Home / โรแมนติก / มารเร้นกายดับแสงดารา / ตอนที่ 2 จุติเป็นมนุษย์

Share

ตอนที่ 2 จุติเป็นมนุษย์

บทสนทนาระหว่างเทพวายุกับจอมมารและการต่อสู้ของทั้งสองดำเนินไปอย่างดุเดือด สวีต้าเฟิงเบี่ยงเบนความสนใจเพื่อถ่วงเวลาให้เทพสงครามได้อย่างแนบเนียนจนอีกฝ่ายสามารถหลอมพลังวิญญาณได้เรียบร้อยกลายเป็นหนึ่งเดียวกับดาบคู่กายของตนเอง

สายตาที่เทพวายุมองสหายเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อร่ำลาทำให้กงจื่อเย่รู้สึกตัวว่าอีกฝ่ายกำลังเล่นละครฉากใหญ่

จังหวะที่หันไปมองตามนั้น ดาบเทพสงครามอันมหึมาก็พุ่งทะลุผ่านร่างของจอมมารในพริบตา

การสละวิญญาณของเทพสงครามได้ผลชะงัดเพราะสามารถผนึกเมล็ดพันธุ์ต้นไม้แห่งชีวิตดวงแรกไว้ในแก่นวิญญาณของจอมมารได้ ส่งผลให้พลังมารที่รุนแรงถดถอยลงไปหนึ่งส่วน

กงจื่อเย่จะไม่รู้ตัวว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาภายในแก่นวิญญาณของตัวเองเพราะถูกพลังเทพสงครามบดบังเอาไว้แต่เฉลียวได้ว่าผู้นำกองทัพสวรรค์ย่อมไม่สละตนเองเพียงเพื่อทำลายพลังมารของเขาส่วนเดียว

จอมมารยืนทื่ออยู่ครู่หนึ่ง พิจารณาว่าร่างมารของตนเองมีสิ่งใดผิดแปลกไปหรือไม่

“พวกเจ้าทำอะไรข้า” เขาไม่รู้ว่าเหล่าเทพใช้วิธีใดและนั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดใจไม่น้อย

“เปล่าเสียหน่อย” สวีต้าเฟิงได้ทีบอกปัดไม่ใยดีเพราะไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องอธิบาย สีหน้าเย้ยหยันท้าทายกงจื่อเย่เต็มที่

จอมมารแสยะยิ้ม “ตายได้เปล่าประโยชน์เสียจริง” เขาค่อนแคะการเสียสละของเทพสงครามผู้ยิ่งใหญ่

เทพวายุไม่สบอารมณ์ที่มารน้อยพูดจาดูถูกสหายของตนเองแต่ในใจรู้ดีว่าสิ่งที่เทพสงครามทำไม่ได้ไร้ค่าอย่างที่อีกฝ่ายกล่าวหาอย่างแน่นอน

แม้เวลานี้จะเสียใจที่สหายร่วมรบต้องสลายและไม่รู้ว่าอีกกี่พันกี่หมื่นปีเขาจะหวนคืนกลับมา แต่อย่างน้อยก็เบาใจไปเปราะหนึ่งว่าพวกเขาได้ทำหน้าที่เทพผู้ปกปักรักษาความสงบในสามภพอย่างสุดความสามารถแล้ว ต่อให้ต้องสลายกระทั่งแก่นวิญญาณก็ไม่เสียดาย

สิ่งที่เขาต้องยืนหยัดในเวลานี้คือการเล่นแร่ยืดเวลาให้น้องสาวของตนเองเก็บเมล็ดพันธุ์ต้นไม้แห่งชีวิตอีกสองดวงให้สำเร็จและลองใช้แผนสำรองอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยไม่ให้สวีลู่ชิงต้องสละแก่นวิญญาณของตนเอง

อาวุธเทพบรรพกาลถูกเรียกออกมาประจำข้างกายเทพอาวุโสที่ยืนล้อมกงจื่อเย่เกิดเป็นแสงพวยพุ่งขึ้นสู่ด้านบน รังสีความร้อนแผดเผามารปีศาจระดับล่างอย่างไม่ปรานี

