ขณะนี้หลินเนี่ยนฉือกำลังถือแส้ม้าไว้ในมือข้างหนึ่ง ด้านหนึ่งก็พิงตัวอยู่บนรถม้า เมื่อได้ยินเสียงก็เงยหน้าขึ้นมอง“พี่ใหญ่เวิน? เหตุใดท่านถึง...ดูอ่อนแอเช่นนี้?”เมื่อเห็นเวินฉางอวิ้นออกมา หลินเนี่ยนฉือเกือบคิดว่าตัวเองจำคนผิดเสียแล้วสีหน้าซีดเผือดนั่น ก้าวเดินอย่างอ่อนแรง...หากมิใช่เพราะนางคุ้นเคยกับพี่น้องทั้งสี่ของสกุลเวินเป็นอย่างดี คงคิดว่าเขาไม่ใช่เวินฉางอวิ้น แต่เป็นพี่สี่สกุลเวินที่ป่วยออดๆ แอดๆ มาตลอดทั้งปีเสียอีก?เวินฉางอวิ้นสะอึกกับคำว่า “อ่อนแอ” ของนาง ไอสองครั้ง หลังจากปรับลมหายใจให้เป็นปกติแล้ว จึงฝืนยิ้มกล่าวว่า “ช่วงนี้ป่วยนิดหน่อย สีหน้าเลยไม่ค่อยดี ทำให้เนี่ยนฉือต้องขบขันแล้ว”เขาอธิบายอย่างไม่ใส่ใจ ไม่ได้บอกความจริงว่าตัวเองถูกวางยาพิษจากนั้นเขาก็ถามว่า “จริงสิ เนี่ยนฉือมาถึงหน้าประตูบ้านแล้ว เหตุใดถึงไม่ยอมเข้าไปข้างใน? ข้างนอกอากาศหนาว พี่ใหญ่สั่งให้คนเตรียมถ่านไฟไว้แล้ว มีเรื่องอะไรก็เข้าไปนั่งคุยกันข้างในดีหรือไม่?”เมื่อหลินเนี่ยนฉือเห็นท่าทางน่าสงสารของเขา ความโกรธที่สะสมมาก็อดไม่ได้ที่จะลดลงไปบ้างเล็กน้อยแต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่อาจลดความรู้สึกไม่เป็นธร
“อ๊าก!”เวินจื่อเยวี่ยร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด จากนั้นจึงรู้สึกตัวและรีบหลบแส้ที่ฟาดลงมาอีกครั้ง“ไอ้คนตาบอดคนไหนกล้ามาตีข้า?!”เวินจื่อเยวี่ยจ้องมองไปยังคนที่ถือแส้ด้วยสายตาเหี้ยมเกรียมในทันทีแต่เมื่อได้เห็นว่าเป็นใคร เวินจื่อเยวี่ยก็ยืนตกตะลึงอยู่กับที่ทันที“หลินเนี่ยนฉือ? เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”หลินเนี่ยนฉือถือแส้ม้าไว้ในมือ แค่นเสียงเย็นพลางเอ่ยขึ้น “ถ้าข้าไม่อยู่ที่นี่ แล้วไอ้หมาตาบอดอย่างท่านยังคิดจะช่วยบุตรนอกสมรสนั่นรังแกอาซื่อของข้าไปถึงเมื่อไรกัน?!”ตอนแรกที่เวินจื่อเยวี่ยเห็นหลินเนี่ยนฉือกลับมา ก็ยังรู้สึกยินดีอยู่บ้างถึงอย่างไรหลินเนี่ยนฉือก็เป็นคู่หมั้นของเขา ทั้งสองคนก็นับว่าเติบโตมาด้วยกันแต่เด็ก เป็นเพื่อนเล่นที่สนิทสนมกันตอนที่พวกเขาหมั้นหมายกันนั้น ก็เป็นเพราะว่าพวกเขาทั้งสองคนต่างมีความรู้สึกที่ดีต่อกัน ดังนั้น พอได้เห็นหลินเนี่ยนฉือที่ไม่ได้พบกันนาน ปฏิกิริยาแรกของเวินจื่อเยวี่ยก็ย่อมยินดีเป็นธรรมดาแต่ใครจะรู้ว่าวินาทีต่อมาก็ได้ยินหลินเนี่ยนฉือที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว ด่าทอเขาและน้องหกเวินจื่อเยวี่ยขมวดคิ้วทันที “ไม่ได้เจอกันมาครึ่ง
