Trigger Warning (TW 18+) = มีเนื้อหาหรือเหตุการณ์ที่อาจทำให้สะเทือนใจ
ห่างไปอีกเมืองหนึ่งไม่ไกลนัก รถม้าของอู๋เยว่ชิงหยุดพักอยู่ที่หมู่บ้านเล็ก ๆ แถบชานเมือง นางพยายามรวบรวมสติของตนเองเอาไว้แล้วปกป้องอีนั่ว
“เสด็จแม่ เราอยู่ที่ใดกันหรือ” อีนั่วเอ่ยปากถามทันทีที่ลืมตาหลังจากนอนหลับยาวนาน “เสด็จพ่อเล่า...”
เมื่อถูกถามไถ่ถึงหลินซีเวย น้ำตาของนางก็เอ่อคลอแต่พยายามกลั้นใจเอาไว้ “พ่อของเจ้าจะรีบตามมา อีนั่วอย่าได้กังวลไปเลยนะ”
มารน้อยพยักหน้าแล้วซบเข้าอ้อมกอดของมารดาสัมผัสได้ถึงความกังวลใจของอู๋เยว่ชิง มือน้อย ๆ ลูบใบหน้าของนางราวกับต้องการปลอบประโลม
พวกเขาหยุดพักรอคนของแม่ทัพใหญ่ที่ส่งมานำทาง หากแต่จนแล้วจนรอดผ่านไปเกือบสามวันแล้วยังไม่มีผู้ใดโผล่มาให้เห็นแม้แต่เงา
อู๋เยว่ชิงหันไปบอกกับมารดา “ท่านแม่ ท่านรออยู่ที่ห้องกับอีนั่วก่อนได้หรือไม่ ข้าจะออกไปสืบหาข่าวคราว”
“อย่าเพิ่งไปเลย แม่ว่ารออีกสักนิดเถิด” อู๋ฮูหยินเป็นห่วงบุตรสาว รู้สึกได้ว่ามีอะไรผิดแปลกไปเพราะคนของสามีไม่เคยผิดนัดเนิ่นนานเพียงนี้
“เสบียงที่มีอยู่ใกล้จะหมดแล้ว อย่างไรลูกก็ต้องออกไปที่ตลาดอยู่ดี ท่านแม่วางใจเถอะเจ้าค่ะ ลูกจะรีบกลับมา” นางกุมมือของผู้เป็นมารดาและบุตรชายเอาไว้ “อีนั่ว อยู่กับท่านยาย อย่าดื้อนะลูก”
มารน้อยพยักหน้าเชื่อฟังเป็นอย่างดี สามวันมานี้ไม่มีออกอาการร้อนรนดั่งไฟเจ็บป่วยเหมือนเวลาที่อยู่ในวังหลวง อีนั่วกลับมาสดใสแข็งแรงเหมือนอย่างเคยจนนางพลอยโล่งใจจึงกล้าปล่อยให้อยู่กับอู๋ฮูหยินเพียงลำพัง
อู๋เยว่ชิงสวมชุดสีพื้นโพกผ้าปิดศีรษะพลางมองซ้ายมองขวาตลอดทาง ทั้งบ้านเรือน ผู้คน บรรยากาศรอบตัวดูปกติ นางแวะที่ร้านค้าเพื่อซื้อวัตถุดิบมาเตรียมทำอาหารที่บ้านแล้วหลบไปรอคนของแม่ทัพใหญ่ตรงจุดนัดพบในตลาดอย่างที่บิดาเคยบอกไว้
ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม นางยังคงไม่เห็นร่องรอยของผู้ใดผ่านมาแถวนี้ ทั้งยังฟ้าเริ่มมืดค่ำจึงตัดสินใจกลับบ้านไปหาลูกน้อยและมารดาด้วยความผิดหวัง
เพราะหวังที่จะได้ข่าวของแม่ทัพใหญ่ ทั้งอยากสอบถามเรื่องของหลินซีเวยว่าแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร แต่สุดท้ายกลับมามือเปล่าจนไม่รู้จะไปต่อ
อย่างไร คิดแต่เพียงว่าวันพรุ่งนี้นางคงต้องออกมารอที่จุดนัดหมายตั้งแต่รุ่งเช้าและหวังว่าจะได้ยินข่าวดีบ้าง
ทว่า ระหว่างทางเดินกลับมายังบ้านหลังเล็ก อู๋เยว่ชิงสังเกตเห็นว่าบ้านเรือนบริเวณนั้นเงียบสงัด มืดมนและวังเวงต่างจากตอนที่นางออกมา
เสียงหมาป่าหอนเกรียวจนขนลุกซู่เสียวสันหลังวาบ นางจำความรู้สึกนี้ได้ทันทีเพราะมันช่างเหมือนกับตอนที่เกิดเรื่องในวังหลวงไม่ผิดเพี้ยน
อู๋เยว่ชิงนึกถึงอีนั่ว กลัวจนสุดใจว่าจะเกิดอะไรไม่ดีขึ้นจึงรีบวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตกลับไปยังบ้านหลังเดิม
ยิ่งเข้าใกล้สถานที่แห่งนั้น กลิ่นเลือดยิ่งเข้มข้นจนน่าสะอิดสะเอียน สีหน้าของนางซีดเผือด ภาวนาให้ไม่มีเรื่องราวใด ๆ เกิดขึ้นระหว่างที่นางไม่อยู่
