วันต่อมา
หลังจากฮ่องเต้ฟ่านเจียรุ่ยหารือกับเหล่าขุนนางในท้องพระโรงร่วมกับองค์ชายและคณะทูตเกือบทั้งวันจึงได้เชิญชวนให้ทุกคนอยู่ร่วมงานต้อนรับในค่ำคืนนั้นด้วย
การแสดงร่ายรำจากสตรีงามดึงดูดใจคณะทูตต่างเมืองจนพากันพูดเป็นเสียงเดียวว่ายอดเยี่ยมยิ่งนัก นางกำนัลหลายร้อยคนนำเหล้าสุรารสเลิศที่หมักบ่มเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ รวมถึงอาหารพื้นเมืองประจำแคว้นทยอยออกมาวางบนโต๊ะยาวเพื่อรับรองแขก
บรรยากาศรื่นเริงเต็มไปด้วยความสนุกสนานและเป็นกันเองเพราะคนในแคว้นอันซีต่างเป็นมิตรกันทั้งนั้น
หลินมู่หลงมองไปยังฮ่องเต้และบรรดาชายาสนมเอกของเขาแล้วยิ้มออกมา “หากข้ามีสนมมากมายเช่นนั้น สือหลิวคงจะทุบหลังข้าหักเป็นสองท่อนแน่ ๆ เลยพี่สาม”
“วันหนึ่งเจ้าต้องกลายเป็นฮ่องเต้เมืองหมิงเหวิน อย่างไรก็ต้องมีแต่งสนมเข้าตำหนัก นางจะห้ามเจ้าได้อย่างไร” คนเป็นพี่เลิกคิ้วตอบตามความจริง
“ข้ามั่นใจว่าวันใดที่นางขึ้นเป็นใหญ่แล้วต้องแอบแก้ธรรมเนียมประเพณีอย่างแน่นอน” องค์ชายเจ็ดรู้จักชายาของตนเป็นอย่างดี
“ตกลงเจ้าอยากจะมีสนมหรือไม่อยากมี” เขาเริ่มไม่เข้าใจจุดประสงค์ของน้องชาย
“ข้ารักนางเพียงผู้เดียว จะไปมีใครได้อีก ข้าเลยสนับสนุนให้นางแก้ธรรมเนียมนั้นอยู่เช่นกัน” หลินมู่หลงยิ้มกว้างพลางหัวเราะหน้าระรื่น
“พูดอะไรตั้งยืดยาว” หลินซีเวยส่ายหน้าเพราะครุ่นคิดจับใจความตั้งนาน
“ข้าเพียงแค่อยากหาเรื่องพูดคุยกับพี่สามเท่านั้น ทรงรู้หรือไม่ว่าตั้งแต่เกิดจนป่านนี้แล้วข้านับคำที่พูดกับท่านได้เพียงแค่ร้อยคำเองนะ” คนเป็นน้องเกิดอาการน้อยใจขึ้นมาทันที
“ข้าไม่มีเรื่องจะพูดกับเจ้า” หลินซีเวยตัดบทสนทนาอย่างเลือดเย็น
“เฮอะ...” หลินมู่หลงเบ้ปาก “แล้วเสด็จพี่จะแต่งสนมเพิ่มอีกหรือไม่”
“ข้าไม่สนใจสตรีอื่นใด” เขาตอบไปตามตรง “เมื่อใดข้าจะกลับเมืองไท่หยางได้เสียที”
“เพิ่งจะมาถึงได้ไม่นานก็จะรีบกลับแล้วหรือ” เสียงของฮ่องเต้ฟ่านเอ่ยถามพลางโบกมือให้นางกำนัลยกสุราของโปรดปรนนิบัติองค์ชายทั้งสอง “ดื่มฉลองกันหน่อยเถิด”
สตรีงามหลายคนแต่งกายด้วยอาภรณ์หลากสีเยื้องกรายเข้าหาองค์ชายทั้งสองอย่างจงใจ เล่นหูเล่นหาหว่านเสน่ห์ราวกับจะทำให้อีกฝ่ายต้องมนตร์
หลินมู่หลงยังคงบอกปัดอย่างสุภาพไปได้เพราะในใจนึกถึงแต่ชายาของตนจึงไม่อาจหลงระเริงไปกับความงามและเย้ายวนของพวกนางได้
ขณะที่อีกคนนั่งทำหน้าไม่สบอารมณ์ไล่คนที่คิดจะเข้าใกล้ได้โดยไม่ต้องเอ่ยปาก สายตาเยือกเย็นปรายมองบ่งบอกว่าหากเข้ามาใกล้อีกเพียงคืบอย่าหาว่าข้าไม่เตือนจนคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ อย่างหลินมู่หลงพลอยรู้สึกขนลุกซู่ไปด้วย