“ข้าเคยกลัวท่านตั้งแต่เมื่อใดกัน!”หลินเนี่ยนฉือเตะเขากระเด็นออกไปหลายเมตร จากนั้นก็ยืนอยู่ที่เดิม เชิดคางขึ้นแล้วแค่นเสียงเย็น “หากมีปัญญาก็ลองดูสิ มาดูกันว่าวันนี้ท่านจะล้มข้าลงได้ หรือจะเป็นข้าที่เล่นงานไอ้คนสารเลวอย่างท่าน!”“นังบ้า!”เวินจื่อเยวี่ยด่าทอด้วยความโมโห “เจ้ายังจะช่วยเวินซื่อนั่นอาละวาดไปถึงเมื่อไรกัน?!”“เพียะ!”หลินเนี่ยนฉือตอบโต้เขาด้วยการฟาดแส้อย่างรุนแรงหนึ่งครั้ง “ใครกันที่อาละวาด? ข้ากลับมาคราวนี้ก็เพื่อคิดบัญชีกับพวกท่าน วันนี้ไม่ท่านตาย ก็ต้องเป็นบุตรนอกสมรสที่ท่านปกป้องนั่นตาย!”“ดี! เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”เวินจื่อเยวี่ยสบถด่าในใจทันที จากนั้นก็ไม่ลังเลอีกต่อไป ตอบโต้โดยตรง“ปัง! เพียะ! ...”เวินจื่อเยวี่ยมีความคล่องแคล่วว่องไว แต่หลินเนี่ยนฉือเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาแม้ว่าสกุลหลินจะเป็นตระกูลนักปราชญ์ แต่เมื่อหลายปีก่อนก็ได้เห็นจุดจบของสกุลหลานแล้ว และแตกต่างจากสกุลเวินที่นิ่งดูดาย พอท่านปู่หลินทราบข่าวก็รีบส่งคนไปช่วยเหลือทันที แต่น่าเสียดายที่ยังคงช้าไปก้าวหนึ่ง ไปไม่ทันแต่กลับได้เห็นสภาพศพเกลื่อนกลาด เลือดไหลนองจนเป็นสายธารของสกุลห
ประโยค “เข้าข้างพวกพ้องไม่สนเหตุผล” ของหลินเนี่ยนฉือ ทำเอาเวินจื่อเยวี่ยถึงกับพูดไม่ออกหลังจากนั้นครู่หนึ่งก็เค้นคำพูดออกมาได้ประโยคหนึ่ง “เจ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร?”หลินเนี่ยนฉือหัวเราะเยาะ “แล้วทำไมจะทำไม่ได้? เมื่อก่อนตอนที่ข้าช่วยท่านต่อยตีมันน้อยครั้งหรือไร? ไฉนเมื่อก่อนไม่เห็นท่านพูดเช่นนี้ ตอนนี้กลับมีหน้ามาพูดแล้วหรือ?”เวินจื่อเยวี่ยถูกนางตอกกลับจนพูดไม่ออกอีกครั้งพูดกับเขามามากมายเช่นนี้แล้ว หลินเนี่ยนฉือก็เริ่มจะหมดความอดทน อีกประเดี๋ยวอาซื่ออาจจะมารับนางแล้ว นางคงต้องรีบจัดการให้เร็วขึ้นหน่อยดังนั้นนางจึงโบกมือด้วยความรำคาญ “เอาละ หยุดพูดจาไร้สาระได้แล้ว ข้ารู้ว่าท่านก็แค่อยากจะพูดแทนบุตรนอกสมรสนั่น กลัวว่าข้าจะสั่งสอนนางล่ะสิ ก็ได้ ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ได้มาเพื่อพูดคุยกับพวกท่านด้วยเหตุผลอยู่แล้ว ก็ทำให้มันง่ายๆ ไปเลย วันนี้ท่านอยากจะถูกตีแทนนางสักครั้ง หรืออยากจะถูกตีแทนนางสักสองครั้ง?”รับวันนี้เสร็จ พรุ่งนี้ก็ยังมีอีกอย่างไรเสีย ทุกวันที่นางอยู่ในเมืองหลวงก็จะมาตีนังบุตรนอกสมรสนั่นเวินจื่อเยวี่ยโกรธจนหน้าแดงก่ำ “ข้าบอกแล้วว่าอย่าพูดสามคำนั้นอีก หลินเนี่ยนฉือ เจ
