“อะไรนะเพคะ เรื่องนั้น…”
“ข้าเข้าเฝ้าเสด็จพ่อหลังจากที่งานเลี้ยงเลิกแล้ว ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะมิได้เกี่ยวข้องกับท่านราชครู แม้แต่ฮองเฮาเองก็มิได้ทรงทราบข้าจึงมั่นใจว่าเรื่องนี้คงเกิดจากความคิดของเสด็จพ่อข้าแต่เพียงพระองค์เดียว”
“เช่นนั้น…”
“ลี่ซิน เจ้ามิได้พอใจกับงานหมั้นหมายนี้หรือ”
“เรื่องนั้น เหตุใดพระองค์จึงได้ตรัสถามเพคะ”
“ข้าแค่อยากถามความคิดเห็นของเจ้า ราชโองการแม้นมิอาจขัดแต่ข้าเองก็มิได้อยากจะฝืนใจ หากเจ้ามิได้ยินยอมข้าก็จะไม่บังคับเจ้า”
“เรื่องนี้ถึงจะกะทันหัน แต่หม่อมฉันมิได้ขัดข้องเพคะ”
สีหน้าที่แดงเลือดฝาดของนางทำเอาเขาลอบยิ้มออกมาได้ แม้นว่าในความทรงจำของเขาตอนที่นางยังเยาว์ก็งดงามและเรียบร้อยเช่นนี้อยู่แล้ว คิดไม่ถึงว่าล่วงเลยผ่านกาลเวลาไปไม่ถึงห้าปี นางจะเติบโตขึ้นมางดงามเพียบพร้อมเช่นนี้
“ลี่ซินข้าเองต้องยอมรับว่าค่อนข้างตกใจเล็กน้อยที่เสด็จพ่อประทานงานหมั้นระหว่างพวกเรา แต่ข้ารับปากว่าจะให้เกียรติเจ้าในฐานะคู่หมั้นอย่างเต็มที่ จะไม่ทำผิดต่อเจ้าที่ข้ามาที่นี่ก็เพื่อพูดเรื่องนี้”
ลี่ซินเอาแต่ก้มหน้าและลอบมองท่านอ๋องเป็นพัก ๆ แม้นว่าจะดูน่าเบื่อไปสักหน่อย แต่สำหรับเว่ยอ๋องแล้วคิดว่านางน่ารำคาญน้อยที่สุดในบรรดาสตรีที่เขาเคยรู้จักมา
เขาอยู่คุยอยู่พักใหญ่จึงได้รู้ว่าอันลี่ซินเป็นสตรีในเรือนที่แทบจะรักษาธรรมเนียมอย่างเคร่งครัดจนน่าอึดอัด ส่วนเขาเป็นแม่ทัพที่กว่าครึ่งชีวิตอยู่แต่ในสนามรบ แม้นว่าจะดูไม่มีสิ่งใดที่เข้ากันได้เลยแต่อย่างน้อยนางก็พูดน้อยและไม่ขัดใจเขา อีกอย่างมีพระชายาเช่นลี่ซินซึ่งเป็นบุตรีขุนนางใหญ่ เรื่องการปกครองและดูและตำหนักอ๋องก็ไม่น่าห่วงอีกต่อไป
“เช่นนั้นข้ากลับดีกว่า นี่ก็จวนจะค่ำแล้วเจ้าจะได้รีบพักผ่อน”
“เพคะ”
“อ้อจริงสิลี่ซิน”
“เพคะ”
“อย่าลืมภาพวาดที่รับปากเอาไว้เล่า ข้าจะรอวันที่เจ้าวาดเสร็จและนำมามอบให้ข้าด้วยตนเอง”
ลี่ซินเงยหน้าและคลี่ยิ้มบาง ๆ ให้กับเขา เป็นรอยยิ้มที่ทำให้เขาอดประทับใจมิได้ คิดไม่ถึงว่าเวลาที่อันลี่ซินยิ้มแล้วจะทำให้หัวใจของเขาเบิกบานได้ถึงเพียงนี้
“ในที่สุดเจ้าก็กล้าสบตากับข้าตรง ๆ ได้เสียที”
“หม่อมฉันเสียมารยาทแล้วเพคะ โปรดทรงอภัย”