“เยว่ชิงคงจะดีใจน่าดูที่เสด็จพี่ไม่แตะต้องสตรีนางใดเลยระหว่างที่ห่างไกลกัน” องค์ชายเจ็ดอดไม่ได้ที่จะหยอกล้อเขา “เฮ้อ หากท่านตอบตกลงใจกับนางเร็วกว่านี้ ป่านนี้ลูกสามแล้วกระมัง”
“ข้าตอบช้าไปอย่างนั้นหรือ” เสียงระคนสงสัยเอ่ยถามคนนั่งข้าง
“ถ้าไม่ต้องแต่งงานแก้เคล็ดจนได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันทั้งวันทั้งคืน พี่สามจะเปลี่ยนใจหรือไม่” เขายังคงนึกสงสัยมาทุกวันนี้ว่าเหตุใดคนที่รังเกียจนางถึงปานนั้นจึงพลิกอารมณ์จากหน้ามือเป็นหลังมือได้
“...” หลินซีเวยไม่ตอบเพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าวันเช่นนี้จะมาถึง
จู่ ๆ ร่างกายของเขาก็เจ็บแปลบไปทั่วจึงพอได้รู้ว่าเวลานี้อีนั่วกำลังสำแดงฤทธิ์เดชอยู่ในท้องของอู๋เยว่ชิงจึงหลบออกจากงานเลี้ยงกลับมาที่เมืองไท่หยางในพริบตา
“มารน้อยอย่างเจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่หรือ” เขาแนบหูตรงท้องของอู๋เยว่ชิงที่กำลังนอนหลับ “โชคดีนักที่พลังของเจ้าสะท้อนกลับมา มิเช่นนั้นแม่ของเจ้าคงจะเจ็บปวดนัก”
หลินซีเวยมองหน้านางด้วยความคิดถึงแล้วหอมหน้าผากแผ่วเบากลัวว่าจะทำให้นางตื่นก่อนจะนอนลงข้าง ๆ สายตาไล่เลี่ยริมฝีปากแต่ต้องอดใจเอาไว้ก่อน
เช้าวันต่อมา
โจวเหวินหลงรายงานความคืบหน้าตามคำสั่งของเจ้านายอย่างละเอียด “ข้าพบสุสานอันซีแล้วขอรับ”
หลินซีเวยยิ้มกว้างพึงพอใจยิ่งนักที่สุดท้ายแล้วเขาก็ตามหาทางเข้าสุสานเทพเซียนเจอเสียทีจึงไม่รอช้าเร่งไปยังปลายทาง
ประตูผ่านเข้าสุสานอันซีประดับด้วยดอกพลับพลึงสีขาวบานสะพรั่งไปทั่ว บรรยากาศภายในเงียบสงัดสมกับเป็นที่พักพิงวิญญาณ
ดวงไฟสีขาวเล็ก ๆ ลอยล่องฟุ้งเหนือมวลดอกไม้ กระพริบแสงแวววาวแจ่มชัดพลันสัมผัสได้ถึงไอมารปีศาจก็พากันแตกตื่นสั่นสะท้านทำตัวลีบแอบหลบอยู่ในกลีบดอกตูมที่ยังไม่ผลิบาน
ร่างกายของมารปีศาจอย่างเขารู้สึกถึงพลังเทพเซียนที่อัดแน่นราวกับจะขับไล่สิ่งแปลกปลอมที่รุกรานเข้ามาอย่างหนักหน่วงจนตัวเขาและลูกน้องมารปีศาจรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่างคล้ายโดนทรมานไปด้วย
หากแต่หลินซีเวยยังคงยืนนิ่งไม่แสดงอาการใดเพราะสิ่งที่ตั้งใจจะทำยังไม่บรรลุความสำเร็จ เขาร่ายพลังมารดึงวิญญาณดวงหนึ่งที่หลบอยู่ไม่ไกลนักมาถามไถ่เรื่องบางอย่าง
ครั้นได้ยินคำตอบที่คลายความสงสัยได้แล้วจึงออกมาจากสุสานแห่งนั้นโดยไม่ลังเลก่อนจะพูดกับลูกน้องทั้งสองว่า “ถึงเวลากลับไปหาชายาของข้าแล้วล่ะ”
หลินซีเวยสั่งให้ขบวนเสด็จเตรียมพร้อมในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยามพลางนับถอยหลังที่จะได้เจออู๋เยว่ชิงและอีนั่วด้วยหัวใจที่พองโต
อีกฟากฝั่งหนึ่งในเมืองไท่หยาง
อู๋เยว่ชิงถือโอกาสกลับจวนแม่ทัพใหญ่เพราะบิดามารดาบ่นว่าอยากเห็นหน้าบุตรสาวเพียงคนเดียว
