หลินซีเวยหมดท่าไม่อาจโต้กลับเหล่าเซียนสำนักหานหลิ่งได้อีก ทั้งยังถูกตรึงด้วยผนึกเพื่อทำลายพลังมารปีศาจที่ควบคุมร่างเขาอยู่
“ท่านเซียน ช่วยเขาไม่ได้หรือ” ฮ่องเต้เอ่ยปากถามเพราะยังมีความหวังว่าจะได้บุตรชายกลับคืน หากแต่เหล่าเซียนกลับตอบว่า “พลังมารปีศาจหลอมรวมเข้าแก่นวิญญาณของเขาแล้วมิอาจถอดถอนได้เฉกเช่นคนทั่วไป หนทางเดียวที่จะหยุดหายนะในเมืองไท่หยางคือสังหารเขาไปพร้อมกับมัน”
“...” ทุกคนนิ่งเงียบ สายตามองปีศาจร้ายด้วยความหวาดกลัว เพียงแค่หนึ่งก้านธูป วังหลวงกลับนองเลือดราวกับมีสงครามครั้งใหญ่ หากคิดปล่อยไว้มีหวังทั้งเมืองไท่หยางคงกลายเป็นเมืองร้างไร้ผู้คนเป็นแน่
“ข้าไม่ได้ขอความเห็นพวกท่าน มาวันนี้เพื่อทำหน้าที่ของตนเอง มารปีศาจตนนี้ร้ายกาจนักหากปล่อยให้หลุดรอดไปได้คงทำลายผู้คนในเมืองอื่น ๆ อีกนับไม่ถ้วน” เขาอธิบายให้คนเหล่านั้นได้เห็นภาพว่าพลังที่ควบคุมมนุษย์ได้นั้นชั่วร้ายเพียงใด
ขณะที่ทุกคนเผลอไปชั่วครู่ พลังมารปีศาจดวงหนึ่งกลับล่องลอยเข้าหาฮ่องเต้เมืองไท่หยางบังคับร่างของเขาเอ่ยคำสั่งสุดท้าย “สังหารเขาเสีย”
ฮองเฮาไม่เชื่อหูตนเองที่ได้ยินเขาพูดอย่างนั้นแต่ไม่อาจทำอันใดได้เพราะประกาศิตของผู้ปกครองเมืองย่อมไม่มีใครกล้าขัด นางกำลังทำใจว่าบุตรชายของนางจากไปแล้ว สิ่งที่เห็นอยู่ตอนนี้คือมารร้ายที่ใช้ร่างเขาเท่านั้น
เมื่อได้คำสั่งของฮ่องเต้ เหล่าเซียนสำนักหานหลิ่งจึงร่วมมือเค้นพลังของตนเองเพื่อกำจัดหลินซีเวยในทันที
เขาทนทรมานพลังถูกพลังเซียนฉีกทิ้งร่างกายของตนเองจนกระอักเลือดออกมา ร่างมนุษย์ของหลินซีเวยไม่อาจทนไหวจนในที่สุดลมหายใจที่หลงเหลืออยู่ก็จางหายไป
แม่ทัพใหญ่เห็นหลินซีเวยสิ้นชีวิตต่อหน้าต่อตา เขามองไปที่ฮ่องเต้แล้วรู้สึกได้ว่าสหายร่วมรบมีอันใดแปลกไปในแววตาคู่นั้น มันเหมือนหลินซีเวย
ไม่ผิดเพี้ยนจึงคิดถึงบุตรสาวและหลานชายที่หลบซ่อนตัวในจวน จึงค่อย ๆ หลบออกไปจากที่แห่งนั้นแล้วตรงลิ่วกลับเรือนของตน
ทุกสิ่งเป็นดังที่เขาคาดเอาไว้เพราะฮ่องเต้ยังบอกพวกเซียนเหล่านั้นด้วยว่าอีนั่วคือต้นเหตุของโศกนาฏกรรมครั้งนี้
มารน้อยคือเป้าหมายต่อไปที่พวกเขาต้องชำระล้างเพื่อไม่ให้เกิดเหตุเศร้าโศกดังเช่นในวังหลวงอีกครั้ง
จวนแม่ทัพใหญ่
ผู้เป็นบิดามองหน้าลูกสาวกับหลานชายที่ยังคงนอนหลับไม่รู้เรื่องราวอันใด เชื่ออย่างสุดใจว่าอีนั่วไม่ใช่ต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด
“ท่านพ่อ เหตุใดจึงไม่เห็นเขากลับมาด้วย” อู๋เยว่ชิงถามทันทีที่ได้พบหน้าบิดา
“...”