“เหตุใดเจ้าต้องเคร่งครัดเรื่องมารยาทถึงเพียงนี้ ข้ามิใช่คนประเภทก้าวถวายเคารพสามก้าวโค้งขอบคุณ เจ้าไม่ต้องทำราวกับเราเป็นคนอื่นกันก็ได้นี่ น้องลี่ซิน”
อันลี่ซินยังคงก้มหน้าเพื่อหลบสายตาเขาก่อนที่ท่านอ๋องจะหยุดพูดหยอกนางเพราะเพียงเท่านี้ก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาก ท่านอ๋องขึ้นรถม้ากลับแล้วลี่ซินจึงเดินกลับเข้าไปด้านใน
บนรถม้า
“ท่านอ๋อง”
“พรุ่งนี้ให้คนเลือกหมึกและอุปกรณ์วาดภาพส่งมาให้ที่จวนราชครูสักสิบชุด อ้อ เอากระดาษและน้ำหมึกอย่างดีส่งมาพร้อมกันด้วย”
“ไม่คิดว่าพระองค์จะเอาใจว่าที่คู่หมั้นเช่นนี้นะพ่ะย่ะค่ะ”
“หึ เดิมทีคิดว่าแต่งงานกับบุตรสาวแม่ทัพใหญ่ก็ไม่เลวเท่าไหร่ แต่ดูท่าทางของเฟิ่งถงหลินคงจะมากเล่ห์เหลี่ยมไม่น้อย อีกอย่างนางพูดมากเกินไป เรียกร้องมากเกินไปไม่เหมาะกับข้า”
“แล้วคุณหนูอัน…”
“นางเป็นคนนิ่ง สุขุมราวกับน้ำที่เรียบเย็นและสงบ ไม่พูดมากไม่เถียงและไม่ชอบออกนอกจวน อีกอย่างนางก็เป็นถึงบุตรีของท่านราชครู เสด็จพ่อคงไตร่ตรองมาถี่ถ้วนแล้วจึงได้ตัดสินพระทัยเช่นนี้”
“แต่เห็นว่าเมื่อวานนี้ตอนก่อนออกจากวัง อวี้อ๋องได้พบกับคุณหนูอันและยังมีท่าทีว่าจะสนพระทัยนางและยังได้พูดคุยกับคุณหนูอันด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“งั้นหรือ รู้หรือไม่ว่าคุยสิ่งใดกัน”
“เห็นบอกว่าคุยกันตามปกติแม้ว่าคุณหนูอันจะมิได้อยากสนทนาด้วยอวี้อ๋อง แต่ดูเหมือนว่าอวี้อ๋องจะสนพระทัยนางอยู่ไม่น้อยนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ก็ไม่แปลก หากจะว่าไปแล้วพี่ใหญ่ที่เฝ้ากองทัพอยู่ทางใต้และร่ำเรียนศาสตราวุธกับอาจารย์อี่ถัง ไม่เคยร่ำเรียนกับราชครูอันย่อมไม่เคยพบอันลี่ซินอยู่แล้ว หากมาพบเข้าในตอนนี้แน่นอนว่าต้องสะดุดตานางเป็นแน่”
“ท่านอ๋องกำลังชื่นชมคุณหนูอันว่างดงามกว่าคุณหนูเฟิ่งหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ความงามของสตรีไม่ต่างกับบุปผา น่าเสียดายที่นางจะได้แต่งงานกับคนเช่นข้าซึ่งมิได้ชื่นชมบุปผาเท่าใดนัก บุปผางามควรอยู่กับต้น แต่ดูท่าครานี้อันลี่ซินคงจะเป็นเพียงดอกเหมยที่อยู่ในแจกันทองเท่านั้น แม้จะดูมีค่าแต่นางอาจจะคาดหวังว่าจะให้ข้าหมั่นรดน้ำเพื่อให้งามตลอดเวลาหาได้ไม่”