ทว่า พอเข้าใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ นางจึงเห็นว่ามีร่างไร้วิญญาณของชาวบ้านที่ให้ความช่วยเหลือครอบครัวของนางนอนจมกองเลือดรายทาง ดวงตาเบิกโพลงราวกับกลัวจนสุดขีด
อู๋เยว่ชิงเร่งฝีเท้า ตัวสั่นกลัว น้ำตาร่วงเผาะไม่อาจกลั้นจนมาถึงหน้าบ้านของตนเอง ประตูถูกผลักอย่างแรงจนกระทบขอบเสียงดังปัง
ภาพที่เห็นทำให้นางแน่นิ่งไปชั่วขณะ อู๋ฮูหยินนอนหงายเลือดท่วม เพียงแต่ไม่ทันจะได้อาลัยอาวรณ์ให้กับมารดา
หางตาของนางเห็นภาพจาง ๆ อยู่ตรงมุมหนึ่งของห้องพร้อมเสียงเรียกที่คุ้นเคยของอีนั่ว “เสด็จแม่...” เสียงนั้นแผ่วเบาไร้เรี่ยวแรง
อู๋เยว่ชิงหันไปมองตามเสียงพลันได้เห็นว่าบุตรชายกำลังถูกใครบางคนบีบลำคอเล็ก ๆ ยกขึ้นสูงจากพื้น นางยกขาก้าวได้เพียงหนึ่งก้าวคิดจะรีบช่วยอีนั่วออกมาแต่ความเร็วกลับสู้คนผู้นั้นไม่ได้
กร๊อบ!!! เสียงกระดูกคอของมารน้อยหักเป็นสองท่อน
ดวงตาสีฟ้าของอู๋เยว่ชิงเบิกโตตะลึงงัน กรีดร้องลั่นแทบบ้า น้ำตาไหลพรากมิอาจกั้นได้อีกต่อไป
“...”
“...”
“...”
แล้วทันใดนั้นคนที่สังหารอีนั่วก็หัวเราะลั่นก่อนจะโยนร่างไร้วิญญาณมาทางนาง
“อีนั่ว...อีนั่ว” อู๋เยว่ชิงไม่สนใจว่านางอาจจะเป็นรายต่อไป นางอังมือที่ปลายจมูกของเขา ก้มลงเอาหูแนบอกฟังเสียงหัวใจ หากแต่ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น
เวลานี้แววตาเศร้าโศกมองคนที่จากไปด้วยความเจ็บปวด อุ้มร่างของเขาขึ้นมากอดแนบอก “ลูกแม่...อีนั่ว แม่อยู่ตรงนี้แล้ว เจ้าอย่าเพิ่งจากแม่ไป”
เสียงร้องไห้คร่ำครวญดังก้อง สายตามองไปยังอู๋ฮูหยิน หัวใจของนางเจ็บแปลบเหลือคณา
เสียงฝีเท้าของคนอีกผู้หนึ่งเดินเข้าหานางพลันถุงหอมสีม่วงแดงร่วงหล่นลงมาตรงหน้า อู๋เยว่ชิงจำได้ทันทีว่าเป็นของผู้ใด นางจึงเงยหน้ามองคนผู้นั้น
“...” ความรู้สึกหลากหลายถาโถมเข้าหาเจ้าตัวจนไม่อาจเอื้อนเอ่ยคำใดได้ ทั้งสับสน สงสัย โศกเศร้า เจ็บปวด
คนผู้นั้นยื่นมือข้างที่บีบคออีนั่ว มือที่เปื้อนเลือดของเขาโอบแก้มอู๋เยว่ชิงพลางแสยะยิ้มแววตาชั่วร้าย กระซิบพึมพำกับคนตรงหน้า “ชายาของข้า เหตุใดจึงร้องไห้เช่นนี้เล่า”
“...”
“สามวันผันผ่านจำหน้าสามีของเจ้าไม่ได้แล้วหรือ” ใบหน้าคุ้นเคย น้ำเสียงอ่อนโยนที่นางเคยได้ยินเรียกสติที่แตกกระเจิงกลับมา
อู๋เยว่ชิงกอดอีนั่วไว้แน่น “เจ้าเป็นผู้ใด มารปีศาจจากแห่งหนไหนถึงได้มาเลียนแบบเสด็จพี่”
คำพูดของนางเรียกเสียงหัวเราะจากคนผู้นั้น ดวงตาสีม่วงแดงจ้องกลับไม่วางตา “มารปีศาจหน้าไหนจะกล้ามาเลียนแบบผู้ปกครองมารปีศาจทั้งปวงอย่างข้า”
“เจ้ามิใช่เสด็จพี่ของข้า เลิกตลบตะแลงเสแสร้งเสียที” อู๋เยว่ชิงกล่าวไม่นึกเกรงกลัวเขาอีกต่อไป
“ร่วมเรียงเคียงหมอนกันมาตั้งสามปีแต่กลับทำเหมือนจำข้าไม่ได้ น้อยใจยิ่งนัก” เขาเอ่ยพลางทำสีหน้าตามอารมณ์ความรู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ “ชายาของข้า เยว่ชิง ของขวัญชิ้นใหญ่ที่ข้าเตรียมไว้ให้ถูกใจหรือไม่”
“...”