ทั้งยังผนึกกำลังผลัดกันพุ่งเข้าโจมตีกงจื่อเย่ไม่ปล่อยจังหวะเวลาว่างเว้น หวังให้จอมมารนี้แตกสลายไปเพียงชั่วครู่ก็ยังดี

อย่างน้อยในเวลาร้อยปีที่รอมารน้อยฟื้นขึ้นมาใหม่ เหล่าเทพเซียนจะสามารถหาวิธีอื่นใดที่ดีกว่านี้มาต่อกร

ทว่า การโจมตีของเทพผู้อาวุโสกลับทำให้เขารู้สึกเบื่อหน่ายเป็นอย่างยิ่ง “อาวุธเทพบรรพกาลอย่างนั้นหรือ น่าขันนัก” เสียงหัวเราะของเขาเหยียดหยามอีกฝ่ายเพราะความเจ็บแสบยามอาวุธโดนร่างมารมันบางเบาจนเหมือนหญ้าบาดผิวหนังเพียงเท่านั้น

แม้ได้ยินคำปรามาสของกงจื่อเย่เป็นระยะแต่เทียนจวินและเหล่าเทพอาวุโสกลับยังยืนประจันหน้าอยู่ที่เดิม แผนสำรองอีกหนึ่งอย่างกำลังก่อตัวขึ้นโดยที่กงจื่อเย่ไม่รู้ตัว

กองทัพทั้งสองฝ่ายยังคงตะบี้ตะบันโกลาหลไปทั่วภพสวรรค์ ทว่า กงจื่อเย่กลับเล่นละครไปตามน้ำด้วยเช่นกัน เขาส่งสัญญาณให้ปีศาจหนุ่มมือซ้ายนามว่าเฉินซือหยางพร้อมสัตว์อสูรแรกเกิดโจวเหวินหลง มังกรดำสี่เขาหลบเร้นกายตามสวีลู่ชิงไปยังแดนมนุษย์

กระนั้น การตามติดสวีลู่ชิงไม่ใช่เรื่องง่ายนักเพราะนอกจากเทพดาราที่เดินทางผ่านลานจุติแล้วยังมีเทพองค์อื่น ๆ อีกมากมายตามลงมายังแดนมนุษย์ด้วย

“ทำไมข้าต้องได้งานยากอยู่คนเดียว” เสียงบ่นพึมพำของเฉินซือหยางดังก้องเมื่อออกมานอกภพสวรรค์ “หน้าตอนเป็นเทพก็ไม่เคยเห็น แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรว่านางไปเกิดเป็นใครในแดนมนุษย์”

“ไม่อยากมาก็กลับขึ้นไปอยู่ข้างนายท่านสิ” มังกรกรอกตามองด้านล่าง หาลาดเลาว่าควรจะเริ่มตามหาสวีลู่ชิงจากตรงไหน

“กลับไปให้ตายซ้ำอีกรอบน่ะหรือ ไม่เอาด้วยหรอก” เขาส่ายหน้าแล้วครุ่นคิดว่าจะทำเช่นไร “นายท่านบอกว่านางมีอะไรที่พิเศษบ้าง”

“เทพดาราได้รับพลังบรรพกาล ร่างกายของนางยามเผชิญอันตรายจะปรากฏอักขระโบราณขึ้นที่แขนทั้งสองข้าง เผยให้เห็นร่างที่แท้จริงของเทพดารา ดวงตาสีฟ้า ผมสีขาวและตราเทพสวรรค์สีทองตรงกลางหน้าผาก” โจวเหวินหลงกล่าวสั้น ๆ

“เจ้ารู้เรื่องมากเพียงนี้ทำไมไม่เล่าให้ฟังตั้งแต่แรก” ปีศาจหนุ่มทุบหัวมังกรดำไปหนึ่งที “เช่นนั้นจะแยกนางออกจากเทพองค์อื่นที่มาเกิดใหม่ได้อย่างไร ลองฆ่าคนที่ดูน่าสงสัยทุกคนเลยดีหรือไม่”