“ท่านอ๋อง… พระองค์มิได้ชอบพอนางหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ชีวิตของข้าเติบโตมาพร้อมสงครามและดาบ แม้ว่าก่อนหน้านี้ ตอนนี้หรือวันข้างหน้าสิ่งที่ข้าให้ความสำคัญที่สุดก็คือแผ่นดินและราษฎร เจ้าอย่าลืมสิว่าเสด็จพี่ที่รักของข้ารักข้าจนอยากจะ "ฆ่า" ข้ามากเพียงใด"
“กระหม่อมคิดว่าอวี้อ๋องเพียงแค่อยากจะแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทกับพระองค์ ไม่คิดว่าจะรวมถึงสตรีด้วย”
“แม้นว่าเสด็จพ่อจะเลือกบุตรสาวแม่ทัพเฟิ่งให้เขา ในตอนแรกพี่ใหญ่ก็รู้สึกราวกับว่าเป็นผู้ชนะอยู่ก็จริง แต่เมื่ออันลี่ซินปรากฏตัวเขาก็เปลี่ยนท่าทีไปสนใจนางทันที”
“หรือว่า… อวี้อ๋องจะ…”
“แม้ว่าลูกสาวแม่ทัพใหญ่จะดูได้เปรียบในด้านของกำลังพล แต่การแต่งงานกับบุตรีท่านราชครูที่เป็นขุนนางคู่พระทัย อีกทั้งยังมีอิทธิพลต่อขุนนางทั้งสองฝ่าย เจ้าว่าเรื่องนี้เสด็จพ่อมิได้ซ่อนกลเอาไว้ก่อนเช่นนั้นหรือ”
“หรือว่า…”
“ข้าจึงต้องรีบมาที่นี่เพื่อทำให้แน่ใจว่าอันลี่ซินจะไม่เปลี่ยนใจเรื่องการหมั้นหมาย"
“แล้วคุณหนูเฟิ่ง”
“เมื่อวานนี้ข้าแค่ลองหยั่งเชิงดู แม้นางเองก็มีใจเอนเอียงแต่เมื่อทราบว่าจะได้หมั้นหมายกับองค์ชายใหญ่ สีหน้าของนางก็ดูยินดีมากกว่าตอนที่ข้าถามนางเรื่องหมั้นหมาย นั่นแสดงว่าเฟิ่งถงหลินผู้นี้แต่งงานกับผู้ใดก็ได้ที่ทำให้นางได้ตำแหน่งบัลลังก์หงส์นั่น”
“คิดว่าจะมีเพียงบุรุษที่แย่งชิงอำนาจเสียอีก”
“ต้าอู๋เจ้าคิดผิดแล้ว เรื่องการแย่งชิงอำนาจน่ะสตรีน่ากลัวกว่าผู้ชายอย่างเรามากนัก”
“เช่นนั้นแล้วคุณหนูอันเล่าพ่ะย่ะค่ะ”
เว่ยซ่างเจวี๋ยนึกถึงรอยยิ้มที่อ่อนโยนและจริงใจของอันลี่ซินก่อนจะนิ่งไปและยิ้มออกมานิด ๆ รอยยิ้มนั้นคงตราตรึงใจเขาไปอีกนานแสนนาน ทั้งใบหน้าที่เอียงอายและรอยยิ้มที่งดงามนั้นยากที่จะลืมได้จริง ๆ
“นางมิใช่คนที่จะใฝ่ฝันถึงอำนาจ ข้าคิดว่านางเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองมีสิทธิ์ที่จะได้ขึ้นเป็น… สตรีที่สูงสุดในแผ่นดิน สกุลอันสั่งสอนบุตรให้มีความอ่อนน้อมถ่อมตน เรียนรู้วิชาปราชญ์และศาสตร์ทั้งสี่ อาจจะฟังน่าเบื่อแต่นางคือตัวอย่างของสตรีที่เหมาะสมจะเป็นยอดภรรยามากกว่าผู้อื่น”
