ท่ามกลางความโกลาหลตรงเขตชายแดนระหว่างภพมารและภพสวรรค์ เทพจันทราเร่งหลอมรวมวิญญาณและพลังของตนเองเพื่อผนึกลิขิตสวรรค์ในต้นไม้แห่งโชคชะตาไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้
แม้จะต้องสละวิญญาณแต่นั่นเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำเพื่อปกป้องสรรพสิ่งจากหายนะที่คืบคลานเข้ามา ชายชรารู้เป็นอย่างดีว่าจอมมารจะต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับชะตาของใครบางคนอย่างแน่นอน และนั่นอาจจะทำให้แผนการที่วางไว้ล่มไม่เป็นชิ้นดี
เสียงคำรามของสัตว์อสูรดังกระหึ่มสร้างความวิตกในใจของเขาเป็นอย่างมาก อีกนิดเดียว ข้าขอเวลาอีกนิดเดียว เขาคิดในใจหวังว่ากองทัพสวรรค์ที่อยู่ด้านนอกจะช่วยต้านทานถ่วงเวลาผู้บุกรุกได้อีกสักเพียงนิด
“หยุดนะ!” ปีศาจสาวนามว่าหลิวอิงอิงผู้เป็นมือขวาของจอมมารตะโกนก้อง นางร่ายพลังปีศาจใส่เทพจันทราโดยไม่ยั้งมือ หากแต่ถูกสกัดกั้นโดยกองอารักขาเสียก่อน จึงทำให้นางฉุนเฉียวเพราะไม่ได้ดั่งใจ
เทพจันทราตั้งสติมั่นพลันขอบข่ายอาคมปรากฏขึ้นหลอมรวมกับจิตวิญญาณอันแกร่งกล้าของชายชราผู้นี้โอบล้อมเป็นม่านคลุมต้นไม้แห่งโชคชะตาเอาไว้ในชั่วขณะ
หลิวอิงอิงสบถเสียงดังที่ขัดขวางศัตรูไม่สำเร็จพลางสั่งการสัตว์อสูรให้กำจัดกองทหารสวรรค์ในบริเวณนั้นไม่ให้เหลือแล้วพยายามทำลายม่านศักดิ์สิทธิ์เพื่อค้นหาดวงชะตาของเทพดาราตามคำสั่งของจอมมาร
เวลานั้น สวีลู่ชิงหรือเทพดารากำลังเตรียมพร้อมอยู่ในลานจุติ แววตามุ่งมั่นรู้ว่าตนเองรับหน้าที่แสนสำคัญและทุกคนฝากความหวังเอาไว้
เมื่อวัยเยาว์นางได้รับเลือกให้เป็นผู้รับพลังของเทพบรรพกาลมาผนึกไว้ในตนเอง โชคชะตาของผู้มีพลังอันยิ่งใหญ่จะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องทุกคน แม้ว่านั่นอาจจะหมายถึงการสละกระทั่งแก่นวิญญาณเทพ
หากแต่สวีลู่ชิงไม่เคยนึกเสียดายถ้าต้องสลายหายไปหลังเรื่องทุกอย่างจบสิ้น สายตาของนางมองเหล่าเทพเซียนที่ยืนอยู่รายรอบ สีหน้าเศร้าสร้อยเพราะไม่รู้ว่าหลังจากที่นางกลับมายังภพสวรรค์อีกรอบจะได้เจอพวกเขาเหล่านั้นหรือไม่
เทพบุปผาก้าวเข้ามากอดสวีลู่ชิงราวกับจะเอ่ยบอกลาล่วงหน้า “หวังว่าสักวันหนึ่ง เราจะได้กลับมาเจอกันอีกนะ ลู่ชิง”
“เจ้าอย่าพูดเช่นนี้สิเฟยฮวา” นางกล่าวกับสหาย “ก่อนที่ข้าจะต้องดับสลาย รอพบหน้าข้าอีกสักหนไม่ได้หรือ”
สวีลู่ชิงยังคงมีความหวังว่าเทพสงครามและกองทัพสวรรค์จะปกป้องสถานที่แห่งนี้ได้โดยที่ไม่ต้องรอนางใช้แผนการสุดท้ายเพราะการที่นางต้องลงมือเองหมายความว่าไม่มีใครต้านความชั่วร้ายของจอมมารตนนี้ได้เลย
“ข้าจะพยายาม” หวงเฟยฮวาพยักหน้ารับปากแต่นางมิอาจรู้ได้เลยว่าจะทำได้เช่นนั้นจริงหรือไม่
แม้แต่เทพจันทราที่เป็นเทพอาวุโสยังต้องสละวิญญาณของตนเอง แล้วเทพอย่างนางจะรอดพ้นเงื้อมมือจอมมารไปได้อย่างไร
หลังจากร่ำลากันเรียบร้อยแล้ว สวีลู่ชิงผนึกพลังและความทรงจำของตนเองไว้ในส่วนลึกของแก่นวิญญาณแล้วปล่อยตัวร่วงหล่นลงจากลานจุติในพริบตา
แสงสีฟ้าประกายวาบพวยพุ่งเป็นสัญญาณว่ามีเทพเซียน
ลงไปเผชิญด่านเคราะห์ที่ภพมนุษย์ กงจื่อเย่แสยะยิ้มรู้ว่าลูกน้องมือขวาของตนทำงานไม่สำเร็จ แต่หากคิดลงโทษเวลานี้ก็ดูไม่เหมาะสักเท่าใดนัก เขาจึงได้แต่คาดโทษแล้วจะคิดบัญชีคราวหลัง
สวีต้าเฟิง เทพวายุผู้เป็นพี่ชายของสวีลู่ชิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ที่ไม่ได้ร่ำลาน้องสาวของตนเอง ไม่คาดคิดเลยว่าเด็กน้อยที่เลี้ยงอย่างทะนุถนอมมาตั้งแต่เกิดจะต้องรับผิดชอบหน้าที่ยิ่งใหญ่เพียงนี้