“ท่านพ่อ บอกข้ามาเถิด เกิดอันใดขึ้นหรือ เหตุใดเขาจึงไม่กลับมาด้วย...” นางขอร้องอ้อนวอนทั้งน้ำตาเพราะเห็นเลือดเปื้อนเสื้อผ้าของแม่ทัพใหญ่ ในใจคิดว่าต้องมีเรื่องร้ายแรงจนเขาต้องรีบมาที่จวน
“องค์ชายสามสิ้นแล้ว” คำพูดของเขาเสียดแทงหัวใจของอู๋เยว่ชิงจนทรุดตัวลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง
“ไม่จริงใช่หรือไม่ ท่านพ่อ บอกข้าทีว่าไม่จริง” น้ำตาของนางเอ่อล้นไม่อยากจะเชื่อว่าหลินซีเวยจากไปแล้ว
“เสี่ยวเยว่ชิงฟังพ่อ” สีหน้าของเขาจริงจัง “เวลานี้เจ้าต้องรีบพาอีนั่วหนีไป หนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ เจ้าเข้าใจหรือไม่”
“ท่านพี่ เกิดอันใดขึ้นกันแน่ ทำไมต้องให้ลูกหนีไปจากที่นี่” อู๋ฮูหยินถามผู้เป็นสามี
“พวกเขาคิดว่าอีนั่วเป็นต้นเหตุ เซียนพวกนั้นกำลังมาตามสังหารเขา” แม่ทัพใหญ่พูดพลางเก็บข้าวของให้บุตรสาว “เจ้าหนีไปเสีย ระหว่างทางจะมีคนของเราอยู่ เจ้าจำได้ใช่หรือไม่ว่าข้าเคยสอนว่าอันใด”
“...”
“เสี่ยวเยว่ชิง ฟังพ่อ!” เสียงตวาดเรียกอู๋เยว่ชิงให้ตื่นจากภวังค์ “พาอีนั่วหนีไป พ่อจะคอยรับมืออยู่ที่นี่ถ่วงเวลาให้เจ้า ฮูหยิน เจ้าไปกับลูกด้วย”
“ท่านพี่” นางอยากคัดค้านใจแทบขาดแต่ในเมื่อสามีตัดสินใจแล้วจึงไม่อาจขัดได้และนางคงปล่อยให้ลูกสาวหอบหลานหนีไปลำพังไม่ได้เช่นกัน “รักษาตัวด้วยนะเจ้าคะ”
อู๋เยว่ชิงกอดบิดาของตน “ท่านพ่อ รีบตามข้ามานะเจ้าคะ” แล้วอุ้มอีนั่วขึ้นรถม้าที่บิดาเตรียมเอาไว้ให้ “ท่านพ่อ รักษาตัวด้วยนะเจ้าคะ”
แม่ทัพใหญ่พยักหน้าคิดจะอยู่ในจวนถ่วงเวลาให้ได้มากที่สุด ตัวเขาไม่มีมารปีศาจสิงร่างอย่างไรเสียเหล่าเซียนคงไม่ทำอันใด
เขายืนมองรถม้าเคลื่อนไปข้างหน้าจนลับตาพลางสูดหายใจเฮือกใหญ่เตรียมรับมือกับเรื่องที่กำลังจะเกิดในกาลข้างหน้า
ไม่นานนักเซียนหานหลิ่งก็มาถึงจวนแม่ทัพใหญ่ พวกเขาสอดสายตามองไปรอบ ๆ ค้นหาพลังมารปีศาจที่หลงเหลืออยู่ แต่ไม่พบเจอต้นตอจึงเอ่ยปากถามเจ้าของจวน “เขาอยู่ที่ใด”
“ไม่อยู่แล้ว” แม่ทัพใหญ่ตอบสั้น ๆ
“ท่านบอกมาดี ๆ เถิด เมื่อครู่ข้าพูดไปแล้วมิใช่หรือว่า พลังมารในร่างของเขาเป็นอันตรายต่อผู้อื่น” เซียนคนหนึ่งโน้มน้าวใจเขาให้บอกความจริง
“ข้าไม่รู้ว่านางหนีไปที่ใด ตอนข้ากลับมาในจวนแห่งนี้ก็ไม่มีผู้ใดอยู่แล้ว”
เวลานั้นพวกเขาไม่รู้เลยว่าในวังหลวงกำลังเกิดเรื่องโกลาหลขึ้นอีกครั้ง และครั้งนี้มันทวีความรุนแรงขึ้นมากกว่าเท่าตัว
เพลิงลุกโหมกระหน่ำจนคนจากจวนแม่ทัพใหญ่สามารถมองเห็นได้ชัด
จู่ ๆ พลังมารปีศาจที่เหนือกว่าก็พุ่งมาหาเซียนสำนักหานหลิ่งจากทุกทิศทาง
อ๊าก!!!
