หลายวันต่อมา
บรรดาปู่ย่าตายายของอีนั่วมาหาหลานพร้อมของรับขวัญเต็มไม้เต็มมือ ทั้งกำไลหยก กำไลเงิน แผ่นทองคำ จี้ทองและอีกสารพัดจนกล่องของขวัญในตำหนักจันทรากองพะเนิน
ญาติสนิทมิตรสหายหลั่งไหลมาเยี่ยมเยียนไม่ขาดสาย แม้กระทั่งคนที่อยู่ไกลอย่างหลินมู่หลงยังส่งจดหมายมาแสดงความยินดีกับอู๋เยว่ชิง
เจ้าตัวยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ยามที่อ่านจดหมายทางไกลนั้น เรียกความอิจฉาเล็กน้อยจากเจ้าของตำหนักอย่างยิ่ง อู๋เยว่ชิงพลันรู้สึกได้ว่าสายตาใครบางคนมองนางมาตั้งแต่เมื่อครู่จึงค่อย ๆ หันกลับไป คลี่ยิ้มบางเรียกอีกฝ่ายเสียงหวาน “เสด็จพี่เพคะ”
หลินซีเวยได้ยินนางเรียกรีบเดินเข้ามาหา “เจ้าคิดว่าทำเช่นนี้แล้วข้าจะปล่อยไปง่าย ๆ หรือ”
“ทรงก้มลงมาใกล้ ๆ หม่อมฉันได้หรือไม่เพคะ” นางเอ่ยพึมพำจนเจ้าตัวได้ยินไม่ชัดจึงก้มลงตามที่บอก
อู๋เยว่ชิงเอื้อมมือโอบรอบคอของเขา โน้มให้อีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้แล้วฝากจุมพิตหวานละมุน สายตาทั้งคู่มองคนตรงหน้าเนิ่นนาน
หลินซีเวยเลียริมฝีปากของตนเองทำหน้าเสียดายเล็กน้อยแล้วกระซิบแผ่วเบา “อีกครั้งได้หรือไม่”
ชายาคนโปรดกำลังตอบตกลงพลันได้ยินเสียงกุกกักดังมาจากด้านนอกประตูเหมือนใครบางคนมาทางนี้ นางจึงเปลี่ยนใจส่ายหน้าดันอกเขาไว้แล้วบอกว่าเอาไว้คราวหลัง
สายตาเจ้าเล่ห์มองค้อนไม่ยอม ยักยิ้มมุมปากให้นางทีหนึ่งแล้วประกบริมฝีปากไล้เลียโดยไม่สนใจว่าใครจะเข้ามาเยี่ยมพวกเขาเวลานี้
หากแต่คนที่มาคือไท่จื่อและชายาพลันต้องรีบหันหลังกลับตำหนักของตนเองในทันที “เฮ้อ มาผิดเวลาเสียแล้ว” เขากล่าวกับชายาตนเองแล้วนึกอมยิ้มไม่เคยเห็นน้องชายมุมนั้นมาก่อนในชีวิต
“ผ่านมานานแล้ว หม่อมฉันก็ยังไม่คุ้นชินเพคะ”
“ข้าเข้าใจ” ไท่จื่อส่ายหน้า “เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้วล่ะ” ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินจูงมือกันอย่างอารมณ์ดี
องค์ชายสามและชายาช่วยกันเลี้ยงดูหลินอีนั่วเป็นอย่างดี คอยตระเตรียมทำทุกอย่างด้วยตนเองและข้าง ๆ ยังมีเสี่ยวไป๋คอยช่วยมารน้อยควบคุมพลังมารตลอดเวลา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลินซีเวย เขามักจะตื่นมาดูแลบุตรชายกลางดึกอยู่เสมอเพราะพลังมารของอีนั่วจะสำแดงฤทธิ์เดช ในขณะที่อู๋เยว่ชิงแทบจะไม่รู้สึกตัวเลย
หลายวันเข้า พ่อมือใหม่ก็เริ่มอดหลับอดนอนไปโดยปริยาย กว่าจะสอนให้อีนั่วควบคุมมันได้ก็ใช้เวลาอยู่นาน สุดท้ายแล้วจึงฝากให้เสี่ยวไป๋คอยเฝ้าระวังเอาไว้แล้วหลับตาพักผ่อนตลอดทั้งคืน
กาลเวลาจากสามวันเป็นสามเดือน ผันผ่านสามเดือนเป็นสามปี ชีวิตสุขสันต์ของคนในตำหนักจันทรายังคงดำเนินต่อไปอย่างปกติสุข
เด็กชายตัวน้อยวิ่งหน้าตั้งมาหาผู้เป็นบิดาที่กำลังนั่งจิบชาอยู่ในศาลาไม้กลางสวน เสียงหัวเราะของเขาเรียกรอยยิ้มจากหลินซีเวยเสมอ “อีนั่ว” น้ำเสียงเข้มเอ่ยเรียก
“เสด็จพ่อ” อีนั่วหายใจหอบเพราะวิ่งมาตั้งแต่อีกฟากหนึ่งของตำหนัก “เสด็จแม่ให้ลูกมา” เขายื่นถุงหอมปักลายสีฟ้าขาวให้หลินซีเวยดูแล้วรีบเก็บเอาไว้กับตัว
คนตรงหน้าเลิกคิ้วตอบบุตรชายไปด้วยความมันเขี้ยวว่า “เฮอะ พ่อก็มี” แล้วคว้านเอาถุงหอมที่อู๋เยว่ชิงเคยให้มาอวดต่อหน้าอีนั่วทันที “แล้วพ่อก็มีผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กด้วย แล้วก็มี...”