“เพียะ!”หลินเนี่ยนฉือฟาดแส้ใส่เขาโดยตรงเวินจื่อเยวี่ยเกือบจะถูกแส้ม้าของนางฟาดเข้าที่ใบหน้าอีกครั้ง โชคดีที่ครั้งนี้เขาตอบสนองได้เร็ว จึงหลบได้ทันท่วงทีหลังจากหลบได้เขาก็กล่าวด้วยความโมโห “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ? ยังอยากจะตีอีกใช่หรือไม่?!”หลินเนี่ยนฉือถือแส้ม้าของนางไว้ พลางหรี่ดวงตาทั้งสองลง กล่าวเสียงเย็นชา “ใช่ ท่านพูดถูก เรื่องของจวนเจิ้นกั๋วกงของพวกท่าน ไม่ใช่เรื่องที่ข้าจะเข้ามายุ่งจริงๆ ดังนั้น วันนี้นอกจากข้าจะมาตีท่านแล้ว ก็ยังมาเพื่อจัดการอีกเรื่องหนึ่งด้วย”“เหอะ เจ้าก็รู้ว่าไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะต้องมายุ่ง แล้วยังมีเรื่องอะไรอีกที่ต้องให้เจ้ามาจัดการ?”เวินจื่อเยวี่ยในขณะนี้ยังไม่ตระหนักถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ ดังนั้น เมื่อหลินเนี่ยนฉือเอ่ยปากในวินาทีต่อมา เขาจึงเพิ่งจะรู้ตัวและเสียใจกับคำพูดเหล่านั้นหลินเนี่ยนฉือยกมือขึ้น ผู้ติดตามที่อยู่ด้านหลังก็ยื่นของสองอย่างให้หลังจากนางรับของมาแล้วก็ไม่แม้แต่จะมอง ก็โยนให้เวินจื่อเยวี่ยโดยตรง กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เรื่องนี้จำเป็นต้องให้ข้ามาจัดการจริงๆ นั่นแหละ เพราะอย่างไรเสีย ข้าก็มาเพื่อถอนหมั้นกับท่าน”เมื่อเอ่
“ท่านไม่เห็นด้วยก็ช่วยไม่ได้”หลินเนี่ยนฉือแค่นเสียงหัวเราะเยาะเบาๆ “ข้าไม่ได้มาเพื่อแจ้งให้ท่านทราบ เวินจื่อเยวี่ย”“ด้านล่างของหนังสือสัญญาหมั้นหมายคือหนังสือถอนหมั้น รอยนิ้วมือของข้าอยู่บนนั้น ถ้าเจ้าฉลาดพอ ก็ประทับรอยนิ้วมือลงไปเสีย นับจากนี้ไปเราสองคนต่างคนต่างอยู่ ข้าจะไปหาน้องหญิงอาซื่อของข้า ส่วนท่านก็ปกป้องน้องสาวบุตรนอกสมรสของท่านต่อไปเถอะ”“หลินเนี่ยนฉือ!”เวินจื่อเยวี่ยเดือดดาลอย่างยิ่ง เขาขยับเท้าหมายจะพุ่งเข้าไปหาหลินเนี่ยนฉือพรึ่บ!องครักษ์สองคนที่ถือดาบตรงเข้ามาขวางหน้าเวินจื่อเยวี่ย“ไสหัวออกไปเสีย!”เวินจื่อเยวี่ยถลึงตาใส่องครักษ์ทั้งสองอย่างดุร้าย “หากยังกล้าขวางข้าอีก ระวังข้าจะตัดหัวพวกเจ้าเสีย!”“ท่านกล้า!”สายตาของหลินเนี่ยนฉือเฉียบคม “องครักษ์สกุลหลินของข้าจงรักภักดีปกป้องนาย ไม่ถึงคราวที่คนนอกอย่างท่านจะมาจัดการพวกเขา!”“คนนอก?!”เวินจื่อเยวี่ยโมโหอย่างยิ่ง “เจ้าบอกว่าข้าเป็นคนนอกหรือ?!”“หรือว่าไม่ใช่?”หลินเนี่ยนฉือตอบโต้คำพูดของเขาอย่างไม่ปรานี “คนนอกอย่างข้าไม่มีสิทธิ์มายุ่งเรื่องภายในของจวนเจิ้นกั๋วกงของพวกท่าน แล้วคนนอกอย่างท่านจะมีสิทธิ์อะ
เมื่อก่อนมักจะมีคนพูดว่าเวินจื่อเยวี่ยนิสัยไม่ดี เป็นเพราะเขาและพี่รองซึ่งเป็นพี่ชายฝาแฝดของเขาถึงแม้จะหน้าตาเหมือนกัน แต่นิสัยกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงคนหนึ่งอารมณ์ร้อน ส่วนอีกคนกลับดูเศร้าหมองอยู่บ้างเมื่อก่อนนางแค่คิดว่าอาจเป็นเพราะรูปลักษณ์ภายนอก อย่างไรเสีย ระหว่างเขากับเวินจื่อเฉินสองคนนั้น ก็มีดวงตาคู่หนึ่งที่แตกต่างกันดวงตาคู่นั้นเวลาที่มองไปยังผู้อื่น มักจะมีความรู้สึกมืดมนอย่างอธิบายไม่ถูกออกมาเสมอ เมื่อก่อนนางยังไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรแต่ตอนนี้ เมื่อดวงตาอันมืดมนคู่นั้นมองมาที่นาง หลินเนี่ยนฉือก็พลันบังเกิดความรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันทีโดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่ได้รู้ว่าเวินจื่อเยวี่ยทำเรื่องเหลวไหลมากมายถึงเพียงนั้น ทั้งยังคงมีท่าทีเชื่อมั่นว่าตนเองถูกต้อง หลินเนี่ยนฉือมีอยู่ชั่วขณะหนึ่งที่รู้สึกราวกับว่าตนเองแทบจะไม่รู้จักเวินจื่อเยวี่ยแล้ว“พอแล้ว ข้าไม่อยากจะพูดจาไร้สาระกับท่านอีกต่อไปแล้วจริงๆ เวินจื่อเยวี่ย”หลินเนี่ยนฉือข่มความรู้สึกไม่สบายใจนั้นไว้ ขมวดคิ้วพลางเอ่ยขึ้น “ท่านทำตัวให้มันเด็ดขาดสมเป็นลูกผู้ชายหน่อยได้หรือไม่? หากไม่อยากถอนหมั้นกับข้า ก็ให้
“อาซื่อ!”ดวงตาของหลินเนี่ยนฉือเป็นประกายขึ้นมาทันที พุ่งตัวเข้าไปหาเวินซื่อซึ่งกำลังก้าวเท้าเดินเข้ามาด้วยความดีใจ“อ๊ะ เดี๋ยวก่อน!”พอเวินซื่อเห็นท่าทางยกมือของนาง ก็พลันนึกบางอย่างขึ้นมาได้ สีหน้าจึงเปลี่ยนไปวินาทีต่อมา นางยังไม่ทันได้ห้าม ก็ถูกหลินเนี่ยนฉือคว้าเอวแล้วยกตัวขึ้นกอด จากนั้นก็หมุนตัวอยู่กับที่หลายรอบ จนเวินซื่อตาลาย“ฮ่าๆ ฮ่าๆ อาซื่อ ในที่สุดก็ได้เจอเจ้าแล้ว! แยกกันนานขนาดนี้ข้าคิดถึงเจ้าใจจะขาดแล้ว เจ้าคิดถึงข้าบ้างหรือไม่ รีบพูดเร็วเข้า ถ้าไม่พูดข้าจะไม่ปล่อยเจ้าลง!”ความรู้สึกที่คุ้นเคย คนที่คุ้นเคยเวินซื่อโอบคอของหลินเนี่ยนฉือไว้ รีบเอ่ยขึ้น “คิดถึง คิดถึงสิ ต้องคิดถึงเจ้าอยู่แล้ว ดังนั้นรีบปล่อยข้าลงเถอะ หากเจ้าหมุนอีกสักสองรอบ ข้าได้อาเจียนออกมาจริงๆ แน่!”ปรากฏว่าหลินเนี่ยนฉือกลับหัวเราะเสียงดังพลางกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นก็หมุนอีกรอบ!”จากนั้นก็ยกเวินซื่อขึ้นหมุนอีกรอบหนึ่งด้วยความตื่นเต้น ไม่มากไม่น้อย กำลังพอดีทำให้นางพอใจ หมุนจนนางเวียนหัวตอนที่เท้าของเวินซื่อเหยียบลงถึงพื้น ขาก็อ่อนแรงไปหมดไม่ได้ถูกหลินเนี่ยนฉือจับหมุนเช่นนี้มานานแล้ว พอจู่ๆ ต
“อาซื่อ!”ดวงตาของหลินเนี่ยนฉือเป็นประกายขึ้นมาทันที พุ่งตัวเข้าไปหาเวินซื่อซึ่งกำลังก้าวเท้าเดินเข้ามาด้วยความดีใจ“อ๊ะ เดี๋ยวก่อน!”พอเวินซื่อเห็นท่าทางยกมือของนาง ก็พลันนึกบางอย่างขึ้นมาได้ สีหน้าจึงเปลี่ยนไปวินาทีต่อมา นางยังไม่ทันได้ห้าม ก็ถูกหลินเนี่ยนฉือคว้าเอวแล้วยกตัวขึ้นกอด จากนั้นก็หมุนตัวอยู่กับที่หลายรอบ จนเวินซื่อตาลาย“ฮ่าๆ ฮ่าๆ อาซื่อ ในที่สุดก็ได้เจอเจ้าแล้ว! แยกกันนานขนาดนี้ข้าคิดถึงเจ้าใจจะขาดแล้ว เจ้าคิดถึงข้าบ้างหรือไม่ รีบพูดเร็วเข้า ถ้าไม่พูดข้าจะไม่ปล่อยเจ้าลง!”