ซือเจ๋อเยว่ถูกบังคับให้แต่งงานกับเยียนอ๋องซื่อจื่อผู้ล่วงลับไปแล้ว แต่ไม่คาดคิดว่าคนที่มารับตัวเจ้าสาวนั้นคือบุรุษที่นางเคยได้ร่วมหลับนอนด้วยมาก่อน! ชะตาชีวิตช่างบัดซบเสียจริง! นางครุ่นคิดอยู่ว่าแต่งก็แต่งไปเถิด อย่างไรเสียเขาก็จำนางไม่ได้อยู่ดี ทว่านางคิดไม่ถึงว่าบุรุษผู้นี้คือคนที่สวรรค์ลิขิตมาเพื่อแก้ไขชะตาอายุสั้นของนาง หากกอดเขาหนึ่งครั้งจะมีชีวิตยืนยาวขึ้นหนึ่งวัน หากจุมพิตเขาหนึ่งทีจะมีชีวิตยาวขึ้นสามวัน หากร่วมเรียงเคียงหมอนกับเขาหนึ่งคืน...จะมีอายุยืนยาวขึ้นได้กี่วันยังต้องรอการพิสูจน์เสียก่อน นางจึงวางกลอุบายเพื่อความอยู่รอดของตน ในคืนเดือนมืดที่ลมพัดแรง นางปีนหน้าต่างเข้าไปในห้องของเขา แหวกผ้าม่านออกแต่กลับไม่พบใคร... พอหันกลับไป นางก็เห็นเขายืนอยู่ด้านหลัง สายตาเยือกเย็นลึกล้ำมองมาที่นาง “องค์หญิง ข้ารอท่านอยู่นานแล้ว” ซือเจ๋อเยว่ “!!!”
View Moreค่ำคืนนี้ ซือเจ๋อเยว่มาตามที่คาดไว้!เขามองเยียนเซียวหรานด้วยสายตาเย็นยะเยือก หันหน้ากลับไปมองค่ายกลที่ได้กลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้วแวบหนึ่ง ยิ้มอย่างชั่วร้ายเขาเฝ้าอยู่ที่ เป็นเพราะกลิ่นอายจากตัวของซือเจ๋อเยว่กับค่ายกลนั่นค่อนข้างคล้ายคลึงกับกลิ่นอายที่เคลื่อนตัวอยู่บนร่างกายหของอวิ๋นเยว่หยางครั้งก่อนที่เขาเจอกับเยียนเซียวหรานแบบรีบร้อนเกินไปหน่อย ประกอบกับซือเจ๋อเยว่ก็อยู่ตรงนั้นด้วย ดังนั้นเขาจำไม่ได้ในทันทีว่ากลิ่นอายบนตัวของอวิ๋นเยว่หยางคือกลิ่นอายของเยียนเซียวหรานในเวลานี้ทันทีที่ค่ายกลถูกทำลาย กลิ่นอายพวกนั้นก็ไหลย้อนกลับ เขาจึงสัมผัสได้อย่างชัดเจนความรู้สึกแบบนี้ทำให้ไป๋จื้อเซียนค่อนข้างเกิดความสนใจเป็นเพราะเขารู้ว่า เป็นการยากที่คนคนหนึ่งจะมีกลิ่นอายของคนอื่นติดอยู่อย่างแท้จริง แม้ว่าจะเป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันทุกวันก็เป็นไปไม่ได้หากติดแล้ว นั่นก็แสดงว่าโชคชะตาของทั้งสองคนรวมเข้าด้วยกันแล้วไป๋จื้อเซียนมองเยียนเซียวหราน กล่าว “น่าสนุก”เขาหันหน้าไปมองซือเจ๋อเยว่อีกครั้ง “นักพรตหญิงน้อย เจ้าหมอนี่ดีกับเจ้าเหลือเกินนี่ คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีชะตาชีวิตร่วมกันกับเจ้า”เ
