เทพเซียนที่ยืนอยู่รายรอบมองหน้ากันด้วยความงุนงง ครั้นจะพุ่งตัวเข้าไปดึงจอมมารออกมาจากที่นั่นก็ทำไม่ได้เพราะรังแต่จะเสี่ยงชีวิตของตัวเองไปด้วย
คราวแรกก็คิดว่าเขาเข้ามาขัดขวางไม่ให้นางทำภารกิจสำเร็จ แต่ไป ๆ มา ๆ กลับได้เห็นว่าจอมมารกำลังใช้ร่างกายตัวเองเป็นเกราะกำบังและรับอสนีบาตแต่เพียงผู้เดียว
“สวีต้าเฟิง นี่มันเรื่องอันใดกัน” หนึ่งในเทพอาวุโสถามเขาเพราะเพิ่งมาถึง
“ข้าก็ไม่รู้ขอรับ” เขาไม่อาจตอบคำถามนั้นได้เพราะไม่คิดว่าเรื่องราวตรงหน้าจะกลับตาลปัตรได้ขนาดนั้น
“แต่ถ้าปล่อยเอาไว้แล้วจะจัดการจอมมารได้อย่างไร เจ้าก็รู้ไม่ใช่หรือว่าเทพดาราจะต้องเป็นผู้รับทัณฑ์สวรรค์ ไม่ได้การแล้ว ข้าต้องรีบเข้าไปห้าม”
เทพอาวุโสส่ายหน้าหนักใจ ช่วงที่กำลังจะก้าวเข้าไปใจกลางลานกลับหยุดชะงักเพราะพลังมารขวางเอาไว้ แววตาข่มขู่ของกงจื่อเย่ราวกับจะบอกไม่ให้ผู้ใดเข้ามายุ่ง
“อย่าเข้ามาแส่” น้ำเสียงเย็นยะเยือกทำให้ฝ่ายตรงข้ามแทบหยุดหายใจเพราะขนาดถูกพลังเทพฉีกทึ้งยื้อหยุดกับร่างมาร กงจื่อเย่แทบไม่สะทกสะท้านอันใดสร้างความหวาดกลัวยิ่งนัก
“ปล่อยข้า” สวีลู่ชิงสั่งคนตรงหน้า “เจ้าอย่าคิดว่าจะทำอันใดตามใจตัวเองได้”
“เยว่ชิง เจ้ารู้ตัวบ้างหรือไม่ว่าแก่นวิญญาณของเจ้ากำลังเกิดรอยร้าว ไม่มีทางรับอสนีบาตได้อีก” ดวงตาสีม่วงแดงจ้องใบหน้าคุ้นเคยไม่วางตา
“หากต้องการให้ข้าตายนัก ย่อมมีวิธีอีกมากมาย เหตุใดต้องสละตัวเองเช่นนี้”
“เจ้ารู้หรือว่าข้าต้องทำอันใด” นางถามสิ่งที่สงสัยอย่างตรงไปตรงมา สองมือยังคงพยายามผลักอีกฝ่ายออกไปด้วยพลังเทพของนาง
“ข้ารู้...” เขาเอ่ยตามความจริง
“รู้แล้วแต่ก็ยังมาขวางทางข้าอยู่อีกหรือ” นางนิ่วหน้าร่ายพลังสายสีขาวจากฝ่ามือ “ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้”
กงจื่อเย่ส่ายหน้าปฏิเสธกอดนางแน่นกว่าเดิม แม้จะถูกพลังเทพเซียนเชือดเฉือนร่างกายเขาก็ยังไม่ยอมปล่อย ทั้งยังร่ายพลังมารที่มากขึ้นกว่าเดิมบีบให้สวรรค์พิโรธจนสายฟ้ากระหน่ำลงมาไม่ขาดช่วง
อสนีบาตฟาดผ่านร่างจอมมารครั้งแล้วครั้งเล่า ภาพทุกอย่างในเวลานี้ราวกับเขากำลังจะฆ่าตัวตายอย่างไรอย่างนั้น แต่เทพดารารู้ดีว่าทำเช่นนี้ไปจอมมารอาจจะหายไปได้จริง แต่วันหนึ่งข้างหน้าแม้จะไม่ใช่ช่วงร้อยปีพันปี มารตนนี้คงจะฟื้นคืนมาอย่างแน่นอน
กระนั้น ความคิดของนางกลับสับสนว่าถ้าหากเขารู้แล้วว่าแผนการของนางคืออะไร เหตุใดจึงไม่คิดทำลายเมล็ดพันธุ์นั้นไปแต่กลับมานั่งรับทัณฑ์สวรรค์แทนนาง
แม้ว่าสายฟ้าจะผ่าลงมาสิบครั้งแล้ว แต่นางไม่ได้ยินเสียงร้องของจอมมารสักนิดเดียว ทว่า กลิ่นคาวเลือดกลับคลุ้งเข้ม ร่างกายผู้ที่กอดนางเอาไว้สั่นเทาเล็กน้อย
มือเล็ก ๆ สองข้างของเทพดาราที่พยายามผลักเขาออกไปจึงหยุดชั่วคราวพลางเอื้อมแตะแผ่นหลังของจอมมารด้วยความสงสัยก่อนจะสัมผัสได้ว่าร่างนั้นมีแต่แผลเหวอะและโลหิตแดงฉานกำลังไหลริน
