แต่เดิมเขาก็รำคาญว่าที่คู่หมั้นอยู่แล้ว ทั้งบอบบาง อ่อนแอและน่าเบื่อ แต่ทำไมนานวันเข้าถึงเริ่มขาดนางไม่ได้ “จะมากเกินไปแล้ว! ข้าอุตส่าห์ไปง้อถึงจวนแต่นางกลับหลบหน้าข้า อันลี่ซินเจ้าช่างน่าโมโหนัก!" “น่าเสียดายที่นางจะได้แต่งงานกับคนเช่นข้าซึ่งมิได้ชื่นชมบุปผาเท่าใดนัก ดูท่าครานี้อันลี่ซินคงจะเป็นเพียงดอกเหมยที่อยู่ในแจกันทองเท่านั้น จะคาดหวังให้ข้าหมั่นรดน้ำเพื่อให้บุปผางดงามตลอดเวลาหาได้ไม่” นิยายเรื่องนี้เป็นแนวรัก โรแมนติกมีดราม่าเพียงเล็กน้อย พระเอกเย่อหยิ่งดุจพยัคฆ์ คอหักเยี่ยงหมาในตอนท้าย นางเอกของเรายอมตอนแรก ๆ แต่เมื่อหมดความอดทนก็ทำให้เสือกลายเป็นหมาทันที เรื่องนี้ไม่ได้มีปมซับซ้อนมากมาย เน้นความสัมพันธ์ของตัวละครเป็นหลัก หวังว่าจะถูกในนักอ่านทุกคนนะคะ
View More“อะไรนะเพคะ เรื่องนั้น…”“ข้าเข้าเฝ้าเสด็จพ่อหลังจากที่งานเลี้ยงเลิกแล้ว ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะมิได้เกี่ยวข้องกับท่านราชครู แม้แต่ฮองเฮาเองก็มิได้ทรงทราบข้าจึงมั่นใจว่าเรื่องนี้คงเกิดจากความคิดของเสด็จพ่อข้าแต่เพียงพระองค์เดียว”“เช่นนั้น…”“ลี่ซิน เจ้ามิได้พอใจกับงานหมั้นหมายนี้หรือ”“เรื่องนั้น เหตุใดพระองค์จึงได้ตรัสถามเพคะ”“ข้าแค่อยากถามความคิดเห็นของเจ้า ราชโองการแม้นมิอาจขัดแต่ข้าเองก็มิได้อยากจะฝืนใจ หากเจ้ามิได้ยินยอมข้าก็จะไม่บังคับเจ้า”“เรื่องนี้ถึงจะกะทันหัน แต่หม่อมฉันมิได้ขัดข้องเพคะ”สีหน้าที่แดงเลือดฝาดของนางทำเอาเขาลอบยิ้มออกมาได้ แม้นว่าในความทรงจำของเขาตอนที่นางยังเยาว์ก็งดงามและเรียบร้อยเช่นนี้อยู่แล้ว คิดไม่ถึงว่าล่วงเลยผ่านกาลเวลาไปไม่ถึงห้าปี นางจะเติบโตขึ้นมางดงามเพียบพร้อมเช่นนี้“ลี่ซินข้าเองต้องยอมรับว่าค่อนข้างตกใจเล็กน้อยที่เสด็จพ่อประทานงานหมั้นระหว่างพวกเรา แต่ข้ารับปากว่าจะให้เกียรติเจ้าในฐานะคู่หมั้นอย่างเต็มที่ จะไม่ทำผิดต่อเจ้าที่ข้ามาที่นี่ก็เพื่อพูดเรื่องนี้”ลี่ซินเอาแต่ก้มหน้าและลอบมองท่านอ๋องเป็นพัก ๆ แม้นว่าจะดูน่าเบื่อไปสักหน่อย แต่สำหรับเว่ย
