หนึ่งจอมมารถือกำเนิดจากโคลนตม ไร้อารมณ์ ไร้ความรู้สึก พร้อมทำลายทุกสิ่งอย่างเลือดเย็น กับอีกหนึ่งเมล็ดพันธุ์ถูกชะตากำหนดให้เป็นผู้กำจัดเภทภัยจึงตกเป็นเป้าหมาย ชีวิตมีอันตรายอย่างเลี่ยงไม่ได้
ดูเพิ่มเติมหลินซีเวยสัมผัสได้ว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วเขาจึงปลุกให้อู๋เยว่ชิงตื่นจากหลับฝัน เสียงอึกทึกครึกโครมดังมาถึงตำหนักจันทราจนทำให้นางอกสั่นขวัญแขวนไปด้วยดวงตาสีฟ้ามองอีนั่วที่กำลังหลับแล้วสบตากับหลินซีเวย “ไม่จริงใช่หรือไม่เพคะ ไม่ใช่ฝีมือของลูก”เขาส่ายหน้าปิดบังความจริง “อย่ากังวลไปเลย ลูกเราไม่มีทางทำอันใดเช่นนั้นได้หรอก เชื่อข้าเถอะนะเยว่ชิง”“เพคะ หม่อมฉันเชื่อ ไม่ว่าอย่างไรอีนั่วก็เป็นลูกของเรา ไม่มีทางเป็นมารปีศาจอย่างแน่นอน”ใบหน้าของหลินซีเวยซีดเผือดเพราะพลังมารของอีนั่ว เขาจึงหลบหน้าชายาตนเองเพราะไม่อยากให้เป็นห่วงก่อนจะอุ้มอีนั่วขึ้นมา “เยว่ชิง วังหลวงคงไม่ปลอดภัยแล้ว เรารีบหนีออกไปหลบอยู่ที่จวนแม่ทัพใหญ่สักพักเถิด”
เช้าวันต่อมาองครักษ์ส่งข่าวให้ทุกคนในวังหลวงได้รับรู้ว่านักพรตชราผู้นั้นหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ความสิ้นหวังจึงมาเยือนคนในตำหนักจันทรายิ่งนักอู๋เยว่ชิงกอดอีนั่วเอาไว้ไม่ยอมปล่อยเพราะนางสัมผัสได้ว่ายามที่อีนั่วอยู่กับนาง อาการทรมานจะไม่แสดงออกมา หากแต่เมื่อใดที่นางเผลอหลับใหล พลังมารของอีนั่วกลับปะทุขึ้นมาทีละนิดจนมิอาจกลั้นนับวันยิ่งควบคุมไม่ได้ อู๋เยว่ชิงอดนอนฝืนตัวเองดูแลอีนั่วจนหลินซีเวยรู้สึกเป็นห่วงนางไม่แพ้กัน แต่เขากลับโทษตัวเองที่ทำอันใดเพื่อช่วยคนที่เขารักทั้งสองคนไม่ได้เลย“หม่อมฉันไม่เป็นอันใดเพคะ” นางลูบใบหน้าซูบเซียวของหลินซีเวยทั้งที่มือของนางแทบไม่มีแรงเหลือเขาแนบใบหน้ากับฝ่ามืออบอุ่นนั้น สายตาห่วงใยฉายชัดแต่ก็จำต้องแอบให้นางดื่มสมุนไพรเพื่อพัก
“องค์ชายสาม ไม่ได้พบพระองค์มานานพระวรกายแข็งแรงดีแล้วใช่หรือไม่” นักพรตผู้นั้นถามไถ่แล้วมองมารน้อยที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มไร้เดียงสาหลินซีเวยท่าทางนอบน้อม “เรื่องครั้งนั้น ข้ารู้สึกขอบคุณท่านเป็นอย่างมาก เวลานี้อาการเจ็บป่วยไม่รู้สาเหตุจึงหายเป็นปลิดทิ้ง”ชายชราถอนหายใจเฮือกใหญ่พึมพำว่า “ดีแล้ว” จากนั้นจึงยื่นมือมาหามารน้อยบ้าง อีนั่วผู้เป็นมิตรกับทุกคนจึงวางมือลงบนฝ่ามือของนักพรตชราอย่างไม่คิดระแวงครั้นคนตรงหน้าสัมผัสได้ว่าพลังมารแฝงอยู่ในแก่นวิญญาณจึงคิดไปว่าอาจจะเป็นผลทำให้อีนั่วต้องเจ็บป่วยเหมือนอย่างที่หลินซีเวยเคยประสบพบเจอ แต่พอได้ยินเสียงหง่าวดังมาจากด้านล่างจึงเข้าใจได้ว่าครั้งนี้คงจะไม่เกิดเหตุซ้ำรอยอย่างแน่นอน“แมวน้อยตัวนี้มาจากที่ใดหรือ” เขาเอ่ยถามอู๋เยว่ชิงเพราะสัมผัสไ