ความรู้สึกที่คุ้นเคย คนที่คุ้นเคยเวินซื่อโอบคอของหลินเนี่ยนฉือไว้ รีบเอ่ยขึ้น “คิดถึง คิดถึงสิ ต้องคิดถึงเจ้าอยู่แล้ว ดังนั้นรีบปล่อยข้าลงเถอะ หากเจ้าหมุนอีกสักสองรอบ ข้าได้อาเจียนออกมาจริงๆ แน่!”ปรากฏว่าหลินเนี่ยนฉือกลับหัวเราะเสียงดังพลางกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นก็หมุนอีกรอบ!”จากนั้นก็ยกเวินซื่อขึ้นหมุนอีกรอบหนึ่งด้วยความตื่นเต้น ไม่มากไม่น้อย กำลังพอดีทำให้นางพอใจ หมุนจนนางเวียนหัวตอนที่เท้าของเวินซื่อเหยียบลงถึงพื้น ขาก็อ่อนแรงไปหมดไม่ได้ถูกหลินเนี่ยนฉือจับหมุนเช่นนี้มานานแล้ว พอจู่ๆ ต
เมื่อก่อนมักจะมีคนพูดว่าเวินจื่อเยวี่ยนิสัยไม่ดี เป็นเพราะเขาและพี่รองซึ่งเป็นพี่ชายฝาแฝดของเขาถึงแม้จะหน้าตาเหมือนกัน แต่นิสัยกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงคนหนึ่งอารมณ์ร้อน ส่วนอีกคนกลับดูเศร้าหมองอยู่บ้างเมื่อก่อนนางแค่คิดว่าอาจเป็นเพราะรูปลักษณ์ภายนอก อย่างไรเสีย ระหว่างเขากับเวินจื่อเฉินสองคนนั้น ก็มีดวงตาคู่หนึ่งที่แตกต่างกันดวงตาคู่นั้นเวลาที่มองไปยังผู้อื่น มักจะมีความรู้สึกมืดมนอย่างอธิบายไม่ถูกออกมาเสมอ เมื่อก่อนนางยังไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรแต่ตอนนี้ เมื่อดวงตาอันมืดมนคู่นั้นมองมาที่นาง หลินเนี่ยนฉือก็พลันบังเกิดความรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันทีโดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่ได้รู้ว่าเวินจื่อเยวี่ยทำเรื่องเหลวไหลมากมายถึงเพียงนั้น ทั้งยังคงมีท่าทีเชื่อมั่นว่าตนเองถูกต้อง หลินเนี่ยนฉือมีอยู่ชั่วขณะหนึ่งที่รู้สึกราวกับว่าตนเองแทบจะไม่รู้จักเวินจื่อเยวี่ยแล้ว“พอแล้ว ข้าไม่อยากจะพูดจาไร้สาระกับท่านอีกต่อไปแล้วจริงๆ เวินจื่อเยวี่ย”หลินเนี่ยนฉือข่มความรู้สึกไม่สบายใจนั้นไว้ ขมวดคิ้วพลางเอ่ยขึ้น “ท่านทำตัวให้มันเด็ดขาดสมเป็นลูกผู้ชายหน่อยได้หรือไม่? หากไม่อยากถอนหมั้นกับข้า ก็ให้
“ท่านไม่เห็นด้วยก็ช่วยไม่ได้”หลินเนี่ยนฉือแค่นเสียงหัวเราะเยาะเบาๆ “ข้าไม่ได้มาเพื่อแจ้งให้ท่านทราบ เวินจื่อเยวี่ย”“ด้านล่างของหนังสือสัญญาหมั้นหมายคือหนังสือถอนหมั้น รอยนิ้วมือของข้าอยู่บนนั้น ถ้าเจ้าฉลาดพอ ก็ประทับรอยนิ้วมือลงไปเสีย นับจากนี้ไปเราสองคนต่างคนต่างอยู่ ข้าจะไปหาน้องหญิงอาซื่อของข้า ส่วนท่านก็ปกป้องน้องสาวบุตรนอกสมรสของท่านต่อไปเถอะ”“หลินเนี่ยนฉือ!”เวินจื่อเยวี่ยเดือดดาลอย่างยิ่ง เขาขยับเท้าหมายจะพุ่งเข้าไปหาหลินเนี่ยนฉือพรึ่บ!องครักษ์สองคนที่ถือดาบตรงเข้ามาขวางหน้าเวินจื่อเยวี่ย“ไสหัวออกไปเสีย!”เวินจื่อเยวี่ยถลึงตาใส่องครักษ์ทั้งสองอย่างดุร้าย “หากยังกล้าขวางข้าอีก ระวังข้าจะตัดหัวพวกเจ้าเสีย!”“ท่านกล้า!”สายตาของหลินเนี่ยนฉือเฉียบคม “องครักษ์สกุลหลินของข้าจงรักภักดีปกป้องนาย ไม่ถึงคราวที่คนนอกอย่างท่านจะมาจัดการพวกเขา!”“คนนอก?!”เวินจื่อเยวี่ยโมโหอย่างยิ่ง “เจ้าบอกว่าข้าเป็นคนนอกหรือ?!”“หรือว่าไม่ใช่?”หลินเนี่ยนฉือตอบโต้คำพูดของเขาอย่างไม่ปรานี “คนนอกอย่างข้าไม่มีสิทธิ์มายุ่งเรื่องภายในของจวนเจิ้นกั๋วกงของพวกท่าน แล้วคนนอกอย่างท่านจะมีสิทธิ์อะ