“เจ้าไม่รู้หรือว่าข้ารอวันนี้มานานเท่าใดแล้ว ต้องแกล้งทำเป็นรักเจ้า ความรู้สึกนั้น... มันช่างน่าขยะแขยงเสียเหลือเกิน” หลินซีเวยพรั่งพรูสิ่งที่คิดวางแผนมาเนิ่นนานให้นางได้รับรู้ “เนื้อตัวอันน่ารังเกียจของเจ้า แค่คิดว่าจะต้องสัมผัสก็สะอิดสะเอียน ยิ่งอาศัยร่วมวันร่วมคืน ยิ่งคลื่นไส้จนอยากสำรอกออกมาให้ได้ แต่ข้าอดทนเก่งใช่หรือไม่ ดูสิ เจ้าเชื่อข้าสนิทใจจนยอมทุกอย่างเลยนี่”
“...”
“อืม ตอนที่เจ้าหนีมาที่นี่ ข้าจัดการให้หมดแล้วนะ คนในวังหลวง พ่อของเจ้า เมืองไท่หยาง อ้อ เซียนสำนักหานหลิ่งก็ด้วย ถึงจะรู้สึกขอบคุณพวกมันอยู่บ้างก็เถอะที่ช่วยให้ข้าหลุดพ้นจากร่างมนุษย์ของหลินซีเวยมาได้”
“ท่านพ่อ...” นางพึมพำน้ำตาเอ่อคลออีกครั้ง
“ข้าจัดการให้สาสมกับที่เป็นบิดาของเจ้าเลยล่ะ” จอมมารแสยะยิ้ม “ตอนที่เขารู้ว่าข้าเป็นผู้ใดก็ทำหน้าเหมือนเจ้าเวลานี้เลย น่าขันยิ่งนัก”
สติของอู๋เยว่ชิงเลือนลาง “ร่างมนุษย์ของหลินซีเวย...”
“อืม เป็นเพราะเจ้า ข้าถึงได้มาติดอยู่ในร่างเขาตั้งแต่กำเนิด น่ารำคาญจริง ๆ” เจ้าตัวนิ่วหน้าแต่กลับรู้สึกอารมณ์ดีที่ครานี้กลับสู่ร่างมารต้นกำเนิดของตัวเองแล้ว
อู๋เยว่ชิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ในเมื่อไม่มีใครหลงเหลืออยู่แล้ว นางจะมีชีวิตอยู่ไปทำไม “เจ้าอยากฆ่าข้าหรือ”
“อยากสิ ข้ารอวันนี้มาตั้งนาน”
“เช่นนั้นจะรอช้าอยู่ทำไม ตัวข้าก็อยู่ตรงนี้แล้ว” นางหลับตาลงไม่นึกถึงสิ่งใดอีกต่อไป
จอมมารยิ้มแสยะพลางเลิกคิ้ว นึกถึงคำเล่าขานที่ได้ยินมาจากดวงวิญญาณของเทพเซียนในสุสานอันซี
เมื่อใดที่เมล็ดพันธุ์ต้นไม้แห่งชีวิตปริแตก ไม่ว่าจะเทพเซียนหรือจอมมาร ความรู้สึกทั้งเจ็ดถาโถมโหมกระหน่ำในคราวเดียวจะทำให้แก่นวิญญาณของพวกเขาอ่อนแอ
แม้พลังน้อยนิด ดาบกระบี่ของมนุษย์ก็สามารถคร่าชีวิตอมตะให้แหลกสลายไปตลอดกาล
มือหนาของจอมมารบีบลำคอเรียวระหงของนาง ในใจคิดว่าถึงเวลาสะสางเสียที พลังมารหนักหน่วงก่อตัวขึ้น เขาไม่มีวันปล่อยโอกาสนี้ไปอย่างแน่นอน
หากแต่ผลที่ได้ไม่เป็นอย่างคาดคิดเพราะพลังมารที่เขาส่งออกไปสะท้อนกลับเข้าหาตัวเหมือนอย่างเคยกงจื่อเย่ชักสีหน้าไม่สบอารมณ์ “เหตุใดจึงฆ่าเจ้าไม่ได้!!!”เขาเชื่อว่าเมล็ดพันธุ์ของชาตินี้ที่อยู่ในแก่นวิญญาณของนางต้องได้รับความเสียหายจนปริแตกแล้วจึงได้ลงมือ แต่กลับทำอันใดนางไม่ได้เลยแม้แต่น้อยครั้นลองร่ายพลังมารใส่อู๋เยว่ชิงอีกครั้ง พลังรุนแรงนั้นยังคงสะท้อนกลับมาหาเขาไม่เคยเปลี่ยนกงจื่อเย่กระอักเลือดออกมากองใหญ่ คิ้วขมวดเป็นปม เอ่ยถามนางด้วยความสงสัย “ที่ผ่านมาเจ้าไม่ได้รักข้าหรือ”นั่นเพราะเขาเข้าใจมาโดยตลอดว่าความรักมักจะทำให้มนุษย์อ่อนแอ ยิ่งรักมากเท่าใดยิ่งเจ็บปวดมากเท่านั้น หากถูกคนท