โชคชะตาของผู้ที่ถูกเทพบรรพกาลเลือกไม่อาจปฏิเสธได้แต่ช่วงเวลานั้นกลับมาถึงเร็วเกินไปจนเขาไม่ทันได้เตรียมใจที่จะต้องสูญเสียนางอย่างไม่มีวันกลับ
สวีต้าเฟิงจ้องหน้ากงจื่อเย่ไม่วางตา คิดในใจว่าอย่างน้อยควรทำสิ่งที่คิดไว้กับเทพสงครามให้สำเร็จ
แผนการผนึกเมล็ดพันธุ์ต้นไม้แห่งชีวิตในแก่นวิญญาณของจอมมารผู้เกิดแต่โคลนตม ไร้อารมณ์ความรู้สึก จนไม่อาจมีสิ่งใดทำลายได้
เมล็ดพันธุ์ดวงแรกที่เทพดาราเก็บเกี่ยวได้ยามลงมาเผชิญด่านเคราะห์แดนมนุษย์เมื่ออายุครบหนึ่งพันปีอยู่ในมือของเทพสงครามเรียบร้อยแล้ว
แม้ครั้งนี้สวีลู่ชิงต้องลงไปแดนมนุษย์อีกครั้งก่อนกำหนด เสี่ยงที่พลังจะอ่อนแอ แต่นางกลับไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย เพราะได้รู้ว่าเมื่อเมล็ดพันธุ์ทั้งสามดวงถูกผนึกในแก่นวิญญาณของจอมมารจนต้นไม้แห่งชีวิตหยั่งรากเมื่อใด เวลานั้นการกำจัดหายนะก็จะไม่ยากเย็นอีกต่อไป
“เสียดายที่ไม่อาจได้พบนาง” เทพสงครามเฉิงอี้มองดูเมล็ดพันธุ์พลางพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่นยามนึกถึงสวีลู่ชิง บุคคลที่เขารักเหมือนน้องสาว
“หากข้ารอดไปได้ ข้าจะบอกนางว่าเจ้าฝากบอกลา” สวีต้าเฟิงยิ้มมุมปาก พูดล้อเล่นกับสหายอย่างเคยเพราะครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้อยู่ด้วยกัน
“เฮ้อ เจ้านี่นะ” เทพสงครามส่ายหน้า “พร้อมหรือไม่ ข้าอดใจรอซัดเจ้ามารจอมอวดดีไม่ไหวแล้ว”
เทพวายุพยักหน้าพลางร่ายพลังของตนเองมุ่งหน้าไปที่จอมมารโดยไม่เกรงกลัว
กงจื่อเย่แสยะยิ้มไม่ขยับหลบหนีไปที่ใดเพราะมั่นใจว่าไม่มีใครบนภพสวรรค์ทำอันตรายกับเขาได้ แต่ไม่ทันไรกลับต้องนิ่วหน้าเพราะถูกพลังของเทพสงครามอัดเข้าไปเต็ม ๆ จนกระอักเลือด พลันสายตาขุ่นเคืองไม่พอใจฉายแววขึ้นมาจึงเรียกดาบเขี้ยวอสูรที่เกิดจากการหลอมกระดูกและพลังของสัตว์อสูรบ้าคลั่งทั้งเผ่าออกมาถือไว้ข้างกาย
อาวุธประจำตัวหนึ่งเดียวของจอมมารน่าเกรงขามยิ่งกว่าสิ่งใดเสียอีก ดาบกระหายเลือดแผ่กลิ่นอายมารคละคลุ้งข่มขู่ฝ่ายตรงข้าม ความเย็นยะเยือกเข้าปกคลุมทั่วบริเวณนั้นพลันเสียงร้องโหยหวนค่อย ๆ ดังขึ้นทีละนิด
พลังแสงสีฟ้าและขาวลอยลิ่วหมายจะทำลายอาวุธจอมมารแต่มันกลับป้องกันตัวเองได้อย่างน่าเหลือเชื่อ
หลังจากนั้นทั้งสองฝ่ายต่างสาดพลังเพื่อกำจัดฝ่ายตรงข้ามอย่างหนักหน่วงและไม่มีทีท่าว่าจะหยุดได้โดยง่ายเพราะจอมมารต้องการทำลายภพสวรรค์ให้ราบคาบ ส่วนทัพสวรรค์ต้องการยืนหยัดปกป้องดินแดนของตัวเองเอาไว้
ระหว่างการต่อสู้ที่ยืดเยื้อมาพักใหญ่ เทพสงครามหันมามองหน้าสหายของตนเองแล้วยิ้มให้เป็นสัญญาณบอกว่าต้องรีบใช้แผนสำรอง
สวีต้าเฟิงถอนหายใจไม่อาจห้ามเทพสงครามได้เพราะนั่นเป็นสิ่งที่เจ้าตัวได้ตัดสินใจไว้อย่างเด็ดขาดแล้ว จึงหาทางเบี่ยงเบนความสนใจกงจื่อเย่ด้วยการใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อถ่วงเวลาให้เทพสงครามร่ายพลังหลอมรวมวิญญาณ
กงจื่อเย่มองคู่ต่อสู้ด้วยสายตาเหยียดหยาม “เจ้าแค่คนเดียวจะทำอะไรข้าได้”
เทพวายุแค่นหัวเราะที่ได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนั้น “มั่นอกมั่นใจถึงเพียงนั้นเชียวหรือ เป็นแค่มารเด็กน้อยแท้ ๆ”
“เฮอะ” กงจื่อเย่หัวเราะลั่นรู้ตัวดีว่าเพิ่งเกิดได้แค่ร้อยปีจึงโดนดูถูกมากเพียงนี้ แต่ผลแพ้ชนะตรงหน้าก็เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าเขาแข็งแกร่งไร้เทียมทาน
แม้เทพเซียนจะเป็นอมตะแต่หากทำลายแก่นวิญญาณแล้วพวกเขาก็จะดับสลายไปได้เหมือนกัน ต่างจากตัวเขาเองที่อยู่ยั้งยืนยง ไม่มีวันดับสูญ