“เพียะ!”หลินเนี่ยนฉือฟาดแส้ใส่เขาโดยตรงเวินจื่อเยวี่ยเกือบจะถูกแส้ม้าของนางฟาดเข้าที่ใบหน้าอีกครั้ง โชคดีที่ครั้งนี้เขาตอบสนองได้เร็ว จึงหลบได้ทันท่วงทีหลังจากหลบได้เขาก็กล่าวด้วยความโมโห “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ? ยังอยากจะตีอีกใช่หรือไม่?!”หลินเนี่ยนฉือถือแส้ม้าของนางไว้ พลางหรี่ดวงตาทั้งสองลง กล่าวเสียงเย็นชา “ใช่ ท่านพูดถูก เรื่องของจวนเจิ้นกั๋วกงของพวกท่าน ไม่ใช่เรื่องที่ข้าจะเข้ามายุ่งจริงๆ ดังนั้น วันนี้นอกจากข้าจะมาตีท่านแล้ว ก็ยังมาเพื่อจัดการอีกเรื่องหนึ่งด้วย”“เหอะ เจ้าก็รู้ว่าไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะต้องมายุ่ง แล้วยังมีเรื่องอะไรอีกที่ต้องให้เจ้ามาจัดการ?”เวินจื่อเยวี่ยในขณะนี้ยังไม่ตระหนักถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ ดังนั้น เมื่อหลินเนี่ยนฉือเอ่ยปากในวินาทีต่อมา เขาจึงเพิ่งจะรู้ตัวและเสียใจกับคำพูดเหล่านั้นหลินเนี่ยนฉือยกมือขึ้น ผู้ติดตามที่อยู่ด้านหลังก็ยื่นของสองอย่างให้หลังจากนางรับของมาแล้วก็ไม่แม้แต่จะมอง ก็โยนให้เวินจื่อเยวี่ยโดยตรง กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เรื่องนี้จำเป็นต้องให้ข้ามาจัดการจริงๆ นั่นแหละ เพราะอย่างไรเสีย ข้าก็มาเพื่อถอนหมั้นกับท่าน”เมื่อเอ่
ประโยค “เข้าข้างพวกพ้องไม่สนเหตุผล” ของหลินเนี่ยนฉือ ทำเอาเวินจื่อเยวี่ยถึงกับพูดไม่ออกหลังจากนั้นครู่หนึ่งก็เค้นคำพูดออกมาได้ประโยคหนึ่ง “เจ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร?”หลินเนี่ยนฉือหัวเราะเยาะ “แล้วทำไมจะทำไม่ได้? เมื่อก่อนตอนที่ข้าช่วยท่านต่อยตีมันน้อยครั้งหรือไร? ไฉนเมื่อก่อนไม่เห็นท่านพูดเช่นนี้ ตอนนี้กลับมีหน้ามาพูดแล้วหรือ?”เวินจื่อเยวี่ยถูกนางตอกกลับจนพูดไม่ออกอีกครั้งพูดกับเขามามากมายเช่นนี้แล้ว หลินเนี่ยนฉือก็เริ่มจะหมดความอดทน อีกประเดี๋ยวอาซื่ออาจจะมารับนางแล้ว นางคงต้องรีบจัดการให้เร็วขึ้นหน่อยดังนั้นนางจึงโบกมือด้วยความรำคาญ “เอาละ หยุดพูดจาไร้สาระได้แล้ว ข้ารู้ว่าท่านก็แค่อยากจะพูดแทนบุตรนอกสมรสนั่น กลัวว่าข้าจะสั่งสอนนางล่ะสิ ก็ได้ ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ได้มาเพื่อพูดคุยกับพวกท่านด้วยเหตุผลอยู่แล้ว ก็ทำให้มันง่ายๆ ไปเลย วันนี้ท่านอยากจะถูกตีแทนนางสักครั้ง หรืออยากจะถูกตีแทนนางสักสองครั้ง?”รับวันนี้เสร็จ พรุ่งนี้ก็ยังมีอีกอย่างไรเสีย ทุกวันที่นางอยู่ในเมืองหลวงก็จะมาตีนังบุตรนอกสมรสนั่นเวินจื่อเยวี่ยโกรธจนหน้าแดงก่ำ “ข้าบอกแล้วว่าอย่าพูดสามคำนั้นอีก หลินเนี่ยนฉือ เจ