พวกเขาร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดที่ถูกพลังนั้นบีบอวัยวะภายในร่างกายจนอาเจียนเลือดกองใหญ่ สีหน้าเหยเกซีดเผือดพยายามประคองสติของตนเองเอาไว้เพื่อต้านพลังมารที่จู่โจมเข้ามาไม่รามือ
แม่ทัพใหญ่ถอยหลังประชิดกำแพง มือถือดาบคู่กายเอาไว้ รอบข้างมีทหารยามอารักขายืนเรียงแถวพร้อมประจันหน้าสู้
“ท่านแม่ทัพ ทำอย่างไรดีขอรับ” ลูกน้องคนหนึ่งถามเขา ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อ
หากแต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น ในเมื่อกำจัดพลังมารที่ฝังตัวหลินซีเวยไปแล้วก็ควรจะจบสิ้นที่ตรงนั้น อีนั่วไม่ได้อยู่ที่นี่ ถ้าเช่นนั้นเกิดอันใดขึ้นกันแน่
เหตุใดวังหลวงจึงลุกเป็นไฟ เหตุใดเซียนที่มีวิชาแกร่งกล้ายังต่อกรไม่ได้
เขาไม่เคยนึกกลัวสิ่งใดมาก่อน ศัตรูต่างแคว้นต่างดินแดน เขาเคยปะทะมานับไม่ถ้วนเพื่อปกป้องชาวเมืองไท่หยาง แต่วันนี้กลับไม่รู้ตัวว่ากำลังสู้อยู่กับอันใด ดาบที่ถืออยู่ในมือจะต้านทานพลังมารปีศาจที่ไร้รูปร่างได้อย่างไร
เวลานี้มืดแปดด้านไปหมด ความคิดในหัวแน่นตื้อ
จู่ ๆ เสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นปลุกเขาให้ได้สติ
“ปล่อยให้รอนานถึงเพียงนี้ หวังว่าจะไม่โกรธเคืองกัน” น้ำเสียงเยือกเย็นกล่าวกับแม่ทัพใหญ่
พลันร่างกายของเซียนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งถูกบีบจนร่างสลายเลือดสาดกระเซ็น เสียงหัวเราะของผู้ที่มาใหม่ก้องไปทั่วบริเวณจนคนที่เหลืออยู่ขาสั่นไม่อาจขยับ
“เหตุใด...” แม่ทัพใหญ่เกิดความสงสัยขึ้นมาทันที คำถามที่ไม่จบประโยคดีของเขาไม่มีคำตอบและคนถามก็ไม่อาจอยู่ฟังได้อีกต่อไป
พลังมารแกร่งกล้าพุ่งทะลุร่างแม่ทัพใหญ่และลูกน้องโดยไม่ปรานี กัดกินพลังชีวิตดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่างราวกับต้องการช่วงชิงสิ่งเหล่านั้นมาเพิ่มพูนพลังของตนเอง
มันผู้นั้นแสยะยิ้มอย่างเลือดเย็นพลางมองภาพตรงหน้า ดวงตาของแม่ทัพใหญ่จ้องมองมันไม่ลดละ พึมพำเบา ๆ ก่อนจะหมดลมหายใจ “ขอร้อง... อย่าทำอันใด...กับ...นาง”
Trigger Warning (TW 18+) = มีเนื้อหาหรือเหตุการณ์ที่อาจทำให้สะเทือนใจห่างไปอีกเมืองหนึ่งไม่ไกลนักรถม้าของอู๋เยว่ชิงหยุดพักอยู่ที่หมู่บ้านเล็ก ๆ แถบชานเมือง นางพยายามรวบรวมสติของตนเองเอาไว้แล้วปกป้องอีนั่ว“เสด็จแม่ เราอยู่ที่ใดกันหรือ” อีนั่วเอ่ยปากถามทันทีที่ลืมตาหลังจากนอนหลับยาวนาน “เสด็จพ่อเล่า...”เมื่อถูกถามไถ่ถึงหลินซีเวย น้ำตาของนางก็เอ่อคลอแต่พยายามกลั้นใจเอาไว้ “พ่อของเจ้าจะรีบตามมา อีนั่วอย่าได้กังวลไปเลยนะ”มารน้อยพยักหน้าแล้วซบเข้าอ้อมกอดของมารดาสัมผัสได้ถึงความกังวลใจของอู๋เยว่ชิง มือน้อย ๆ ลูบใบหน้าของนางราวกับต้องการปลอบประโลมพวกเขาหย