หากวันนี้ถูกทำลาย รอคอยอีกไม่นานตัวเขาจะกลับฟื้นขึ้นมาใหม่ มีเวลาเหลือเฟือที่จะทำลายภพสวรรค์เล่น ๆ จนกว่าจะสูญสิ้นดั่งใจหมาย
และหากไม่ใช่เพราะว่าเขาบังเอิญรู้มาว่ากาลข้างหน้าจะต้องถูกกำจัด เขาคงไม่ถ่อมาถึงสถานที่แห่งนี้เพื่อตัดไฟตั้งแต่ต้นลม
“ได้ยินมาว่านางเป็นน้องสาวของเจ้า” รอยยิ้มมีเลศนัยเยือกเย็นของกงจื่อเย่ทำให้สวีต้าเฟิงกังวล “ไม่ต้องห่วง ข้าจะทรมานนางให้เจ็บปวดที่สุดแล้วสังหารนางอย่างช้า ๆ”
“โกรธแค้นอะไรนางถึงเพียงนั้น” ผู้เป็นพี่ชายอดไม่ได้ที่จะขุ่นเคือง เขาเลี้ยงนางอย่างกับไข่ในหินแต่มารผู้นี้กลับคิดทำลายนางให้เจ็บปวด
มือสองข้างร่ายพลังสาดใส่กงจื่อเย่ไม่หยุดพักด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“นั่นเป็นเพราะนางคิดสังหารข้าก่อน” กงจื่อเย่เลิกคิ้วไม่แยแส “คนที่คิดกำจัดข้า ข้าจะปล่อยให้มีชีวิตอยู่ได้อย่างไร”
“หากเจ้าไม่ออกมาจากภพมาร เรื่องพวกนี้ก็ไม่จำเป็น”
“พวกเจ้าก็เป็นเช่นนี้ ปากว่าตาขยิบ เทพเซียนประสาอะไรพูดจากลับกลอก การกระทำชั่วร้ายเลวทรามยิ่งนัก ถึงข้าจะขลุกตัวอยู่ภพมารของข้า พวกเจ้าก็ลอบเข้ามาสังหารข้าอยู่ดี” จอมมารนึกถึงตอนแรกเกิดที่ถูกกองทัพสวรรค์ไล่กำจัดอย่างโหดร้าย
ไม่เพียงแค่หนึ่งครั้ง แต่หลายครั้งนับไม่ถ้วน หากแต่เทพอาวุโสต่างเมินเฉยปล่อยผ่านสิ่งที่เทพเซียนเหล่านั้นกระทำกับเขา
ชะตาที่ทำนายว่าเขาจะกลายเป็นจอมมารผู้ยิ่งใหญ่ในวันข้างหน้าทำให้เทพเซียนบางคนรู้สึกหวาดกลัวจนคิดจะตัดชะตามารน้อยแรกเกิดโดยไม่สนวิธี
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ข้าเองก็จะไม่ปล่อยให้เจ้าทรมานน้อยไปกว่าน้องสาวของเจ้าหรอก” กงจื่อเย่แสยะยิ้มมองหน้าสวีต้าเฟิง “ดับสลายไปให้หมด ข้าจะทำลายทุกอย่าง ไม่ว่าใครก็หยุดข้าไม่ได้”
บทสนทนาระหว่างเทพวายุกับจอมมารและการต่อสู้ของทั้งสองดำเนินไปอย่างดุเดือด สวีต้าเฟิงเบี่ยงเบนความสนใจเพื่อถ่วงเวลาให้เทพสงครามได้อย่างแนบเนียนจนอีกฝ่ายสามารถหลอมพลังวิญญาณได้เรียบร้อยกลายเป็นหนึ่งเดียวกับดาบคู่กายของตนเองสายตาที่เทพวายุมองสหายเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อร่ำลาทำให้กงจื่อเย่รู้สึกตัวว่าอีกฝ่ายกำลังเล่นละครฉากใหญ่จังหวะที่หันไปมองตามนั้น ดาบเทพสงครามอันมหึมาก็พุ่งทะลุผ่านร่างของจอมมารในพริบตาการสละวิญญาณของเทพสงครามได้ผลชะงัดเพราะสามารถผนึกเมล็ดพันธุ์ต้นไม้แห่งชีวิตดวงแรกไว้ในแก่นวิญญาณของจอมมารได้ ส่งผลให้พลังมารที่รุนแรงถดถอยลงไปหนึ่งส่วนกงจื่อเย่จะไม่รู้ตัวว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาภายในแก่นวิญญาณของตัวเองเพราะถูกพลังเทพสงครามบดบังเอาไว้แต่เฉลียวได้ว่าผู้นำกองทัพสวรรค์ย่อมไม่สละตนเองเพียงเพื่อทำลายพลังมารของเขาส่วนเดียวจอมมารยืนทื่ออยู่ครู่หนึ่ง พิจารณาว่าร่างมารของตนเองมีสิ่งใดผิดแปลกไปหรือไม่“พวกเจ้าทำอะไรข้า” เขาไม่รู้ว่าเหล่าเทพใช้วิธีใดและนั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดใจไม่น้อย