“การกระทำโง่เขลาเช่นนั้นมีแต่ทำให้เจ้าตายเร็วขึ้น ถึงแดนมนุษย์จะไม่มีเทพเซียนชั้นสูง แต่กลับมีผู้บำเพ็ญเพียรอยู่ไม่น้อย พลังพวกนั้นรวมกันก็ทำร้ายเจ้าได้” โจวเหวินหลงรู้ซึ้งเป็นอย่างดีเพราะเคยถูกคนเหล่านั้นตามล่ามาก่อน

เวลานั้นเขาดุร้ายและควบคุมตนเองไม่ได้บุกเข้าเมืองใหญ่ทำลายบ้านเรือนและผู้คนในเมืองนั้นจนเหี้ยน สุดท้ายแล้วจึงโดนล้อมสังหารจัดการในเวลาไม่นาน

หากไม่ได้จอมมารมาช่วยคงไม่มีโอกาสอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ ครั้นจะกลับไปยังแดนมนุษย์เพราะสำนึกผิดแต่ไม่มีใครในที่แห่งนั้นต้อนรับสัตว์อสูรอย่างเขา

รูปโฉมที่ตรงกันข้ามกับเผ่ามังกรสวรรค์ทำให้มนุษย์ต่างมองว่าเขาเป็นลางร้ายที่กำลังมาเยือน

“ข้าจะลืมคนพวกนั้นไปได้อย่างไร” เฉินซือหยางพูดด้วยน้ำเสียงโกรธแค้นนึกถึงวันวานก่อนที่เขาจะกลายเป็นปีศาจ “รอให้นายท่านกวาดล้างภพสวรรค์ให้เรียบร้อย ข้าจะกลับมาทำลายพวกสำนักเซียนให้สิ้น

ขณะกำลังโต้เถียงกันไปมา เสียงของกงจื่อเย่ดังขึ้นในความคิดของทั้งคู่ “งานที่สั่ง อย่าให้ข้ารอนาน”

“ขอรับนายท่าน” ทั้งสองขานรับพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ขนลุกซู่ไม่รู้ตัว แม้จะอยู่รับใช้จอมมารนานมากแล้วแต่ก็ทำใจให้ชินกับนิสัยของเขาไม่ได้เสียที พลันรู้สึกว่าคำพูดธรรมดากลายเป็นการคาดโทษล่วงหน้าเสียอย่างนั้น

ทันใดนั้น ดวงเนตรอำพัน หนึ่งในอาวุธเทพบรรพกาลปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขา โจวเหวินหลงยิ้มกว้างพูดออกมาว่า “ขอบคุณขอรับนายท่าน”

“...” เฉินซือหยางมองหน้ามังกรดำโจวเหวินหลงเพราะไม่รู้จักของหน้าตาประหลาด

อีกฝ่ายถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วอธิบายว่า “เราสามารถใช้ดวงเนตรอำพันตรวจตราพวกเทพเซียนที่ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ เท่านี้ก็ผ่อนเบาแรงไปเยอะมากโข”

“ส่วนที่เหลือก็คือจับพวกมนุษย์เกิดใหม่นั่นกินจนกว่าจะเจอคนที่มีพลังเทพบรรพกาลปรากฏขึ้นใช่หรือไม่” เขายิ้มมีเลศนัยคิดหาเรื่องล้างแค้นที่สุมอยู่ในอกมาเป็นเวลานาน

“นั่นก็ใช่” มังกรดำพยักหน้า “แต่ถ้าทำโจ่งแจ้งเกินไป เดี๋ยวเทพในภพสวรรค์ก็แห่ลงมากำราบเจ้า”

“ข้ามีวิธีแหละน่า” ความคิดในหัวของเขาแล่นฉลุยราวกับของเล่นชิ้นใหม่จุดประกายความชั่วร้าย “รีบพาข้าลงไปที่แดนมนุษย์เร็วเข้า ชักจะรอเล่นสนุกไม่ไหวแล้วสิ”

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status