อู๋ฮูหยินทำอาหารบำรุงครรภ์ให้บุตรสาวหลากหลายอย่าง ครั้นเห็นว่าเจริญอาหารดีก็หายเป็นห่วงกลัวว่าจะแพ้ท้องจนไม่นึกอยากอันใด
“ใครเล่าจะไปนึกว่าองค์ชายจะเป็นเช่นนั้นแทนเจ้า” ผู้เป็นมารดาลูบศีรษะของนางด้วยความเอ็นดู
“ข้าเองก็ไม่คิดเจ้าค่ะ” อู๋เยว่ชิงลูบท้องพลันรู้สึกได้ว่าอีนั่วกำลังดิ้น “อ๊ะ ท่านแม่” นางตาโตมองหน้ามารดาเพราะรู้สึกเช่นนี้ได้เป็นครั้งแรก
“เจ้าก้อนของยาย” นางยิ้มกว้างพลางสะกิดแขนของสามีตนที่มัวแต่ยิ้มปริ่มเพราะอีกไม่นานจะได้เห็นหน้าหลาน
“เสด็จพี่กลับมาคงจะดีใจไม่น้อย” นางคิดถึงหลินซีเวย อยากให้เขากลับมาโดยเร็ว
“อดใจรออีกหน่อยเถิด พ่อได้ยินมาว่าขบวนเสด็จกำลังเคลื่อนผ่านหุบเขาแนวชายแดนแคว้นอันซีแล้ว” แม่ทัพใหญ่เพิ่งจะพูดคุยกับฮ่องเต้มาจึงพอรู้บ้างว่าเวลานี้หลินซีเวยอยู่ที่ใด
“จริงหรือเจ้าคะ” ใบหน้ายิ้มแป้นทำให้คนเป็นพ่ออดเอ็นดูไม่ได้
ภาพของทั้งสามคนอยู่ในสายตาของหลินซีเวยมาตั้งแต่เมื่อครู่ เขาพึมพำเมื่อได้เห็นว่านางอยากเจอเขามากเพียงใด “ในเมื่อเจ้าคิดถึงข้ามากปานนั้น คงต้องเร่งการเดินทางให้เร็วขึ้นกว่าเดิมเสียแล้ว”
หลินซีเวยไม่พูดเปล่า เขาตัดสินใจไม่ร่วมเดินทางกับขบวนคณะทูตแต่กลับทำทีควบม้าเพื่อเร่งเดินทางกลับเมืองไท่หยาง
ครั้นห่างจากขบวนคณะทูตแล้วจึงใช้พลังมารหายตัวกลับมาตำหนักจันทราในพริบตาพลางนั่งรอชายากลับจากจวนแม่ทัพใหญ่อย่างใจจดใจจ่อ
“นายท่านกลับมาเร็วเพียงนี้ไม่มีผู้ใดสงสัยหรือ” ลูกน้องปีศาจถามขึ้นมาหลังจากตามเจ้านายกลับตำหนัก
“ข้าฝากเจ้าจัดการเรื่องนั้นด้วยก็แล้วกัน” หลินซีเวยอารมณ์ดีจนไม่อยากคิดสิ่งอื่นใด ก่อนจะไล่ลูกน้องทั้งสองคน “ไปได้แล้ว”
“ขอรับ” โจวเหวินหลงและเฉินซือหยางพยักหน้าแล้วหายตัวไปจากที่นั่น ในใจกำลังคิดหนักว่าควรต้องทำอย่างไรหากมีคนสงสัยเรื่องของเจ้านายจึงปรึกษากัน
“เอาไว้ถึงตอนนั้นค่อยคิดเถอะ” โจวเหวินหลงส่ายหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“อืม” ปีศาจหนุ่มไม่รู้จะพูดอันใดเพราะจนปัญญา คร้านจะกังวลเรื่องที่ยังมาไม่ถึง
ในขณะที่ตัวต้นเหตุยิ้มหน้าระรื่นเมื่อได้เห็นชายาของตนเองกำลังเดินกลับมาที่ตำหนักจากไกล ๆ พลันรีบวิ่งเข้าไปสวมกอดนาง “คิดถึงเจ้ายิ่งนัก”
ผ่านไปสามเดือนอู๋เยว่ชิงรับรู้ได้ว่าลูกน้อยในท้องกำลังอารมณ์ดีเพราะได้ออกมาเดินเล่นในสวนดอกไม้ข้างนอกบ้างหลังจากต้องอุดอู้อยู่ในตำหนักหลายวันเพราะนางต้องคอยดูแลหลินซีเวยที่จู่ ๆ ก็เจ็บออดแอดขึ้นมา“เจ็บมากหรือไม่เพคะ” อู๋เยว่ชิงถามไถ่อาการของเขาด้วยความเป็นห่วง หลายวันมานี้ใบหน้าของหลินซีเวยซีดเผือดไปมากนัก นางนึกว่าอาการแพ้ท้องจะหายไปแล้วแต่เขากลับเป็นหนักกว่าเดิมจนได้“อย่ากังวลเลย ยิ่งเจ้าทำหน้าขมวดคิ้วชนกันอย่างนี้แล้วเดี๋ยวอีนั่วจะพลอยเป็นห่วงเจ้าไปอีกคน” องค์ชายสามลูบใบหน้านางแผ่วเบาพลางจิ้มนิ้วยืดคิ้วที่ขมวดเป็นปมออกแล้วบอกคนตรงหน้าว่า “เจ้านั่งเล่นกับลูกอยู่ตรงนี้สักพักหนึ่งเถอะ ข้าขอไปนอนงีบรออยู่ข้างในตำหนัก”“หม่อมฉัน...” อู๋เยว่ชิงคิดจะตามไปดูแลเขาด้วยแต่อีนั่วน้อยคงไม่ยอม
หลายวันต่อมาบรรดาปู่ย่าตายายของอีนั่วมาหาหลานพร้อมของรับขวัญเต็มไม้เต็มมือ ทั้งกำไลหยก กำไลเงิน แผ่นทองคำ จี้ทองและอีกสารพัดจนกล่องของขวัญในตำหนักจันทรากองพะเนินญาติสนิทมิตรสหายหลั่งไหลมาเยี่ยมเยียนไม่ขาดสาย แม้กระทั่งคนที่อยู่ไกลอย่างหลินมู่หลงยังส่งจดหมายมาแสดงความยินดีกับอู๋เยว่ชิงเจ้าตัวยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ยามที่อ่านจดหมายทางไกลนั้น เรียกความอิจฉาเล็กน้อยจากเจ้าของตำหนักอย่างยิ่ง อู๋เยว่ชิงพลันรู้สึกได้ว่าสายตาใครบางคนมองนางมาตั้งแต่เมื่อครู่จึงค่อย ๆ หันกลับไป คลี่ยิ้มบางเรียกอีกฝ่ายเสียงหวาน “เสด็จพี่เพคะ”หลินซีเวยได้ยินนางเรียกรีบเดินเข้ามาหา “เจ้าคิดว่าทำเช่นนี้แล้วข้าจะปล่อยไปง่าย ๆ หรือ”“ทรงก้มลงมาใกล้ ๆ หม่อมฉันได้หรือไม่เพคะ”
“องค์ชายสาม ไม่ได้พบพระองค์มานานพระวรกายแข็งแรงดีแล้วใช่หรือไม่” นักพรตผู้นั้นถามไถ่แล้วมองมารน้อยที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มไร้เดียงสาหลินซีเวยท่าทางนอบน้อม “เรื่องครั้งนั้น ข้ารู้สึกขอบคุณท่านเป็นอย่างมาก เวลานี้อาการเจ็บป่วยไม่รู้สาเหตุจึงหายเป็นปลิดทิ้ง”ชายชราถอนหายใจเฮือกใหญ่พึมพำว่า “ดีแล้ว” จากนั้นจึงยื่นมือมาหามารน้อยบ้าง อีนั่วผู้เป็นมิตรกับทุกคนจึงวางมือลงบนฝ่ามือของนักพรตชราอย่างไม่คิดระแวงครั้นคนตรงหน้าสัมผัสได้ว่าพลังมารแฝงอยู่ในแก่นวิญญาณจึงคิดไปว่าอาจจะเป็นผลทำให้อีนั่วต้องเจ็บป่วยเหมือนอย่างที่หลินซีเวยเคยประสบพบเจอ แต่พอได้ยินเสียงหง่าวดังมาจากด้านล่างจึงเข้าใจได้ว่าครั้งนี้คงจะไม่เกิดเหตุซ้ำรอยอย่างแน่นอน“แมวน้อยตัวนี้มาจากที่ใดหรือ” เขาเอ่ยถามอู๋เยว่ชิงเพราะสัมผัสไ
เช้าวันต่อมาองครักษ์ส่งข่าวให้ทุกคนในวังหลวงได้รับรู้ว่านักพรตชราผู้นั้นหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ความสิ้นหวังจึงมาเยือนคนในตำหนักจันทรายิ่งนักอู๋เยว่ชิงกอดอีนั่วเอาไว้ไม่ยอมปล่อยเพราะนางสัมผัสได้ว่ายามที่อีนั่วอยู่กับนาง อาการทรมานจะไม่แสดงออกมา หากแต่เมื่อใดที่นางเผลอหลับใหล พลังมารของอีนั่วกลับปะทุขึ้นมาทีละนิดจนมิอาจกลั้นนับวันยิ่งควบคุมไม่ได้ อู๋เยว่ชิงอดนอนฝืนตัวเองดูแลอีนั่วจนหลินซีเวยรู้สึกเป็นห่วงนางไม่แพ้กัน แต่เขากลับโทษตัวเองที่ทำอันใดเพื่อช่วยคนที่เขารักทั้งสองคนไม่ได้เลย“หม่อมฉันไม่เป็นอันใดเพคะ” นางลูบใบหน้าซูบเซียวของหลินซีเวยทั้งที่มือของนางแทบไม่มีแรงเหลือเขาแนบใบหน้ากับฝ่ามืออบอุ่นนั้น สายตาห่วงใยฉายชัดแต่ก็จำต้องแอบให้นางดื่มสมุนไพรเพื่อพัก