“เช่นนั้นท่านอ๋อง…”
"ต่อให้ข้าต้องเสแสร้งว่าจะต้องเป็นสามีที่รักภรรยามากแค่ไหนก็ต้องทำ แต่ดูแล้วอาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายแล้วเพราะพี่ใหญ่ของข้าคงมิยอมให้ข้าได้อยู่อย่างสงบสุขเป็นแน่”
งานเลี้ยงในวังหลวง“คุณหนูถึงแล้วเจ้าค่ะ”“ข้ารู้แล้ว ท่านพ่อท่านแม่เข้าไปหรือยัง”“นายท่านและฮูหยินรอคุณหนูอยู่เจ้าค่ะ”สตรีในชุดสีม่วงอ่อนประดับไหมสีทองถักทอบนผ้าไหมแก้วสุดหรูค่อย ๆ เดินออกจากรถม้าของจวนราชครู เพื่อร่วมงานฉลองกองทัพขององค์ชายทั้งสองพระองค์ที่พึ่งชนะศึกมาได้ร่วมสองเดือน บัดนี้สองกองทัพขององค์ชายทั้งสองก็เดินทางจนถึงเมืองหลวงแล้ว“คุณหนูวันนี้ท่านงดงามยิ่งนักเจ้าค่ะ”“ขอบใจมากอาหรู นั่น….”“คุณหนูเจ้าคะรถม้าตำหนักองค์ชายรองเจ้าค่ะ”“อันลี่ซิน” ใช้มือกุมหัวใจเอาไว้แน่นเพียงแค่ได้เห็นตราประดับยศและตำแหน่งหน้ารถม้าที่ค่อย ๆ เคลื่อนเขามายังลานจอด นางที่พึ่งเดินลงมารู้สึกราวกับทุกสิ่งรอบกายหยุดหมุนเมื่อบุรุษหนุ่มรูปร่างกำยำสวมฉลองพระองค์สีเข้มพิมพ์ดิ้นทองทั้งชุดเดินลงมา แม้ใบหน้าจะดูบึ้งตึงเย็นชาราวกับฉาบไปด้วยก้อนน้ำแข็งแต่ก็ทำให้หัวใจของสตรีเช่นอันลี่ซินเต้นผิดจังหวะ เพียงแค่สบเนตรที่หันมามองนาง“อันลี่ซินถวายบังคมองค์ชายรองเพคะ”“อันลี่ซิน ไม่ได้พบกันนานเจ้าเติบโตถึงเพียงนี้แล้วหรือนี่”“มิกล้าเพคะ ยินดีกับองค์ชายที่ชนะศึกเมืองไป่เจียงด้วยเพคะ”“ขอบใจนะเจ้าจะเดินเข้าไป
อันลี่ซินหันไปมององค์ชายรองในทันที ซึ่งตอนนี้เขามิได้พูดหรือแสดงสีพักตร์อื่น ๆ เพียงแค่มองจอกชาของตนเองเท่านั้น และแม้ว่าอันลี่ซินจะตกใจแต่ก็ไม่เท่ากับสิ่งที่นางได้ยินที่ศาลาพวกเขาคุยกันไม่กี่ประโยคก็เดินออกมาซึ่งนางก็ไม่ได้มั่นใจนักแต่ดูจากสีหน้าและรอยยิ้มของ “เฟิ่งถงหลิน” ก็ต้องบอกได้ว่านางยินดีที่จะหมั้นหมายกับองค์ชายใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย“เป็นไปได้เช่นไร เช่นนี้ก็เท่ากับว่าองค์ชายใหญ่มีสิทธิ์ในตำแหน่งรัชทายาทน่ะสิ”“เงียบก่อนเถอะ”เกิดเสียงฮือฮาขึ้นในห้องโถง เสียงวิจารณ์ต่าง ๆ นานาที่เริ่มดังขึ้น หากบุตรีท่านแม่ทัพหลวงสมรสกับอวี้อ๋อง นั่นไม่เท่ากับว่าองค์ชายใหญ่เข้าใกล้ตำแหน่งรัชทายาทไปเกินครึ่งงั้นหรือ ทั้ง ๆ ที่ผลงานในครั้งนี้กองทัพบูรพานั้นได้ดินแดนมากกว่ากองทัพของอวี้อ๋องถึงสามส่วน“พระราชโองการฉบับที่สอง องค์ชายรองเว่ยซ่างเจวี๋ยรับราชโองการ”“เว่ยซ่างเจวี๋ย” ลุกจากที่นั่งและเดินเข้ามา“องค์ชายรองเว่ยซ่างเจวี๋ย แห่งดินแดนบูรพาสร้างความดีความชอบที่ยิ่งใหญ่กับแผ่นดิน สามารถรวบรวมดินแดนเหนือและตะวันออกได้โดยใช้ไพร่พลน้อยถือว่าสร้างความชอบใหญ่หลวง ในนามโอรสสวรรค์ขอเลื่อนยศให้เป็น
ลี่ซินเดินจากไปโดยมิได้หันมามองทั้งคู่อีก แม้ว่าจะให้เกียรติเขาและเอ่ยลาอย่างสุภาพแต่ในหัวใจกลับสั่นไหวและกลัว หากว่าครั้งนี้มิใช่ราชโองการท่านอ๋องอาจจะขอยกเลิกการหมั้นหมาย แต่ที่เขาเรียกนางมาจะใช่เรื่องนี้หรือเปล่าก็ยังมิรู้แน่ ลี่ซินกลัวว่าเขาจะเอ่ยปากขอยกเลิก โชคดีที่เฟิ่งถงหลินมาขัดจังหวะเสียก่อนแต่คำที่ท่านอ๋องบอกกับเฟิ่งถงหลินไปนั้น“ข้าขอไปส่ง “ว่าที่คู่หมั้น” ของข้าก่อน”คำนี้ทำให้นางรู้สึกวาบหวามในใจไม่น้อย นางถูกสั่งสอนมาว่าต้องให้เกียรติผู้อื่น รักษากิริยามารยาทของสตรีที่ดี ต่อให้ถูกเหยียดหยามก็อย่าได้ละเลยมารยาทที่ควรจะเป็น เมื่อเดินออกมาจากสวนก็พบกับอวี้อ๋อง “อวี้ตงหลาน” ที่พึ่งเดินออกมาจากโถงงานเลี้ยงเช่นกัน“ถวายบังคมอวี้อ๋องเพคะ”“เจ้า…”“หม่อมฉันอันลี่ซินเพคะ”“ที่แท้ก็เจ้านี่เอง ว่าที่น้องสะใภ้ของข้างั้นหรือน่าเสียดายที่ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยพบเห็นเจ้ามาก่อนมิเช่นนั้น…”“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”องครักษ์ของอวี้อ๋องเอ่ยทักขึ้นเมื่ออวี้อ๋องที่กำลังกวาดสายตามองนางอย่างพินิจ ลี่ซินรู้สึกไม่ชอบสายตาของเขาเลยแต่ก็สุดจะพูดสิ่งอันใดได้“หม่อมฉันขอตัวก่อนเพคะ”“เดี๋ยวสิจะรีบไปไหนงั้น
“อะไรนะเพคะ เรื่องนั้น…”“ข้าเข้าเฝ้าเสด็จพ่อหลังจากที่งานเลี้ยงเลิกแล้ว ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะมิได้เกี่ยวข้องกับท่านราชครู แม้แต่ฮองเฮาเองก็มิได้ทรงทราบข้าจึงมั่นใจว่าเรื่องนี้คงเกิดจากความคิดของเสด็จพ่อข้าแต่เพียงพระองค์เดียว”“เช่นนั้น…”“ลี่ซิน เจ้ามิได้พอใจกับงานหมั้นหมายนี้หรือ”“เรื่องนั้น เหตุใดพระองค์จึงได้ตรัสถามเพคะ”“ข้าแค่อยากถามความคิดเห็นของเจ้า