หลังจากที่เมล็ดพันธุ์ถูกฝังในแก่นวิญญาณของจอมมารเรียบร้อยแล้ว ความทรงจำที่อู๋เยว่ชิงมีต่อเขาในฐานะคนรักของหลินซีเวยจึงพรั่งพรูเข้าหาสวีลู่ชิงใช้พลังเทพบรรพกาลทำให้เขารับความรู้สึกของนางแม้จะยืนยาวได้ไม่ถึงหนึ่งลมหายใจแต่ก็พอทำให้เขารู้สึกเจ็บแปลบชั่วขณะความรักของนางที่เขาบอกว่าเป็นเรื่องลวงหลอก ดูเหมือนจอมมารจะสัมผัสได้ว่านางเอ่ยความจริงจากก้นบึ้งในใจ แต่มันกลับทำได้แค่เพียงสะกิดความรู้สึกแล้วจางหายไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยนางไม่ได้หวังอันใดไปมากกว่านี้ ขอแค่ให้เขาได้รับรู้บ้างเผื่อจอมมารจะรู้สำนึกว่าได้ทำอันใดลงไปแม้สวีลู่ชิงจะไม่รู้ว่าเมล็ดพันธุ์ดวงสุดท้ายที่แตกร้าวจะทำให้ดวงอื่น ๆ ที่เคยถูกฝังในร่างจอมมารปริแตกหยั่งรากลึกก่อนเวลาอันควรจนความรู้สึกทั้งปวงก่อตัวขึ้นใน
ความสงบสุขเรียบง่ายหลายหมื่นปีของภพสวรรค์กำลังถูกสั่นคลอนเพราะมารตนหนึ่งที่ถือกำเนิดขึ้นเมื่อร้อยปีก่อน ใครเล่าจะคิดว่าสิ่งเล็ก ๆ จากบ่อโคลนของความชั่วร้ายทั้งปวงจะหลอมรวมภัยอันตรายที่สามารถทำลายล้างสวรรค์ให้ราบเป็นหน้ากลองได้ในเวลาไม่นานภพมารแซ่ซ้องสรรเสริญผู้ปกครองดินแดนคนใหม่ ยกขึ้นเป็นนายเหนือหัวที่จะกลายเป็นจอมมารปลดเปลื้องพันธะให้เหล่ามารปีศาจที่ถูกกักขังในหุบเหวดำมืด จบสิ้นการลงทัณฑ์อันยาวนานจากเทพบรรพกาลเสียงอึกทึกกึกก้องคำรามข่มขู่เหล่าเทพเซียนบนฟากฟ้าพร้อมบุกเข้าโจมตีอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยจนผู้คนในแดนศักดิ์สิทธิ์วุ่นวายโกลาหลเคราะห์ยังดีที่กองทัพสวรรค์เป่าแตรส่งสัญญาณเตือนภัยได้ทันเวลา เหล่าเทพเซียนจึงผนึกกำลังป้องกันการรุกรานของทัพมารอย่างสุดความสามารถเทพสงครามนำทัพออกมาเผชิญหน้าปกป้องสรรพสิ่งไม่ให้แตกสลายจากมหันตภัยในครั้งนี้ กลยุทธ์มากมายที่เคยใช้กับจอมมารตนอื่นกลับไม่ได้ผลนักไพ่ตายที่ถูกวางไว้สามอย่างเริ่มดำเนินไปอย่างเงียบ ๆ หวังว่าจะหยุดความเลวร้ายทั้งหมดลงไปได้ก่อนที่จะมีความสูญเสียไปมากกว่านี้เวลานั้นโฉมหน้าของผู้นำทัพมารจึงปรากฏขึ้น รอยยิ้มชั่วร้ายและแววตาเย็
ท่ามกลางความโกลาหลตรงเขตชายแดนระหว่างภพมารและภพสวรรค์ เทพจันทราเร่งหลอมรวมวิญญาณและพลังของตนเองเพื่อผนึกลิขิตสวรรค์ในต้นไม้แห่งโชคชะตาไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้แม้จะต้องสละวิญญาณแต่นั่นเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำเพื่อปกป้องสรรพสิ่งจากหายนะที่คืบคลานเข้ามา ชายชรารู้เป็นอย่างดีว่าจอมมารจะต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับชะตาของใครบางคนอย่างแน่นอน และนั่นอาจจะทำให้แผนการที่วางไว้ล่มไม่เป็นชิ้นดีเสียงคำรามของสัตว์อสูรดังกระหึ่มสร้างความวิตกในใจของเขาเป็นอย่างมาก อีกนิดเดียว ข้าขอเวลาอีกนิดเดียว เขาคิดในใจหวังว่ากองทัพสวรรค์ที่อยู่ด้านนอกจะช่วยต้านทานถ่วงเวลาผู้บุกรุกได้อีกสักเพียงนิด“หยุดนะ!” ปีศาจสาวนามว่าหลิวอิงอิงผู้เป็นมือขวาของจอมมารตะโกนก้อง นางร่ายพลังปีศาจใส่เทพจันทราโดยไม่ยั้งมือ หากแต่ถูกสกัดกั้นโดยกองอารักขาเสียก่อน จึงทำให้นางฉุนเฉียวเพราะไม่ได้ดั่งใจเทพจันทราตั้งสติมั่นพลันขอบข่ายอาคมปรากฏขึ้นหลอมรวมกับจิตวิญญาณอันแกร่งกล้าของชายชราผู้นี้โอบล้อมเป็นม่านคลุมต้นไม้แห่งโชคชะตาเอาไว้ในชั่วขณะหลิวอิงอ
บทสนทนาระหว่างเทพวายุกับจอมมารและการต่อสู้ของทั้งสองดำเนินไปอย่างดุเดือด สวีต้าเฟิงเบี่ยงเบนความสนใจเพื่อถ่วงเวลาให้เทพสงครามได้อย่างแนบเนียนจนอีกฝ่ายสามารถหลอมพลังวิญญาณได้เรียบร้อยกลายเป็นหนึ่งเดียวกับดาบคู่กายของตนเองสายตาที่เทพวายุมองสหายเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อร่ำลาทำให้กงจื่อเย่รู้สึกตัวว่าอีกฝ่ายกำลังเล่นละครฉากใหญ่จังหวะที่หันไปมองตามนั้น ดาบเทพสงครามอันมหึมาก็พุ่งทะลุผ่านร่างของจอมมารในพริบตาการสละวิญญาณของเทพสงครามได้ผลชะงัดเพราะสามารถผนึกเมล็ดพันธุ์ต้นไม้แห่งชีวิตดวงแรกไว้ในแก่นวิญญาณของจอมมารได้ ส่งผลให้พลังมารที่รุนแรงถดถอยลงไปหนึ่งส่วนกงจื่อเย่จะไม่รู้ตัวว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาภายในแก่นวิญญาณของตัวเองเพราะถูกพลังเทพสงครามบดบังเอาไว้แต่เฉลียวได้ว่าผู้นำกองทัพสวรรค์ย่อมไม่สละตนเองเพียงเพื่อทำลายพลังมารของเขาส่วนเดียวจอมมารยืนทื่ออยู่ครู่หนึ่ง พิจารณาว่าร่างมารของตนเองมีสิ่งใดผิดแปลกไปหรือไม่“พวกเจ้าทำอะไรข้า” เขาไม่รู้ว่าเหล่าเทพใช้วิธีใดและนั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดใจไม่น้อย
ภพสวรรค์เซียนผู้เฝ้าหออาวุธโบราณเพิ่งสังเกตได้ว่าดวงเนตรอำพันหายไปจึงคิดรายงานเทียนจวิน แต่กลับถูกสัตว์อสูรเขาแหลมตัวเขื่องขวิดจนร่างแตกสลายไปเสียก่อนสวีต้าเฟิงเห็นจอมมารยิ้มมุมปากได้แต่นึกสงสัยว่าผู้ที่โดนรุมล้อมสังหารมีเหตุอันใดให้รื่นรมย์ใจถึงเพียงนี้ ทั้งยังแววตาท้าทายที่มองมายังเขาไม่วางตาราวกับบรรลุเป้าหมายบางอย่างครั้นจะปลีกตัวออกมาจากที่แห่งนั้นเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจกลับถูกดาบเขี้ยวอสูรเหวี่ยงเข้ามาขวางทางเอาไว้ในพริบตา“จะหนีไปที่ใดกันเล่า” กงจื่อเย่แสยะพลางเรียกดาบประจำกายกลับมา“...” เทพวายุไม่เอ่ยอันใดแต่หันไปสบตากับเทียนจวินที่ยืนอยู่ข้าง ๆ สีหน้ากังวลรู้สึกว่าตนเองกำลังตกหลุมพรางของมารเจ้าเล่ห์ผู้นี้“ไปเถิด” เทียนจวินเอ่ยปากบอกแล้วดันพลังของตัวเองมาต้านทานพลังมารของกงจื่อเย่แทนเทพวายุจอมมารเห็นช่องว่างช่วงเปลี่ยนผันไม่รอช้าเขวี้ยงดาบเขี้ยวอสูรใส่ทั้งคู่โดยไม่แยแสเพื่อสลายพลังที่ตรึงกายมารส่วนล่างของเขาเอาไว้กระนั้น เทพอาวุโสอีกคนหนึ่งเห็นท่าไม่ดีหลบ
แดนมนุษย์เดิมทีเทพดาราจะกลายเป็นดาวตกลงมาเผชิญด่านเคราะห์ทุก ๆ หนึ่งพันปีเพื่อเก็บเกี่ยวเมล็ดพันธุ์ต้นไม้แห่งชีวิตในแดนมนุษย์ นางมีโชคชะตาที่เทพบรรพกาลเลือกสรรให้เป็นผู้สังหารจอมมารที่ถือกำเนิดขึ้นในสามภพตลอดระยะเวลาหลายแสนปีที่ผ่านมา เหล่าเทพเซียนภพสวรรค์ได้รับเลือกจากเทพบรรพกาลมานับไม่ถ้วนเพราะเขาผู้นั้นคือผู้หยั่งรู้โชคชะตาเมื่อจอมมารในแต่ละช่วงเวลาถือกำเนิด หากวิธีที่รับมืออยู่ไม่สามารถต้านทานพลังมารอันชั่วร้ายได้ เมล็ดพันธุ์ต้นไม้แห่งชีวิตจึงเป็นทางเลือกสุดท้าย เพราะผู้ที่สังหารจอมมารตนนั้นต้องสละแก่นวิญญาณของตนเองหลอมรวมอสนีบาตสวรรค์ 