ภพสวรรค์เซียนผู้เฝ้าหออาวุธโบราณเพิ่งสังเกตได้ว่าดวงเนตรอำพันหายไปจึงคิดรายงานเทียนจวิน แต่กลับถูกสัตว์อสูรเขาแหลมตัวเขื่องขวิดจนร่างแตกสลายไปเสียก่อนสวีต้าเฟิงเห็นจอมมารยิ้มมุมปากได้แต่นึกสงสัยว่าผู้ที่โดนรุมล้อมสังหารมีเหตุอันใดให้รื่นรมย์ใจถึงเพียงนี้ ทั้งยังแววตาท้าทายที่มองมายังเขาไม่วางตาราวกับบรรลุเป้าหมายบางอย่างครั้นจะปลีกตัวออกมาจากที่แห่งนั้นเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจกลับถูกดาบเขี้ยวอสูรเหวี่ยงเข้ามาขวางทางเอาไว้ในพริบตา“จะหนีไปที่ใดกันเล่า” กงจื่อเย่แสยะพลางเรียกดาบประจำกายกลับมา“...” เทพวายุไม่เอ่ยอันใดแต่หันไปสบตากับเทียนจวินที่ยืนอยู่ข้าง ๆ สีหน้ากังวลรู้สึกว่าตนเองกำลังตกหลุมพรางของมารเจ้าเล่ห์ผู้นี้“ไปเถิด” เทียนจวินเอ่ยปากบอกแล้วดันพลังของตัวเองมาต้านทานพลังมารของกงจื่อเย่แทนเทพวายุจอมมารเห็นช่องว่างช่วงเปลี่ยนผันไม่รอช้าเขวี้ยงดาบเขี้ยวอสูรใส่ทั้งคู่โดยไม่แยแสเพื่อสลายพลังที่ตรึงกายมารส่วนล่างของเขาเอาไว้กระนั้น เทพอาวุโสอีกคนหนึ่งเห็นท่าไม่ดีหลบ
แดนมนุษย์เดิมทีเทพดาราจะกลายเป็นดาวตกลงมาเผชิญด่านเคราะห์ทุก ๆ หนึ่งพันปีเพื่อเก็บเกี่ยวเมล็ดพันธุ์ต้นไม้แห่งชีวิตในแดนมนุษย์ นางมีโชคชะตาที่เทพบรรพกาลเลือกสรรให้เป็นผู้สังหารจอมมารที่ถือกำเนิดขึ้นในสามภพตลอดระยะเวลาหลายแสนปีที่ผ่านมา เหล่าเทพเซียนภพสวรรค์ได้รับเลือกจากเทพบรรพกาลมานับไม่ถ้วนเพราะเขาผู้นั้นคือผู้หยั่งรู้โชคชะตาเมื่อจอมมารในแต่ละช่วงเวลาถือกำเนิด หากวิธีที่รับมืออยู่ไม่สามารถต้านทานพลังมารอันชั่วร้ายได้ เมล็ดพันธุ์ต้นไม้แห่งชีวิตจึงเป็นทางเลือกสุดท้าย เพราะผู้ที่สังหารจอมมารตนนั้นต้องสละแก่นวิญญาณของตนเองหลอมรวมอสนีบาตสวรรค์ 19 ครั้ง ผันเปลี่ยนเป็นพลังมหาศาลทำลายจอมมารไปพร้อม ๆ กันเหตุการณ์เหล่านั้นจึงทำให้มีเทพเซียนดับสูญตลอดกาลไปไม่น้อย แต่เพื่อแลกกับความสงบสุขของสามภพแล้ว พวกเขาเหล่านั้นจึงยอมรับในโชคชะตาของตัวเองครั้งนี้สวีลู่ชิงลงมาเกิดเป็นมนุษย์ครั้งที่สองด้วยช่วงเวลาที่ห่างกันจากครั้งแรกเพียงห้าร้อยปี พลังเทพของนางจึงได้รับความเสียหายบางส่วนเด็กทารกดวงตาสีฟ้า เรือนผมขาวแต่กำเนิดราวหิมะปรา
โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งนอกเมืองหนานพ่อค้าจากต่างเมืองที่ผ่านมาแวะพักในโรงเตี๊ยมเล่าข่าวคราวที่บังเอิญได้ยินมาให้คนที่อาศัยอยู่ละแวกนั้นฟัง เสียงเล่าลือว่าคนในหมู่บ้านหงเหลียนทางตอนใต้แคว้นชิงตายด้วยอาการประหลาดคนที่เหลือรอดมาได้เล่าวกไปวนมาว่าสิ่งที่เข้าทำร้ายพวกเขาต้องไม่ใช่คน ดูไม่มีรูปร่างแต่แววตาแดงฉานฉายชัด ครั้นจะถามต่อว่าเป็นอย่างไรบ้างกลับไม่ได้อะไรเพิ่มเติม คนเหล่านั้นเหมือนสติหลุดพูดจาไม่รู้เรื่องไปเสียแล้วเจ้าเมืองจึงต้องส่งคนไปเชิญเซียนสำนักต่าง ๆ เข้ามาตรวจสอบข่าวลือที่ว่าผีปีศาจออกอาละวาดทำร้ายชาวเมืองเป็นเรื่องจริงหรือไม่กระนั้น หลายเดือนผ่านไปยังไม่มีใครเห็นเซียนที่เข้าไปในหมู่บ้านหงเหลียนออกมาข้างนอก บรรยากาศรอบหมู่บ้านราวกับมีผีสิง อึมครึม เย็นยะเยือก นานวันเข้าจึงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้หมู่บ้านร้างอีกเลย“แค่เล่าให้พวกเจ้าฟังก็ขนหัวลุกแล้ว” หนึ่งในคาราวานพ่อค้าเอ่ยปากพลางทำท่าสั่นกลัว“ไม่ใช่แค่หมู่บ้านหงเหลียนหรอก” ชายคนหนึ่งกระดกแก้วเหล้าอึกใหญ่รำลึกถึงเหตุการณ์เฉียดตายที่พบเ
สำนักเซียนดาราสวรรค์“จื่อเถิง มาหาอาจารย์หน่อยเถิด” เสียงของเฉาหมิงเรียกนางด้วยความเอ็นดู ก่อนจะลูบศีรษะของศิษย์ผู้นี้อย่างอ่อนโยน “อาจารย์เจ้าสำนักฝากข้าเอามาให้เจ้า”จื่อเถิงมองดูหยกสีชมพูอ่อน สีหน้างงงวยเพราะไม่รู้ว่าหยกหน้าตาสวยงามคืออะไร“อาจารย์เจ้าสำนักเป็นห่วงเจ้ามากจึงฝากข้านำมาให้” เขาถอนหายใจเพราะรู้ว่าอาจารย์ของตนเองใช้พลังเซียนที่สั่งสมมานานหลายสิบปีหลอมหยกชิ้นนี้ขึ้นมาให้ศิษย์หลานโดยเฉพาะครั้นถามว่าเหตุใดจึงทำเช่นนั้นกลับได้คำตอบมาว่า “นางเดินทางออกนอกสำนักเป็นครั้งแรก ย่อมต้องห่วงเป็นธรรมดา”ทว่า เฉาหมิงกลับสังเกตได้ว่ารอยยิ้มของนางนั้นเต็มไปด้วยความกังวล แต่ไม่อาจถามไถ่สิ่งใดได้อีกเพราะนางคงไม่มีทางบอกอย่างแน่นอน“ขอบคุณเจ้าค่ะ” จื่อเถิงรับปากว่าจะปกป้องทุกคนและกลับมาสำนักดาราสวรรค์ก่อนเทศกาลโคมไฟแล้วรีบวิ่งไปหาศิษย์น้องอิงฮวาที่ยืนรออยู่ด้านหน้าสำนักคล้อยหลังจื่อเถิง เฉาหมิงเอ่ยปากบอกหยางซีอวิ๋นผู้เป็นศิษย์พี่ว่า &ld