หลินซีเวยหยิบหลายอย่างที่ชายาของตนเคยให้ไว้เป็นของขวัญและของแทนใจมาให้อีนั่วดู จงใจทำหน้าบ่งบอกว่า “พ่อมีเยอะกว่าเจ้าอีก” แล้วหัวเราะเบา ๆ อย่างอารมณ์ดี
มารน้อยเห็นเช่นนั้นเริ่มเบะปากคิ้วขมวดออกอาการไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงมีเพียงแค่ถุงหอมอย่างเดียว “เสด็จแม่ไม่รักข้าหรือ” พลันน้ำตาเอ่อคลอเบ้าสะอึกสะอื้นขึ้นมาทันที
“...” องค์ชายสามไม่ทันคิดไปเลยว่าการเกทับของเขานั้นจะส่งผลกับลูกอย่างไรบ้างจึงได้แต่นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
“ไม่จริงหรอก เสด็จแม่รักข้า” อีนั่วปาดน้ำตา แล้วทำมือวัดส่วนสูงของตัวเองกับหลินซีเวย “รอข้าตัวเท่าเสด็จพ่อก่อน ข้าอาจจะมีของที่เสด็จแม่ให้มากกว่าก็ได้”
คนได้ฟังคิ้วกระตุกอดอมยิ้มกับความคิดของบุตรชายไม่ได้ “อย่างนั้นหรือ”
หงึก หงึก มารน้อยพยักหน้าแล้วถามเขาอีกว่า “เสด็จแม่จะกลับมาเมื่อใดหรือ”
“สักสองสามวันกระมัง แม่ของเจ้าต้องไปช่วยท่านยายจัดการธุระบางอย่าง” เขาลูบศีรษะมารน้อย ดวงตาสีม่วงแดงจับจ้องดวงตาสีฟ้าของหลินอีนั่ว “ดวงตาเจ้าเหมือนนางมากจริง ๆ”
“นั่นเป็นส่วนที่ข้าชอบมากที่สุด” เขากระพริบตาปริบ ๆ ตอบด้วยน้ำเสียงใสซื่อ แววตาสะท้อนเป็นประกายจนหลินซีเวยคิดว่ากำลังมองดวงดาราบนท้องฟ้ายามค่ำคืน
“ฟ้าเริ่มมืดแล้ว กลับตำหนักกันดีกว่า” เขาบอกบุตรชาย “เอาไว้พรุ่งนี้ไปหาแม่ของเจ้าดีหรือไม่ ข้าเองก็คิดถึงนางจนทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน”
หลินอีนั่วพยักหน้าเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งแล้ววิ่งกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข
เพียงแต่ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม จู่ ๆ เสี่ยวไป๋ก็รู้สึกได้ว่าพลังมารปะทุอยู่ในแก่นวิญญาณของหลินอีนั่ว มันขนลุกตั้ง หางชี้ ท่าทางหวาดระแวงวิ่งแจ้นเข้ามาในห้องบรรทมของอีนั่วอย่างระแวดระวัง
แมวน้อยมองซ้ายทีขวาทีหาสิ่งที่ผิดปกติที่นับวันยิ่งแปลกประหลาดแต่ไม่อาจหาสาเหตุต้นตอได้เจอจึงทำได้เพียงแค่ช่วยอีนั่วทุเลาพลังมารยามที่เขาไม่รู้สึกตัว
เช้าวันต่อมา
สองพ่อลูกจึงแอบไปหาอู๋เยว่ชิงที่วัดบนเขาโดยไม่บอกกล่าวให้นางรู้ล่วงหน้า วันนี้จึงเป็นครั้งแรกที่อีนั่วได้มายังสถานที่แห่งนี้
หลินซีเวยไม่นึกกังวลใจหากต้องพาบุตรชายมายังเขตศักดิ์สิทธิ์เพราะพลังมารยามตะวันโผล่พ้นขอบฟ้าจะอ่อนแอลงอีกทั้งมีเสี่ยวไป๋เดินอยู่ข้าง ๆ ไม่ห่างกายจึงไม่รู้สึกเดือดร้อนใจอันใด
“เสด็จแม่” เสียงสดใสของอีนั่วตะโกนก้องเมื่อเห็นสตรีนางหนึ่งยืนอยู่ใต้ร่มไม้ “เสด็จแม่”