19 ครั้ง ผันเปลี่ยนเป็นพลังมหาศาลทำลายจอมมารไปพร้อม ๆ กันเหตุการณ์เหล่านั้นจึงทำให้มีเทพเซียนดับสูญตลอดกาลไปไม่น้อย แต่เพื่อแลกกับความสงบสุขของสามภพแล้ว พวกเขาเหล่านั้นจึงยอมรับในโชคชะตาของตัวเองครั้งนี้สวีลู่ชิงลงมาเกิดเป็นมนุษย์ครั้งที่สองด้วยช่วงเวลาที่ห่างกันจากครั้งแรกเพียงห้าร้อยปี พลังเทพของนางจึงได้รับความเสียหายบางส่วนเด็กทารกดวงตาสีฟ้า เรือนผมขาวแต่กำเนิดราวหิมะปรา
โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งนอกเมืองหนานพ่อค้าจากต่างเมืองที่ผ่านมาแวะพักในโรงเตี๊ยมเล่าข่าวคราวที่บังเอิญได้ยินมาให้คนที่อาศัยอยู่ละแวกนั้นฟัง เสียงเล่าลือว่าคนในหมู่บ้านหงเหลียนทางตอนใต้แคว้นชิงตายด้วยอาการประหลาดคนที่เหลือรอดมาได้เล่าวกไปวนมาว่าสิ่งที่เข้าทำร้ายพวกเขาต้องไม่ใช่คน ดูไม่มีรูปร่างแต่แววตาแดงฉานฉายชัด ครั้นจะถามต่อว่าเป็นอย่างไรบ้างกลับไม่ได้อะไรเพิ่มเติม คนเหล่านั้นเหมือนสติหลุดพูดจาไม่รู้เรื่องไปเสียแล้วเจ้าเมืองจึงต้องส่งคนไปเชิญเซียนสำนักต่าง ๆ เข้ามาตรวจสอบข่าวลือที่ว่าผีปีศาจออกอาละวาดทำร้ายชาวเมืองเป็นเรื่องจริงหรือไม่กระนั้น หลายเดือนผ่านไปยังไม่มีใครเห็นเซียนที่เข้าไปในหมู่บ้านหงเหลียนออกมาข้างนอก บรรยากาศรอบหมู่บ้านราวกับมีผีสิง อึมครึม เย็นยะเยือก นานวันเข้าจึงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้หมู่บ้านร้างอีกเลย“แค่เล่าให้พวกเจ้าฟังก็ขนหัวลุกแล้ว” หนึ่งในคาราวานพ่อค้าเอ่ยปากพลางทำท่าสั่นกลัว“ไม่ใช่แค่หมู่บ้านหงเหลียนหรอก” ชายคนหนึ่งกระดกแก้วเหล้าอึกใหญ่รำลึกถึงเหตุการณ์เฉียดตายที่พบเ
หลังจากที่เมล็ดพันธุ์ถูกฝังในแก่นวิญญาณของจอมมารเรียบร้อยแล้ว ความทรงจำที่อู๋เยว่ชิงมีต่อเขาในฐานะคนรักของหลินซีเวยจึงพรั่งพรูเข้าหาสวีลู่ชิงใช้พลังเทพบรรพกาลทำให้เขารับความรู้สึกของนางแม้จะยืนยาวได้ไม่ถึงหนึ่งลมหายใจแต่ก็พอทำให้เขารู้สึกเจ็บแปลบชั่วขณะความรักของนางที่เขาบอกว่าเป็นเรื่องลวงหลอก ดูเหมือนจอมมารจะสัมผัสได้ว่านางเอ่ยความจริงจากก้นบึ้งในใจ แต่มันกลับทำได้แค่เพียงสะกิดความรู้สึกแล้วจางหายไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยนางไม่ได้หวังอันใดไปมากกว่านี้ ขอแค่ให้เขาได้รับรู้บ้างเผื่อจอมมารจะรู้สำนึกว่าได้ทำอันใดลงไปแม้สวีลู่ชิงจะไม่รู้ว่าเมล็ดพันธุ์ดวงสุดท้ายที่แตกร้าวจะทำให้ดวงอื่น ๆ ที่เคยถูกฝังในร่างจอมมารปริแตกหยั่งรากลึกก่อนเวลาอันควรจนความรู้สึกทั้งปวงก่อตัวขึ้นใน
หากแต่ผลที่ได้ไม่เป็นอย่างคาดคิดเพราะพลังมารที่เขาส่งออกไปสะท้อนกลับเข้าหาตัวเหมือนอย่างเคยกงจื่อเย่ชักสีหน้าไม่สบอารมณ์ “เหตุใดจึงฆ่าเจ้าไม่ได้!!!”เขาเชื่อว่าเมล็ดพันธุ์ของชาตินี้ที่อยู่ในแก่นวิญญาณของนางต้องได้รับความเสียหายจนปริแตกแล้วจึงได้ลงมือ แต่กลับทำอันใดนางไม่ได้เลยแม้แต่น้อยครั้นลองร่ายพลังมารใส่อู๋เยว่ชิงอีกครั้ง พลังรุนแรงนั้นยังคงสะท้อนกลับมาหาเขาไม่เคยเปลี่ยนกงจื่อเย่กระอักเลือดออกมากองใหญ่ คิ้วขมวดเป็นปม เอ่ยถามนางด้วยความสงสัย “ที่ผ่านมาเจ้าไม่ได้รักข้าหรือ”นั่นเพราะเขาเข้าใจมาโดยตลอดว่าความรักมักจะทำให้มนุษย์อ่อนแอ ยิ่งรักมากเท่าใดยิ่งเจ็บปวดมากเท่านั้น หากถูกคนท