หลายวันต่อมาบรรดาปู่ย่าตายายของอีนั่วมาหาหลานพร้อมของรับขวัญเต็มไม้เต็มมือ ทั้งกำไลหยก กำไลเงิน แผ่นทองคำ จี้ทองและอีกสารพัดจนกล่องของขวัญในตำหนักจันทรากองพะเนินญาติสนิทมิตรสหายหลั่งไหลมาเยี่ยมเยียนไม่ขาดสาย แม้กระทั่งคนที่อยู่ไกลอย่างหลินมู่หลงยังส่งจดหมายมาแสดงความยินดีกับอู๋เยว่ชิงเจ้าตัวยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ยามที่อ่านจดหมายทางไกลนั้น เรียกความอิจฉาเล็กน้อยจากเจ้าของตำหนักอย่างยิ่ง อู๋เยว่ชิงพลันรู้สึกได้ว่าสายตาใครบางคนมองนางมาตั้งแต่เมื่อครู่จึงค่อย ๆ หันกลับไป คลี่ยิ้มบางเรียกอีกฝ่ายเสียงหวาน “เสด็จพี่เพคะ”หลินซีเวยได้ยินนางเรียกรีบเดินเข้ามาหา “เจ้าคิดว่าทำเช่นนี้แล้วข้าจะปล่อยไปง่าย ๆ หรือ”“ทรงก้มลงมาใกล้ ๆ หม่อมฉันได้หรือไม่เพคะ”
ผ่านไปสามเดือนอู๋เยว่ชิงรับรู้ได้ว่าลูกน้อยในท้องกำลังอารมณ์ดีเพราะได้ออกมาเดินเล่นในสวนดอกไม้ข้างนอกบ้างหลังจากต้องอุดอู้อยู่ในตำหนักหลายวันเพราะนางต้องคอยดูแลหลินซีเวยที่จู่ ๆ ก็เจ็บออดแอดขึ้นมา“เจ็บมากหรือไม่เพคะ” อู๋เยว่ชิงถามไถ่อาการของเขาด้วยความเป็นห่วง หลายวันมานี้ใบหน้าของหลินซีเวยซีดเผือดไปมากนัก นางนึกว่าอาการแพ้ท้องจะหายไปแล้วแต่เขากลับเป็นหนักกว่าเดิมจนได้“อย่ากังวลเลย ยิ่งเจ้าทำหน้าขมวดคิ้วชนกันอย่างนี้แล้วเดี๋ยวอีนั่วจะพลอยเป็นห่วงเจ้าไปอีกคน” องค์ชายสามลูบใบหน้านางแผ่วเบาพลางจิ้มนิ้วยืดคิ้วที่ขมวดเป็นปมออกแล้วบอกคนตรงหน้าว่า “เจ้านั่งเล่นกับลูกอยู่ตรงนี้สักพักหนึ่งเถอะ ข้าขอไปนอนงีบรออยู่ข้างในตำหนัก”“หม่อมฉัน...” อู๋เยว่ชิงคิดจะตามไปดูแลเขาด้วยแต่อีนั่วน้อยคงไม่ยอม
วันต่อมาหลังจากฮ่องเต้ฟ่านเจียรุ่ยหารือกับเหล่าขุนนางในท้องพระโรงร่วมกับองค์ชายและคณะทูตเกือบทั้งวันจึงได้เชิญชวนให้ทุกคนอยู่ร่วมงานต้อนรับในค่ำคืนนั้นด้วยการแสดงร่ายรำจากสตรีงามดึงดูดใจคณะทูตต่างเมืองจนพากันพูดเป็นเสียงเดียวว่ายอดเยี่ยมยิ่งนัก นางกำนัลหลายร้อยคนนำเหล้าสุรารสเลิศที่หมักบ่มเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ รวมถึงอาหารพื้นเมืองประจำแคว้นทยอยออกมาวางบนโต๊ะยาวเพื่อรับรองแขกบรรยากาศรื่นเริงเต็มไปด้วยความสนุกสนานและเป็นกันเองเพราะคนในแคว้นอันซีต่างเป็นมิตรกันทั้งนั้นหลินมู่หลงมองไปยังฮ่องเต้และบรรดาชายาสนมเอกของเขาแล้วยิ้มออกมา “หากข้ามีสนมมากมายเช่นนั้น สือหลิวคงจะทุบหลังข้าหักเป็นสองท่อนแน่ ๆ เลยพี่สาม”“วันหนึ่งเจ้าต้องกลายเป็นฮ่องเต้เมืองหมิงเหวิน อย่าง
หนึ่งเดือนต่อมา ณ ตำหนักจันทรา“เยว่ชิง เจ้าดูนี่สิ วันนี้ข้าสั่งให้คนนำดอกไม้ที่เจ้าชอบมาปลูกในสวน ถึงวันที่เจ้าคลอดเมื่อใด ดอกไม้พวกนี้คงจะบานสะพรั่งพอดี” หลินซีเวยเอ่ยปากบอกพลางกุมมืออู๋เยว่ชิงที่กำลังลูบท้องของตนเอง“พระวรกายดีขึ้นแล้วหรือเพคะ ไม่กี่วันก่อนยังทรงพระอาเจียนอยู่เลย” นางยังคงนึกเป็นห่วงอาการแพ้ท้องแทนของหลินซีเวยเหมือนทุกครั้ง แต่คนข้าง ๆ ก็ยังตื่นเต้นกับการจะได้เป็นพ่อคนครั้งแรกจึงไม่สนใจร่างกายของตนเอง“เจ้าอย่าได้กังวลเรื่องนั้นเลย เห็นเจ้ากับลูกสบายดี ข้าก็โล่งใจมากแล้ว” มือหนาลูบเรือนผมของนางอย่างแผ่วเบา “ข้ามีของขวัญอีกหนึ่งชิ้นให้เจ้า”หลินซีเวยหยิบปิ่นหยกเขียวบริสุทธิ์ออกมาให้นางดู ตรงด้ามสลักคำว่า รักมั่นนิรันดร์ ก่อนจะปักปิ่นบนเรือนผมให้ชายาของตนเอง“ขอบพระทัยเพคะ” อู๋เยว่ชิงยิ้มกว้างและรู้สึกขอบคุณความเอาใจใส่ดูแลของหลินซีเวยยิ่งนัก หนึ่งเดือนมานี้เขาตั้งหน้าตั้งตาทำทุกอย่างให้นางจนนางแทบไม่ต้องแตะต้องอันใดเลย แม
คืนนั้น ข่าวคราวของชายาองค์ชายสามแพร่สะพัดไปทั่ววังหลวง ปีนี้นับว่ามีแต่เรื่องดี ๆ เข้ามาจนใครหลายคนพากันขอบคุณสวรรค์หลังจากหมอหลวงกลับออกไป หลินซีเวยยิ่งตัวติดกับอู๋เยว่ชิงไม่ห่างมากกว่าเดิม คอยประคบประหงมดูแลยิ่งกว่าไข่ในหิน“หม่อมฉันดื่มเองได้เพคะ” นางรีบรับถ้วยยามาถือไว้เพราะเกรงใจคนตรงหน้าที่ไม่เคยต้องปรนนิบัติดูแลใครอย่างใกล้ชิดมาก่อน“ข้าอยากดูแลเจ้าเหมือนครานั้นที่เจ้าดูแลข้า ไม่ได้หรือ” หลินซีเวยไม่ยอมปล่อยถ้วยยานั้น อู๋เยว่ชิงไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไรจึงได้แต่ทำตามโดยปริยายเช้าวันต่อมาฮ่องเต้และฮองเอาจึงมาแสดงความยินดีกับทั้งสองคนพร้อมอวยพรให้สุขภาพร่างกายของอู๋เยว่ชิงและเด็กน้อยในท้องแข็งแรง ไร้โรคภัยเบียดเบียนไท่จื่อกับชายารวมถึงหลินมู่หลงและองค์หญิงสือหลิวก็มาพร้อมหน้ากัน หากแต่ปฏิกิริยาของหลินซีเวยดูแตกต่างไปจากตอนที่บิดาของเขามาเยี่ยมนักบุรุษใดนอกเหนือจากที่เขาคิดอย่าได้ย่างกรายเข้ามาใกล้นางเป็นอันขาด“พี่สาม ข้าจะขอพบนางสักครู่ไม่ได้หรือ” หลินม