หากนางยังดื้อดึงรับสายฟ้าแต่เพียงผู้เดียว สภาพคงไม่แตกต่างกัน แต่ถึงอย่างไร นั่นก็เป็นสิ่งที่นางต้องทำจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ทว่า เวลานี้นางกลับไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย คนที่โอบกอดนางไว้ต่างหากกำลังอดทนให้ครบสิบเก้าครั้งอยู่และเขารู้ดีว่าปลายทางตนเองจะต้องสูญสลายไปหลายร้อยหลายพันปี
“เหตุใดจึงทำเช่นนี้” นางกระซิบถามแต่น้ำเสียงคุ้นเคยทำให้กงจื่อเย่ยิ้มมุมปากเพราะนึกถึงวันเก่า ๆ
“เป็นห่วงข้าหรือ” คำพูดหยอกล้อไม่ดูสถานการณ์ยิ่งสร้างความงุนงงให้สวีลู่ชิงมากยิ่งขึ้น
“ไม่ใช่” นางตอบทันควันในช่วงจังหวะที่สายฟ้าครั้งที่สิบสองผ่าลงร่างจอมมาร
กงจื่อเย่กระอักเลือดกองใหญ่ พลังมารรอบตัวเริ่มลดน้อยลงจนไม่อาจสร้างกำบังห้ามไม่ให้เทพเซียนคนอื่นเข้ามายุ่มย่ามกลางลานลงทัณฑ์ได้ ดวงตาสีม่วงแดงจึงมองพวกเขาเหล่านั้นราวย้ำเตือน
“เยว่ชิง” เขาเรียกนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้าเข้าใจแล้วว่าข้ารู้สึกเช่นไรกับเจ้า สัมผัสได้แล้วว่าเจ้ารู้สึกอย่างไรกับข้า”
“...” สวีลู่ชิงนั่งนิ่งในอ้อมกอดของเขารอฟังว่าคนตรงหน้าจะพร่ำพูดเรื่องอันใด ยอมแพ้ไปแล้วว่าครั้งนี้คงจะรับทัณฑ์สวรรค์ไม่สำเร็จ
“ข้าขอโทษ”
“...”
“หากตัวตนของข้าเป็นปรปักษ์ต่อผู้อื่น ข้าจะยอมสูญสลายไป ขอแค่เพียงเจ้ายังคงอยู่ สัญญากับข้าได้หรือไม่”
ร่างกายจอมมารดูอ่อนแรงลงทุกขณะจนนางสังเกตได้แต่อ้อมแขนกลับไม่ยอมปล่อยนางให้ดิ้นหนี
“เหตุใดข้าต้องสัญญากับเจ้า อย่างไรเราทั้งคู่ล้วนเป็นศัตรูกัน ทำเช่นนี้เจ้าเพียงหายไปชั่วคราว หากฟื้นกลับมาในคราวหน้า เจ้าก็ยังคิดทำลายสามภพ...” ไม่ทันที่นางจะได้พูดอะไรจบ สายฟ้าครั้งที่สิบหกและสิบเจ็ดก็กระหน่ำลงมา
“ข้าไม่คิดทำเช่นนั้นแล้ว” กงจื่อเย่บอกออกไป ทุกสิ่งที่เขาพูดในเวลานี้ล้วนเป็นความจริง แม้จะเชื่อได้ยากก็ตาม
จังหวะนั้น เทพอาวุโสฉวยโอกาสก้าวเข้ามาในลานกว้างพลันถูกพลังมารของเขาซัดกระเด็นออกไป กงจื่อเย่บีบอัดเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ครั้งสุดท้ายกันพวกเขาให้อยู่รอบนอก
“เยว่ชิง เจ้าคงจะลืมไปแล้วว่าครั้งหนึ่งเจ้าเคยเป็นภรรยาของข้า นามของเจ้าคืออู๋เยว่ชิง” เขากล่าวถึงความหลัง สติเริ่มพร่าเลือนเพราะใกล้เข้าสู่ช่วงสุดท้ายของชีวิตนี้ “สัญญากับข้าได้หรือไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่ แม้ว่าครั้งหน้าในอีกหลายพันปีที่ข้าฟื้นขึ้นมา หากเจ้าอยากให้ข้าตาย ข้าก็จะตาย เพราะฉะนั้น รักษาแก่นวิญญาณของเจ้าไว้ให้ดีได้หรือไม่ อย่างน้อยก่อนข้าจะตายในแต่ละครั้ง ข้าก็ยังอยากพบหน้าเจ้า”
“เจ้าพูดเล่นหรืออย่างไร เหตุใดถึงจะยอมตายไปคนเดียว มิสู้หายไปพร้อมกันไม่ดีกว่าหรือ” สวีลู่ชิงรู้ว่าเขาจะวนเวียนกลับมาใหม่อีกครั้ง วิธีเดียวที่จะกำราบเขาได้ตามคำทำนายคือแหลกสลายไปพร้อมกัน
กงจื่อเย่แสยะยิ้ม “แม้จะไม่เหลือความทรงจำนั้นแล้วก็ยังเกลียดข้าอยู่หรือถึงได้อยากสละชีวิตเพื่อสังหารข้าถึงเพียงนั้น”
เปรี้ยง!