ลี่ซินเดินจากไปโดยมิได้หันมามองทั้งคู่อีก แม้ว่าจะให้เกียรติเขาและเอ่ยลาอย่างสุภาพแต่ในหัวใจกลับสั่นไหวและกลัว หากว่าครั้งนี้มิใช่ราชโองการท่านอ๋องอาจจะขอยกเลิกการหมั้นหมาย แต่ที่เขาเรียกนางมาจะใช่เรื่องนี้หรือเปล่าก็ยังมิรู้แน่ ลี่ซินกลัวว่าเขาจะเอ่ยปากขอยกเลิก โชคดีที่เฟิ่งถงหลินมาขัดจังหวะเสียก่อนแต่คำที่ท่านอ๋องบอกกับเฟิ่งถงหลินไปนั้น“ข้าขอไปส่ง “ว่าที่คู่หมั้น” ของข้าก่อน”คำนี้ทำให้นางรู้สึกวาบหวามในใจไม่น้อย นางถูกสั่งสอนมาว่าต้องให้เกียรติผู้อื่น รักษากิริยามารยาทของสตรีที่ดี ต่อให้ถูกเหยียดหยามก็อย่าได้ละเลยมารยาทที่ควรจะเป็น เมื่อเดินออกมาจากสวนก็พบกับอวี้อ๋อง “อวี้ตงหลาน” ที่พึ่งเดินออกมาจากโถงงานเลี้ยงเช่นกัน“ถวายบังคมอวี้อ๋องเพคะ”“เจ้า…”“หม่อมฉันอันลี่ซินเพคะ”“ที่แท้ก็เจ้านี่เอง ว่าที่น้องสะใภ้ของข้างั้นหรือน่าเสียดายที่ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยพบเห็นเจ้ามาก่อนมิเช่นนั้น…”“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”องครักษ์ของอวี้อ๋องเอ่ยทักขึ้นเมื่ออวี้อ๋องที่กำลังกวาดสายตามองนางอย่างพินิจ ลี่ซินรู้สึกไม่ชอบสายตาของเขาเลยแต่ก็สุดจะพูดสิ่งอันใดได้“หม่อมฉันขอตัวก่อนเพคะ”“เดี๋ยวสิจะรีบไปไหนงั้น
อันลี่ซินหันไปมององค์ชายรองในทันที ซึ่งตอนนี้เขามิได้พูดหรือแสดงสีพักตร์อื่น ๆ เพียงแค่มองจอกชาของตนเองเท่านั้น และแม้ว่าอันลี่ซินจะตกใจแต่ก็ไม่เท่ากับสิ่งที่นางได้ยินที่ศาลาพวกเขาคุยกันไม่กี่ประโยคก็เดินออกมาซึ่งนางก็ไม่ได้มั่นใจนักแต่ดูจากสีหน้าและรอยยิ้มของ “เฟิ่งถงหลิน” ก็ต้องบอกได้ว่านางยินดีที่จะหมั้นหมายกับองค์ชายใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย“เป็นไปได้เช่นไร เช่นนี้ก็เท่ากับว่าองค์ชายใหญ่มีสิทธิ์ในตำแหน่งรัชทายาทน่ะสิ”“เงียบก่อนเถอะ”เกิดเสียงฮือฮาขึ้นในห้องโถง เสียงวิจารณ์ต่าง ๆ นานาที่เริ่มดังขึ้น หากบุตรีท่านแม่ทัพหลวงสมรสกับอวี้อ๋อง นั่นไม่เท่ากับว่าองค์ชายใหญ่เข้าใกล้ตำแหน่งรัชทายาทไปเกินครึ่งงั้นหรือ ทั้ง ๆ ที่ผลงานในครั้งนี้กองทัพบูรพานั้นได้ดินแดนมากกว่ากองทัพของอวี้อ๋องถึงสามส่วน“พระราชโองการฉบับที่สอง องค์ชายรองเว่ยซ่างเจวี๋ยรับราชโองการ”“เว่ยซ่างเจวี๋ย” ลุกจากที่นั่งและเดินเข้ามา“องค์ชายรองเว่ยซ่างเจวี๋ย แห่งดินแดนบูรพาสร้างความดีความชอบที่ยิ่งใหญ่กับแผ่นดิน สามารถรวบรวมดินแดนเหนือและตะวันออกได้โดยใช้ไพร่พลน้อยถือว่าสร้างความชอบใหญ่หลวง ในนามโอรสสวรรค์ขอเลื่อนยศให้เป็น