อู๋เยว่ชิงหันมองต้นเสียงพลันยิ้มบางไม่นึกว่าจะได้พบเจอทั้งคู่ นางนั่งลงกางแขนออกรออีนั่ววิ่งมาหาแล้วกอดบุตรชายตัวน้อยเอาไว้
“คิดถึงข้าหรือไม่” มารน้อยทำตาโตใสแป๋วรอคำตอบ “ข้าคิดถึงพระองค์มากเลย”
เพิ่งจะห่างกันเพียงแค่วันเดียว อีนั่วกลับออดอ้อนนางมากถึงเพียงนี้ คนเป็นแม่จึงรู้สึกเอ็นดูยิ่งนัก
เสียงกระแอมไอของใครอีกคนดังขึ้นมา สายตาถามออดอ้อน เหตุใดจึงไม่กอดข้าบ้าง ไม่คิดถึงข้าเลยหรือ อู๋เยว่ชิงจึงอุ้มอีนั่วขึ้นมาแล้วเดินไปหาเขา “คิดถึงสิเพคะ”
นางตอบอย่างกับเดาความในใจของอีกฝ่ายได้หลังจากอยู่ร่วมเรียงเคียงหมอนมานานถึงสามปี “คิดถึงทั้งสองคนเลย” แล้วหอมแก้มมารน้อยหนึ่งฟอดให้ชื่นใจ
หลินซีเวยยิ้มเจ้าเล่ห์สั่งให้อีนั่วปิดหูของตนเองไว้แล้วเอามือปิดตาอีนั่วอีกที จากนั้นจึงหันมองหน้าชายาพร้อมจุมพิตริมฝีปากคนรักอย่างดูดดื่มไม่ยอมปล่อยจนมารน้อยร้องลั่น “เสด็จพ่อข้ามองไม่เห็น ท่านทำอะไรกับเสด็จแม่”
“...” หลินซีเวยไม่ยอมตอบทั้งยังไม่ยอมถอนจุมพิตนั้นราวกับต้องการแกล้งทั้งอู๋เยว่ชิงและอีนั่วในเวลาเดียวกัน
สองมือของนางไม่ว่างเพราะอุ้มบุตรชายอยู่ หากแต่คนตรงหน้ากลับไม่ยอมหยุดแต่เพียงเท่านั้น อู๋เยว่ชิงรู้ทันจึงห้ามเขาด้วยกัดริมฝีปากเล็กน้อยสร้างความแปลกใจให้หลินซีเวยได้เป็นอย่างดี เขาจึงตวัดปลายลิ้นดูดกลืนนางอีกสองสามครั้งก่อนจะยอมทำตาม
เวลานั้น
นักพรตชราที่เคยทำนายทายทักหลินซีเวยเดินออกมาพร้อมอู๋ฮูหยินจับสังเกตได้ถึงพลังมารจาง ๆ จากตัวบุตรของทั้งคู่ สีหน้าของเขาจึงวิตกกังวลอีกครั้งราวกับเรื่องราวเดิม ๆ กำลังจะหวนกลับมา
“องค์ชายสาม ไม่ได้พบพระองค์มานานพระวรกายแข็งแรงดีแล้วใช่หรือไม่” นักพรตผู้นั้นถามไถ่แล้วมองมารน้อยที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มไร้เดียงสาหลินซีเวยท่าทางนอบน้อม “เรื่องครั้งนั้น ข้ารู้สึกขอบคุณท่านเป็นอย่างมาก เวลานี้อาการเจ็บป่วยไม่รู้สาเหตุจึงหายเป็นปลิดทิ้ง”ชายชราถอนหายใจเฮือกใหญ่พึมพำว่า “ดีแล้ว” จากนั้นจึงยื่นมือมาหามารน้อยบ้าง อีนั่วผู้เป็นมิตรกับทุกคนจึงวางมือลงบนฝ่ามือของนักพรตชราอย่างไม่คิดระแวงครั้นคนตรงหน้าสัมผัสได้ว่าพลังมารแฝงอยู่ในแก่นวิญญาณจึงคิดไปว่าอาจจะเป็นผลทำให้อีนั่วต้องเจ็บป่วยเหมือนอย่างที่หลินซีเวยเคยประสบพบเจอ แต่พอได้ยินเสียงหง่าวดังมาจากด้านล่างจึงเข้าใจได้ว่าครั้งนี้คงจะไม่เกิดเหตุซ้ำรอยอย่างแน่นอน“แมวน้อยตัวนี้มาจากที่ใดหรือ” เขาเอ่ยถามอู๋เยว่ชิงเพราะสัมผัสไ