สายฟ้าครั้งที่สิบแปดผ่าลงมาตรงกลางหัวใจของจอมมารจนเขากระอักเลือดอีกครั้ง ทั่วร่างกายเกิดบาดแผลนับไม่ถ้วนแต่เจ้าตัวยังคงฝืนรอคำตอบจากคนตรงหน้าพลันนึกสิ่งหนึ่งได้จึงเอ่ยออกไปว่า “เยว่ชิง ลูกของเรา อีนั่ว ข้าฝากเจ้าดูแลได้หรือไม่ อย่าให้ผู้ใดทำร้ายเขา หากพรรคพวกของเจ้ารู้ขึ้นมาว่ามีสายเลือดจอมมารหลงเหลือ พวกเขาคงจะไม่ไว้ชีวิตอีนั่วเพราะฉะนั้นข้าขอร้องให้เจ้าปกป้องเขาแทนข้าได้หรือไม่”
ทันทีที่ได้ยินชื่อนั้น หัวใจของสวีลู่ชิงสั่นไหวขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวพลันความรู้สึกและความทรงจำเกี่ยวกับเด็กชายตัวน้อยที่เคยอยู่บ้านหลังเล็กเมื่อไม่นานมานี้ผุดขึ้นมา
ท้องฟ้าเวลานี้เปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้นกว่าเดิม พายุหมุนตรงใจกลางน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าสิ่งใด อาจเป็นเพราะอสนีบาตครั้งสุดท้ายกำลังมาถึง บรรยากาศโดยรอบจึงเย็นยะเยือกและน่าหดหู่
กงจื่อเย่ถอนหายใจรับรู้แล้วว่านางไม่มีทางปล่อยให้ตัวเองเป็นอะไรไปอย่างแน่นอนเพราะเวลานี้มีใครอีกคนที่ต้องดูแล คนที่นางรักไม่แพ้ตัวเองและยังคงคิดถึงตลอดเวลาแม้จะจำเรื่องราวของเขาไม่ได้เลยก็ตาม
ก่อนที่สายฟ้าครั้งสุดท้ายจะมาถึง กงจื่อเย่คลายอ้อมกอดเพราะอยากมองหน้านางให้ชัด รอยยิ้มเปื้อนเลือดและสายตาเศร้าสร้อยเพราะเวลาที่ต้องจากกันใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
“เยว่ชิง ข้าคงคิดถึงเจ้า” เขาเอ่ยแผ่วเบาไร้เรี่ยวแรง “เจ้าเคยถามความรู้สึกของข้าแต่เวลานั้นข้าเป็นเพียงมารไร้ใจไม่อาจรับรู้ได้ว่าสิ่งเหล่านั้นคืออะไร”
“...”
แววตาอบอุ่นที่เขาไม่เคยมองใครกำลังปรากฏอยู่ต่อหน้าสวีลู่ชิง รอยยิ้มที่มีให้นางเพียงคนเดียวทำให้หัวใจของนางสั่นไหวราวกับคุ้นเคยโดยไม่รู้ตัว
เปรี้ยง!
อสนีบาตครั้งสุดท้ายสะบั้นทุกอย่างให้จบสิ้น จอมมารกอดเทพดาราไว้ในอ้อมแขน ปกป้องไม่ให้นางถูกทัณฑ์สวรรค์ ยอมรับชะตากรรมของตัวเองด้วยความเต็มใจ
คำพูดสุดท้ายเอื้อนเอ่ยอย่างยากลำบาก บอกลาคนตรงหน้าทั้งที่ไม่ต้องการ “ข้ารักเจ้า เยว่ชิง”
แม้ร่างมารปีศาจจะค่อย ๆ สลายหายไปกลายเป็นเถ้าธุลี แต่เสียงอ่อนโยนที่บอกรักกลับก้องกังวานในหัวใจของสวีลู่ชิง คำพูดนั้นแทรกซึมเข้าไปข้างในความรู้สึกลึก ๆ ที่หลงลืมไปแล้ว
ดวงตาคู่งามจึงมีน้ำตาเอ่อคลอราวกับรับรู้ความรักของเขา ทว่า ไม่อาจโต้ตอบอันใดกลับไปได้เพราะมารตนนั้นไม่อยู่แล้ว
หลังจากกงจื่อเย่สูญสิ้นไปทัพมารที่กำลังบุกสวรรค์ครานี้จึงแตกพ่ายเพราะไร้ผู้นำถูกกองทัพสวรรค์ขับไล่กลับภพมารในเวลาไม่นานเหล่าเทพเซียนต่างพากันโห่ร้องยินดีเพราะภัยคุกคามถูกกำจัดแล้ว หากแต่เทพอาวุโสและเทพชั้นสูงบางคนยังคงไม่อาจวางใจได้มากนักแต่ถึงอย่างนั้นแล้วก็พอจะโล่งใจได้บ้างว่าหลายพันปีต่อจากนี้สามภพคงจะสงบสุขราบรื่น และหากถึงเวลาที่จอมมารฟื้นคืนกลับมา ตอนนั้นพวกเขาคงหาวิธีรับมือได้บ้างแล้วตำหนักเทพดารามีแขกเข้าเยี่ยมไม่ขาดสายเพราะได้ยินเรื่องราวปากต่อปากจึงมาถามไถ่ด้วยตนเอง สวีลู่ชิงจึงบอกพวกเขาแต่เพียงว่า “มารผู้นั้นคงกลับใจกระมัง แต่ข้าไม่รู้หรอกว่าเป็นเพราะอันใด”นางกล่าวเช่นนั้นเพราะไม่รู้จริง ๆ แม้กงจื่อเย่จะจากไปแล้วแต่ความทรงจำที่ขาดหายไปก็ยังไม่กลับคืนมา