หากแต่ผลที่ได้ไม่เป็นอย่างคาดคิดเพราะพลังมารที่เขาส่งออกไปสะท้อนกลับเข้าหาตัวเหมือนอย่างเคยกงจื่อเย่ชักสีหน้าไม่สบอารมณ์ “เหตุใดจึงฆ่าเจ้าไม่ได้!!!”เขาเชื่อว่าเมล็ดพันธุ์ของชาตินี้ที่อยู่ในแก่นวิญญาณของนางต้องได้รับความเสียหายจนปริแตกแล้วจึงได้ลงมือ แต่กลับทำอันใดนางไม่ได้เลยแม้แต่น้อยครั้นลองร่ายพลังมารใส่อู๋เยว่ชิงอีกครั้ง พลังรุนแรงนั้นยังคงสะท้อนกลับมาหาเขาไม่เคยเปลี่ยนกงจื่อเย่กระอักเลือดออกมากองใหญ่ คิ้วขมวดเป็นปม เอ่ยถามนางด้วยความสงสัย “ที่ผ่านมาเจ้าไม่ได้รักข้าหรือ”นั่นเพราะเขาเข้าใจมาโดยตลอดว่าความรักมักจะทำให้มนุษย์อ่อนแอ ยิ่งรักมากเท่าใดยิ่งเจ็บปวดมากเท่านั้น หากถูกคนท
หลังจากที่เมล็ดพันธุ์ถูกฝังในแก่นวิญญาณของจอมมารเรียบร้อยแล้ว ความทรงจำที่อู๋เยว่ชิงมีต่อเขาในฐานะคนรักของหลินซีเวยจึงพรั่งพรูเข้าหาสวีลู่ชิงใช้พลังเทพบรรพกาลทำให้เขารับความรู้สึกของนางแม้จะยืนยาวได้ไม่ถึงหนึ่งลมหายใจแต่ก็พอทำให้เขารู้สึกเจ็บแปลบชั่วขณะความรักของนางที่เขาบอกว่าเป็นเรื่องลวงหลอก ดูเหมือนจอมมารจะสัมผัสได้ว่านางเอ่ยความจริงจากก้นบึ้งในใจ แต่มันกลับทำได้แค่เพียงสะกิดความรู้สึกแล้วจางหายไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยนางไม่ได้หวังอันใดไปมากกว่านี้ ขอแค่ให้เขาได้รับรู้บ้างเผื่อจอมมารจะรู้สำนึกว่าได้ทำอันใดลงไปแม้สวีลู่ชิงจะไม่รู้ว่าเมล็ดพันธุ์ดวงสุดท้ายที่แตกร้าวจะทำให้ดวงอื่น ๆ ที่เคยถูกฝังในร่างจอมมารปริแตกหยั่งรากลึกก่อนเวลาอันควรจนความรู้สึกทั้งปวงก่อตัวขึ้นใน
หลังจากอู๋เยว่ชิงผนึกเมล็ดพันธุ์ทั้งสามดวงได้แล้ว ร่างมนุษย์ของนางจึงแตกสลาย เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ววิญญาณเทพดาราควรกลับแดนสวรรค์เพราะนางได้ผ่านด่านเคราะห์อันแสนสาหัสไปเรียบร้อยหากแต่เวลานี้ยังไม่มีผู้ใดรู้เลยว่าวิญญาณของเทพดาราหายไปอยู่ที่ใดราวกับนางไม่มีตัวตนสิ่งที่นางหลงเหลือไว้มีเพียงความทรงจำและความเจ็บปวดที่ฝังลึกในเมล็ดพันธุ์ที่ปริแตกในแก่นวิญญาณของจอมมาร คนที่กำลังทรมานกับสิ่งที่ตนเองกระทำตลอดหลายปีที่ผ่านมากงจื่อเย่เพิ่งสัมผัสได้ว่านางทุกข์ทน ผิดหวังและเศร้าโศกมากเพียงใด เขาไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดจึงไม่อาจกำจัดความรู้สึกทั้งหลายทั้งปวงออกไปได้“นายท่าน เหตุใดจึงไม่ทำลายมันทิ้งไป พลังของนายท่านยังไม่สมบูรณ์ดีหรือขอรับ” โจวเหวินหลงเอ่ยปากถามด้วยความสงสัยเพราะเมล็ดพันธุ์เหล่านั้นไม่ได้มีกำลังมากมายที่