เช้าวันต่อมาองครักษ์ส่งข่าวให้ทุกคนในวังหลวงได้รับรู้ว่านักพรตชราผู้นั้นหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ความสิ้นหวังจึงมาเยือนคนในตำหนักจันทรายิ่งนักอู๋เยว่ชิงกอดอีนั่วเอาไว้ไม่ยอมปล่อยเพราะนางสัมผัสได้ว่ายามที่อีนั่วอยู่กับนาง อาการทรมานจะไม่แสดงออกมา หากแต่เมื่อใดที่นางเผลอหลับใหล พลังมารของอีนั่วกลับปะทุขึ้นมาทีละนิดจนมิอาจกลั้นนับวันยิ่งควบคุมไม่ได้ อู๋เยว่ชิงอดนอนฝืนตัวเองดูแลอีนั่วจนหลินซีเวยรู้สึกเป็นห่วงนางไม่แพ้กัน แต่เขากลับโทษตัวเองที่ทำอันใดเพื่อช่วยคนที่เขารักทั้งสองคนไม่ได้เลย“หม่อมฉันไม่เป็นอันใดเพคะ” นางลูบใบหน้าซูบเซียวของหลินซีเวยทั้งที่มือของนางแทบไม่มีแรงเหลือเขาแนบใบหน้ากับฝ่ามืออบอุ่นนั้น สายตาห่วงใยฉายชัดแต่ก็จำต้องแอบให้นางดื่มสมุนไพรเพื่อพัก
หลินซีเวยสัมผัสได้ว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วเขาจึงปลุกให้อู๋เยว่ชิงตื่นจากหลับฝัน เสียงอึกทึกครึกโครมดังมาถึงตำหนักจันทราจนทำให้นางอกสั่นขวัญแขวนไปด้วยดวงตาสีฟ้ามองอีนั่วที่กำลังหลับแล้วสบตากับหลินซีเวย “ไม่จริงใช่หรือไม่เพคะ ไม่ใช่ฝีมือของลูก”เขาส่ายหน้าปิดบังความจริง “อย่ากังวลไปเลย ลูกเราไม่มีทางทำอันใดเช่นนั้นได้หรอก เชื่อข้าเถอะนะเยว่ชิง”“เพคะ หม่อมฉันเชื่อ ไม่ว่าอย่างไรอีนั่วก็เป็นลูกของเรา ไม่มีทางเป็นมารปีศาจอย่างแน่นอน”ใบหน้าของหลินซีเวยซีดเผือดเพราะพลังมารของอีนั่ว เขาจึงหลบหน้าชายาตนเองเพราะไม่อยากให้เป็นห่วงก่อนจะอุ้มอีนั่วขึ้นมา “เยว่ชิง วังหลวงคงไม่ปลอดภัยแล้ว เรารีบหนีออกไปหลบอยู่ที่จวนแม่ทัพใหญ่สักพักเถิด”
หลินซีเวยหมดท่าไม่อาจโต้กลับเหล่าเซียนสำนักหานหลิ่งได้อีกทั้งยังถูกตรึงด้วยผนึกเพื่อทำลายพลังมารปีศาจที่ควบคุมร่างเขาอยู่“ท่านเซียน ช่วยเขาไม่ได้หรือ” ฮ่องเต้เอ่ยปากถามเพราะยังมีความหวังว่าจะได้บุตรชายกลับคืน หากแต่เหล่าเซียนกลับตอบว่า “พลังมารปีศาจหลอมรวมเข้าแก่นวิญญาณของเขาแล้วมิอาจถอดถอนได้เฉกเช่นคนทั่วไป หนทางเดียวที่จะหยุดหายนะในเมืองไท่หยางคือสังหารเขาไปพร้อมกับมัน”“...” ทุกคนนิ่งเงียบ สายตามองปีศาจร้ายด้วยความหวาดกลัว เพียงแค่หนึ่งก้านธูป วังหลวงกลับนองเลือดราวกับมีสงครามครั้งใหญ่ หากคิดปล่อยไว้มีหวังทั้งเมืองไท่หยางคงกลายเป็นเมืองร้างไร้ผู้คนเป็นแน่“ข้าไม่ได้ขอความเห็นพวกท่าน มาวันนี้เพื่อทำหน้าที่ของตนเอง มารปีศาจตนนี้ร้ายกาจนักหากปล่อยให้หลุดรอดไปได้คงทำลายผู้คนในเมืองอื่น ๆ อีกนับไม่ถ้วน&r
Trigger Warning (TW 18+) = มีเนื้อหาหรือเหตุการณ์ที่อาจทำให้สะเทือนใจห่างไปอีกเมืองหนึ่งไม่ไกลนักรถม้าของอู๋เยว่ชิงหยุดพักอยู่ที่หมู่บ้านเล็ก ๆ แถบชานเมือง นางพยายามรวบรวมสติของตนเองเอาไว้แล้วปกป้องอีนั่ว“เสด็จแม่ เราอยู่ที่ใดกันหรือ” อีนั่วเอ่ยปากถามทันทีที่ลืมตาหลังจากนอนหลับยาวนาน “เสด็จพ่อเล่า...”เมื่อถูกถามไถ่ถึงหลินซีเวย น้ำตาของนางก็เอ่อคลอแต่พยายามกลั้นใจเอาไว้ “พ่อของเจ้าจะรีบตามมา อีนั่วอย่าได้กังวลไปเลยนะ”มารน้อยพยักหน้าแล้วซบเข้าอ้อมกอดของมารดาสัมผัสได้ถึงความกังวลใจของอู๋เยว่ชิง มือน้อย ๆ ลูบใบหน้าของนางราวกับต้องการปลอบประโลมพวกเขาหย