ช่วงเวลานั้นเกิดเสียงหวีดร้องและเสียงปะทะพลังของทั้งสองฝ่ายกระหึ่มดังไปทั่วบริเวณเซียนหนุ่มหันไปมองสหายด้วยสายตากังวล“ไม่เป็นอันใดหรอก เลี่ยงหวง” เซียนสาวบอกศิษย์ร่วมสำนักด้วยท่าทีใจเย็นเพราะมีประสบการณ์เรื่องต่อสู้มามาก “จำที่อาจารย์สอนเจ้าได้หรือไม่”เลี่ยงหวงพยักหน้าแล้วรวบรวมพลังเซียนวิชาหนึ่งของสำนักตนเอง พลันแสงสีขาวก่อตัวพองโตเป็นลูกกลม ๆ ขึ้นทีละนิด เขาขมวดคิ้วกลั้นหายใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ ข้าพร้อมแล้ว”เฉินซือหยางมัวแต่วอกแวกเพื่อกวนประสาทเซียนทั้งสองจึงไม่ทันระวังตัวโดนพลังเซียนขั้นสูงสาดใส่ร่างปีศาจเข้าเต็มเหนี่ยวกระเด็นทะลุบ้านเรือนไปหลายหลังเขายันตัวลุกขึ้นเอียงคอจัดกระดูกที่หักไปหลายท่อนกลับมาดังเดิมแล้วเช็ดเลือดที่มุมปากพลางปัดฝุ่นดินบนเสื้อผ้า แสยะยิ้มที่ไม่ได้เจอผู้ใดมีฤทธิ์เดชรุนแรงเท่าสองคนข้างหน้ามานานมากแล้ว“เฉินซือหยาง เจ้าอย่าลืมว่าพวกเขามิใช่เซียนธรรมดา”มังกรดำเอ่ยปากเตือนเพราะไม่อยากให้สหายเพลี่ยงพล้ำจนเสียการงาน
มังกรดำโผล่หน้าเหนือศีรษะของอิงฮวาอ้าปากรอเขมือบร่างบางที่มิอาจหลีกหนีได้ทัน หากแต่แสงจากกระบี่เซียนกำลังง้างปากของมังกรดำเอาไว้ไม่ยอมให้มันบดขยี้จื่อเถิงและหยางซีอวิ๋นยังไม่อาจผละจากกองทัพปีศาจที่อยู่รอบตัวได้ ครั้นกำจัดไปหนึ่งก็จะถูกอีกสองถ่วงแข้งขาเอาไว้อย่างรู้งานในเมื่อไม่อาจขย้ำเหยื่อตัวน้อยตรงหน้าได้ มังกรดำจึงเปลี่ยนวิธี ค่อย ๆ ดูดกลืนพลังชีวิตของอิงฮวาแทนเส้นสายสีขาวจาง ๆ ถูกดึงยืดออกจากร่างเซียนน้อยทีละนิดจนนางไม่อาจกลั้นเสียงร้องเจ็บปวดได้ค่อย ๆ หมดแรงต้านทานจนปากของสัตว์อสูรเริ่มปิดลงได้เรื่อย ๆ“ศิษย์พี่...” เสียงหอบเหนื่อยล้าของอิงฮวาพึมพำอยู่ลำพัง คิดในใจว่าวันนี้ตนเองอาจจะไม่รอดจึงร่ายพลังน้อยนิดที่เหลืออยู่ส่งสัญญาณให้พวกเขาดวงไฟสีขาวพุ่งเข้าหาจื่อเถิงกับหยางซีอวิ๋นในพริบตาจึงทันได้หันรอยยิ้มสุดท้ายของศิษย์น้องเล็กที่กำลังจะถูกมังกรดำเขมือบอยู่รอมร่อเหตุการณ์นี้กระตุ้นให้จื่อเถิงเปิดผนึกเทพดาราออกส่วนหนึ่งเกิดรอยอักขระโบราณขึ้นที่แขนของนางพลันพลังเทพดาราส
ความสงบสุขเรียบง่ายหลายหมื่นปีของภพสวรรค์กำลังถูกสั่นคลอนเพราะมารตนหนึ่งที่ถือกำเนิดขึ้นเมื่อร้อยปีก่อน ใครเล่าจะคิดว่าสิ่งเล็ก ๆ จากบ่อโคลนของความชั่วร้ายทั้งปวงจะหลอมรวมภัยอันตรายที่สามารถทำลายล้างสวรรค์ให้ราบเป็นหน้ากลองได้ในเวลาไม่นานภพมารแซ่ซ้องสรรเสริญผู้ปกครองดินแดนคนใหม่ ยกขึ้นเป็นนายเหนือหัวที่จะกลายเป็นจอมมารปลดเปลื้องพันธะให้เหล่ามารปีศาจที่ถูกกักขังในหุบเหวดำมืด จบสิ้นการลงทัณฑ์อันยาวนานจากเทพบรรพกาลเสียงอึกทึกกึกก้องคำรามข่มขู่เหล่าเทพเซียนบนฟากฟ้าพร้อมบุกเข้าโจมตีอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยจนผู้คนในแดนศักดิ์สิทธิ์วุ่นวายโกลาหลเคราะห์ยังดีที่กองทัพสวรรค์เป่าแตรส่งสัญญาณเตือนภัยได้ทันเวลา เหล่าเทพเซียนจึงผนึกกำลังป้องกันการรุกรานของทัพมารอย่างสุดความสามารถเทพสงครามนำทัพออกมาเผชิญหน้าปกป้องสรรพสิ่งไม่ให้แตกสลายจากมหันตภัยในครั้งนี้ กลยุทธ์มากมายที่เคยใช้กับจอมมารตนอื่นกลับไม่ได้ผลนักไพ่ตายที่ถูกวางไว้สามอย่างเริ่มดำเนินไปอย่างเงียบ ๆ หวังว่าจะหยุดความเลวร้ายทั้งหมดลงไปได้ก่อนที่จะมีความสูญเสียไปมากกว่านี้เวลานั้นโฉมหน้าของผู้นำทัพมารจึงปรากฏขึ้น รอยยิ้มชั่วร้ายและแววตาเย็