“ข้าเคยกลัวท่านตั้งแต่เมื่อใดกัน!”หลินเนี่ยนฉือเตะเขากระเด็นออกไปหลายเมตร จากนั้นก็ยืนอยู่ที่เดิม เชิดคางขึ้นแล้วแค่นเสียงเย็น “หากมีปัญญาก็ลองดูสิ มาดูกันว่าวันนี้ท่านจะล้มข้าลงได้ หรือจะเป็นข้าที่เล่นงานไอ้คนสารเลวอย่างท่าน!”“นังบ้า!”เวินจื่อเยวี่ยด่าทอด้วยความโมโห “เจ้ายังจะช่วยเวินซื่อนั่นอาละวาดไปถึงเมื่อไรกัน?!”“เพียะ!”หลินเนี่ยนฉือตอบโต้เขาด้วยการฟาดแส้อย่างรุนแรงหนึ่งครั้ง “ใครกันที่อาละวาด? ข้ากลับมาคราวนี้ก็เพื่อคิดบัญชีกับพวกท่าน วันนี้ไม่ท่านตาย ก็ต้องเป็นบุตรนอกสมรสที่ท่านปกป้องนั่นตาย!”“ดี! เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”เวินจื่อเยวี่ยสบถด่าในใจทันที จากนั้นก็ไม่ลังเลอีกต่อไป ตอบโต้โดยตรง“ปัง! เพียะ! ...”เวินจื่อเยวี่ยมีความคล่องแคล่วว่องไว แต่หลินเนี่ยนฉือเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาแม้ว่าสกุลหลินจะเป็นตระกูลนักปราชญ์ แต่เมื่อหลายปีก่อนก็ได้เห็นจุดจบของสกุลหลานแล้ว และแตกต่างจากสกุลเวินที่นิ่งดูดาย พอท่านปู่หลินทราบข่าวก็รีบส่งคนไปช่วยเหลือทันที แต่น่าเสียดายที่ยังคงช้าไปก้าวหนึ่ง ไปไม่ทันแต่กลับได้เห็นสภาพศพเกลื่อนกลาด เลือดไหลนองจนเป็นสายธารของสกุลห
“อ๊าก!”เวินจื่อเยวี่ยร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด จากนั้นจึงรู้สึกตัวและรีบหลบแส้ที่ฟาดลงมาอีกครั้ง“ไอ้คนตาบอดคนไหนกล้ามาตีข้า?!”เวินจื่อเยวี่ยจ้องมองไปยังคนที่ถือแส้ด้วยสายตาเหี้ยมเกรียมในทันทีแต่เมื่อได้เห็นว่าเป็นใคร เวินจื่อเยวี่ยก็ยืนตกตะลึงอยู่กับที่ทันที“หลินเนี่ยนฉือ? เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”หลินเนี่ยนฉือถือแส้ม้าไว้ในมือ แค่นเสียงเย็นพลางเอ่ยขึ้น “ถ้าข้าไม่อยู่ที่นี่ แล้วไอ้หมาตาบอดอย่างท่านยังคิดจะช่วยบุตรนอกสมรสนั่นรังแกอาซื่อของข้าไปถึงเมื่อไรกัน?!”ตอนแรกที่เวินจื่อเยวี่ยเห็นหลินเนี่ยนฉือกลับมา ก็ยังรู้สึกยินดีอยู่บ้างถึงอย่างไรหลินเนี่ยนฉือก็เป็นคู่หมั้นของเขา ทั้งสองคนก็นับว่าเติบโตมาด้วยกันแต่เด็ก เป็นเพื่อนเล่นที่สนิทสนมกันตอนที่พวกเขาหมั้นหมายกันนั้น ก็เป็นเพราะว่าพวกเขาทั้งสองคนต่างมีความรู้สึกที่ดีต่อกัน ดังนั้น พอได้เห็นหลินเนี่ยนฉือที่ไม่ได้พบกันนาน ปฏิกิริยาแรกของเวินจื่อเยวี่ยก็ย่อมยินดีเป็นธรรมดาแต่ใครจะรู้ว่าวินาทีต่อมาก็ได้ยินหลินเนี่ยนฉือที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว ด่าทอเขาและน้องหกเวินจื่อเยวี่ยขมวดคิ้วทันที “ไม่ได้เจอกันมาครึ่ง