หากแต่ผลที่ได้ไม่เป็นอย่างคาดคิดเพราะพลังมารที่เขาส่งออกไปสะท้อนกลับเข้าหาตัวเหมือนอย่างเคยกงจื่อเย่ชักสีหน้าไม่สบอารมณ์ “เหตุใดจึงฆ่าเจ้าไม่ได้!!!”เขาเชื่อว่าเมล็ดพันธุ์ของชาตินี้ที่อยู่ในแก่นวิญญาณของนางต้องได้รับความเสียหายจนปริแตกแล้วจึงได้ลงมือ แต่กลับทำอันใดนางไม่ได้เลยแม้แต่น้อยครั้นลองร่ายพลังมารใส่อู๋เยว่ชิงอีกครั้ง พลังรุนแรงนั้นยังคงสะท้อนกลับมาหาเขาไม่เคยเปลี่ยนกงจื่อเย่กระอักเลือดออกมากองใหญ่ คิ้วขมวดเป็นปม เอ่ยถามนางด้วยความสงสัย “ที่ผ่านมาเจ้าไม่ได้รักข้าหรือ”นั่นเพราะเขาเข้าใจมาโดยตลอดว่าความรักมักจะทำให้มนุษย์อ่อนแอ ยิ่งรักมากเท่าใดยิ่งเจ็บปวดมากเท่านั้น หากถูกคนท
หลังจากที่เมล็ดพันธุ์ถูกฝังในแก่นวิญญาณของจอมมารเรียบร้อยแล้ว ความทรงจำที่อู๋เยว่ชิงมีต่อเขาในฐานะคนรักของหลินซีเวยจึงพรั่งพรูเข้าหาสวีลู่ชิงใช้พลังเทพบรรพกาลทำให้เขารับความรู้สึกของนางแม้จะยืนยาวได้ไม่ถึงหนึ่งลมหายใจแต่ก็พอทำให้เขารู้สึกเจ็บแปลบชั่วขณะความรักของนางที่เขาบอกว่าเป็นเรื่องลวงหลอก ดูเหมือนจอมมารจะสัมผัสได้ว่านางเอ่ยความจริงจากก้นบึ้งในใจ แต่มันกลับทำได้แค่เพียงสะกิดความรู้สึกแล้วจางหายไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยนางไม่ได้หวังอันใดไปมากกว่านี้ ขอแค่ให้เขาได้รับรู้บ้างเผื่อจอมมารจะรู้สำนึกว่าได้ทำอันใดลงไปแม้สวีลู่ชิงจะไม่รู้ว่าเมล็ดพันธุ์ดวงสุดท้ายที่แตกร้าวจะทำให้ดวงอื่น ๆ ที่เคยถูกฝังในร่างจอมมารปริแตกหยั่งรากลึกก่อนเวลาอันควรจนความรู้สึกทั้งปวงก่อตัวขึ้นใน
หลังจากอู๋เยว่ชิงผนึกเมล็ดพันธุ์ทั้งสามดวงได้แล้ว ร่างมนุษย์ของนางจึงแตกสลาย เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ววิญญาณเทพดาราควรกลับแดนสวรรค์เพราะนางได้ผ่านด่านเคราะห์อันแสนสาหัสไปเรียบร้อยหากแต่เวลานี้ยังไม่มีผู้ใดรู้เลยว่าวิญญาณของเทพดาราหายไปอยู่ที่ใดราวกับนางไม่มีตัวตนสิ่งที่นางหลงเหลือไว้มีเพียงความทรงจำและความเจ็บปวดที่ฝังลึกในเมล็ดพันธุ์ที่ปริแตกในแก่นวิญญาณของจอมมาร คนที่กำลังทรมานกับสิ่งที่ตนเองกระทำตลอดหลายปีที่ผ่านมากงจื่อเย่เพิ่งสัมผัสได้ว่านางทุกข์ทน ผิดหวังและเศร้าโศกมากเพียงใด เขาไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดจึงไม่อาจกำจัดความรู้สึกทั้งหลายทั้งปวงออกไปได้“นายท่าน เหตุใดจึงไม่ทำลายมันทิ้งไป พลังของนายท่านยังไม่สมบูรณ์ดีหรือขอรับ” โจวเหวินหลงเอ่ยปากถามด้วยความสงสัยเพราะเมล็ดพันธุ์เหล่านั้นไม่ได้มีกำลังมากมายที่