สวีลู่ชิงและพี่ชายรอข่าวคราวจากเสี่ยวไป๋อยู่นอกเขตแดนมารนางเดินวนไปวนมาด้วยความกังวลกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับอีนั่วจนแทบอยากจะฝ่าเข้าไปในภพมารเพื่อตามหาเขาด้วยตัวเอง“นั่งลงก่อนเถิด เจ้าเดินไปเดินมาจนข้าตาลายแล้ว” สวีต้าเฟิงส่ายหน้าพลางบ่นพึมพำ“ข้าเป็นห่วงเขา” นางเอ่ยตามตรง ใจหนึ่งรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เจอกับมารน้อยครั้งแรกแต่อีกใจกลับสัมผัสความรู้สึกคุ้นเคยได้อย่างบอกไม่ถูกช่วงเวลาเพียงเสี้ยวหนึ่ง เสี่ยวไป๋ส่งสัญญาณบางอย่างกลับมาหาผู้เป็นเจ้านายบอกให้รู้ว่ากำลังมาถึง รอยยิ้มบางจึงผุดขึ้นมาด้วยความยินดีพลันเงาดำตะคุ่มปรากฏด้านหลังเขตแดนภพมาร“สวีลู่ชิง ถอยออกมา” เทพวายุดึงร่างน้องสาวให้ออกห่างเพราะกลัวจะมีอันตราย “เจ้าอย่าเพิ่งวู่วาม จงอย่าล
บ้านหลังเล็กของมารน้อยเมื่อทั้งสองฝ่ายตัดสินใจได้แล้วว่าจะทำอย่างไรต่อไปจึงร่างสัญญาสงบศึกชั่วคราวเพราะต้องการดูลาดเลาสถานการณ์ที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นจริงบ้านหลังเล็กที่เคยอยู่กันเพียงสองคน เวลานี้มีหลังอื่นผุดขึ้นมาอยู่ใกล้ ๆ กันอีกสามสี่หลังจนแทบจะกลายเป็นหมู่บ้านที่มีทั้งมารและเทพอยู่ร่วมกันอย่างสันติต้นท้อรายรอบกำลังผลิดอกสีชมพูบานสะพรั่งเหมือนภาพวาด อีนั่วจึงตั้งชื่อหมู่บ้านของเขาว่าหมู่บ้านดอกท้อ ในใจคิดอยากอยู่ที่แห่งนี้อย่างสงบตลอดไปพลังของอีนั่วถูกกลบซ่อนเอาไว้ไม่ให้มารปีศาจตนอื่นรู้ รอบเขตบ้านจึงมีม่านศักดิ์สิทธิ์ของเทพวายุห้อมล้อมอยู่ด้วย“เจ้าจะทำเช่นนั้นไม่ได้ พวกข้าอึดอัด” หลิวอิง
ความสงบสุขเรียบง่ายหลายหมื่นปีของภพสวรรค์กำลังถูกสั่นคลอนเพราะมารตนหนึ่งที่ถือกำเนิดขึ้นเมื่อร้อยปีก่อน ใครเล่าจะคิดว่าสิ่งเล็ก ๆ จากบ่อโคลนของความชั่วร้ายทั้งปวงจะหลอมรวมภัยอันตรายที่สามารถทำลายล้างสวรรค์ให้ราบเป็นหน้ากลองได้ในเวลาไม่นานภพมารแซ่ซ้องสรรเสริญผู้ปกครองดินแดนคนใหม่ ยกขึ้นเป็นนายเหนือหัวที่จะกลายเป็นจอมมารปลดเปลื้องพันธะให้เหล่ามารปีศาจที่ถูกกักขังในหุบเหวดำมืด จบสิ้นการลงทัณฑ์อันยาวนานจากเทพบรรพกาลเสียงอึกทึกกึกก้องคำรามข่มขู่เหล่าเทพเซียนบนฟากฟ้าพร้อมบุกเข้าโจมตีอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยจนผู้คนในแดนศักดิ์สิทธิ์วุ่นวายโกลาหลเคราะห์ยังดีที่กองทัพสวรรค์เป่าแตรส่งสัญญาณเตือนภัยได้ทันเวลา เหล่าเทพเซียนจึงผนึกกำลังป้องกันการรุกรานของทัพมารอย่างสุดความสามารถเทพสงครามนำทัพออกมาเผชิญหน้าปกป้องสรรพสิ่งไม่ให้แตกสลายจากมหันตภัยในครั้งนี้ กลยุทธ์มากมายที่เคยใช้กับจอมมารตนอื่นกลับไม่ได้ผลนักไพ่ตายที่ถูกวางไว้สามอย่างเริ่มดำเนินไปอย่างเงียบ ๆ หวังว่าจะหยุดความเลวร้ายทั้งหมดลงไปได้ก่อนที่จะมีความสูญเสียไปมากกว่านี้เวลานั้นโฉมหน้าของผู้นำทัพมารจึงปรากฏขึ้น รอยยิ้มชั่วร้ายและแววตาเย็