มังกรดำโผล่หน้าเหนือศีรษะของอิงฮวาอ้าปากรอเขมือบร่างบางที่มิอาจหลีกหนีได้ทัน หากแต่แสงจากกระบี่เซียนกำลังง้างปากของมังกรดำเอาไว้ไม่ยอมให้มันบดขยี้จื่อเถิงและหยางซีอวิ๋นยังไม่อาจผละจากกองทัพปีศาจที่อยู่รอบตัวได้ ครั้นกำจัดไปหนึ่งก็จะถูกอีกสองถ่วงแข้งขาเอาไว้อย่างรู้งานในเมื่อไม่อาจขย้ำเหยื่อตัวน้อยตรงหน้าได้ มังกรดำจึงเปลี่ยนวิธี ค่อย ๆ ดูดกลืนพลังชีวิตของอิงฮวาแทนเส้นสายสีขาวจาง ๆ ถูกดึงยืดออกจากร่างเซียนน้อยทีละนิดจนนางไม่อาจกลั้นเสียงร้องเจ็บปวดได้ค่อย ๆ หมดแรงต้านทานจนปากของสัตว์อสูรเริ่มปิดลงได้เรื่อย ๆ“ศิษย์พี่...” เสียงหอบเหนื่อยล้าของอิงฮวาพึมพำอยู่ลำพัง คิดในใจว่าวันนี้ตนเองอาจจะไม่รอดจึงร่ายพลังน้อยนิดที่เหลืออยู่ส่งสัญญาณให้พวกเขาดวงไฟสีขาวพุ่งเข้าหาจื่อเถิงกับหยางซีอวิ๋นในพริบตาจึงทันได้หันรอยยิ้มสุดท้ายของศิษย์น้องเล็กที่กำลังจะถูกมังกรดำเขมือบอยู่รอมร่อเหตุการณ์นี้กระตุ้นให้จื่อเถิงเปิดผนึกเทพดาราออกส่วนหนึ่งเกิดรอยอักขระโบราณขึ้นที่แขนของนางพลันพลังเทพดาราส
ช่วงเวลานั้นเกิดเสียงหวีดร้องและเสียงปะทะพลังของทั้งสองฝ่ายกระหึ่มดังไปทั่วบริเวณเซียนหนุ่มหันไปมองสหายด้วยสายตากังวล“ไม่เป็นอันใดหรอก เลี่ยงหวง” เซียนสาวบอกศิษย์ร่วมสำนักด้วยท่าทีใจเย็นเพราะมีประสบการณ์เรื่องต่อสู้มามาก “จำที่อาจารย์สอนเจ้าได้หรือไม่”เลี่ยงหวงพยักหน้าแล้วรวบรวมพลังเซียนวิชาหนึ่งของสำนักตนเอง พลันแสงสีขาวก่อตัวพองโตเป็นลูกกลม ๆ ขึ้นทีละนิด เขาขมวดคิ้วกลั้นหายใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ ข้าพร้อมแล้ว”เฉินซือหยางมัวแต่วอกแวกเพื่อกวนประสาทเซียนทั้งสองจึงไม่ทันระวังตัวโดนพลังเซียนขั้นสูงสาดใส่ร่างปีศาจเข้าเต็มเหนี่ยวกระเด็นทะลุบ้านเรือนไปหลายหลังเขายันตัวลุกขึ้นเอียงคอจัดกระดูกที่หักไปหลายท่อนกลับมาดังเดิมแล้วเช็ดเลือดที่มุมปากพลางปัดฝุ่นดินบนเสื้อผ้า แสยะยิ้มที่ไม่ได้เจอผู้ใดมีฤทธิ์เดชรุนแรงเท่าสองคนข้างหน้ามานานมากแล้ว“เฉินซือหยาง เจ้าอย่าลืมว่าพวกเขามิใช่เซียนธรรมดา”มังกรดำเอ่ยปากเตือนเพราะไม่อยากให้สหายเพลี่ยงพล้ำจนเสียการงาน
สำนักเซียนดาราสวรรค์“จื่อเถิง มาหาอาจารย์หน่อยเถิด” เสียงของเฉาหมิงเรียกนางด้วยความเอ็นดู ก่อนจะลูบศีรษะของศิษย์ผู้นี้อย่างอ่อนโยน “อาจารย์เจ้าสำนักฝากข้าเอามาให้เจ้า”จื่อเถิงมองดูหยกสีชมพูอ่อน สีหน้างงงวยเพราะไม่รู้ว่าหยกหน้าตาสวยงามคืออะไร“อาจารย์เจ้าสำนักเป็นห่วงเจ้ามากจึงฝากข้านำมาให้” เขาถอนหายใจเพราะรู้ว่าอาจารย์ของตนเองใช้พลังเซียนที่สั่งสมมานานหลายสิบปีหลอมหยกชิ้นนี้ขึ้นมาให้ศิษย์หลานโดยเฉพาะครั้นถามว่าเหตุใดจึงทำเช่นนั้นกลับได้คำตอบมาว่า “นางเดินทางออกนอกสำนักเป็นครั้งแรก ย่อมต้องห่วงเป็นธรรมดา”ทว่า เฉาหมิงกลับสังเกตได้ว่ารอยยิ้มของนางนั้นเต็มไปด้วยความกังวล แต่ไม่อาจถามไถ่สิ่งใดได้อีกเพราะนางคงไม่มีทางบอกอย่างแน่นอน“ขอบคุณเจ้าค่ะ” จื่อเถิงรับปากว่าจะปกป้องทุกคนและกลับมาสำนักดาราสวรรค์ก่อนเทศกาลโคมไฟแล้วรีบวิ่งไปหาศิษย์น้องอิงฮวาที่ยืนรออยู่ด้านหน้าสำนักคล้อยหลังจื่อเถิง เฉาหมิงเอ่ยปากบอกหยางซีอวิ๋นผู้เป็นศิษย์พี่ว่า &ld
โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งนอกเมืองหนานพ่อค้าจากต่างเมืองที่ผ่านมาแวะพักในโรงเตี๊ยมเล่าข่าวคราวที่บังเอิญได้ยินมาให้คนที่อาศัยอยู่ละแวกนั้นฟัง เสียงเล่าลือว่าคนในหมู่บ้านหงเหลียนทางตอนใต้แคว้นชิงตายด้วยอาการประหลาดคนที่เหลือรอดมาได้เล่าวกไปวนมาว่าสิ่งที่เข้าทำร้ายพวกเขาต้องไม่ใช่คน ดูไม่มีรูปร่างแต่แววตาแดงฉานฉายชัด ครั้นจะถามต่อว่าเป็นอย่างไรบ้างกลับไม่ได้อะไรเพิ่มเติม คนเหล่านั้นเหมือนสติหลุดพูดจาไม่รู้เรื่องไปเสียแล้วเจ้าเมืองจึงต้องส่งคนไปเชิญเซียนสำนักต่าง ๆ เข้ามาตรวจสอบข่าวลือที่ว่าผีปีศาจออกอาละวาดทำร้ายชาวเมืองเป็นเรื่องจริงหรือไม่กระนั้น หลายเดือนผ่านไปยังไม่มีใครเห็นเซียนที่เข้าไปในหมู่บ้านหงเหลียนออกมาข้างนอก บรรยากาศรอบหมู่บ้านราวกับมีผีสิง อึมครึม เย็นยะเยือก นานวันเข้าจึงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้หมู่บ้านร้างอีกเลย“แค่เล่าให้พวกเจ้าฟังก็ขนหัวลุกแล้ว” หนึ่งในคาราวานพ่อค้าเอ่ยปากพลางทำท่าสั่นกลัว“ไม่ใช่แค่หมู่บ้านหงเหลียนหรอก” ชายคนหนึ่งกระดกแก้วเหล้าอึกใหญ่รำลึกถึงเหตุการณ์เฉียดตายที่พบเ
แดนมนุษย์เดิมทีเทพดาราจะกลายเป็นดาวตกลงมาเผชิญด่านเคราะห์ทุก ๆ หนึ่งพันปีเพื่อเก็บเกี่ยวเมล็ดพันธุ์ต้นไม้แห่งชีวิตในแดนมนุษย์ นางมีโชคชะตาที่เทพบรรพกาลเลือกสรรให้เป็นผู้สังหารจอมมารที่ถือกำเนิดขึ้นในสามภพตลอดระยะเวลาหลายแสนปีที่ผ่านมา เหล่าเทพเซียนภพสวรรค์ได้รับเลือกจากเทพบรรพกาลมานับไม่ถ้วนเพราะเขาผู้นั้นคือผู้หยั่งรู้โชคชะตาเมื่อจอมมารในแต่ละช่วงเวลาถือกำเนิด หากวิธีที่รับมืออยู่ไม่สามารถต้านทานพลังมารอันชั่วร้ายได้ เมล็ดพันธุ์ต้นไม้แห่งชีวิตจึงเป็นทางเลือกสุดท้าย เพราะผู้ที่สังหารจอมมารตนนั้นต้องสละแก่นวิญญาณของตนเองหลอมรวมอสนีบาตสวรรค์ 19 ครั้ง ผันเปลี่ยนเป็นพลังมหาศาลทำลายจอมมารไปพร้อม ๆ กันเหตุการณ์เหล่านั้นจึงทำให้มีเทพเซียนดับสูญตลอดกาลไปไม่น้อย แต่เพื่อแลกกับความสงบสุขของสามภพแล้ว พวกเขาเหล่านั้นจึงยอมรับในโชคชะตาของตัวเองครั้งนี้สวีลู่ชิงลงมาเกิดเป็นมนุษย์ครั้งที่สองด้วยช่วงเวลาที่ห่างกันจากครั้งแรกเพียงห้าร้อยปี พลังเทพของนางจึงได้รับความเสียหายบางส่วนเด็กทารกดวงตาสีฟ้า เรือนผมขาวแต่กำเนิดราวหิมะปรา
ภพสวรรค์เซียนผู้เฝ้าหออาวุธโบราณเพิ่งสังเกตได้ว่าดวงเนตรอำพันหายไปจึงคิดรายงานเทียนจวิน แต่กลับถูกสัตว์อสูรเขาแหลมตัวเขื่องขวิดจนร่างแตกสลายไปเสียก่อนสวีต้าเฟิงเห็นจอมมารยิ้มมุมปากได้แต่นึกสงสัยว่าผู้ที่โดนรุมล้อมสังหารมีเหตุอันใดให้รื่นรมย์ใจถึงเพียงนี้ ทั้งยังแววตาท้าทายที่มองมายังเขาไม่วางตาราวกับบรรลุเป้าหมายบางอย่างครั้นจะปลีกตัวออกมาจากที่แห่งนั้นเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจกลับถูกดาบเขี้ยวอสูรเหวี่ยงเข้ามาขวางทางเอาไว้ในพริบตา“จะหนีไปที่ใดกันเล่า” กงจื่อเย่แสยะพลางเรียกดาบประจำกายกลับมา“...” เทพวายุไม่เอ่ยอันใดแต่หันไปสบตากับเทียนจวินที่ยืนอยู่ข้าง ๆ สีหน้ากังวลรู้สึกว่าตนเองกำลังตกหลุมพรางของมารเจ้าเล่ห์ผู้นี้“ไปเถิด” เทียนจวินเอ่ยปากบอกแล้วดันพลังของตัวเองมาต้านทานพลังมารของกงจื่อเย่แทนเทพวายุจอมมารเห็นช่องว่างช่วงเปลี่ยนผันไม่รอช้าเขวี้ยงดาบเขี้ยวอสูรใส่ทั้งคู่โดยไม่แยแสเพื่อสลายพลังที่ตรึงกายมารส่วนล่างของเขาเอาไว้กระนั้น เทพอาวุโสอีกคนหนึ่งเห็นท่าไม่ดีหลบ