หลินซีเวยสัมผัสได้ว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วเขาจึงปลุกให้อู๋เยว่ชิงตื่นจากหลับฝัน เสียงอึกทึกครึกโครมดังมาถึงตำหนักจันทราจนทำให้นางอกสั่นขวัญแขวนไปด้วยดวงตาสีฟ้ามองอีนั่วที่กำลังหลับแล้วสบตากับหลินซีเวย “ไม่จริงใช่หรือไม่เพคะ ไม่ใช่ฝีมือของลูก”เขาส่ายหน้าปิดบังความจริง “อย่ากังวลไปเลย ลูกเราไม่มีทางทำอันใดเช่นนั้นได้หรอก เชื่อข้าเถอะนะเยว่ชิง”“เพคะ หม่อมฉันเชื่อ ไม่ว่าอย่างไรอีนั่วก็เป็นลูกของเรา ไม่มีทางเป็นมารปีศาจอย่างแน่นอน”ใบหน้าของหลินซีเวยซีดเผือดเพราะพลังมารของอีนั่ว เขาจึงหลบหน้าชายาตนเองเพราะไม่อยากให้เป็นห่วงก่อนจะอุ้มอีนั่วขึ้นมา “เยว่ชิง วังหลวงคงไม่ปลอดภัยแล้ว เรารีบหนีออกไปหลบอยู่ที่จวนแม่ทัพใหญ่สักพักเถิด”
หลินซีเวยหมดท่าไม่อาจโต้กลับเหล่าเซียนสำนักหานหลิ่งได้อีกทั้งยังถูกตรึงด้วยผนึกเพื่อทำลายพลังมารปีศาจที่ควบคุมร่างเขาอยู่“ท่านเซียน ช่วยเขาไม่ได้หรือ” ฮ่องเต้เอ่ยปากถามเพราะยังมีความหวังว่าจะได้บุตรชายกลับคืน หากแต่เหล่าเซียนกลับตอบว่า “พลังมารปีศาจหลอมรวมเข้าแก่นวิญญาณของเขาแล้วมิอาจถอดถอนได้เฉกเช่นคนทั่วไป หนทางเดียวที่จะหยุดหายนะในเมืองไท่หยางคือสังหารเขาไปพร้อมกับมัน”“...” ทุกคนนิ่งเงียบ สายตามองปีศาจร้ายด้วยความหวาดกลัว เพียงแค่หนึ่งก้านธูป วังหลวงกลับนองเลือดราวกับมีสงครามครั้งใหญ่ หากคิดปล่อยไว้มีหวังทั้งเมืองไท่หยางคงกลายเป็นเมืองร้างไร้ผู้คนเป็นแน่“ข้าไม่ได้ขอความเห็นพวกท่าน มาวันนี้เพื่อทำหน้าที่ของตนเอง มารปีศาจตนนี้ร้ายกาจนักหากปล่อยให้หลุดรอดไปได้คงทำลายผู้คนในเมืองอื่น ๆ อีกนับไม่ถ้วน&r
Trigger Warning (TW 18+) = มีเนื้อหาหรือเหตุการณ์ที่อาจทำให้สะเทือนใจห่างไปอีกเมืองหนึ่งไม่ไกลนักรถม้าของอู๋เยว่ชิงหยุดพักอยู่ที่หมู่บ้านเล็ก ๆ แถบชานเมือง นางพยายามรวบรวมสติของตนเองเอาไว้แล้วปกป้องอีนั่ว“เสด็จแม่ เราอยู่ที่ใดกันหรือ” อีนั่วเอ่ยปากถามทันทีที่ลืมตาหลังจากนอนหลับยาวนาน “เสด็จพ่อเล่า...”เมื่อถูกถามไถ่ถึงหลินซีเวย น้ำตาของนางก็เอ่อคลอแต่พยายามกลั้นใจเอาไว้ “พ่อของเจ้าจะรีบตามมา อีนั่วอย่าได้กังวลไปเลยนะ”มารน้อยพยักหน้าแล้วซบเข้าอ้อมกอดของมารดาสัมผัสได้ถึงความกังวลใจของอู๋เยว่ชิง มือน้อย ๆ ลูบใบหน้าของนางราวกับต้องการปลอบประโลมพวกเขาหย
