ความสงบสุขเรียบง่ายหลายหมื่นปีของภพสวรรค์กำลังถูกสั่นคลอนเพราะมารตนหนึ่งที่ถือกำเนิดขึ้นเมื่อร้อยปีก่อน ใครเล่าจะคิดว่าสิ่งเล็ก ๆ จากบ่อโคลนของความชั่วร้ายทั้งปวงจะหลอมรวมภัยอันตรายที่สามารถทำลายล้างสวรรค์ให้ราบเป็นหน้ากลองได้ในเวลาไม่นาน
ภพมารแซ่ซ้องสรรเสริญผู้ปกครองดินแดนคนใหม่ ยกขึ้นเป็นนายเหนือหัวที่จะกลายเป็นจอมมารปลดเปลื้องพันธะให้เหล่ามารปีศาจที่ถูกกักขังในหุบเหวดำมืด จบสิ้นการลงทัณฑ์อันยาวนานจากเทพบรรพกาล
เสียงอึกทึกกึกก้องคำรามข่มขู่เหล่าเทพเซียนบนฟากฟ้าพร้อมบุกเข้าโจมตีอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยจนผู้คนในแดนศักดิ์สิทธิ์วุ่นวายโกลาหล
เคราะห์ยังดีที่กองทัพสวรรค์เป่าแตรส่งสัญญาณเตือนภัยได้ทันเวลา เหล่าเทพเซียนจึงผนึกกำลังป้องกันการรุกรานของทัพมารอย่างสุดความสามารถ
เทพสงครามนำทัพออกมาเผชิญหน้าปกป้องสรรพสิ่งไม่ให้แตกสลายจากมหันตภัยในครั้งนี้ กลยุทธ์มากมายที่เคยใช้กับจอมมารตนอื่นกลับไม่ได้ผลนัก
ไพ่ตายที่ถูกวางไว้สามอย่างเริ่มดำเนินไปอย่างเงียบ ๆ หวังว่าจะหยุดความเลวร้ายทั้งหมดลงไปได้ก่อนที่จะมีความสูญเสียไปมากกว่านี้
เวลานั้นโฉมหน้าของผู้นำทัพมารจึงปรากฏขึ้น รอยยิ้มชั่วร้ายและแววตาเย็นยะเยือกทอดมองภาพเบื้องหน้า
อารมณ์หนึ่งเดียวในใจของเขาผู้นี้มีเพียงแต่ความกระหาย ทั้งเลือด ชีวิตและวิญญาณราวกับมารปีศาจที่อดอยาก
ดวงตาสีม่วงแดงถลึงตรึงร่างเทพชั้นผู้น้อยอย่างไม่แยแส เขาแสยะยิ้มชอบใจที่อีกฝ่ายกระเสือกกระสนหาทางหนี
ตรามารสีแดงผุดขึ้นกลางหน้าผาก ส่องแสงเรืองรองบ่งบอกว่าเขากำลังร่ายอาคมมารอยู่ในใจก่อนจะโบกมือสะบัดตัดร่างเหล่าเทพตรงหน้าแตกสลายไปอย่างง่ายดาย
ทันใดนั้น ธนูศรสีทองพุ่งดิ่งเข้าหาร่างจอมมารในพริบตาแต่เขากลับหลบเอี้ยวตัวได้ทัน ความแหลมคมของศรนั้นจึงเฉี่ยวเกี่ยวปลายผมสีดำสยายของเขาเพียงเท่านั้น
“ใครมันบังอาจ” เสียงขุ่นเคืองตะโกนก้องหาตัวคนที่กล้าลอบโจมตีเขา
ผู้มีผมสีเงินจึงก้าวออกมาจากฝูงชนด้วยท่าทางองอาจไม่เกรงกลัว เทพสงครามเฉิงอี้เรียกดาบประจำกายออกมา ประกาศตัว “เป็นข้าผู้นี้”
“อ่อนหัดเพียงนี้ยังคิดจะกำราบข้า” ดวงตาสีม่วงแดงมีประกายความเหยียดหยาม พลันสะบัดมือเพียงนิดแสดงให้เห็นว่าไม่มีผู้ใดในภพสวรรค์เป็นคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อกับเขาได้
หนึ่งในเทพนพเคราะห์ฉุนเฉียวมารไม่รู้ฐานะของตน “พูดจาสามหาวยิ่งนัก...” ทว่า ยังไม่ทันได้พูดจบประโยคดี สีหน้าของเขากลับบิดเบี้ยว เลือดรินไหลด้วยความเจ็บปวดถึงวิญญาณ