ขณะนี้หลินเนี่ยนฉือกำลังถือแส้ม้าไว้ในมือข้างหนึ่ง ด้านหนึ่งก็พิงตัวอยู่บนรถม้า เมื่อได้ยินเสียงก็เงยหน้าขึ้นมอง“พี่ใหญ่เวิน? เหตุใดท่านถึง...ดูอ่อนแอเช่นนี้?”เมื่อเห็นเวินฉางอวิ้นออกมา หลินเนี่ยนฉือเกือบคิดว่าตัวเองจำคนผิดเสียแล้วสีหน้าซีดเผือดนั่น ก้าวเดินอย่างอ่อนแรง...หากมิใช่เพราะนางคุ้นเคยกับพี่น้องทั้งสี่ของสกุลเวินเป็นอย่างดี คงคิดว่าเขาไม่ใช่เวินฉางอวิ้น แต่เป็นพี่สี่สกุลเวินที่ป่วยออดๆ แอดๆ มาตลอดทั้งปีเสียอีก?เวินฉางอวิ้นสะอึกกับคำว่า “อ่อนแอ” ของนาง ไอสองครั้ง หลังจากปรับลมหายใจให้เป็นปกติแล้ว จึงฝืนยิ้มกล่าวว่า “ช่วงนี้ป่วยนิดหน่อย สีหน้าเลยไม่ค่อยดี ทำให้เนี่ยนฉือต้องขบขันแล้ว”เขาอธิบายอย่างไม่ใส่ใจ ไม่ได้บอกความจริงว่าตัวเองถูกวางยาพิษจากนั้นเขาก็ถามว่า “จริงสิ เนี่ยนฉือมาถึงหน้าประตูบ้านแล้ว เหตุใดถึงไม่ยอมเข้าไปข้างใน? ข้างนอกอากาศหนาว พี่ใหญ่สั่งให้คนเตรียมถ่านไฟไว้แล้ว มีเรื่องอะไรก็เข้าไปนั่งคุยกันข้างในดีหรือไม่?”เมื่อหลินเนี่ยนฉือเห็นท่าทางน่าสงสารของเขา ความโกรธที่สะสมมาก็อดไม่ได้ที่จะลดลงไปบ้างเล็กน้อยแต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่อาจลดความรู้สึกไม่เป็นธร
“ใครกัน? เมื่อครู่มีคนมาส่งเสียงดังเอะอะโวยวายที่หน้าประตูจวนเจิ้นกั๋วกงของพวกเรา!”“ไปๆๆ รีบไสหัวไปเสีย มิฉะนั้นอย่าหาว่าพวกเราไม่เกรงใจ!”หนึ่งในยามเฝ้าประตูถือกระบองจะเข้าไปไล่คน แต่ใครจะรู้ว่าวินาทีต่อมา องครักษ์ที่อยู่ด้านหลังหลินเนี่ยนฉือก็ชักดาบออกมาอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นคมดาบสีขาวราวหิมะทหารยามที่เดิมทีท่าทางโกรธเกรี้ยวก็ตกใจ ก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างไม่รู้ตัว กลืนน้ำลายแล้วกล่าวว่า “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าที่นี่คือที่ไหน? กล้าดีอย่างไรมาชักดาบที่หน้าประตูจวนเจิ้นกั๋วกง?!”“ข้าเห็นว่าบ่าวโง่อย่างพวกเจ้าหูหนวกตาบอด ฟังคำพูดของข้าไม่รู้เรื่อง หรือว่ายังจำหน้าข้าไม่ได้อีกหรือ?”หลินเนี่ยนฉือก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว สายตาเฉียบคมกวาดมองทหารยามผู้นั้นทหารยามอีกคนพลันเกิดความคิดแวบขึ้นมาในหัว ในที่สุดก็นึกออก รีบเข้าไปกล่าวด้วยความนอบน้อม “ข้าน้อยคารวะคุณหนูใหญ่หลิน สหายคนนี้เพิ่งมาใหม่ ไม่รู้เรื่องรู้ราว ไม่เคยเห็นหน้าคุณหนูใหญ่หลิน คุณหนูใหญ่หลินโปรดอภัย ข้าน้อยจะรีบเข้าไปแจ้งให้ทราบเดี๋ยวนี้!”เขารีบดึงสหายของตัวเองไปข้างหลัง แล้วบังคับให้คารวะพร้อมกัน“ถือว่าบ่าวอย่างเจ้า