บทสนทนาระหว่างเทพวายุกับจอมมารและการต่อสู้ของทั้งสองดำเนินไปอย่างดุเดือด สวีต้าเฟิงเบี่ยงเบนความสนใจเพื่อถ่วงเวลาให้เทพสงครามได้อย่างแนบเนียนจนอีกฝ่ายสามารถหลอมพลังวิญญาณได้เรียบร้อยกลายเป็นหนึ่งเดียวกับดาบคู่กายของตนเองสายตาที่เทพวายุมองสหายเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อร่ำลาทำให้กงจื่อเย่รู้สึกตัวว่าอีกฝ่ายกำลังเล่นละครฉากใหญ่จังหวะที่หันไปมองตามนั้น ดาบเทพสงครามอันมหึมาก็พุ่งทะลุผ่านร่างของจอมมารในพริบตาการสละวิญญาณของเทพสงครามได้ผลชะงัดเพราะสามารถผนึกเมล็ดพันธุ์ต้นไม้แห่งชีวิตดวงแรกไว้ในแก่นวิญญาณของจอมมารได้ ส่งผลให้พลังมารที่รุนแรงถดถอยลงไปหนึ่งส่วนกงจื่อเย่จะไม่รู้ตัวว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาภายในแก่นวิญญาณของตัวเองเพราะถูกพลังเทพสงครามบดบังเอาไว้แต่เฉลียวได้ว่าผู้นำกองทัพสวรรค์ย่อมไม่สละตนเองเพียงเพื่อทำลายพลังมารของเขาส่วนเดียวจอมมารยืนทื่ออยู่ครู่หนึ่ง พิจารณาว่าร่างมารของตนเองมีสิ่งใดผิดแปลกไปหรือไม่“พวกเจ้าทำอะไรข้า” เขาไม่รู้ว่าเหล่าเทพใช้วิธีใดและนั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดใจไม่น้อย
ท่ามกลางความโกลาหลตรงเขตชายแดนระหว่างภพมารและภพสวรรค์ เทพจันทราเร่งหลอมรวมวิญญาณและพลังของตนเองเพื่อผนึกลิขิตสวรรค์ในต้นไม้แห่งโชคชะตาไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้แม้จะต้องสละวิญญาณแต่นั่นเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำเพื่อปกป้องสรรพสิ่งจากหายนะที่คืบคลานเข้ามา ชายชรารู้เป็นอย่างดีว่าจอมมารจะต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับชะตาของใครบางคนอย่างแน่นอน และนั่นอาจจะทำให้แผนการที่วางไว้ล่มไม่เป็นชิ้นดีเสียงคำรามของสัตว์อสูรดังกระหึ่มสร้างความวิตกในใจของเขาเป็นอย่างมาก อีกนิดเดียว ข้าขอเวลาอีกนิดเดียว เขาคิดในใจหวังว่ากองทัพสวรรค์ที่อยู่ด้านนอกจะช่วยต้านทานถ่วงเวลาผู้บุกรุกได้อีกสักเพียงนิด“หยุดนะ!” ปีศาจสาวนามว่าหลิวอิงอิงผู้เป็นมือขวาของจอมมารตะโกนก้อง นางร่ายพลังปีศาจใส่เทพจันทราโดยไม่ยั้งมือ หากแต่ถูกสกัดกั้นโดยกองอารักขาเสียก่อน จึงทำให้นางฉุนเฉียวเพราะไม่ได้ดั่งใจเทพจันทราตั้งสติมั่นพลันขอบข่ายอาคมปรากฏขึ้นหลอมรวมกับจิตวิญญาณอันแกร่งกล้าของชายชราผู้นี้โอบล้อมเป็นม่านคลุมต้นไม้แห่งโชคชะตาเอาไว้ในชั่วขณะหลิวอิงอ
ความสงบสุขเรียบง่ายหลายหมื่นปีของภพสวรรค์กำลังถูกสั่นคลอนเพราะมารตนหนึ่งที่ถือกำเนิดขึ้นเมื่อร้อยปีก่อน ใครเล่าจะคิดว่าสิ่งเล็ก ๆ จากบ่อโคลนของความชั่วร้ายทั้งปวงจะหลอมรวมภัยอันตรายที่สามารถทำลายล้างสวรรค์ให้ราบเป็นหน้ากลองได้ในเวลาไม่นานภพมารแซ่ซ้องสรรเสริญผู้ปกครองดินแดนคนใหม่ ยกขึ้นเป็นนายเหนือหัวที่จะกลายเป็นจอมมารปลดเปลื้องพันธะให้เหล่ามารปีศาจที่ถูกกักขังในหุบเหวดำมืด จบสิ้นการลงทัณฑ์อันยาวนานจากเทพบรรพกาลเสียงอึกทึกกึกก้องคำรามข่มขู่เหล่าเทพเซียนบนฟากฟ้าพร้อมบุกเข้าโจมตีอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยจนผู้คนในแดนศักดิ์สิทธิ์วุ่นวายโกลาหลเคราะห์ยังดีที่กองทัพสวรรค์เป่าแตรส่งสัญญาณเตือนภัยได้ทันเวลา เหล่าเทพเซียนจึงผนึกกำลังป้องกันการรุกรานของทัพมารอย่างสุดความสามารถเทพสงครามนำทัพออกมาเผชิญหน้าปกป้องสรรพสิ่งไม่ให้แตกสลายจากมหันตภัยในครั้งนี้ กลยุทธ์มากมายที่เคยใช้กับจอมมารตนอื่นกลับไม่ได้ผลนักไพ่ตายที่ถูกวางไว้สามอย่างเริ่มดำเนินไปอย่างเงียบ ๆ หวังว่าจะหยุดความเลวร้ายทั้งหมดลงไปได้ก่อนที่จะมีความสูญเสียไปมากกว่านี้เวลานั้นโฉมหน้าของผู้นำทัพมารจึงปรากฏขึ้น รอยยิ้มชั่วร้ายและแววตาเย็