เมื่อนั้นศรธนูสีทองอีกดอกหนึ่งจึงพุ่งเข้าหาจอมมารเพื่อหยุดการทรมานฝ่ายตนเอง
“มารอย่างเจ้าไม่เจียมตัวบ้างหรืออย่างไร” ใครบางคนเล็งคันธนูมาทางเขา แววตาเด็ดเดี่ยวสมกับเป็นเทพวายุ “เจ้าคิดว่าสวรรค์ไร้น้ำยาถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”
จอมมารยิ้มแสยะหัวเราะร่าที่ได้ยินคำพูดเช่นนั้น “ก็เห็นอยู่เต็มตาไม่ใช่หรือว่าพวกเจ้ากำลังจนตรอกถึงกับหาทางถ่วงเวลาข้าเอาไว้เพื่อทำบางอย่างลับหลัง”
“เฮอะ อย่าย่ามใจไปเลย” เทพสงครามเฉิงอี้ยิ้มมุมปาก ไม่ว่าจะมารตนไหนที่เขาเคยต่อกรด้วยก็มักจะพูดมากยกยออวดพลังของตนเองอยู่ร่ำไป คนตรงหน้าของเขาก็เป็นเช่นเดียวกัน
หากแต่ไม่นานนักสีหน้าของเทพสงครามกลับเปลี่ยนไปเมื่อสัมผัสได้ว่าข่ายอาคมคุ้มครองภพสวรรค์กำลังสะเทือนจนเกิดรอยปริราวกับแก้วที่กำลังจะแตกในไม่ช้า
“อ่อนแอหาสิ่งใดเปรียบ” จอมมารตอกย้ำสถานการณ์ของเทพเซียนเหล่านั้นด้วยสีหน้าประดับยิ้มกระหาย “ดาบเทพบรรพกาลอย่างนั้นหรือ ข้าไม่กลัวหรอก”
เสียงหัวเราะลั่นทั่วแดนสวรรค์ทำเอาคนที่ได้ยินขนลุกชูชัน ใจสั่นระรัวเพราะรู้สึกได้ว่าอันตรายถึงชีวิตกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้
แม้จะมีมารปีศาจหรือสัตว์อสูรริอาจลองดีคิดทำลายสวรรค์ตลอดหลายหมื่นปีที่ผ่านมา แต่ไม่มีครั้งใดเลยที่พวกเขาจะอกสั่นขวัญผวาได้เท่าครั้งนี้
มารอายุร้อยปีเลิกคิ้ว สายตามองทะลุไปยังหอสวรรค์ซึ่งบรรจุอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของเทพบรรพกาลเอาไว้ ร่ายอาคมมารอยู่ในใจจนพื้นที่บริเวณนั้นสั่นสะเทือน ไอสีดำพวยพุ่งจากร่างของเขาไปทุกทิศทางพร้อมเสียงกัมปนาท
แตรสงครามดังลั่นเป็นสัญญาณ ข่ายอาคมคุ้มครองดินแดนระเบิดไปแล้ว
“ดูท่าจะมีของเล่นเยอะทีเดียว” จอมมารเอ่ยปากเพราะเห็นท่าทางที่สงบนิ่งของเทพสงคราม เขาสนุกสนานกับการทำลายของที่ใครหลายคนต้องการปกป้อง ยิ่งยากรู้มากขึ้นไปอีกว่าคนตรงหน้าจะทำอย่างไรต่อไป
บ่อโคลนสีดำเดือดระอุผุดขึ้นเบื้องหลังของเขา สัตว์อสูรสี่ขาอายุหลายพันปีค่อย ๆ โผล่ขึ้นมาจากหลุมนั้นทีละนิด จำนวนของพวกมันทวีคูณทะลักออกมาเรื่อย ๆ
สัญชาตญาณอันดุร้ายรวมกับพลังมารเข้มข้นสั่งการพวกมันทะลวงกองทัพสวรรค์ให้ราบ
ฝ่าเท้าหนักอึ้งกระทืบดินแดนศักดิ์สิทธิ์จนกระหึ่มไปทั่ว พวกมันทั้งไล่ขวิดคนบนนั้น จับกิน ฉีกกระชากและเล่นสนุกอย่างไม่รู้สึกรู้สาตามอย่างผู้เป็นนาย