ราชโองการแม้นมิอาจขัดแต่ข้าเองก็มิได้อยากจะฝืนใจ หากเจ้ามิได้ยินยอมข้าก็จะไม่บังคับเจ้า”“เรื่องนี้ถึงจะกะทันหัน แต่หม่อมฉันมิได้ขัดข้องเพคะ”สีหน้าที่แดงเลือดฝาดของนางทำเอาเขาลอบยิ้มออกมาได้ แม้นว่าในความทรงจำของเขาตอนที่นางยังเยาว์ก็งดงามและเรียบร้อยเช่นนี้อยู่แล้ว คิดไม่ถึงว่าล่วงเลยผ่านกาลเวลาไปไม่ถึงห้าปี นางจะเติบโตขึ้นมางดงามเพียบพร้อมเช่นนี้“ลี่ซินข้าเองต้องยอมรับว่าค่อนข้างตกใจเล็กน้อยที่เสด็จพ่อประทานงานหมั้นระหว่างพวกเรา แต่ข้ารับปากว่าจะให้เกียรติเจ้าในฐานะคู่หมั้นอย่างเต็มที่ จะไม่ทำผิดต่อเจ้าที่ข้ามาที่นี่ก็เพื่อพูดเรื่องนี้”ลี่ซินเอาแต่ก้มหน้าและลอบมองท่านอ๋องเป็นพัก ๆ แม้นว่าจะดูน่าเบื่อไปสักหน่อย แต่สำหรับเว่ย
ลี่ซินเดินจากไปโดยมิได้หันมามองทั้งคู่อีก แม้ว่าจะให้เกียรติเขาและเอ่ยลาอย่างสุภาพแต่ในหัวใจกลับสั่นไหวและกลัว หากว่าครั้งนี้มิใช่ราชโองการท่านอ๋องอาจจะขอยกเลิกการหมั้นหมาย แต่ที่เขาเรียกนางมาจะใช่เรื่องนี้หรือเปล่าก็ยังมิรู้แน่ ลี่ซินกลัวว่าเขาจะเอ่ยปากขอยกเลิก โชคดีที่เฟิ่งถงหลินมาขัดจังหวะเสียก่อนแต่คำที่ท่านอ๋องบอกกับเฟิ่งถงหลินไปนั้น“ข้าขอไปส่ง “ว่าที่คู่หมั้น” ของข้าก่อน”คำนี้ทำให้นางรู้สึกวาบหวามในใจไม่น้อย นางถูกสั่งสอนมาว่าต้องให้เกียรติผู้อื่น รักษากิริยามารยาทของสตรีที่ดี ต่อให้ถูกเหยียดหยามก็อย่าได้ละเลยมารยาทที่ควรจะเป็น เมื่อเดินออกมาจากสวนก็พบกับอวี้อ๋อง “อวี้ตงหลาน” ที่พึ่งเดินออกมาจากโถงงานเลี้ยงเช่นกัน“ถวายบังคมอวี้อ๋องเพคะ”“เจ้า…”“หม่อมฉันอันลี่ซินเพคะ”“ที่แท้ก็เจ้านี่เอง ว่าที่น้องสะใภ้ของข้างั้นหรือน่าเสียดายที่ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยพบเห็นเจ้ามาก่อนมิเช่นนั้น…”“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”องครักษ์ของอวี้อ๋องเอ่ยทักขึ้นเมื่ออวี้อ๋องที่กำลังกวาดสายตามองนางอย่างพินิจ ลี่ซินรู้สึกไม่ชอบสายตาของเขาเลยแต่ก็สุดจะพูดสิ่งอันใดได้“หม่อมฉันขอตัวก่อนเพคะ”“เดี๋ยวสิจะรีบไปไหนงั้น
