแหน่งประธาน มองพวกนางสองคนด้วยสีหน้าเย็นชานี่คือบิดาของนาง เจิ้นกั๋วกงเวินเฉวียนเซิ่งเวลานี้ต่อให้ชุยเส้าเจ๋ออยากหาเรื่องนางอีกเพียงใด ก็ได้แต่ถอยหลังไปเท่านั้นเวินซื่อเดินขึ้นไปบนปะรำพิธีโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อเวินซื่อขึ้นมาบนปะรำพิธีก็ควงแขนนางด้วยใบหน้ายิ้มแย้มราวกับบุปผา จงใจทำตัวสนิทสนม“พี่หญิงห้
เมื่อเวินฉางอวิ้นเดินขึ้นมาบนปะรำพิธี สายตาทอดมองไปที่น้องสาวทั้งสองคน เดิมทียังลังเลอยู่บ้างแต่เมื่อสบสายตาคาดหวังของเวินเยวี่ย เขาก็คลายหัวคิ้วในพริบตาหัวเราะอย่างไม่มีทางเลือกช่างเถิด หากจะโทษก็ได้แต่โทษน้องห้าที่ไม่ได้รับความชื่นชอบเองใครใช้ให้นางมีนิสัยอิจฉาริษยา ไม่ยอมให้น้องหกเลยสักนิดเล่าดังนั้นเวินฉางอวิ้นจึงไม่ลังเลอีกต่อไป เดินผ่านหน้าเวินซื่อแล้วยื่นดอกไม้ให้เวินเยวี่ยจากนั้นก็เป็นเวินจื่อเฉิน เวินจื่อเยวี่ย เวินอวี้จือ...รวมถึงคนสกุลเวิน ทุกคนต่างก็มอบดอกไม้ให้เวินเยวี่ย ก็เหมือนกับชาติที่แล้ว...เวินซื่อผู้โดดเดี่ยวกับเวินเยวี่ยที่ล้อมรอบไปด้วยดอกไม้สดและคำอวยพรเวินซื่อไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย ถึงอย่างไรนางก็รู้ผลสรุปเช่นนี้มานานแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่คาดหวังใด ๆ อีกต่อไปอย่างแน่นอนหลังจากคนเหล่านั้นก็เป็นชุยเส้าเจ๋อ เทียบกับดอกไม้หนึ่งดอกที่คนอื่นมอบให้แล้ว เขาหอบดอกไม้บานหลากสีสันกำใหญ่เต็ม ๆ ไม่มองเวินซื่อสักแวบเดียว ก่อนจะยัดใส่อ้อมแขนของเวินเยวี่ยโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย“น้องเยวี่ยเอ๋อร์ ดอกฉยงฮวาอวยพรวันเกิด ดนตรีเสียงสวรรค์ห้อมล้อมคว
“ไม่ได้นะ!”“ไม่มีทาง!” แค่คำสาบานเดียวเท่านั้น เดิมที่นึกว่าชุยเส้าเจ๋อน่าจะรับปากได้ แต่ใครก็คิดไม่ถึงว่าชุยเส้าเจ๋อจะมีปฏิกิริยารุนแรงถึงเพียงนั้นสิ่งที่แปลกประหลาดยิ่งกว่านั้นคือ คนที่มีปฏิกิริยารุนแรงเช่นเดียวกันยังมีอีกคน“น้องหก?” พวกเวินฉางอวิ้นมองไปทางเวินเยวี่ยด้วยความประหลาดใจ เวินเยวี่ยมีสีหน้าแข็งทื่อเมื่อตระหนักได้ว่าเมื่อครู่นี้นางยั้งสติไม่อยู่มากเกินไป นางจึงรีบเก็บงำอารมณ์ ฝืนยิ้มมุมปากพลางเอ่ยว่า “ไม่ใช่นะ...คือว่า ข้า...ข้าแค่รู้สึกว่าเงื่อนไขที่พี่หญิงเสนอออกมานี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยเหมาะสมมากนัก หะ...หากต่อไปพี่เส้าเจ๋อเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาเล่า? ดังนั้น พี่หญิงเหลือทางถอยให้ตนเองหน่อยไม่ดีกว่าหรือ?”เวินฉางอวิ้นผู้เป็นพี่ใหญ่ขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกว่าคำพูดนี้ของนางดูแปลกพิกลนิด ๆเวินจื่อเยวี่ยผู้เป็นพี่สามไม่มีปฏิกิริยาอะไรเวินอวี้จือผู้เป็นพี่สี่กลับมองเวินเยวี่ยและมองชุยเส้าเจ๋ออย่างใคร่ครวญ เทียบกับพวกเขาแล้ว เวินจื่อเฉินผู้เป็นพี่รองเชื่อในตัวเวินเยวี่ยโดยสิ้นเชิงว่ามีจิตใจบริสุทธิ์ เขาจึงไม่ได้คิดมากมายเช่นนั้น “พอได้แล้วน้องหก ข้ารู้ว่าเจ้าเป
“อาซื่อ!”ดวงตาของหลินเนี่ยนฉือเป็นประกายขึ้นมาทันที พุ่งตัวเข้าไปหาเวินซื่อซึ่งกำลังก้าวเท้าเดินเข้ามาด้วยความดีใจ“อ๊ะ เดี๋ยวก่อน!”พอเวินซื่อเห็นท่าทางยกมือของนาง ก็พลันนึกบางอย่างขึ้นมาได้ สีหน้าจึงเปลี่ยนไปวินาทีต่อมา นางยังไม่ทันได้ห้าม ก็ถูกหลินเนี่ยนฉือคว้าเอวแล้วยกตัวขึ้นกอด จากนั้นก็หมุนตัวอยู่กับที่หลายรอบ จนเวินซื่อตาลาย“ฮ่าๆ ฮ่าๆ อาซื่อ ในที่สุดก็ได้เจอเจ้าแล้ว! แยกกันนานขนาดนี้ข้าคิดถึงเจ้าใจจะขาดแล้ว เจ้าคิดถึงข้าบ้างหรือไม่ รีบพูดเร็วเข้า ถ้าไม่พูดข้าจะไม่ปล่อยเจ้าลง!”ความรู้สึกที่คุ้นเคย คนที่คุ้นเคยเวินซื่อโอบคอของหลินเนี่ยนฉือไว้ รีบเอ่ยขึ้น “คิดถึง คิดถึงสิ ต้องคิดถึงเจ้าอยู่แล้ว ดังนั้นรีบปล่อยข้าลงเถอะ หากเจ้าหมุนอีกสักสองรอบ ข้าได้อาเจียนออกมาจริงๆ แน่!”ปรากฏว่าหลินเนี่ยนฉือกลับหัวเราะเสียงดังพลางกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นก็หมุนอีกรอบ!”จากนั้นก็ยกเวินซื่อขึ้นหมุนอีกรอบหนึ่งด้วยความตื่นเต้น ไม่มากไม่น้อย กำลังพอดีทำให้นางพอใจ หมุนจนนางเวียนหัวตอนที่เท้าของเวินซื่อเหยียบลงถึงพื้น ขาก็อ่อนแรงไปหมดไม่ได้ถูกหลินเนี่ยนฉือจับหมุนเช่นนี้มานานแล้ว พอจู่ๆ ต
เมื่อก่อนมักจะมีคนพูดว่าเวินจื่อเยวี่ยนิสัยไม่ดี เป็นเพราะเขาและพี่รองซึ่งเป็นพี่ชายฝาแฝดของเขาถึงแม้จะหน้าตาเหมือนกัน แต่นิสัยกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงคนหนึ่งอารมณ์ร้อน ส่วนอีกคนกลับดูเศร้าหมองอยู่บ้างเมื่อก่อนนางแค่คิดว่าอาจเป็นเพราะรูปลักษณ์ภายนอก อย่างไรเสีย ระหว่างเขากับเวินจื่อเฉินสองคนนั้น ก็มีดวงตาคู่หนึ่งที่แตกต่างกันดวงตาคู่นั้นเวลาที่มองไปยังผู้อื่น มักจะมีความรู้สึกมืดมนอย่างอธิบายไม่ถูกออกมาเสมอ เมื่อก่อนนางยังไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรแต่ตอนนี้ เมื่อดวงตาอันมืดมนคู่นั้นมองมาที่นาง หลินเนี่ยนฉือก็พลันบังเกิดความรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันทีโดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่ได้รู้ว่าเวินจื่อเยวี่ยทำเรื่องเหลวไหลมากมายถึงเพียงนั้น ทั้งยังคงมีท่าทีเชื่อมั่นว่าตนเองถูกต้อง หลินเนี่ยนฉือมีอยู่ชั่วขณะหนึ่งที่รู้สึกราวกับว่าตนเองแทบจะไม่รู้จักเวินจื่อเยวี่ยแล้ว“พอแล้ว ข้าไม่อยากจะพูดจาไร้สาระกับท่านอีกต่อไปแล้วจริงๆ เวินจื่อเยวี่ย”หลินเนี่ยนฉือข่มความรู้สึกไม่สบายใจนั้นไว้ ขมวดคิ้วพลางเอ่ยขึ้น “ท่านทำตัวให้มันเด็ดขาดสมเป็นลูกผู้ชายหน่อยได้หรือไม่? หากไม่อยากถอนหมั้นกับข้า ก็ให้
“ท่านไม่เห็นด้วยก็ช่วยไม่ได้”หลินเนี่ยนฉือแค่นเสียงหัวเราะเยาะเบาๆ “ข้าไม่ได้มาเพื่อแจ้งให้ท่านทราบ เวินจื่อเยวี่ย”“ด้านล่างของหนังสือสัญญาหมั้นหมายคือหนังสือถอนหมั้น รอยนิ้วมือของข้าอยู่บนนั้น ถ้าเจ้าฉลาดพอ ก็ประทับรอยนิ้วมือลงไปเสีย นับจากนี้ไปเราสองคนต่างคนต่างอยู่ ข้าจะไปหาน้องหญิงอาซื่อของข้า ส่วนท่านก็ปกป้องน้องสาวบุตรนอกสมรสของท่านต่อไปเถอะ”“หลินเนี่ยนฉือ!”เวินจื่อเยวี่ยเดือดดาลอย่างยิ่ง เขาขยับเท้าหมายจะพุ่งเข้าไปหาหลินเนี่ยนฉือพรึ่บ!องครักษ์สองคนที่ถือดาบตรงเข้ามาขวางหน้าเวินจื่อเยวี่ย“ไสหัวออกไปเสีย!”เวินจื่อเยวี่ยถลึงตาใส่องครักษ์ทั้งสองอย่างดุร้าย “หากยังกล้าขวางข้าอีก ระวังข้าจะตัดหัวพวกเจ้าเสีย!”“ท่านกล้า!”สายตาของหลินเนี่ยนฉือเฉียบคม “องครักษ์สกุลหลินของข้าจงรักภักดีปกป้องนาย ไม่ถึงคราวที่คนนอกอย่างท่านจะมาจัดการพวกเขา!”“คนนอก?!”เวินจื่อเยวี่ยโมโหอย่างยิ่ง “เจ้าบอกว่าข้าเป็นคนนอกหรือ?!”“หรือว่าไม่ใช่?”หลินเนี่ยนฉือตอบโต้คำพูดของเขาอย่างไม่ปรานี “คนนอกอย่างข้าไม่มีสิทธิ์มายุ่งเรื่องภายในของจวนเจิ้นกั๋วกงของพวกท่าน แล้วคนนอกอย่างท่านจะมีสิทธิ์อะ
“เพียะ!”หลินเนี่ยนฉือฟาดแส้ใส่เขาโดยตรงเวินจื่อเยวี่ยเกือบจะถูกแส้ม้าของนางฟาดเข้าที่ใบหน้าอีกครั้ง โชคดีที่ครั้งนี้เขาตอบสนองได้เร็ว จึงหลบได้ทันท่วงทีหลังจากหลบได้เขาก็กล่าวด้วยความโมโห “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ? ยังอยากจะตีอีกใช่หรือไม่?!”