ท่ามกลางความโกลาหลตรงเขตชายแดนระหว่างภพมารและภพสวรรค์ เทพจันทราเร่งหลอมรวมวิญญาณและพลังของตนเองเพื่อผนึกลิขิตสวรรค์ในต้นไม้แห่งโชคชะตาไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้แม้จะต้องสละวิญญาณแต่นั่นเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำเพื่อปกป้องสรรพสิ่งจากหายนะที่คืบคลานเข้ามา ชายชรารู้เป็นอย่างดีว่าจอมมารจะต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับชะตาของใครบางคนอย่างแน่นอน และนั่นอาจจะทำให้แผนการที่วางไว้ล่มไม่เป็นชิ้นดีเสียงคำรามของสัตว์อสูรดังกระหึ่มสร้างความวิตกในใจของเขาเป็นอย่างมาก อีกนิดเดียว ข้าขอเวลาอีกนิดเดียว เขาคิดในใจหวังว่ากองทัพสวรรค์ที่อยู่ด้านนอกจะช่วยต้านทานถ่วงเวลาผู้บุกรุกได้อีกสักเพียงนิด“หยุดนะ!” ปีศาจสาวนามว่าหลิวอิงอิงผู้เป็นมือขวาของจอมมารตะโกนก้อง นางร่ายพลังปีศาจใส่เทพจันทราโดยไม่ยั้งมือ หากแต่ถูกสกัดกั้นโดยกองอารักขาเสียก่อน จึงทำให้นางฉุนเฉียวเพราะไม่ได้ดั่งใจเทพจันทราตั้งสติมั่นพลันขอบข่ายอาคมปรากฏขึ้นหลอมรวมกับจิตวิญญาณอันแกร่งกล้าของชายชราผู้นี้โอบล้อมเป็นม่านคลุมต้นไม้แห่งโชคชะตาเอาไว้ในชั่วขณะหลิวอิงอ
บทสนทนาระหว่างเทพวายุกับจอมมารและการต่อสู้ของทั้งสองดำเนินไปอย่างดุเดือด สวีต้าเฟิงเบี่ยงเบนความสนใจเพื่อถ่วงเวลาให้เทพสงครามได้อย่างแนบเนียนจนอีกฝ่ายสามารถหลอมพลังวิญญาณได้เรียบร้อยกลายเป็นหนึ่งเดียวกับดาบคู่กายของตนเองสายตาที่เทพวายุมองสหายเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อร่ำลาทำให้กงจื่อเย่รู้สึกตัวว่าอีกฝ่ายกำลังเล่นละครฉากใหญ่จังหวะที่หันไปมองตามนั้น ดาบเทพสงครามอันมหึมาก็พุ่งทะลุผ่านร่างของจอมมารในพริบตาการสละวิญญาณของเทพสงครามได้ผลชะงัดเพราะสามารถผนึกเมล็ดพันธุ์ต้นไม้แห่งชีวิตดวงแรกไว้ในแก่นวิญญาณของจอมมารได้ ส่งผลให้พลังมารที่รุนแรงถดถอยลงไปหนึ่งส่วนกงจื่อเย่จะไม่รู้ตัวว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาภายในแก่นวิญญาณของตัวเองเพราะถูกพลังเทพสงครามบดบังเอาไว้แต่เฉลียวได้ว่าผู้นำกองทัพสวรรค์ย่อมไม่สละตนเองเพียงเพื่อทำลายพลังมารของเขาส่วนเดียวจอมมารยืนทื่ออยู่ครู่หนึ่ง พิจารณาว่าร่างมารของตนเองมีสิ่งใดผิดแปลกไปหรือไม่“พวกเจ้าทำอะไรข้า” เขาไม่รู้ว่าเหล่าเทพใช้วิธีใดและนั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดใจไม่น้อย
ภพสวรรค์เซียนผู้เฝ้าหออาวุธโบราณเพิ่งสังเกตได้ว่าดวงเนตรอำพันหายไปจึงคิดรายงานเทียนจวิน แต่กลับถูกสัตว์อสูรเขาแหลมตัวเขื่องขวิดจนร่างแตกสลายไปเสียก่อนสวีต้าเฟิงเห็นจอมมารยิ้มมุมปากได้แต่นึกสงสัยว่าผู้ที่โดนรุมล้อมสังหารมีเหตุอันใดให้รื่นรมย์ใจถึงเพียงนี้ ทั้งยังแววตาท้าทายที่มองมายังเขาไม่วางตาราวกับบรรลุเป้าหมายบางอย่างครั้นจะปลีกตัวออกมาจากที่แห่งนั้นเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจกลับถูกดาบเขี้ยวอสูรเหวี่ยงเข้ามาขวางทางเอาไว้ในพริบตา“จะหนีไปที่ใดกันเล่า” กงจื่อเย่แสยะพลางเรียกดาบประจำกายกลับมา“...” เทพวายุไม่เอ่ยอันใดแต่หันไปสบตากับเทียนจวินที่ยืนอยู่ข้าง ๆ สีหน้ากังวลรู้สึกว่าตนเองกำลังตกหลุมพรางของมารเจ้าเล่ห์ผู้นี้“ไปเถิด” เทียนจวินเอ่ยปากบอกแล้วดันพลังของตัวเองมาต้านทานพลังมารของกงจื่อเย่แทนเทพวายุจอมมารเห็นช่องว่างช่วงเปลี่ยนผันไม่รอช้าเขวี้ยงดาบเขี้ยวอสูรใส่ทั้งคู่โดยไม่แยแสเพื่อสลายพลังที่ตรึงกายมารส่วนล่างของเขาเอาไว้กระนั้น เทพอาวุโสอีกคนหนึ่งเห็นท่าไม่ดีหลบ