กาลเวลาผันผ่านจากหนึ่งเดือนเป็นหนึ่งปีเหมันตฤดูเวียนมาบรรจบกันอีกครั้ง กงจื่อเย่ยังคงเป็นดังเช่นวันวาน นัยน์ตาสีม่วงแดงของจอมมารเหม่อมองสรรพสิ่งรอบตัวถวิลหาคนที่จากไปอย่างไร้ร่องรอยแม้พยายามลบเลือนนางออกไปจากใจแต่สุดท้ายกลับทำไม่ได้อย่างที่คิดจึงได้รู้ซึ้งความทรมานที่ฝังลึกถึงแก่นวิญญาณ โหยหาอยากพบเจอนางอีกครั้งทั้ง ๆ ที่รู้ว่าการกลับมาพบกันในครานี้นางมีหน้าที่ต้องสังหารมารปีศาจอย่างเขาขณะปล่อยความทรงจำโลดแล่นราวกับยินดีติดอยู่ในอดีตของช่วงเวลาที่เขาไม่เคยรู้เลยว่าคือความสุขหนึ่งเดียว“เสด็จพี่ เทศกาลชมจันทร์ค่ำคืนนี้ เราสองคนออกไปนอกวังได้หรือไม่เพคะ”เสียงคุ้นเคยดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบกงจื่อเย่หันไปมองทางด้านหลังแต่กลับไม่พบเจอใครเพราะที่แห่งนั้นมีเพียง
นับตั้งแต่นั้นมากงจื่อเย่จึงไม่ออกไปที่ไหนอีกติดอยู่ในภพมารเพื่อกระทำบางอย่างด้วยความตั้งใจจนไม่รู้ตัวว่าเวลาล่วงเลยไปมากเท่าใดแล้วเมื่อผู้ปกครองละเว้นหน้าที่ ความวุ่นวายในภพมารจึงเริ่มบังเกิดทีละส่วน หากแต่ลูกน้องทั้งสามยังคงใช้อำนาจของเขาคอยจัดการได้อยู่แม้จะแลกมาด้วยความเหนื่อยเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวก็ตามครั้งนี้เช่นเดียวกัน ไอมารปีศาจชั่วร้ายก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง เดิมทีกงจื่อเย่จะคอยดูดซับพลังพวกนั้นมาเป็นอาหารของตนเองแต่เวลานี้สิ่งที่เขาให้ความสนใจอยู่เหนือสิ่งอื่นใด พวกปีศาจและสัตว์อสูรจึงได้ทีฉกฉวยมันมาเป็นของตัวเองจึงทำให้มีพละกำลังที่เพิ่มมากขึ้นแต่บางขณะ ไอมารปีศาจที่แข็งแกร่งย่อมปกป้องตัวเองให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของพวกเดียวกันและเป็นฝ่ายกัดกินมารปีศาจพวกนั้นแทนที่จนสามารถหล่อหลอมรูปลักษณ์สร้างตัวตนขึ้นมาได้&n
นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมากงจื่อเย่ออกเดินทางตามหาร่องรอยของอู๋เยว่ชิงทุกหนแห่ง ยามคิดถึงหรือเหนื่อยล้าหัวใจมักจะหยิบถุงหอมและปิ่นปักผมที่เคยมอบให้นางมาดูเขาเริ่มฟื้นฟูตำหนักจันทราให้เป็นเหมือนเดิมแล้วใช้เป็นสถานที่พักผ่อนยามค่ำคืน กลิ่นอายเก่า ๆ หวนกลับมาทุกครั้งจนเขานึกอยากย้อนวันเวลากลับไป“เจ้าอยู่ที่ใดหรือเยว่ชิง” จอมมารกวาดสายตามองไปรอบตำหนักที่เวลานี้เริ่มมีต้นไม้ดอกไม้ผลิบานตามฤดู “ดอกไม้งดงามปานนี้แล้ว เจ้าไม่อยากเห็นหรือ”คำถามของเขาไม่มีเสียงตอบกลับมา ความว่างเปล่าเกาะกุมหัวใจจนทรมานในเมื่อตามหาทุกหนทุกแห่งแล้วยังไม่พบเจอ คงจะเหลือเพียงสถานที่สุดท้าย หากเสี้ยววิญญาณของนางยังคงอยู่ บางทีนางอาจจะยังอยู่ที่แห่งนั้น