ซือเจ๋อเยว่ไม่คิดเลยแม้แต่น้อย รีบโยนยันต์หลายแผ่นออกมา จากนั้นยื่นมือร่ายคาถา แล้วทำลายรากฐานของค่ายกลทันทีเดิมทีค่ายกลที่กำลังเคลื่อนย้าย ก็หยุดชะงักลงทันใดในเวลานี้ นางเห็นไป๋จื้อเซียนที่สวมชุดสีแดงในดวงตาอันงดงามของไป๋จื้อเซียนเต็มไปด้วยเสน่ห์อันชั่วร้าย เขากล่าวด้วยรอยยิ้มบาง “นักพรตหญิงตัวน้อย ข้ารอเจ้ามานานมากแล้ว”ซือเจ๋อเยว่หน้าถอดสี นางรีบโยนยันต์อัคนีแผ่นหนึ่งออกไปไป๋จื้อเซียนรู้ว่ายันต์ในมือของนางรุนแรงมาก เขาโยกตัวหลบไปด้านข้างเล็กน้อย ยันต์อัคนีแผ่นนั้นก็แปะลงไปบนค่ายกลเกิดเสียงดังตู้มขึ้นมาทันที เปลวเพลิงลุกโชน เผาทำลายค่ายกลนั่นในเวลาเดียวกัน ไป๋จื้อเซียนได้ตบเข้าที่ทรวงอกของซือเจ๋อเยว่ทีหนึ่ง ร่างกายของนางลอยกระเด็นออกไปราวกับว่าวที่เชือกขาดเยียนเซียวหรานตะโกน “องค์หญิง!”ในเวลานี้เขามองไม่เห็นไป๋จื้อเซียน แต่กลับสามารถสัมผัสได้ถึงความอันตรายถึงขีดสุดความอันตรายแบบนี้คล้ายคลึงกับวิญญาณร้ายดวงนั้นที่เขาพบอยู่ภายในห้องนางเมื่อครั้งก่อนเขากระโจนตัวขึ้น ชักกระบี่ไม้ท้อที่อยู่บริเวณของนางฟันเข้าใส่ไป๋จื้อเซียนโดยอาศัยความรู้สึกค่ายกลถูกทำลาย เขาสามารถร
อวิ๋นเยว่หยางกัดฟันกล่าว “พวกเจ้าไม่กล้าฆ่าข้าหรอก!”ซือเจ๋อเยว่หัวเราะเบา ๆ “ท่านประเมินตัวเองสูงเกินไปจริงๆ”นางพูดจบก็หยิบมีดดาบขึ้นมาแล้วแทงใส่อวิ๋นเยว่หยางทีหนึ่งความเจ็บปวดรุนแรงทำให้เขาสั่นไปทั่วทั้งตัว จนกระทั่งถึงตอนนี้ ในใจของเขาถึงได้รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจริง ๆเป็นเพราะเขารู้ว่า ซือเจ๋อเยว่พวกเขากล้าฆ่าเขาจริงๆ!เขารีบกล่าว “อย่าฆ่าข้า ข้าจะหาพวกเจ้าไปตามหาค่ายกลนั่นเดี๋ยวนี้!”ซือเจ๋อเยว่ยื่นมือออกไปตบที่ใบหน้าของเขาเบา ๆ “เมื่อครู่นี้ท่านให้ความร่วมมือแบบนี้ก็หมดเรื่องแล้วไม่ใช่หรือ?”อวิ๋นเยว่หยางรู้ว่าการแทงครั้งนั้นของซือเจ๋อเยว่ไม่นับว่าลึกจนเกินไป แต่ต่อให้เป็นแบบนี้ ก็ทำให้ภายในใจของเขาเกิดความหวาดกลัวขึ้นอย่างรุนแรงแล้วพวกเขาทิ้งองครักษ์บางส่วนเอาไว้เพื่อจัดการกับศพ พาสองสามคนมุ่งหน้าไปยังเรือนจวนหนิงกั๋วกงที่อยู่ชานเมืองหลวงหลังจากไปถึงที่นั่น ซือเจ๋อเยว่ก็สัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของค่ายกลนางพยักหน้าให้เยียนเซียวหรานเล็กน้อยทีหนึ่ง การกระทำของจวนหนิงกั๋วกงชั่วร้ายเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าในนี้จะเป็นเพียงเรือนที่พักอาศัย แต่ว่าซือเจ๋อเยว่เป็นกังวลว่าที่นี่ย