แดนมนุษย์เดิมทีเทพดาราจะกลายเป็นดาวตกลงมาเผชิญด่านเคราะห์ทุก ๆ หนึ่งพันปีเพื่อเก็บเกี่ยวเมล็ดพันธุ์ต้นไม้แห่งชีวิตในแดนมนุษย์ นางมีโชคชะตาที่เทพบรรพกาลเลือกสรรให้เป็นผู้สังหารจอมมารที่ถือกำเนิดขึ้นในสามภพตลอดระยะเวลาหลายแสนปีที่ผ่านมา เหล่าเทพเซียนภพสวรรค์ได้รับเลือกจากเทพบรรพกาลมานับไม่ถ้วนเพราะเขาผู้นั้นคือผู้หยั่งรู้โชคชะตาเมื่อจอมมารในแต่ละช่วงเวลาถือกำเนิด หากวิธีที่รับมืออยู่ไม่สามารถต้านทานพลังมารอันชั่วร้ายได้ เมล็ดพันธุ์ต้นไม้แห่งชีวิตจึงเป็นทางเลือกสุดท้าย เพราะผู้ที่สังหารจอมมารตนนั้นต้องสละแก่นวิญญาณของตนเองหลอมรวมอสนีบาตสวรรค์ 19 ครั้ง ผันเปลี่ยนเป็นพลังมหาศาลทำลายจอมมารไปพร้อม ๆ กันเหตุการณ์เหล่านั้นจึงทำให้มีเทพเซียนดับสูญตลอดกาลไปไม่น้อย แต่เพื่อแลกกับความสงบสุขของสามภพแล้ว พวกเขาเหล่านั้นจึงยอมรับในโชคชะตาของตัวเองครั้งนี้สวีลู่ชิงลงมาเกิดเป็นมนุษย์ครั้งที่สองด้วยช่วงเวลาที่ห่างกันจากครั้งแรกเพียงห้าร้อยปี พลังเทพของนางจึงได้รับความเสียหายบางส่วนเด็กทารกดวงตาสีฟ้า เรือนผมขาวแต่กำเนิดราวหิมะปรา
บ้านหลังเล็กของมารน้อยเมื่อทั้งสองฝ่ายตัดสินใจได้แล้วว่าจะทำอย่างไรต่อไปจึงร่างสัญญาสงบศึกชั่วคราวเพราะต้องการดูลาดเลาสถานการณ์ที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นจริงบ้านหลังเล็กที่เคยอยู่กันเพียงสองคน เวลานี้มีหลังอื่นผุดขึ้นมาอยู่ใกล้ ๆ กันอีกสามสี่หลังจนแทบจะกลายเป็นหมู่บ้านที่มีทั้งมารและเทพอยู่ร่วมกันอย่างสันติต้นท้อรายรอบกำลังผลิดอกสีชมพูบานสะพรั่งเหมือนภาพวาด อีนั่วจึงตั้งชื่อหมู่บ้านของเขาว่าหมู่บ้านดอกท้อ ในใจคิดอยากอยู่ที่แห่งนี้อย่างสงบตลอดไปพลังของอีนั่วถูกกลบซ่อนเอาไว้ไม่ให้มารปีศาจตนอื่นรู้ รอบเขตบ้านจึงมีม่านศักดิ์สิทธิ์ของเทพวายุห้อมล้อมอยู่ด้วย“เจ้าจะทำเช่นนั้นไม่ได้ พวกข้าอึดอัด” หลิวอิง
สวีลู่ชิงและพี่ชายรอข่าวคราวจากเสี่ยวไป๋อยู่นอกเขตแดนมารนางเดินวนไปวนมาด้วยความกังวลกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับอีนั่วจนแทบอยากจะฝ่าเข้าไปในภพมารเพื่อตามหาเขาด้วยตัวเอง“นั่งลงก่อนเถิด เจ้าเดินไปเดินมาจนข้าตาลายแล้ว” สวีต้าเฟิงส่ายหน้าพลางบ่นพึมพำ“ข้าเป็นห่วงเขา” นางเอ่ยตามตรง ใจหนึ่งรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เจอกับมารน้อยครั้งแรกแต่อีกใจกลับสัมผัสความรู้สึกคุ้นเคยได้อย่างบอกไม่ถูกช่วงเวลาเพียงเสี้ยวหนึ่ง เสี่ยวไป๋ส่งสัญญาณบางอย่างกลับมาหาผู้เป็นเจ้านายบอกให้รู้ว่ากำลังมาถึง รอยยิ้มบางจึงผุดขึ้นมาด้วยความยินดีพลันเงาดำตะคุ่มปรากฏด้านหลังเขตแดนภพมาร“สวีลู่ชิง ถอยออกมา” เทพวายุดึงร่างน้องสาวให้ออกห่างเพราะกลัวจะมีอันตราย “เจ้าอย่าเพิ่งวู่วาม จงอย่าล