งานเลี้ยงในวังหลวง“คุณหนูถึงแล้วเจ้าค่ะ”“ข้ารู้แล้ว ท่านพ่อท่านแม่เข้าไปหรือยัง”“นายท่านและฮูหยินรอคุณหนูอยู่เจ้าค่ะ”สตรีในชุดสีม่วงอ่อนประดับไหมสีทองถักทอบนผ้าไหมแก้วสุดหรูค่อย ๆ เดินออกจากรถม้าของจวนราชครู เพื่อร่วมงานฉลองกองทัพขององค์ชายทั้งสองพระองค์ที่พึ่งชนะศึกมาได้ร่วมสองเดือน บัดนี้สองกองทัพขององค์ชายทั้งสองก็เดินทางจนถึงเมืองหลวงแล้ว“คุณหนูวันนี้ท่านงดงามยิ่งนักเจ้าค่ะ”“ขอบใจมากอาหรู นั่น….”“คุณหนูเจ้าคะรถม้าตำหนักองค์ชายรองเจ้าค่ะ”“อันลี่ซิน” ใช้มือกุมหัวใจเอาไว้แน่นเพียงแค่ได้เห็นตราประดับยศและตำแหน่งหน้ารถม้าที่ค่อย ๆ เคลื่อนเขามายังลานจอด นางที่พึ่งเดินลงมารู้สึกราวกับทุกสิ่งรอบกายหยุดหมุนเมื่อบุรุษหนุ่มรูปร่างกำยำสวมฉลองพระองค์สีเข้มพิมพ์ดิ้นทองทั้งชุดเดินลงมา แม้ใบหน้าจะดูบึ้งตึงเย็นชาราวกับฉาบไปด้วยก้อนน้ำแข็งแต่ก็ทำให้หัวใจของสตรีเช่นอันลี่ซินเต้นผิดจังหวะ เพียงแค่สบเนตรที่หันมามองนาง“อันลี่ซินถวายบังคมองค์ชายรองเพคะ”“อันลี่ซิน ไม่ได้พบกันนานเจ้าเติบโตถึงเพียงนี้แล้วหรือนี่”“มิกล้าเพคะ ยินดีกับองค์ชายที่ชนะศึกเมืองไป่เจียงด้วยเพคะ”“ขอบใจนะเจ้าจะเดินเข้าไป
งานเลี้ยงในวังหลวง“คุณหนูถึงแล้วเจ้าค่ะ”“ข้ารู้แล้ว ท่านพ่อท่านแม่เข้าไปหรือยัง”“นายท่านและฮูหยินรอคุณหนูอยู่เจ้าค่ะ”สตรีในชุดสีม่วงอ่อนประดับไหมสีทองถักทอบนผ้าไหมแก้วสุดหรูค่อย ๆ เดินออกจากรถม้าของจวนราชครู เพื่อร่วมงานฉลองกองทัพขององค์ชายทั้งสองพระองค์ที่พึ่งชนะศึกมาได้ร่วมสองเดือน บัดนี้สองกองทัพขององค์ชายทั้งสองก็เดินทางจนถึงเมืองหลวงแล้ว“คุณหนูวันนี้ท่านงดงามยิ่งนักเจ้าค่ะ”“ขอบใจมากอาหรู นั่น….”“คุณหนูเจ้าคะรถม้าตำหนักองค์ชายรองเจ้าค่ะ”“อันลี่ซิน” ใช้มือกุมหัวใจเอาไว้แน่นเพียงแค่ได้เห็นตราประดับยศและตำแหน่งหน้ารถม้าที่ค่อย ๆ เคลื่อนเขามายังลานจอด นางที่พึ่งเดินลงมารู้สึกราวกับทุกสิ่งรอบกายหยุดหมุนเมื่อบุรุษหนุ่มรูปร่างกำยำสวมฉลองพระองค์สีเข้มพิมพ์ดิ้นทองทั้งชุดเดินลงมา แม้ใบหน้าจะดูบึ้งตึงเย็นชาราวกับฉาบไปด้วยก้อนน้ำแข็งแต่ก็ทำให้หัวใจของสตรีเช่นอันลี่ซินเต้นผิดจังหวะ เพียงแค่สบเนตรที่หันมามองนาง“อันลี่ซินถวายบังคมองค์ชายรองเพคะ”“อันลี่ซิน ไม่ได้พบกันนานเจ้าเติบโตถึงเพียงนี้แล้วหรือนี่”“มิกล้าเพคะ ยินดีกับองค์ชายที่ชนะศึกเมืองไป่เจียงด้วยเพคะ”“ขอบใจนะเจ้าจะเดินเข้าไป...
Comments