Trigger Warning (TW 18+) = มีเนื้อหาหรือเหตุการณ์ที่อาจทำให้สะเทือนใจห่างไปอีกเมืองหนึ่งไม่ไกลนักรถม้าของอู๋เยว่ชิงหยุดพักอยู่ที่หมู่บ้านเล็ก ๆ แถบชานเมือง นางพยายามรวบรวมสติของตนเองเอาไว้แล้วปกป้องอีนั่ว“เสด็จแม่ เราอยู่ที่ใดกันหรือ” อีนั่วเอ่ยปากถามทันทีที่ลืมตาหลังจากนอนหลับยาวนาน “เสด็จพ่อเล่า...”เมื่อถูกถามไถ่ถึงหลินซีเวย น้ำตาของนางก็เอ่อคลอแต่พยายามกลั้นใจเอาไว้ “พ่อของเจ้าจะรีบตามมา อีนั่วอย่าได้กังวลไปเลยนะ”มารน้อยพยักหน้าแล้วซบเข้าอ้อมกอดของมารดาสัมผัสได้ถึงความกังวลใจของอู๋เยว่ชิง มือน้อย ๆ ลูบใบหน้าของนางราวกับต้องการปลอบประโลมพวกเขาหย
หลินซีเวยหมดท่าไม่อาจโต้กลับเหล่าเซียนสำนักหานหลิ่งได้อีกทั้งยังถูกตรึงด้วยผนึกเพื่อทำลายพลังมารปีศาจที่ควบคุมร่างเขาอยู่“ท่านเซียน ช่วยเขาไม่ได้หรือ” ฮ่องเต้เอ่ยปากถามเพราะยังมีความหวังว่าจะได้บุตรชายกลับคืน หากแต่เหล่าเซียนกลับตอบว่า “พลังมารปีศาจหลอมรวมเข้าแก่นวิญญาณของเขาแล้วมิอาจถอดถอนได้เฉกเช่นคนทั่วไป หนทางเดียวที่จะหยุดหายนะในเมืองไท่หยางคือสังหารเขาไปพร้อมกับมัน”“...” ทุกคนนิ่งเงียบ สายตามองปีศาจร้ายด้วยความหวาดกลัว เพียงแค่หนึ่งก้านธูป วังหลวงกลับนองเลือดราวกับมีสงครามครั้งใหญ่ หากคิดปล่อยไว้มีหวังทั้งเมืองไท่หยางคงกลายเป็นเมืองร้างไร้ผู้คนเป็นแน่“ข้าไม่ได้ขอความเห็นพวกท่าน มาวันนี้เพื่อทำหน้าที่ของตนเอง มารปีศาจตนนี้ร้ายกาจนักหากปล่อยให้หลุดรอดไปได้คงทำลายผู้คนในเมืองอื่น ๆ อีกนับไม่ถ้วน&r
หลินซีเวยสัมผัสได้ว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วเขาจึงปลุกให้อู๋เยว่ชิงตื่นจากหลับฝัน เสียงอึกทึกครึกโครมดังมาถึงตำหนักจันทราจนทำให้นางอกสั่นขวัญแขวนไปด้วยดวงตาสีฟ้ามองอีนั่วที่กำลังหลับแล้วสบตากับหลินซีเวย “ไม่จริงใช่หรือไม่เพคะ ไม่ใช่ฝีมือของลูก”เขาส่ายหน้าปิดบังความจริง “อย่ากังวลไปเลย ลูกเราไม่มีทางทำอันใดเช่นนั้นได้หรอก เชื่อข้าเถอะนะเยว่ชิง”“เพคะ หม่อมฉันเชื่อ ไม่ว่าอย่างไรอีนั่วก็เป็นลูกของเรา ไม่มีทางเป็นมารปีศาจอย่างแน่นอน”ใบหน้าของหลินซีเวยซีดเผือดเพราะพลังมารของอีนั่ว เขาจึงหลบหน้าชายาตนเองเพราะไม่อยากให้เป็นห่วงก่อนจะอุ้มอีนั่วขึ้นมา “เยว่ชิง วังหลวงคงไม่ปลอดภัยแล้ว เรารีบหนีออกไปหลบอยู่ที่จวนแม่ทัพใหญ่สักพักเถิด”