หลังจากกงจื่อเย่สูญสิ้นไปทัพมารที่กำลังบุกสวรรค์ครานี้จึงแตกพ่ายเพราะไร้ผู้นำถูกกองทัพสวรรค์ขับไล่กลับภพมารในเวลาไม่นานเหล่าเทพเซียนต่างพากันโห่ร้องยินดีเพราะภัยคุกคามถูกกำจัดแล้ว หากแต่เทพอาวุโสและเทพชั้นสูงบางคนยังคงไม่อาจวางใจได้มากนักแต่ถึงอย่างนั้นแล้วก็พอจะโล่งใจได้บ้างว่าหลายพันปีต่อจากนี้สามภพคงจะสงบสุขราบรื่น และหากถึงเวลาที่จอมมารฟื้นคืนกลับมา ตอนนั้นพวกเขาคงหาวิธีรับมือได้บ้างแล้วตำหนักเทพดารามีแขกเข้าเยี่ยมไม่ขาดสายเพราะได้ยินเรื่องราวปากต่อปากจึงมาถามไถ่ด้วยตนเอง สวีลู่ชิงจึงบอกพวกเขาแต่เพียงว่า “มารผู้นั้นคงกลับใจกระมัง แต่ข้าไม่รู้หรอกว่าเป็นเพราะอันใด”นางกล่าวเช่นนั้นเพราะไม่รู้จริง ๆ แม้กงจื่อเย่จะจากไปแล้วแต่ความทรงจำที่ขาดหายไปก็ยังไม่กลับคืนมา
เทพเซียนที่ยืนอยู่รายรอบมองหน้ากันด้วยความงุนงงครั้นจะพุ่งตัวเข้าไปดึงจอมมารออกมาจากที่นั่นก็ทำไม่ได้เพราะรังแต่จะเสี่ยงชีวิตของตัวเองไปด้วยคราวแรกก็คิดว่าเขาเข้ามาขัดขวางไม่ให้นางทำภารกิจสำเร็จ แต่ไป ๆ มา ๆ กลับได้เห็นว่าจอมมารกำลังใช้ร่างกายตัวเองเป็นเกราะกำบังและรับอสนีบาตแต่เพียงผู้เดียว“สวีต้าเฟิง นี่มันเรื่องอันใดกัน” หนึ่งในเทพอาวุโสถามเขาเพราะเพิ่งมาถึง“ข้าก็ไม่รู้ขอรับ” เขาไม่อาจตอบคำถามนั้นได้เพราะไม่คิดว่าเรื่องราวตรงหน้าจะกลับตาลปัตรได้ขนาดนั้น“แต่ถ้าปล่อยเอาไว้แล้วจะจัดการจอมมารได้อย่างไร เจ้าก็รู้ไม่ใช่หรือว่าเทพดาราจะต้องเป็นผู้รับทัณฑ์สวรรค์ ไม่ได้การแล้ว ข้าต้องรีบเข้าไปห้าม”เทพอาวุโสส่ายหน้าหนักใจ ช่วงท
เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้นคนเป็นพี่ชายอย่างสวีต้าเฟิงแทบทำอาวุธหลุดมือ ในใจนึกโกรธเกรี้ยวที่จอมมารเจ้าเล่ห์พูดอะไรไม่เข้าเรื่อง“เจ้าอย่ามาพูดซี้ซั้ว” เทพวายุกำอาวุธประจำกายไว้แน่น “กล้าพูดใส่ร้ายให้น้องสาวข้ามีมลทิน เห็นทีคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่”กงจื่อเย่ไม่ยอมน้อยหน้าเพราะทุกสิ่งที่พูดออกไปเป็นความจริงจึงยืนยันว่า “ข้าคือสามีที่ถูกต้องตามประเพณีในด่านเคราะห์ชาติที่สองของนาง” ใจจริงเขาอยากจะพูดต่อด้วยซ้ำไปว่ามีพยานรักหนึ่งคนที่มีดวงตาสีฟ้างดงามเหมือนกับนางแต่เพื่อความปลอดภัยของมารน้อย เขาจึงต้องเก็บเรื่องนี้เอาไว้ต่อไป“เฮอะ” เทพปฐพีแสยะยิ้ม “ก็แค่ด่านเคราะห์ เจ้าจะมายึดถือเช่นนั้นได้อย่างไร” เขาถามออกไปแต่ในใจเริ่มคิดแล้วว่าถ้าเขาได้ตัวภรรยากลับไปแล้วเรื่องราวสงครามของจอมมา
สายใยระหว่างแม่ลูกที่ถักทอในแก่นวิญญาณมารน้อยทำให้เขารู้ว่าเวลานี้นางหายไปอยู่ในที่แสนไกล ถึงอย่างนั้นก็ยังคงหวังลึก ๆ และนั่งรอมารดาอยู่ที่เดิมทว่า ผ่านไปวันแล้ววันเล่า ในใจของอีนั่วเศร้าหมองและคิดถึงนางยิ่งนักจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ไม่เกรงกลัวว่าจะมีอันตรายใด ๆ เกิดขึ้นกับตัวเองพลันใช้พลังมารหายตัวเข้าสู่แดนสวรรค์ในพริบตาอีนั่วรีบพุ่งไปที่ตำหนักเทพดาราในทันที ไม่ข้องแวะที่ใดเพราะห่วงว่าจะมีใครสังเกตเห็นตัวตนมารปีศาจ คอยแอบอยู่ในมุมมืด พรางตัวราวกับเป็นอากาศ แล้วกวาดสายตามองหามารดา“ท่านแม่...” เขาเผลอเรียกออกไปแบบนั้นอย่างเคยแต่หยุดชะงักไปเพราะรู้สึกได้ว่าหญิงสาวตรงหน้ามีอะไรแปลกไปจากเดิม นางกำลังหัวเราะและยิ้มให้คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ โดยไม่รู้สึกตัวเลยว่าเลือดเนื้อเชื้อไขตัวน้อย ๆ รอนางเพียงลำพัง