หลินเนี่ยนฉือถือแส้ม้าของนางไว้ พลางหรี่ดวงตาทั้งสองลง กล่าวเสียงเย็นชา “ใช่ ท่านพูดถูก เรื่องของจวนเจิ้นกั๋วกงของพวกท่าน ไม่ใช่เรื่องที่ข้าจะเข้ามายุ่งจริงๆ ดังนั้น วันนี้นอกจากข้าจะมาตีท่านแล้ว ก็ยังมาเพื่อจัดการอีกเรื่องหนึ่งด้วย”“เหอะ เจ้าก็รู้ว่าไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะต้องมายุ่ง แล้วยังมีเรื่องอะไรอีกที่ต้องให้เจ้ามาจัดการ?”เวินจื่อเยวี่ยในขณะนี้ยังไม่ตระหนักถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ ดังนั้น เมื่อหลินเนี่ยนฉือเอ่ยปากในวินาทีต่อมา เขาจึงเพิ่งจะรู้ตัวและเสียใจกับคำพูดเหล่านั้นหลินเนี่ยนฉือยกมือขึ้น ผู้ติดตามที่อยู่ด้านหลังก็ยื่นของสองอย่างให้หลังจากนางรับของมาแล้วก็ไม่แม้แต่จะมอง ก็โยนให้เวินจื่อเยวี่ยโดยตรง กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เรื่องนี้จำเป็นต้องให้ข้ามาจัดการจริงๆ นั่นแหละ เพราะอย่างไรเสีย ข้าก็มาเพื่อถอนหมั้นกับท่าน”เมื่อเอ่
ประโยค “เข้าข้างพวกพ้องไม่สนเหตุผล” ของหลินเนี่ยนฉือ ทำเอาเวินจื่อเยวี่ยถึงกับพูดไม่ออกหลังจากนั้นครู่หนึ่งก็เค้นคำพูดออกมาได้ประโยคหนึ่ง “เจ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร?”หลินเนี่ยนฉือหัวเราะเยาะ “แล้วทำไมจะทำไม่ได้? เมื่อก่อนตอนที่ข้าช่วยท่านต่อยตีมันน้อยครั้งหรือไร? ไฉนเมื่อก่อนไม่เห็นท่านพูดเช่นนี้ ตอนนี้กลับมีหน้ามาพูดแล้วหรือ?”เวินจื่อเยวี่ยถูกนางตอกกลับจนพูดไม่ออกอีกครั้งพูดกับเขามามากมายเช่นนี้แล้ว หลินเนี่ยนฉือก็เริ่มจะหมดความอดทน อีกประเดี๋ยวอาซื่ออาจจะมารับนางแล้ว นางคงต้องรีบจัดการให้เร็วขึ้นหน่อยดังนั้นนางจึงโบกมือด้วยความรำคาญ “เอาละ หยุดพูดจาไร้สาระได้แล้ว ข้ารู้ว่าท่านก็แค่อยากจะพูดแทนบุตรนอกสมรสนั่น กลัวว่าข้าจะสั่งสอนนางล่ะสิ ก็ได้ ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ได้มาเพื่อพูดคุยกับพวกท่านด้วยเหตุผลอยู่แล้ว ก็ทำให้มันง่ายๆ ไปเลย วันนี้ท่านอยากจะถูกตีแทนนางสักครั้ง หรืออยากจะถูกตีแทนนางสักสองครั้ง?”รับวันนี้เสร็จ พรุ่งนี้ก็ยังมีอีกอย่างไรเสีย ทุกวันที่นางอยู่ในเมืองหลวงก็จะมาตีนังบุตรนอกสมรสนั่นเวินจื่อเยวี่ยโกรธจนหน้าแดงก่ำ “ข้าบอกแล้วว่าอย่าพูดสามคำนั้นอีก หลินเนี่ยนฉือ เจ