เช้าวันต่อมาองครักษ์ส่งข่าวให้ทุกคนในวังหลวงได้รับรู้ว่านักพรตชราผู้นั้นหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ความสิ้นหวังจึงมาเยือนคนในตำหนักจันทรายิ่งนักอู๋เยว่ชิงกอดอีนั่วเอาไว้ไม่ยอมปล่อยเพราะนางสัมผัสได้ว่ายามที่อีนั่วอยู่กับนาง อาการทรมานจะไม่แสดงออกมา หากแต่เมื่อใดที่นางเผลอหลับใหล พลังมารของอีนั่วกลับปะทุขึ้นมาทีละนิดจนมิอาจกลั้นนับวันยิ่งควบคุมไม่ได้ อู๋เยว่ชิงอดนอนฝืนตัวเองดูแลอีนั่วจนหลินซีเวยรู้สึกเป็นห่วงนางไม่แพ้กัน แต่เขากลับโทษตัวเองที่ทำอันใดเพื่อช่วยคนที่เขารักทั้งสองคนไม่ได้เลย“หม่อมฉันไม่เป็นอันใดเพคะ” นางลูบใบหน้าซูบเซียวของหลินซีเวยทั้งที่มือของนางแทบไม่มีแรงเหลือเขาแนบใบหน้ากับฝ่ามืออบอุ่นนั้น สายตาห่วงใยฉายชัดแต่ก็จำต้องแอบให้นางดื่มสมุนไพรเพื่อพัก
“องค์ชายสาม ไม่ได้พบพระองค์มานานพระวรกายแข็งแรงดีแล้วใช่หรือไม่” นักพรตผู้นั้นถามไถ่แล้วมองมารน้อยที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มไร้เดียงสาหลินซีเวยท่าทางนอบน้อม “เรื่องครั้งนั้น ข้ารู้สึกขอบคุณท่านเป็นอย่างมาก เวลานี้อาการเจ็บป่วยไม่รู้สาเหตุจึงหายเป็นปลิดทิ้ง”ชายชราถอนหายใจเฮือกใหญ่พึมพำว่า “ดีแล้ว” จากนั้นจึงยื่นมือมาหามารน้อยบ้าง อีนั่วผู้เป็นมิตรกับทุกคนจึงวางมือลงบนฝ่ามือของนักพรตชราอย่างไม่คิดระแวงครั้นคนตรงหน้าสัมผัสได้ว่าพลังมารแฝงอยู่ในแก่นวิญญาณจึงคิดไปว่าอาจจะเป็นผลทำให้อีนั่วต้องเจ็บป่วยเหมือนอย่างที่หลินซีเวยเคยประสบพบเจอ แต่พอได้ยินเสียงหง่าวดังมาจากด้านล่างจึงเข้าใจได้ว่าครั้งนี้คงจะไม่เกิดเหตุซ้ำรอยอย่างแน่นอน“แมวน้อยตัวนี้มาจากที่ใดหรือ” เขาเอ่ยถามอู๋เยว่ชิงเพราะสัมผัสไ
หลายวันต่อมาบรรดาปู่ย่าตายายของอีนั่วมาหาหลานพร้อมของรับขวัญเต็มไม้เต็มมือ ทั้งกำไลหยก กำไลเงิน แผ่นทองคำ จี้ทองและอีกสารพัดจนกล่องของขวัญในตำหนักจันทรากองพะเนินญาติสนิทมิตรสหายหลั่งไหลมาเยี่ยมเยียนไม่ขาดสาย แม้กระทั่งคนที่อยู่ไกลอย่างหลินมู่หลงยังส่งจดหมายมาแสดงความยินดีกับอู๋เยว่ชิงเจ้าตัวยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ยามที่อ่านจดหมายทางไกลนั้น เรียกความอิจฉาเล็กน้อยจากเจ้าของตำหนักอย่างยิ่ง อู๋เยว่ชิงพลันรู้สึกได้ว่าสายตาใครบางคนมองนางมาตั้งแต่เมื่อครู่จึงค่อย ๆ หันกลับไป คลี่ยิ้มบางเรียกอีกฝ่ายเสียงหวาน “เสด็จพี่เพคะ”หลินซีเวยได้ยินนางเรียกรีบเดินเข้ามาหา “เจ้าคิดว่าทำเช่นนี้แล้วข้าจะปล่อยไปง่าย ๆ หรือ”“ทรงก้มลงมาใกล้ ๆ หม่อมฉันได้หรือไม่เพคะ”
ผ่านไปสามเดือนอู๋เยว่ชิงรับรู้ได้ว่าลูกน้อยในท้องกำลังอารมณ์ดีเพราะได้ออกมาเดินเล่นในสวนดอกไม้ข้างนอกบ้างหลังจากต้องอุดอู้อยู่ในตำหนักหลายวันเพราะนางต้องคอยดูแลหลินซีเวยที่จู่ ๆ ก็เจ็บออดแอดขึ้นมา“เจ็บมากหรือไม่เพคะ” อู๋เยว่ชิงถามไถ่อาการของเขาด้วยความเป็นห่วง หลายวันมานี้ใบหน้าของหลินซีเวยซีดเผือดไปมากนัก นางนึกว่าอาการแพ้ท้องจะหายไปแล้วแต่เขากลับเป็นหนักกว่าเดิมจนได้“อย่ากังวลเลย ยิ่งเจ้าทำหน้าขมวดคิ้วชนกันอย่างนี้แล้วเดี๋ยวอีนั่วจะพลอยเป็นห่วงเจ้าไปอีกคน” องค์ชายสามลูบใบหน้านางแผ่วเบาพลางจิ้มนิ้วยืดคิ้วที่ขมวดเป็นปมออกแล้วบอกคนตรงหน้าว่า “เจ้านั่งเล่นกับลูกอยู่ตรงนี้สักพักหนึ่งเถอะ ข้าขอไปนอนงีบรออยู่ข้างในตำหนัก”“หม่อมฉัน...” อู๋เยว่ชิงคิดจะตามไปดูแลเขาด้วยแต่อีนั่วน้อยคงไม่ยอม