วันหนึ่งในฤดูฝนเสียงฟ้าร้องคำรามก้องไปทั่วบริเวณเป็นเวลาเกือบสองชั่วยาม พื้นดินรอบบ้านเปียกแฉะกลายเป็นโคลนและมีแอ่งน้ำเล็ก ๆ เกิดขึ้นหลายแห่งทุ่งดอกไม้สีเหลืองพัดไหวตามสายฝนลมพัดในเวลานั้นราวกับเริงระบำแม้อู๋เยว่ชิงจะถูกพลังของอีนั่วปกปิดเรื่องบางอย่างเอาไว้ แต่นางที่เป็นถึงเทพดาราย่อมเฉลียวใจได้ในบางครั้งว่าทุกสิ่งมันแปลกเกินไป อายุที่เพิ่มมากขึ้นในทุกวัน ไม่มีมนุษย์ผู้ใดหรอกจะอายุยืนร้อยปีแต่เนื้อหนังร่างกายและใบหน้ายังคงเหมือนวันวานไม่เปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะอีนั่ว ร้อยปีผ่านมาแล้วเขายังคงเหมือนเด็กอายุเจ็ดขวบไม่มีผิดสายตาที่ล่องลอยราวกับจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทำให้บุตรชายสังเกตได้ในพริบตา เขาเอียงคอเล็กน้อยก่อนที่พลังมารจาง ๆ ค่อย ๆ เคลื่อนผ่านไปหาอู๋เยว่ชิง
วันหนึ่งในฤดูฝนเสียงฟ้าร้องคำรามก้องไปทั่วบริเวณเป็นเวลาเกือบสองชั่วยาม พื้นดินรอบบ้านเปียกแฉะกลายเป็นโคลนและมีแอ่งน้ำเล็ก ๆ เกิดขึ้นหลายแห่งทุ่งดอกไม้สีเหลืองพัดไหวตามสายฝนลมพัดในเวลานั้นราวกับเริงระบำแม้อู๋เยว่ชิงจะถูกพลังของอีนั่วปกปิดเรื่องบางอย่างเอาไว้ แต่นางที่เป็นถึงเทพดาราย่อมเฉลียวใจได้ในบางครั้งว่าทุกสิ่งมันแปลกเกินไป อายุที่เพิ่มมากขึ้นในทุกวัน ไม่มีมนุษย์ผู้ใดหรอกจะอายุยืนร้อยปีแต่เนื้อหนังร่างกายและใบหน้ายังคงเหมือนวันวานไม่เปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะอีนั่ว ร้อยปีผ่านมาแล้วเขายังคงเหมือนเด็กอายุเจ็ดขวบไม่มีผิดสายตาที่ล่องลอยราวกับจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทำให้บุตรชายสังเกตได้ในพริบตา เขาเอียงคอเล็กน้อยก่อนที่พลังมารจาง ๆ ค่อย ๆ เคลื่อนผ่านไปหาอู๋เยว่ชิง
นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมากงจื่อเย่ออกเดินทางตามหาร่องรอยของอู๋เยว่ชิงทุกหนแห่ง ยามคิดถึงหรือเหนื่อยล้าหัวใจมักจะหยิบถุงหอมและปิ่นปักผมที่เคยมอบให้นางมาดูเขาเริ่มฟื้นฟูตำหนักจันทราให้เป็นเหมือนเดิมแล้วใช้เป็นสถานที่พักผ่อนยามค่ำคืน กลิ่นอายเก่า ๆ หวนกลับมาทุกครั้งจนเขานึกอยากย้อนวันเวลากลับไป“เจ้าอยู่ที่ใดหรือเยว่ชิง” จอมมารกวาดสายตามองไปรอบตำหนักที่เวลานี้เริ่มมีต้นไม้ดอกไม้ผลิบานตามฤดู “ดอกไม้งดงามปานนี้แล้ว เจ้าไม่อยากเห็นหรือ”คำถามของเขาไม่มีเสียงตอบกลับมา ความว่างเปล่าเกาะกุมหัวใจจนทรมานในเมื่อตามหาทุกหนทุกแห่งแล้วยังไม่พบเจอ คงจะเหลือเพียงสถานที่สุดท้าย หากเสี้ยววิญญาณของนางยังคงอยู่ บางทีนางอาจจะยังอยู่ที่แห่งนั้น
นับตั้งแต่นั้นมากงจื่อเย่จึงไม่ออกไปที่ไหนอีกติดอยู่ในภพมารเพื่อกระทำบางอย่างด้วยความตั้งใจจนไม่รู้ตัวว่าเวลาล่วงเลยไปมากเท่าใดแล้วเมื่อผู้ปกครองละเว้นหน้าที่ ความวุ่นวายในภพมารจึงเริ่มบังเกิดทีละส่วน หากแต่ลูกน้องทั้งสามยังคงใช้อำนาจของเขาคอยจัดการได้อยู่แม้จะแลกมาด้วยความเหนื่อยเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวก็ตามครั้งนี้เช่นเดียวกัน