“ข้าเคยกลัวท่านตั้งแต่เมื่อใดกัน!”หลินเนี่ยนฉือเตะเขากระเด็นออกไปหลายเมตร จากนั้นก็ยืนอยู่ที่เดิม เชิดคางขึ้นแล้วแค่นเสียงเย็น “หากมีปัญญาก็ลองดูสิ มาดูกันว่าวันนี้ท่านจะล้มข้าลงได้ หรือจะเป็นข้าที่เล่นงานไอ้คนสารเลวอย่างท่าน!”“นังบ้า!”เวินจื่อเยวี่ยด่าทอด้วยความโมโห “เจ้ายังจะช่วยเวินซื่อนั่นอาละวาดไปถึงเมื่อไรกัน?!”“เพียะ!”หลินเนี่ยนฉือตอบโต้เขาด้วยการฟาดแส้อย่างรุนแรงหนึ่งครั้ง “ใครกันที่อาละวาด? ข้ากลับมาคราวนี้ก็เพื่อคิดบัญชีกับพวกท่าน วันนี้ไม่ท่านตาย ก็ต้องเป็นบุตรนอกสมรสที่ท่านปกป้องนั่นตาย!”“ดี! เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”เวินจื่อเยวี่ยสบถด่าในใจทันที จากนั้นก็ไม่ลังเลอีกต่อไป ตอบโต้โดยตรง“ปัง! เพียะ! ...”เวินจื่อเยวี่ยมีความคล่องแคล่วว่องไว แต่หลินเนี่ยนฉือเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาแม้ว่าสกุลหลินจะเป็นตระกูลนักปราชญ์ แต่เมื่อหลายปีก่อนก็ได้เห็นจุดจบของสกุลหลานแล้ว และแตกต่างจากสกุลเวินที่นิ่งดูดาย พอท่านปู่หลินทราบข่าวก็รีบส่งคนไปช่วยเหลือทันที แต่น่าเสียดายที่ยังคงช้าไปก้าวหนึ่ง ไปไม่ทันแต่กลับได้เห็นสภาพศพเกลื่อนกลาด เลือดไหลนองจนเป็นสายธารของสกุลห
“อ๊าก!”เวินจื่อเยวี่ยร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด จากนั้นจึงรู้สึกตัวและรีบหลบแส้ที่ฟาดลงมาอีกครั้ง“ไอ้คนตาบอดคนไหนกล้ามาตีข้า?!”เวินจื่อเยวี่ยจ้องมองไปยังคนที่ถือแส้ด้วยสายตาเหี้ยมเกรียมในทันทีแต่เมื่อได้เห็นว่าเป็นใคร เวินจื่อเยวี่ยก็ยืนตกตะลึงอยู่กับที่ทันที“หลินเนี่ยนฉือ? เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”หลินเนี่ยนฉือถือแส้ม้าไว้ในมือ แค่นเสียงเย็นพลางเอ่ยขึ้น “ถ้าข้าไม่อยู่ที่นี่ แล้วไอ้หมาตาบอดอย่างท่านยังคิดจะช่วยบุตรนอกสมรสนั่นรังแกอาซื่อของข้าไปถึงเมื่อไรกัน?!”ตอนแรกที่เวินจื่อเยวี่ยเห็นหลินเนี่ยนฉือกลับมา ก็ยังรู้สึกยินดีอยู่บ้างถึงอย่างไรหลินเนี่ยนฉือก็เป็นคู่หมั้นของเขา ทั้งสองคนก็นับว่าเติบโตมาด้วยกันแต่เด็ก เป็นเพื่อนเล่นที่สนิทสนมกันตอนที่พวกเขาหมั้นหมายกันนั้น ก็เป็นเพราะว่าพวกเขาทั้งสองคนต่างมีความรู้สึกที่ดีต่อกัน ดังนั้น พอได้เห็นหลินเนี่ยนฉือที่ไม่ได้พบกันนาน ปฏิกิริยาแรกของเวินจื่อเยวี่ยก็ย่อมยินดีเป็นธรรมดาแต่ใครจะรู้ว่าวินาทีต่อมาก็ได้ยินหลินเนี่ยนฉือที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว ด่าทอเขาและน้องหกเวินจื่อเยวี่ยขมวดคิ้วทันที “ไม่ได้เจอกันมาครึ่ง