ชายชราชุดเครื่องประทับทองก้าวออกมาจากทางด้านหลัง พลังของเขาสลายสัตว์อสูรได้อย่างง่ายดาย แต่ไฉนจะสู้จอมมารผู้นี้ได้ เพียงแค่ขยับริมฝีปากเล็กน้อยร่ายอาคม สัตว์อสูรที่สลายไปก็หวนกลับคืนร่างตามเดิมราวกับพวกมันไม่เคยหายไปจากที่แห่งนั้น
“กงจื่อเย่” เทียนจวินเอ่ยเรียกชื่อคนผู้หนึ่ง “จักหยุดได้หรือไม่”
“บังอาจ!” ปีศาจสาวที่ยืนอยู่ข้างกายจอมมารตะโกนดังลั่นที่เห็นคนต่ำต้อยเรียกชื่อเจ้านายของตน แต่ผู้เป็นเจ้านายกลับหัวเราะในลำคอ
“หลางเทียนจวิน” กงจื่อเย่มองหน้าคนที่เขาเคยพบเจอช่วงที่เพิ่งกำเนิดขึ้นมาใหม่ “ข้าบอกแล้วมิใช่หรือ ว่าพบกันครั้งหน้าข้าจะสังหารเจ้าเสีย”
เทียนจวินถอนหายใจรู้ชะตากรรมของตนเอง ควบคุมสีหน้าให้เรียบเฉย “ข้ารู้”
เขารู้มาตลอดว่าเหตุการณ์ในวันนี้ต้องเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะชะตาที่ถูกลิขิตไว้ย่อมไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ เมื่อครั้งที่เขาพบกงจื่อเย่วัยเด็ก เขาเคยคิดหวังว่ามารน้อยตนนี้จะสงบเสงี่ยมอยู่ในภพมารเหมือนมารปีศาจตนอื่นได้ จึงทำลายพลังมารที่สะสมในตัวเขาทิ้งก่อนกักขังไว้ภพนั้น
แม้ภายหลังจะมีเทพที่รู้เรื่องเหล่านี้แอบมาสังหารกงจื่อเย่จนร่างสลายไป ทว่า พวกเขาไม่เคยรู้เลยว่าทุกอย่างเป็นเพียงฉากหน้าที่กงจื่อเย่วางแผนเอาคืน
มารน้อยอยู่อย่างสงบในภพมาร ปิดบังตัวตนและดูดกลืนความชั่วร้ายที่หลั่งไหลในสามภพตลอดหนึ่งร้อยปี
เวลานี้ นอกจากพลังเหนือกว่าผู้ใด ร่างมารยังเป็นอมตะ แม้จะถูกดาบเทพบรรพกาลสังหาร ไม่นานนักเขาจะกลับฟื้นคืนขึ้นมาใหม่
ดังนั้น ฝ่ายที่เสียเปรียบมากที่สุดจึงเป็นกองทัพสวรรค์เพราะจอมมารตนนี้สนุกยิ่งนักและมีแผนจะเล่นกับพวกเขาอีกนาน
ทันใดนั้น คิ้วขวากงจื่อเย่ก็กระตุก รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปิดไม่มิดคิดในใจว่าการที่อีกฝ่ายพยายามถ่วงเวลานั้นน่าขบขันเพียงใด ก่อนหันมามองหน้าปีศาจสาวผู้เป็นลูกน้องพร้อมสั่งการหนึ่งอย่าง
เทียนจวินเห็นดังนั้นจึงเข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดีเอ่ยปากว่า “กงจื่อเย่ แม้เจ้าจะเป็นอมตะ แล้งหัวใจ ไร้ความรู้สึก แต่สักวันหนึ่งเจ้าจักสูญสลายไม่เหลือแม้แต่เถ้าธุลี”
กงจื่อเย่กระตุกยิ้ม หัวเราะร่าที่ได้ยินเช่นนั้น “คิดว่าข้าไม่รู้ไพ่ตายของพวกเจ้าหรือ เหตุใดจึงแน่ใจนักว่าจะกำราบข้าได้”
ดวงตาสีม่วงแดงมองไปยังเทียนจวินอย่างมีความนัยประกาศก้อง “นางผู้นั้น ข้าจะสังหารด้วยมือของข้า ไม่ว่าจะเกิดใหม่อีกกี่ชาติ ข้าจะไม่ปล่อยให้นางรอดชีวิต ชะตาของนางจะต้องทุกข์ทรมานจนกว่าแก่นวิญญาณเทพจะดับสลาย”