เสด็จพี่ เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ได้หรือเพคะ” อู๋เยว่ชิงถามหลินซีเวยทันทีที่เห็นหน้า“นั่นสิพี่สาม วังหลวงออกจะกว้างใหญ่ บังเอิญจริง ๆ ที่ได้เห็นท่านที่นี่” หลินมู่หลงพูดเบา ๆ แต่อีกฝ่ายกลับตอบว่า “บังเอิญอย่างยิ่งที่มืดค่ำป่านนี้แล้วเจ้ายังไม่กลับตำหนักของตนแต่มาอยู่กับนาง”“พระพักตร์ไม่สบอารมณ์ พระสุรเสียงหงุดหงิด ท่าทางฉุนเฉียว” เสียงขององค์หญิงสือหลิวลอยมาแต่ไกลพลางมองคนของตนเองราวกับจะบอกว่า “เห็นไหมเล่า เป็นอย่างที่ข้าบอกจริง ๆ ด้วย”“เป็นอย่างไรหรือเพคะ” อู๋เยว่ชิงถามนางบ้าง“การกระทำเช่นนี้ องค์ชายสามคงจะตกไหน้ำส้มกระมัง” องค์หญิงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา แล้วหันไปบอกกับหลินมู่หลงว่า “เราสองคนขอตัวกลับกันก่อนดีกว่า” แล้วคล้องแขนดึงคนข้าง ๆ ไปทันที“เอ่อ...” หลินมู่หลงกำลังจะเอ่ยปากแต่ทำได้แค่ยกมือโบกลาอู๋เยว่ชิงเท่านั้นดวงตาสีม่วงแดงของหลินซีเวยขุ่นเคืองไม่น้อยจนอู๋เยว่ชิงนึกถึงคำที่องค์หญิงบอกเมื่อครู่ “เสด็
ความสงบสุขเรียบง่ายหลายหมื่นปีของภพสวรรค์กำลังถูกสั่นคลอนเพราะมารตนหนึ่งที่ถือกำเนิดขึ้นเมื่อร้อยปีก่อน ใครเล่าจะคิดว่าสิ่งเล็ก ๆ จากบ่อโคลนของความชั่วร้ายทั้งปวงจะหลอมรวมภัยอันตรายที่สามารถทำลายล้างสวรรค์ให้ราบเป็นหน้ากลองได้ในเวลาไม่นานภพมารแซ่ซ้องสรรเสริญผู้ปกครองดินแดนคนใหม่ ยกขึ้นเป็นนายเหนือหัวที่จะกลายเป็นจอมมารปลดเปลื้องพันธะให้เหล่ามารปีศาจที่ถูกกักขังในหุบเหวดำมืด จบสิ้นการลงทัณฑ์อันยาวนานจากเทพบรรพกาลเสียงอึกทึกกึกก้องคำรามข่มขู่เหล่าเทพเซียนบนฟากฟ้าพร้อมบุกเข้าโจมตีอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยจนผู้คนในแดนศักดิ์สิทธิ์วุ่นวายโกลาหลเคราะห์ยังดีที่กองทัพสวรรค์เป่าแตรส่งสัญญาณเตือนภัยได้ทันเวลา เหล่าเทพเซียนจึงผนึกกำลังป้องกันการรุกรานของทัพมารอย่างสุดความสามารถเทพสงครามนำทัพออกมาเผชิญหน้าปกป้องสรรพสิ่งไม่ให้แตกสลายจากมหันตภัยในครั้งนี้ กลยุทธ์มากมายที่เคยใช้กับจอมมารตนอื่นกลับไม่ได้ผลนักไพ่ตายที่ถูกวางไว้สามอย่างเริ่มดำเนินไปอย่างเงียบ ๆ หวังว่าจะหยุดความเลวร้ายทั้งหมดลงไปได้ก่อนที่จะมีความสูญเสียไปมากกว่านี้เวลานั้นโฉมหน้าของผู้นำทัพมารจึงปรากฏขึ้น รอยยิ้มชั่วร้ายและแววตาเย็...
ความคิดเห็น