วันหนึ่งในฤดูฝนเสียงฟ้าร้องคำรามก้องไปทั่วบริเวณเป็นเวลาเกือบสองชั่วยาม พื้นดินรอบบ้านเปียกแฉะกลายเป็นโคลนและมีแอ่งน้ำเล็ก ๆ เกิดขึ้นหลายแห่งทุ่งดอกไม้สีเหลืองพัดไหวตามสายฝนลมพัดในเวลานั้นราวกับเริงระบำแม้อู๋เยว่ชิงจะถูกพลังของอีนั่วปกปิดเรื่องบางอย่างเอาไว้ แต่นางที่เป็นถึงเทพดาราย่อมเฉลียวใจได้ในบางครั้งว่าทุกสิ่งมันแปลกเกินไป อายุที่เพิ่มมากขึ้นในทุกวัน ไม่มีมนุษย์ผู้ใดหรอกจะอายุยืนร้อยปีแต่เนื้อหนังร่างกายและใบหน้ายังคงเหมือนวันวานไม่เปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะอีนั่ว ร้อยปีผ่านมาแล้วเขายังคงเหมือนเด็กอายุเจ็ดขวบไม่มีผิดสายตาที่ล่องลอยราวกับจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทำให้บุตรชายสังเกตได้ในพริบตา เขาเอียงคอเล็กน้อยก่อนที่พลังมารจาง ๆ ค่อย ๆ เคลื่อนผ่านไปหาอู๋เยว่ชิง
นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมากงจื่อเย่ออกเดินทางตามหาร่องรอยของอู๋เยว่ชิงทุกหนแห่ง ยามคิดถึงหรือเหนื่อยล้าหัวใจมักจะหยิบถุงหอมและปิ่นปักผมที่เคยมอบให้นางมาดูเขาเริ่มฟื้นฟูตำหนักจันทราให้เป็นเหมือนเดิมแล้วใช้เป็นสถานที่พักผ่อนยามค่ำคืน กลิ่นอายเก่า ๆ หวนกลับมาทุกครั้งจนเขานึกอยากย้อนวันเวลากลับไป“เจ้าอยู่ที่ใดหรือเยว่ชิง” จอมมารกวาดสายตามองไปรอบตำหนักที่เวลานี้เริ่มมีต้นไม้ดอกไม้ผลิบานตามฤดู “ดอกไม้งดงามปานนี้แล้ว เจ้าไม่อยากเห็นหรือ”คำถามของเขาไม่มีเสียงตอบกลับมา ความว่างเปล่าเกาะกุมหัวใจจนทรมานในเมื่อตามหาทุกหนทุกแห่งแล้วยังไม่พบเจอ คงจะเหลือเพียงสถานที่สุดท้าย หากเสี้ยววิญญาณของนางยังคงอยู่ บางทีนางอาจจะยังอยู่ที่แห่งนั้น
นับตั้งแต่นั้นมากงจื่อเย่จึงไม่ออกไปที่ไหนอีกติดอยู่ในภพมารเพื่อกระทำบางอย่างด้วยความตั้งใจจนไม่รู้ตัวว่าเวลาล่วงเลยไปมากเท่าใดแล้วเมื่อผู้ปกครองละเว้นหน้าที่ ความวุ่นวายในภพมารจึงเริ่มบังเกิดทีละส่วน หากแต่ลูกน้องทั้งสามยังคงใช้อำนาจของเขาคอยจัดการได้อยู่แม้จะแลกมาด้วยความเหนื่อยเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวก็ตามครั้งนี้เช่นเดียวกัน ไอมารปีศาจชั่วร้ายก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง เดิมทีกงจื่อเย่จะคอยดูดซับพลังพวกนั้นมาเป็นอาหารของตนเองแต่เวลานี้สิ่งที่เขาให้ความสนใจอยู่เหนือสิ่งอื่นใด พวกปีศาจและสัตว์อสูรจึงได้ทีฉกฉวยมันมาเป็นของตัวเองจึงทำให้มีพละกำลังที่เพิ่มมากขึ้นแต่บางขณะ ไอมารปีศาจที่แข็งแกร่งย่อมปกป้องตัวเองให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของพวกเดียวกันและเป็นฝ่ายกัดกินมารปีศาจพวกนั้นแทนที่จนสามารถหล่อหลอมรูปลักษณ์สร้างตัวตนขึ้นมาได้&n