หากแต่ผลที่ได้ไม่เป็นอย่างคาดคิดเพราะพลังมารที่เขาส่งออกไปสะท้อนกลับเข้าหาตัวเหมือนอย่างเคยกงจื่อเย่ชักสีหน้าไม่สบอารมณ์ “เหตุใดจึงฆ่าเจ้าไม่ได้!!!”เขาเชื่อว่าเมล็ดพันธุ์ของชาตินี้ที่อยู่ในแก่นวิญญาณของนางต้องได้รับความเสียหายจนปริแตกแล้วจึงได้ลงมือ แต่กลับทำอันใดนางไม่ได้เลยแม้แต่น้อยครั้นลองร่ายพลังมารใส่อู๋เยว่ชิงอีกครั้ง พลังรุนแรงนั้นยังคงสะท้อนกลับมาหาเขาไม่เคยเปลี่ยนกงจื่อเย่กระอักเลือดออกมากองใหญ่ คิ้วขมวดเป็นปม เอ่ยถามนางด้วยความสงสัย “ที่ผ่านมาเจ้าไม่ได้รักข้าหรือ”นั่นเพราะเขาเข้าใจมาโดยตลอดว่าความรักมักจะทำให้มนุษย์อ่อนแอ ยิ่งรักมากเท่าใดยิ่งเจ็บปวดมากเท่านั้น หากถูกคนท
สวีลู่ชิงและพี่ชายรอข่าวคราวจากเสี่ยวไป๋อยู่นอกเขตแดนมารนางเดินวนไปวนมาด้วยความกังวลกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับอีนั่วจนแทบอยากจะฝ่าเข้าไปในภพมารเพื่อตามหาเขาด้วยตัวเอง“นั่งลงก่อนเถิด เจ้าเดินไปเดินมาจนข้าตาลายแล้ว” สวีต้าเฟิงส่ายหน้าพลางบ่นพึมพำ“ข้าเป็นห่วงเขา” นางเอ่ยตามตรง ใจหนึ่งรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เจอกับมารน้อยครั้งแรกแต่อีกใจกลับสัมผัสความรู้สึกคุ้นเคยได้อย่างบอกไม่ถูกช่วงเวลาเพียงเสี้ยวหนึ่ง เสี่ยวไป๋ส่งสัญญาณบางอย่างกลับมาหาผู้เป็นเจ้านายบอกให้รู้ว่ากำลังมาถึง รอยยิ้มบางจึงผุดขึ้นมาด้วยความยินดีพลันเงาดำตะคุ่มปรากฏด้านหลังเขตแดนภพมาร“สวีลู่ชิง ถอยออกมา” เทพวายุดึงร่างน้องสาวให้ออกห่างเพราะกลัวจะมีอันตราย “เจ้าอย่าเพิ่งวู่วาม จงอย่าล
หลังจากกงจื่อเย่สูญสิ้นไปทัพมารที่กำลังบุกสวรรค์ครานี้จึงแตกพ่ายเพราะไร้ผู้นำถูกกองทัพสวรรค์ขับไล่กลับภพมารในเวลาไม่นานเหล่าเทพเซียนต่างพากันโห่ร้องยินดีเพราะภัยคุกคามถูกกำจัดแล้ว หากแต่เทพอาวุโสและเทพชั้นสูงบางคนยังคงไม่อาจวางใจได้มากนักแต่ถึงอย่างนั้นแล้วก็พอจะโล่งใจได้บ้างว่าหลายพันปีต่อจากนี้สามภพคงจะสงบสุขราบรื่น และหากถึงเวลาที่จอมมารฟื้นคืนกลับมา ตอนนั้นพวกเขาคงหาวิธีรับมือได้บ้างแล้วตำหนักเทพดารามีแขกเข้าเยี่ยมไม่ขาดสายเพราะได้ยินเรื่องราวปากต่อปากจึงมาถามไถ่ด้วยตนเอง สวีลู่ชิงจึงบอกพวกเขาแต่เพียงว่า “มารผู้นั้นคงกลับใจกระมัง แต่ข้าไม่รู้หรอกว่าเป็นเพราะอันใด”นางกล่าวเช่นนั้นเพราะไม่รู้จริง ๆ แม้กงจื่อเย่จะจากไปแล้วแต่ความทรงจำที่ขาดหายไปก็ยังไม่กลับคืนมา
เทพเซียนที่ยืนอยู่รายรอบมองหน้ากันด้วยความงุนงงครั้นจะพุ่งตัวเข้าไปดึงจอมมารออกมาจากที่นั่นก็ทำไม่ได้เพราะรังแต่จะเสี่ยงชีวิตของตัวเองไปด้วยคราวแรกก็คิดว่าเขาเข้ามาขัดขวางไม่ให้นางทำภารกิจสำเร็จ แต่ไป ๆ มา ๆ กลับได้เห็นว่าจอมมารกำลังใช้ร่างกายตัวเองเป็นเกราะกำบังและรับอสนีบาตแต่เพียงผู้เดียว“สวีต้าเฟิง นี่มันเรื่องอันใดกัน” หนึ่งในเทพอาวุโสถามเขาเพราะเพิ่งมาถึง“ข้าก็ไม่รู้ขอรับ” เขาไม่อาจตอบคำถามนั้นได้เพราะไม่คิดว่าเรื่องราวตรงหน้าจะกลับตาลปัตรได้ขนาดนั้น“แต่ถ้าปล่อยเอาไว้แล้วจะจัดการจอมมารได้อย่างไร เจ้าก็รู้ไม่ใช่หรือว่าเทพดาราจะต้องเป็นผู้รับทัณฑ์สวรรค์ ไม่ได้การแล้ว ข้าต้องรีบเข้าไปห้าม”เทพอาวุโสส่ายหน้าหนักใจ ช่วงท
เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้นคนเป็นพี่ชายอย่างสวีต้าเฟิงแทบทำอาวุธหลุดมือ ในใจนึกโกรธเกรี้ยวที่จอมมารเจ้าเล่ห์พูดอะไรไม่เข้าเรื่อง“เจ้าอย่ามาพูดซี้ซั้ว” เทพวายุกำอาวุธประจำกายไว้แน่น “กล้าพูดใส่ร้ายให้น้องสาวข้ามีมลทิน เห็นทีคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่”กงจื่อเย่ไม่ยอมน้อยหน้าเพราะทุกสิ่งที่พูดออกไปเป็นความจริงจึงยืนยันว่า “ข้าคือสามีที่ถูกต้องตามประเพณีในด่านเคราะห์ชาติที่สองของนาง” ใจจริงเขาอยากจะพูดต่อด้วยซ้ำไปว่ามีพยานรักหนึ่งคนที่มีดวงตาสีฟ้างดงามเหมือนกับนางแต่เพื่อความปลอดภัยของมารน้อย เขาจึงต้องเก็บเรื่องนี้เอาไว้ต่อไป“เฮอะ” เทพปฐพีแสยะยิ้ม “ก็แค่ด่านเคราะห์ เจ้าจะมายึดถือเช่นนั้นได้อย่างไร” เขาถามออกไปแต่ในใจเริ่มคิดแล้วว่าถ้าเขาได้ตัวภรรยากลับไปแล้วเรื่องราวสงครามของจอมมา
สายใยระหว่างแม่ลูกที่ถักทอในแก่นวิญญาณมารน้อยทำให้เขารู้ว่าเวลานี้นางหายไปอยู่ในที่แสนไกล ถึงอย่างนั้นก็ยังคงหวังลึก ๆ และนั่งรอมารดาอยู่ที่เดิมทว่า ผ่านไปวันแล้ววันเล่า ในใจของอีนั่วเศร้าหมองและคิดถึงนางยิ่งนักจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ไม่เกรงกลัวว่าจะมีอันตรายใด ๆ เกิดขึ้นกับตัวเองพลันใช้พลังมารหายตัวเข้าสู่แดนสวรรค์ในพริบตาอีนั่วรีบพุ่งไปที่ตำหนักเทพดาราในทันที ไม่ข้องแวะที่ใดเพราะห่วงว่าจะมีใครสังเกตเห็นตัวตนมารปีศาจ คอยแอบอยู่ในมุมมืด พรางตัวราวกับเป็นอากาศ แล้วกวาดสายตามองหามารดา“ท่านแม่...” เขาเผลอเรียกออกไปแบบนั้นอย่างเคยแต่หยุดชะงักไปเพราะรู้สึกได้ว่าหญิงสาวตรงหน้ามีอะไรแปลกไปจากเดิม นางกำลังหัวเราะและยิ้มให้คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ โดยไม่รู้สึกตัวเลยว่าเลือดเนื้อเชื้อไขตัวน้อย ๆ รอนางเพียงลำพัง
วันหนึ่งในฤดูฝนเสียงฟ้าร้องคำรามก้องไปทั่วบริเวณเป็นเวลาเกือบสองชั่วยาม พื้นดินรอบบ้านเปียกแฉะกลายเป็นโคลนและมีแอ่งน้ำเล็ก ๆ เกิดขึ้นหลายแห่งทุ่งดอกไม้สีเหลืองพัดไหวตามสายฝนลมพัดในเวลานั้นราวกับเริงระบำแม้อู๋เยว่ชิงจะถูกพลังของอีนั่วปกปิดเรื่องบางอย่างเอาไว้ แต่นางที่เป็นถึงเทพดาราย่อมเฉลียวใจได้ในบางครั้งว่าทุกสิ่งมันแปลกเกินไป อายุที่เพิ่มมากขึ้นในทุกวัน ไม่มีมนุษย์ผู้ใดหรอกจะอายุยืนร้อยปีแต่เนื้อหนังร่างกายและใบหน้ายังคงเหมือนวันวานไม่เปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะอีนั่ว ร้อยปีผ่านมาแล้วเขายังคงเหมือนเด็กอายุเจ็ดขวบไม่มีผิดสายตาที่ล่องลอยราวกับจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทำให้บุตรชายสังเกตได้ในพริบตา เขาเอียงคอเล็กน้อยก่อนที่พลังมารจาง ๆ ค่อย ๆ เคลื่อนผ่านไปหาอู๋เยว่ชิง
นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมากงจื่อเย่ออกเดินทางตามหาร่องรอยของอู๋เยว่ชิงทุกหนแห่ง ยามคิดถึงหรือเหนื่อยล้าหัวใจมักจะหยิบถุงหอมและปิ่นปักผมที่เคยมอบให้นางมาดูเขาเริ่มฟื้นฟูตำหนักจันทราให้เป็นเหมือนเดิมแล้วใช้เป็นสถานที่พักผ่อนยามค่ำคืน กลิ่นอายเก่า ๆ หวนกลับมาทุกครั้งจนเขานึกอยากย้อนวันเวลากลับไป“เจ้าอยู่ที่ใดหรือเยว่ชิง” จอมมารกวาดสายตามองไปรอบตำหนักที่เวลานี้เริ่มมีต้นไม้ดอกไม้ผลิบานตามฤดู “ดอกไม้งดงามปานนี้แล้ว เจ้าไม่อยากเห็นหรือ”คำถามของเขาไม่มีเสียงตอบกลับมา ความว่างเปล่าเกาะกุมหัวใจจนทรมานในเมื่อตามหาทุกหนทุกแห่งแล้วยังไม่พบเจอ คงจะเหลือเพียงสถานที่สุดท้าย หากเสี้ยววิญญาณของนางยังคงอยู่ บางทีนางอาจจะยังอยู่ที่แห่งนั้น
นับตั้งแต่นั้นมากงจื่อเย่จึงไม่ออกไปที่ไหนอีกติดอยู่ในภพมารเพื่อกระทำบางอย่างด้วยความตั้งใจจนไม่รู้ตัวว่าเวลาล่วงเลยไปมากเท่าใดแล้วเมื่อผู้ปกครองละเว้นหน้าที่ ความวุ่นวายในภพมารจึงเริ่มบังเกิดทีละส่วน หากแต่ลูกน้องทั้งสามยังคงใช้อำนาจของเขาคอยจัดการได้อยู่แม้จะแลกมาด้วยความเหนื่อยเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวก็ตามครั้งนี้เช่นเดียวกัน ไอมารปีศาจชั่วร้ายก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง เดิมทีกงจื่อเย่จะคอยดูดซับพลังพวกนั้นมาเป็นอาหารของตนเองแต่เวลานี้สิ่งที่เขาให้ความสนใจอยู่เหนือสิ่งอื่นใด พวกปีศาจและสัตว์อสูรจึงได้ทีฉกฉวยมันมาเป็นของตัวเองจึงทำให้มีพละกำลังที่เพิ่มมากขึ้นแต่บางขณะ ไอมารปีศาจที่แข็งแกร่งย่อมปกป้องตัวเองให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของพวกเดียวกันและเป็นฝ่ายกัดกินมารปีศาจพวกนั้นแทนที่จนสามารถหล่อหลอมรูปลักษณ์สร้างตัวตนขึ้นมาได้&n
กาลเวลาผันผ่านจากหนึ่งเดือนเป็นหนึ่งปีเหมันตฤดูเวียนมาบรรจบกันอีกครั้ง กงจื่อเย่ยังคงเป็นดังเช่นวันวาน นัยน์ตาสีม่วงแดงของจอมมารเหม่อมองสรรพสิ่งรอบตัวถวิลหาคนที่จากไปอย่างไร้ร่องรอยแม้พยายามลบเลือนนางออกไปจากใจแต่สุดท้ายกลับทำไม่ได้อย่างที่คิดจึงได้รู้ซึ้งความทรมานที่ฝังลึกถึงแก่นวิญญาณ โหยหาอยากพบเจอนางอีกครั้งทั้ง ๆ ที่รู้ว่าการกลับมาพบกันในครานี้นางมีหน้าที่ต้องสังหารมารปีศาจอย่างเขาขณะปล่อยความทรงจำโลดแล่นราวกับยินดีติดอยู่ในอดีตของช่วงเวลาที่เขาไม่เคยรู้เลยว่าคือความสุขหนึ่งเดียว“เสด็จพี่ เทศกาลชมจันทร์ค่ำคืนนี้ เราสองคนออกไปนอกวังได้หรือไม่เพคะ”เสียงคุ้นเคยดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบกงจื่อเย่หันไปมองทางด้านหลังแต่กลับไม่พบเจอใครเพราะที่แห่งนั้นมีเพียง