ไอมารปีศาจชั่วร้ายก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง เดิมทีกงจื่อเย่จะคอยดูดซับพลังพวกนั้นมาเป็นอาหารของตนเองแต่เวลานี้สิ่งที่เขาให้ความสนใจอยู่เหนือสิ่งอื่นใด พวกปีศาจและสัตว์อสูรจึงได้ทีฉกฉวยมันมาเป็นของตัวเองจึงทำให้มีพละกำลังที่เพิ่มมากขึ้นแต่บางขณะ ไอมารปีศาจที่แข็งแกร่งย่อมปกป้องตัวเองให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของพวกเดียวกันและเป็นฝ่ายกัดกินมารปีศาจพวกนั้นแทนที่จนสามารถหล่อหลอมรูปลักษณ์สร้างตัวตนขึ้นมาได้&n
กาลเวลาผันผ่านจากหนึ่งเดือนเป็นหนึ่งปีเหมันตฤดูเวียนมาบรรจบกันอีกครั้ง กงจื่อเย่ยังคงเป็นดังเช่นวันวาน นัยน์ตาสีม่วงแดงของจอมมารเหม่อมองสรรพสิ่งรอบตัวถวิลหาคนที่จากไปอย่างไร้ร่องรอยแม้พยายามลบเลือนนางออกไปจากใจแต่สุดท้ายกลับทำไม่ได้อย่างที่คิดจึงได้รู้ซึ้งความทรมานที่ฝังลึกถึงแก่นวิญญาณ โหยหาอยากพบเจอนางอีกครั้งทั้ง ๆ ที่รู้ว่าการกลับมาพบกันในครานี้นางมีหน้าที่ต้องสังหารมารปีศาจอย่างเขาขณะปล่อยความทรงจำโลดแล่นราวกับยินดีติดอยู่ในอดีตของช่วงเวลาที่เขาไม่เคยรู้เลยว่าคือความสุขหนึ่งเดียว“เสด็จพี่ เทศกาลชมจันทร์ค่ำคืนนี้ เราสองคนออกไปนอกวังได้หรือไม่เพคะ”เสียงคุ้นเคยดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบกงจื่อเย่หันไปมองทางด้านหลังแต่กลับไม่พบเจอใครเพราะที่แห่งนั้นมีเพียง
หลังจากอู๋เยว่ชิงผนึกเมล็ดพันธุ์ทั้งสามดวงได้แล้ว ร่างมนุษย์ของนางจึงแตกสลาย เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ววิญญาณเทพดาราควรกลับแดนสวรรค์เพราะนางได้ผ่านด่านเคราะห์อันแสนสาหัสไปเรียบร้อยหากแต่เวลานี้ยังไม่มีผู้ใดรู้เลยว่าวิญญาณของเทพดาราหายไปอยู่ที่ใดราวกับนางไม่มีตัวตนสิ่งที่นางหลงเหลือไว้มีเพียงความทรงจำและความเจ็บปวดที่ฝังลึกในเมล็ดพันธุ์ที่ปริแตกในแก่นวิญญาณของจอมมาร คนที่กำลังทรมานกับสิ่งที่ตนเองกระทำตลอดหลายปีที่ผ่านมากงจื่อเย่เพิ่งสัมผัสได้ว่านางทุกข์ทน ผิดหวังและเศร้าโศกมากเพียงใด เขาไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดจึงไม่อาจกำจัดความรู้สึกทั้งหลายทั้งปวงออกไปได้“นายท่าน เหตุใดจึงไม่ทำลายมันทิ้งไป พลังของนายท่านยังไม่สมบูรณ์ดีหรือขอรับ” โจวเหวินหลงเอ่ยปากถามด้วยความสงสัยเพราะเมล็ดพันธุ์เหล่านั้นไม่ได้มีกำลังมากมายที่