อันลี่ซินหันไปมององค์ชายรองในทันที ซึ่งตอนนี้เขามิได้พูดหรือแสดงสีพักตร์อื่น ๆ เพียงแค่มองจอกชาของตนเองเท่านั้น และแม้ว่าอันลี่ซินจะตกใจแต่ก็ไม่เท่ากับสิ่งที่นางได้ยินที่ศาลาพวกเขาคุยกันไม่กี่ประโยคก็เดินออกมาซึ่งนางก็ไม่ได้มั่นใจนักแต่ดูจากสีหน้าและรอยยิ้มของ “เฟิ่งถงหลิน” ก็ต้องบอกได้ว่านางยินดีที่จะหมั้นหมายกับองค์ชายใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย“เป็นไปได้เช่นไร เช่นนี้ก็เท่ากับว่าองค์ชายใหญ่มีสิทธิ์ในตำแหน่งรัชทายาทน่ะสิ”“เงียบก่อนเถอะ”เกิดเสียงฮือฮาขึ้นในห้องโถง เสียงวิจารณ์ต่าง ๆ นานาที่เริ่มดังขึ้น หากบุตรีท่านแม่ทัพหลวงสมรสกับอวี้อ๋อง นั่นไม่เท่ากับว่าองค์ชายใหญ่เข้าใกล้ตำแหน่งรัชทายาทไปเกินครึ่งงั้นหรือ ทั้ง ๆ ที่ผลงานในครั้งนี้กองทัพบูรพานั้นได้ดินแดนมากกว่ากองทัพของอวี้อ๋องถึงสามส่วน“พระราชโองการฉบับที่สอง องค์ชายรองเว่ยซ่างเจวี๋ยรับราชโองการ”“เว่ยซ่างเจวี๋ย” ลุกจากที่นั่งและเดินเข้ามา“องค์ชายรองเว่ยซ่างเจวี๋ย แห่งดินแดนบูรพาสร้างความดีความชอบที่ยิ่งใหญ่กับแผ่นดิน สามารถรวบรวมดินแดนเหนือและตะวันออกได้โดยใช้ไพร่พลน้อยถือว่าสร้างความชอบใหญ่หลวง ในนามโอรสสวรรค์ขอเลื่อนยศให้เป็น
งานเลี้ยงในวังหลวง“คุณหนูถึงแล้วเจ้าค่ะ”“ข้ารู้แล้ว ท่านพ่อท่านแม่เข้าไปหรือยัง”“นายท่านและฮูหยินรอคุณหนูอยู่เจ้าค่ะ”สตรีในชุดสีม่วงอ่อนประดับไหมสีทองถักทอบนผ้าไหมแก้วสุดหรูค่อย ๆ เดินออกจากรถม้าของจวนราชครู เพื่อร่วมงานฉลองกองทัพขององค์ชายทั้งสองพระองค์ที่พึ่งชนะศึกมาได้ร่วมสองเดือน บัดนี้สองกองทัพขององค์ชายทั้งสองก็เดินทางจนถึงเมืองหลวงแล้ว“คุณหนูวันนี้ท่านงดงามยิ่งนักเจ้าค่ะ”“ขอบใจมากอาหรู นั่น….”“คุณหนูเจ้าคะรถม้าตำหนักองค์ชายรองเจ้าค่ะ”“อันลี่ซิน” ใช้มือกุมหัวใจเอาไว้แน่นเพียงแค่ได้เห็นตราประดับยศและตำแหน่งหน้ารถม้าที่ค่อย ๆ เคลื่อนเขามายังลานจอด นางที่พึ่งเดินลงมารู้สึกราวกับทุกสิ่งรอบกายหยุดหมุนเมื่อบุรุษหนุ่มรูปร่างกำยำสวมฉลองพระองค์สีเข้มพิมพ์ดิ้นทองทั้งชุดเดินลงมา แม้ใบหน้าจะดูบึ้งตึงเย็นชาราวกับฉาบไปด้วยก้อนน้ำแข็งแต่ก็ทำให้หัวใจของสตรีเช่นอันลี่ซินเต้นผิดจังหวะ เพียงแค่สบเนตรที่หันมามองนาง“อันลี่ซินถวายบังคมองค์ชายรองเพคะ”“อันลี่ซิน ไม่ได้พบกันนานเจ้าเติบโตถึงเพียงนี้แล้วหรือนี่”“มิกล้าเพคะ ยินดีกับองค์ชายที่ชนะศึกเมืองไป่เจียงด้วยเพคะ”“ขอบใจนะเจ้าจะเดินเข้าไป