ขณะนี้หลินเนี่ยนฉือกำลังถือแส้ม้าไว้ในมือข้างหนึ่ง ด้านหนึ่งก็พิงตัวอยู่บนรถม้า เมื่อได้ยินเสียงก็เงยหน้าขึ้นมอง“พี่ใหญ่เวิน? เหตุใดท่านถึง...ดูอ่อนแอเช่นนี้?”เมื่อเห็นเวินฉางอวิ้นออกมา หลินเนี่ยนฉือเกือบคิดว่าตัวเองจำคนผิดเสียแล้วสีหน้าซีดเผือดนั่น ก้าวเดินอย่างอ่อนแรง...หากมิใช่เพราะนางคุ้นเคยกับพี่น้องทั้งสี่ของสกุลเวินเป็นอย่างดี คงคิดว่าเขาไม่ใช่เวินฉางอวิ้น แต่เป็นพี่สี่สกุลเวินที่ป่วยออดๆ แอดๆ มาตลอดทั้งปีเสียอีก?เวินฉางอวิ้นสะอึกกับคำว่า “อ่อนแอ” ของนาง ไอสองครั้ง หลังจากปรับลมหายใจให้เป็นปกติแล้ว จึงฝืนยิ้มกล่าวว่า “ช่วงนี้ป่วยนิดหน่อย สีหน้าเลยไม่ค่อยดี ทำให้เนี่ยนฉือต้องขบขันแล้ว”เขาอธิบายอย่างไม่ใส่ใจ ไม่ได้บอกความจริงว่าตัวเองถูกวางยาพิษจากนั้นเขาก็ถามว่า “จริงสิ เนี่ยนฉือมาถึงหน้าประตูบ้านแล้ว เหตุใดถึงไม่ยอมเข้าไปข้างใน? ข้างนอกอากาศหนาว พี่ใหญ่สั่งให้คนเตรียมถ่านไฟไว้แล้ว มีเรื่องอะไรก็เข้าไปนั่งคุยกันข้างในดีหรือไม่?”เมื่อหลินเนี่ยนฉือเห็นท่าทางน่าสงสารของเขา ความโกรธที่สะสมมาก็อดไม่ได้ที่จะลดลงไปบ้างเล็กน้อยแต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่อาจลดความรู้สึกไม่เป็นธร
“ใครกัน? เมื่อครู่มีคนมาส่งเสียงดังเอะอะโวยวายที่หน้าประตูจวนเจิ้นกั๋วกงของพวกเรา!”“ไปๆๆ รีบไสหัวไปเสีย มิฉะนั้นอย่าหาว่าพวกเราไม่เกรงใจ!”หนึ่งในยามเฝ้าประตูถือกระบองจะเข้าไปไล่คน แต่ใครจะรู้ว่าวินาทีต่อมา องครักษ์ที่อยู่ด้านหลังหลินเนี่ยนฉือก็ชักดาบออกมาอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นคมดาบสีขาวราวหิมะทหารยามที่เดิมทีท่าทางโกรธเกรี้ยวก็ตกใจ ก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างไม่รู้ตัว กลืนน้ำลายแล้วกล่าวว่า “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าที่นี่คือที่ไหน? กล้าดีอย่างไรมาชักดาบที่หน้าประตูจวนเจิ้นกั๋วกง?!”“ข้าเห็นว่าบ่าวโง่อย่างพวกเจ้าหูหนวกตาบอด ฟังคำพูดของข้าไม่รู้เรื่อง หรือว่ายังจำหน้าข้าไม่ได้อีกหรือ?”หลินเนี่ยนฉือก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว สายตาเฉียบคมกวาดมองทหารยามผู้นั้นทหารยามอีกคนพลันเกิดความคิดแวบขึ้นมาในหัว ในที่สุดก็นึกออก รีบเข้าไปกล่าวด้วยความนอบน้อม “ข้าน้อยคารวะคุณหนูใหญ่หลิน สหายคนนี้เพิ่งมาใหม่ ไม่รู้เรื่องรู้ราว ไม่เคยเห็นหน้าคุณหนูใหญ่หลิน คุณหนูใหญ่หลินโปรดอภัย ข้าน้อยจะรีบเข้าไปแจ้งให้ทราบเดี๋ยวนี้!”เขารีบดึงสหายของตัวเองไปข้างหลัง แล้วบังคับให้คารวะพร้อมกัน“ถือว่าบ่าวอย่างเจ้า