สวีลู่ชิงและพี่ชายรอข่าวคราวจากเสี่ยวไป๋อยู่นอกเขตแดนมารนางเดินวนไปวนมาด้วยความกังวลกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับอีนั่วจนแทบอยากจะฝ่าเข้าไปในภพมารเพื่อตามหาเขาด้วยตัวเอง“นั่งลงก่อนเถิด เจ้าเดินไปเดินมาจนข้าตาลายแล้ว” สวีต้าเฟิงส่ายหน้าพลางบ่นพึมพำ“ข้าเป็นห่วงเขา” นางเอ่ยตามตรง ใจหนึ่งรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เจอกับมารน้อยครั้งแรกแต่อีกใจกลับสัมผัสความรู้สึกคุ้นเคยได้อย่างบอกไม่ถูกช่วงเวลาเพียงเสี้ยวหนึ่ง เสี่ยวไป๋ส่งสัญญาณบางอย่างกลับมาหาผู้เป็นเจ้านายบอกให้รู้ว่ากำลังมาถึง รอยยิ้มบางจึงผุดขึ้นมาด้วยความยินดีพลันเงาดำตะคุ่มปรากฏด้านหลังเขตแดนภพมาร“สวีลู่ชิง ถอยออกมา” เทพวายุดึงร่างน้องสาวให้ออกห่างเพราะกลัวจะมีอันตราย “เจ้าอย่าเพิ่งวู่วาม จงอย่าล
หลังจากกงจื่อเย่สูญสิ้นไปทัพมารที่กำลังบุกสวรรค์ครานี้จึงแตกพ่ายเพราะไร้ผู้นำถูกกองทัพสวรรค์ขับไล่กลับภพมารในเวลาไม่นานเหล่าเทพเซียนต่างพากันโห่ร้องยินดีเพราะภัยคุกคามถูกกำจัดแล้ว หากแต่เทพอาวุโสและเทพชั้นสูงบางคนยังคงไม่อาจวางใจได้มากนักแต่ถึงอย่างนั้นแล้วก็พอจะโล่งใจได้บ้างว่าหลายพันปีต่อจากนี้สามภพคงจะสงบสุขราบรื่น และหากถึงเวลาที่จอมมารฟื้นคืนกลับมา ตอนนั้นพวกเขาคงหาวิธีรับมือได้บ้างแล้วตำหนักเทพดารามีแขกเข้าเยี่ยมไม่ขาดสายเพราะได้ยินเรื่องราวปากต่อปากจึงมาถามไถ่ด้วยตนเอง สวีลู่ชิงจึงบอกพวกเขาแต่เพียงว่า “มารผู้นั้นคงกลับใจกระมัง แต่ข้าไม่รู้หรอกว่าเป็นเพราะอันใด”นางกล่าวเช่นนั้นเพราะไม่รู้จริง ๆ แม้กงจื่อเย่จะจากไปแล้วแต่ความทรงจำที่ขาดหายไปก็ยังไม่กลับคืนมา
เทพเซียนที่ยืนอยู่รายรอบมองหน้ากันด้วยความงุนงงครั้นจะพุ่งตัวเข้าไปดึงจอมมารออกมาจากที่นั่นก็ทำไม่ได้เพราะรังแต่จะเสี่ยงชีวิตของตัวเองไปด้วยคราวแรกก็คิดว่าเขาเข้ามาขัดขวางไม่ให้นางทำภารกิจสำเร็จ แต่ไป ๆ มา ๆ กลับได้เห็นว่าจอมมารกำลังใช้ร่างกายตัวเองเป็นเกราะกำบังและรับอสนีบาตแต่เพียงผู้เดียว“สวีต้าเฟิง นี่มันเรื่องอันใดกัน” หนึ่งในเทพอาวุโสถามเขาเพราะเพิ่งมาถึง“ข้าก็ไม่รู้ขอรับ” เขาไม่อาจตอบคำถามนั้นได้เพราะไม่คิดว่าเรื่องราวตรงหน้าจะกลับตาลปัตรได้ขนาดนั้น“แต่ถ้าปล่อยเอาไว้แล้วจะจัดการจอมมารได้อย่างไร เจ้าก็รู้ไม่ใช่หรือว่าเทพดาราจะต้องเป็นผู้รับทัณฑ์สวรรค์ ไม่ได้การแล้ว ข้าต้องรีบเข้าไปห้าม”เทพอาวุโสส่ายหน้าหนักใจ ช่วงท
เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้นคนเป็นพี่ชายอย่างสวีต้าเฟิงแทบทำอาวุธหลุดมือ ในใจนึกโกรธเกรี้ยวที่จอมมารเจ้าเล่ห์พูดอะไรไม่เข้าเรื่อง“เจ้าอย่ามาพูดซี้ซั้ว” เทพวายุกำอาวุธประจำกายไว้แน่น “กล้าพูดใส่ร้ายให้น้องสาวข้ามีมลทิน เห็นทีคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่”กงจื่อเย่ไม่ยอมน้อยหน้าเพราะทุกสิ่งที่พูดออกไปเป็นความจริงจึงยืนยันว่า “ข้าคือสามีที่ถูกต้องตามประเพณีในด่านเคราะห์ชาติที่สองของนาง” ใจจริงเขาอยากจะพูดต่อด้วยซ้ำไปว่ามีพยานรักหนึ่งคนที่มีดวงตาสีฟ้างดงามเหมือนกับนางแต่เพื่อความปลอดภัยของมารน้อย เขาจึงต้องเก็บเรื่องนี้เอาไว้ต่อไป“เฮอะ” เทพปฐพีแสยะยิ้ม “ก็แค่ด่านเคราะห์ เจ้าจะมายึดถือเช่นนั้นได้อย่างไร” เขาถามออกไปแต่ในใจเริ่มคิดแล้วว่าถ้าเขาได้ตัวภรรยากลับไปแล้วเรื่องราวสงครามของจอมมา
สายใยระหว่างแม่ลูกที่ถักทอในแก่นวิญญาณมารน้อยทำให้เขารู้ว่าเวลานี้นางหายไปอยู่ในที่แสนไกล ถึงอย่างนั้นก็ยังคงหวังลึก ๆ และนั่งรอมารดาอยู่ที่เดิมทว่า ผ่านไปวันแล้ววันเล่า ในใจของอีนั่วเศร้าหมองและคิดถึงนางยิ่งนักจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ไม่เกรงกลัวว่าจะมีอันตรายใด ๆ เกิดขึ้นกับตัวเองพลันใช้พลังมารหายตัวเข้าสู่แดนสวรรค์ในพริบตาอีนั่วรีบพุ่งไปที่ตำหนักเทพดาราในทันที ไม่ข้องแวะที่ใดเพราะห่วงว่าจะมีใครสังเกตเห็นตัวตนมารปีศาจ คอยแอบอยู่ในมุมมืด พรางตัวราวกับเป็นอากาศ แล้วกวาดสายตามองหามารดา“ท่านแม่...” เขาเผลอเรียกออกไปแบบนั้นอย่างเคยแต่หยุดชะงักไปเพราะรู้สึกได้ว่าหญิงสาวตรงหน้ามีอะไรแปลกไปจากเดิม นางกำลังหัวเราะและยิ้มให้คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ โดยไม่รู้สึกตัวเลยว่าเลือดเนื้อเชื้อไขตัวน้อย ๆ รอนางเพียงลำพัง
วันหนึ่งในฤดูฝนเสียงฟ้าร้องคำรามก้องไปทั่วบริเวณเป็นเวลาเกือบสองชั่วยาม พื้นดินรอบบ้านเปียกแฉะกลายเป็นโคลนและมีแอ่งน้ำเล็ก ๆ เกิดขึ้นหลายแห่งทุ่งดอกไม้สีเหลืองพัดไหวตามสายฝนลมพัดในเวลานั้นราวกับเริงระบำแม้อู๋เยว่ชิงจะถูกพลังของอีนั่วปกปิดเรื่องบางอย่างเอาไว้ แต่นางที่เป็นถึงเทพดาราย่อมเฉลียวใจได้ในบางครั้งว่าทุกสิ่งมันแปลกเกินไป อายุที่เพิ่มมากขึ้นในทุกวัน ไม่มีมนุษย์ผู้ใดหรอกจะอายุยืนร้อยปีแต่เนื้อหนังร่างกายและใบหน้ายังคงเหมือนวันวานไม่เปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะอีนั่ว ร้อยปีผ่านมาแล้วเขายังคงเหมือนเด็กอายุเจ็ดขวบไม่มีผิดสายตาที่ล่องลอยราวกับจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทำให้บุตรชายสังเกตได้ในพริบตา เขาเอียงคอเล็กน้อยก่อนที่พลังมารจาง ๆ ค่อย ๆ เคลื่อนผ่านไปหาอู๋เยว่ชิง
นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมากงจื่อเย่ออกเดินทางตามหาร่องรอยของอู๋เยว่ชิงทุกหนแห่ง ยามคิดถึงหรือเหนื่อยล้าหัวใจมักจะหยิบถุงหอมและปิ่นปักผมที่เคยมอบให้นางมาดูเขาเริ่มฟื้นฟูตำหนักจันทราให้เป็นเหมือนเดิมแล้วใช้เป็นสถานที่พักผ่อนยามค่ำคืน กลิ่นอายเก่า ๆ หวนกลับมาทุกครั้งจนเขานึกอยากย้อนวันเวลากลับไป“เจ้าอยู่ที่ใดหรือเยว่ชิง” จอมมารกวาดสายตามองไปรอบตำหนักที่เวลานี้เริ่มมีต้นไม้ดอกไม้ผลิบานตามฤดู “ดอกไม้งดงามปานนี้แล้ว เจ้าไม่อยากเห็นหรือ”คำถามของเขาไม่มีเสียงตอบกลับมา ความว่างเปล่าเกาะกุมหัวใจจนทรมานในเมื่อตามหาทุกหนทุกแห่งแล้วยังไม่พบเจอ คงจะเหลือเพียงสถานที่สุดท้าย หากเสี้ยววิญญาณของนางยังคงอยู่ บางทีนางอาจจะยังอยู่ที่แห่งนั้น
นับตั้งแต่นั้นมากงจื่อเย่จึงไม่ออกไปที่ไหนอีกติดอยู่ในภพมารเพื่อกระทำบางอย่างด้วยความตั้งใจจนไม่รู้ตัวว่าเวลาล่วงเลยไปมากเท่าใดแล้วเมื่อผู้ปกครองละเว้นหน้าที่ ความวุ่นวายในภพมารจึงเริ่มบังเกิดทีละส่วน หากแต่ลูกน้องทั้งสามยังคงใช้อำนาจของเขาคอยจัดการได้อยู่แม้จะแลกมาด้วยความเหนื่อยเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวก็ตามครั้งนี้เช่นเดียวกัน ไอมารปีศาจชั่วร้ายก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง เดิมทีกงจื่อเย่จะคอยดูดซับพลังพวกนั้นมาเป็นอาหารของตนเองแต่เวลานี้สิ่งที่เขาให้ความสนใจอยู่เหนือสิ่งอื่นใด พวกปีศาจและสัตว์อสูรจึงได้ทีฉกฉวยมันมาเป็นของตัวเองจึงทำให้มีพละกำลังที่เพิ่มมากขึ้นแต่บางขณะ ไอมารปีศาจที่แข็งแกร่งย่อมปกป้องตัวเองให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของพวกเดียวกันและเป็นฝ่ายกัดกินมารปีศาจพวกนั้นแทนที่จนสามารถหล่อหลอมรูปลักษณ์สร้างตัวตนขึ้นมาได้&n
กาลเวลาผันผ่านจากหนึ่งเดือนเป็นหนึ่งปีเหมันตฤดูเวียนมาบรรจบกันอีกครั้ง กงจื่อเย่ยังคงเป็นดังเช่นวันวาน นัยน์ตาสีม่วงแดงของจอมมารเหม่อมองสรรพสิ่งรอบตัวถวิลหาคนที่จากไปอย่างไร้ร่องรอยแม้พยายามลบเลือนนางออกไปจากใจแต่สุดท้ายกลับทำไม่ได้อย่างที่คิดจึงได้รู้ซึ้งความทรมานที่ฝังลึกถึงแก่นวิญญาณ โหยหาอยากพบเจอนางอีกครั้งทั้ง ๆ ที่รู้ว่าการกลับมาพบกันในครานี้นางมีหน้าที่ต้องสังหารมารปีศาจอย่างเขาขณะปล่อยความทรงจำโลดแล่นราวกับยินดีติดอยู่ในอดีตของช่วงเวลาที่เขาไม่เคยรู้เลยว่าคือความสุขหนึ่งเดียว“เสด็จพี่ เทศกาลชมจันทร์ค่ำคืนนี้ เราสองคนออกไปนอกวังได้หรือไม่เพคะ”เสียงคุ้นเคยดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบกงจื่อเย่หันไปมองทางด้านหลังแต่กลับไม่พบเจอใครเพราะที่แห่งนั้นมีเพียง