หลังจากที่เมล็ดพันธุ์ถูกฝังในแก่นวิญญาณของจอมมารเรียบร้อยแล้ว ความทรงจำที่อู๋เยว่ชิงมีต่อเขาในฐานะคนรักของหลินซีเวยจึงพรั่งพรูเข้าหาสวีลู่ชิงใช้พลังเทพบรรพกาลทำให้เขารับความรู้สึกของนางแม้จะยืนยาวได้ไม่ถึงหนึ่งลมหายใจแต่ก็พอทำให้เขารู้สึกเจ็บแปลบชั่วขณะความรักของนางที่เขาบอกว่าเป็นเรื่องลวงหลอก ดูเหมือนจอมมารจะสัมผัสได้ว่านางเอ่ยความจริงจากก้นบึ้งในใจ แต่มันกลับทำได้แค่เพียงสะกิดความรู้สึกแล้วจางหายไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยนางไม่ได้หวังอันใดไปมากกว่านี้ ขอแค่ให้เขาได้รับรู้บ้างเผื่อจอมมารจะรู้สำนึกว่าได้ทำอันใดลงไปแม้สวีลู่ชิงจะไม่รู้ว่าเมล็ดพันธุ์ดวงสุดท้ายที่แตกร้าวจะทำให้ดวงอื่น ๆ ที่เคยถูกฝังในร่างจอมมารปริแตกหยั่งรากลึกก่อนเวลาอันควรจนความรู้สึกทั้งปวงก่อตัวขึ้นใน
หากแต่ผลที่ได้ไม่เป็นอย่างคาดคิดเพราะพลังมารที่เขาส่งออกไปสะท้อนกลับเข้าหาตัวเหมือนอย่างเคยกงจื่อเย่ชักสีหน้าไม่สบอารมณ์ “เหตุใดจึงฆ่าเจ้าไม่ได้!!!”เขาเชื่อว่าเมล็ดพันธุ์ของชาตินี้ที่อยู่ในแก่นวิญญาณของนางต้องได้รับความเสียหายจนปริแตกแล้วจึงได้ลงมือ แต่กลับทำอันใดนางไม่ได้เลยแม้แต่น้อยครั้นลองร่ายพลังมารใส่อู๋เยว่ชิงอีกครั้ง พลังรุนแรงนั้นยังคงสะท้อนกลับมาหาเขาไม่เคยเปลี่ยนกงจื่อเย่กระอักเลือดออกมากองใหญ่ คิ้วขมวดเป็นปม เอ่ยถามนางด้วยความสงสัย “ที่ผ่านมาเจ้าไม่ได้รักข้าหรือ”นั่นเพราะเขาเข้าใจมาโดยตลอดว่าความรักมักจะทำให้มนุษย์อ่อนแอ ยิ่งรักมากเท่าใดยิ่งเจ็บปวดมากเท่านั้น หากถูกคนท
Trigger Warning (TW 18+) = มีเนื้อหาหรือเหตุการณ์ที่อาจทำให้สะเทือนใจห่างไปอีกเมืองหนึ่งไม่ไกลนักรถม้าของอู๋เยว่ชิงหยุดพักอยู่ที่หมู่บ้านเล็ก ๆ แถบชานเมือง นางพยายามรวบรวมสติของตนเองเอาไว้แล้วปกป้องอีนั่ว“เสด็จแม่ เราอยู่ที่ใดกันหรือ” อีนั่วเอ่ยปากถามทันทีที่ลืมตาหลังจากนอนหลับยาวนาน “เสด็จพ่อเล่า...”เมื่อถูกถามไถ่ถึงหลินซีเวย น้ำตาของนางก็เอ่อคลอแต่พยายามกลั้นใจเอาไว้ “พ่อของเจ้าจะรีบตามมา อีนั่วอย่าได้กังวลไปเลยนะ”มารน้อยพยักหน้าแล้วซบเข้าอ้อมกอดของมารดาสัมผัสได้ถึงความกังวลใจของอู๋เยว่ชิง มือน้อย ๆ ลูบใบหน้าของนางราวกับต้องการปลอบประโลมพวกเขาหย
หลินซีเวยหมดท่าไม่อาจโต้กลับเหล่าเซียนสำนักหานหลิ่งได้อีกทั้งยังถูกตรึงด้วยผนึกเพื่อทำลายพลังมารปีศาจที่ควบคุมร่างเขาอยู่“ท่านเซียน ช่วยเขาไม่ได้หรือ” ฮ่องเต้เอ่ยปากถามเพราะยังมีความหวังว่าจะได้บุตรชายกลับคืน หากแต่เหล่าเซียนกลับตอบว่า “พลังมารปีศาจหลอมรวมเข้าแก่นวิญญาณของเขาแล้วมิอาจถอดถอนได้เฉกเช่นคนทั่วไป หนทางเดียวที่จะหยุดหายนะในเมืองไท่หยางคือสังหารเขาไปพร้อมกับมัน”“...” ทุกคนนิ่งเงียบ สายตามองปีศาจร้ายด้วยความหวาดกลัว เพียงแค่หนึ่งก้านธูป วังหลวงกลับนองเลือดราวกับมีสงครามครั้งใหญ่ หากคิดปล่อยไว้มีหวังทั้งเมืองไท่หยางคงกลายเป็นเมืองร้างไร้ผู้คนเป็นแน่“ข้าไม่ได้ขอความเห็นพวกท่าน มาวันนี้เพื่อทำหน้าที่ของตนเอง มารปีศาจตนนี้ร้ายกาจนักหากปล่อยให้หลุดรอดไปได้คงทำลายผู้คนในเมืองอื่น ๆ อีกนับไม่ถ้วน&r