ท่ามกลางความโกลาหลตรงเขตชายแดนระหว่างภพมารและภพสวรรค์ เทพจันทราเร่งหลอมรวมวิญญาณและพลังของตนเองเพื่อผนึกลิขิตสวรรค์ในต้นไม้แห่งโชคชะตาไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้แม้จะต้องสละวิญญาณแต่นั่นเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำเพื่อปกป้องสรรพสิ่งจากหายนะที่คืบคลานเข้ามา ชายชรารู้เป็นอย่างดีว่าจอมมารจะต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับชะตาของใครบางคนอย่างแน่นอน และนั่นอาจจะทำให้แผนการที่วางไว้ล่มไม่เป็นชิ้นดีเสียงคำรามของสัตว์อสูรดังกระหึ่มสร้างความวิตกในใจของเขาเป็นอย่างมาก อีกนิดเดียว ข้าขอเวลาอีกนิดเดียว เขาคิดในใจหวังว่ากองทัพสวรรค์ที่อยู่ด้านนอกจะช่วยต้านทานถ่วงเวลาผู้บุกรุกได้อีกสักเพียงนิด“หยุดนะ!” ปีศาจสาวนามว่าหลิวอิงอิงผู้เป็นมือขวาของจอมมารตะโกนก้อง นางร่ายพลังปีศาจใส่เทพจันทราโดยไม่ยั้งมือ หากแต่ถูกสกัดกั้นโดยกองอารักขาเสียก่อน จึงทำให้นางฉุนเฉียวเพราะไม่ได้ดั่งใจเทพจันทราตั้งสติมั่นพลันขอบข่ายอาคมปรากฏขึ้นหลอมรวมกับจิตวิญญาณอันแกร่งกล้าของชายชราผู้นี้โอบล้อมเป็นม่านคลุมต้นไม้แห่งโชคชะตาเอาไว้ในชั่วขณะหลิวอิงอ
บทสนทนาระหว่างเทพวายุกับจอมมารและการต่อสู้ของทั้งสองดำเนินไปอย่างดุเดือด สวีต้าเฟิงเบี่ยงเบนความสนใจเพื่อถ่วงเวลาให้เทพสงครามได้อย่างแนบเนียนจนอีกฝ่ายสามารถหลอมพลังวิญญาณได้เรียบร้อยกลายเป็นหนึ่งเดียวกับดาบคู่กายของตนเองสายตาที่เทพวายุมองสหายเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อร่ำลาทำให้กงจื่อเย่รู้สึกตัวว่าอีกฝ่ายกำลังเล่นละครฉากใหญ่จังหวะที่หันไปมองตามนั้น ดาบเทพสงครามอันมหึมาก็พุ่งทะลุผ่านร่างของจอมมารในพริบตาการสละวิญญาณของเทพสงครามได้ผลชะงัดเพราะสามารถผนึกเมล็ดพันธุ์ต้นไม้แห่งชีวิตดวงแรกไว้ในแก่นวิญญาณของจอมมารได้ ส่งผลให้พลังมารที่รุนแรงถดถอยลงไปหนึ่งส่วนกงจื่อเย่จะไม่รู้ตัวว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาภายในแก่นวิญญาณของตัวเองเพราะถูกพลังเทพสงครามบดบังเอาไว้แต่เฉลียวได้ว่าผู้นำกองทัพสวรรค์ย่อมไม่สละตนเองเพียงเพื่อทำลายพลังมารของเขาส่วนเดียวจอมมารยืนทื่ออยู่ครู่หนึ่ง พิจารณาว่าร่างมารของตนเองมีสิ่งใดผิดแปลกไปหรือไม่“พวกเจ้าทำอะไรข้า” เขาไม่รู้ว่าเหล่าเทพใช้วิธีใดและนั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดใจไม่น้อย