“ว่ามาเถอะ ท่านวางค่ายกลที่ขโมยดวงชะตาของน้องสามเอาไว้ที่ไหน”อวิ๋นเยว่หยางกล่าวเสียงเย็นชา “ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดถึงอะไร”เยียนเหนียนเหนียนจับศีรษะของเขาโขกเข้ากับขั้นบันไดหินที่ด้านหน้าหลุมศพของเยียนอ๋องทำให้เขารู้สึกมึนงงไปครู่หนึ่ง จนเกิดอาการหน้ามืดเล็กน้อยซือเจ๋อเยว่ “...”ตอนที่เยียนเหนียนเหนียนลงมือช่างโหดเหี้ยมและรุนแรงเสียจริง!นางยกนิ้วโป้งให้เยียนเหนียนเหนียน เยียนเหนียนเหนียนจับศีรษะของเขาแล้วจะโขกลงไปอีกครั้ง เขาตกใจจนอกสั่นขวัญแขวนขืนยังถูกโขกต่อไปแบบนี้ เขาคาดว่าจะต้องถูกเยียนเหนียนเหนียนตีตายแน่นอน!เขารีบกล่าว “ข้ายอมพูดแล้ว ข้ายอมพูด!”เยียนเหนียนเหนียนกล่าวด้วยความทอดถอนใจเล็กน้อย “เจ้ารอให้ข้าเอาศีรษะของเจ้าโขกให้เสร็จก่อนแล้วค่อยพูดก็ได้”“เจ้ายอมให้ความร่วมมือดีขนาดนี้ อีกเดี๋ยวข้าจะกล้าลงมือรุนแรงได้อย่างไร?”อวิ๋นเยว่หยาง “...”อวิ๋นเยว่หยาง “!!!!!!”ก่อนหน้านี้เขาได้ยินมาว่าเยียนอ๋องมีบุตรสาวคนหนึ่งถึงแม้จะสถานะสูงส่ง แต่กลับมีท่าทางเหมือนบุรุษ ชื่นชอบการฝึกฝนวรยุทธ์ เมื่อลองคิดดูก็น่าจะเป็นนังเด็กคนนี้เขาแอบสาบานในใจ หลังจากที่เขารอดจากอ
ซือเจ๋อเยว่ถึงได้พบว่า ในเวลานี้นางเกาะติดอยู่บนตัวของเยียนเซียวหรานราวกับปลาหมึกยักษ์นางรีบกระโดดลงจากตัวของเยียนเซียวหราน “เมื่อครู่นี้สถานการณ์คับขัน ข้ากับน้องสามร่วมมือกันสังหารนักพรตจื่อหยาง”เยียนเหนียนเหนียนร้อง “อ้อ” ออกมา นางเป็นแม่นางที่ใจกว้าง ถึงแม้จะคิดว่าทั้งสองคนทำแบบนี้จะไม่ค่อยถูกต้องเท่าใดนัก แต่ว่าก็พอจะมีเหตุผลอยู่บ้างนางรีบเดินเข้ามาหาแล้วถาม “พวกท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่เห็นนางไม่ได้ซักไซ้อีก ก็แอบถอนหายใจอย่างโล่งอกนางไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่เยียนเซียวหรานเพื่อปกป้องนางแล้ว กลับถูกมีดดาบฟันจนได้รับบาดเจ็บมีดดาบเล่มนั้นชั่วร้ายเป็นอย่างยิ่ง บาดแผลของเยียนเซียวหรานมีไอสีดำแผ่ออกมาซือเจ๋อเยว่หน้าถอดสี ร่ายคาถาแล้วกดลงไปที่บริเวณบาดแผลของเขาเมื่อครู่นี้อวิ๋นเยว่หยางรออยู่ที่ด้านนอก มองเห็นได้ไม่ชัดเจนเลยแม้แต่น้อยว่าด้านเกิดเรื่องอะไรขึ้นตอนที่เขามองเห็นชัดเจน พวกซือเจ๋อเยว่ทั้งสามคนก็หลุดพ้นออกมาได้แล้ว และนักพรตจื่อหยางก็ตายไปแล้วก่อนหน้าที่อวิ๋นเยว่หยางคิดมาตลอดว่านักพรตจื่อหยางเก่งกล้าสามารถ คิดไม่ถึงว่าเขาจะตายไปแบบนี้!เขารู้ว่าเยี
แต่การหยิบกระบี่ขึ้นมาแล้วฟันทันทีแบบนี้ก็ไม่ใช่เหตุผล นางคิดว่าออกจะเกินเลยไปหน่อยนางหลบกระบี่นั่นอย่างจนตรอก กระบี่ฟันเข้ามาอีกครั้ง นางรู้ดีอยู่แก่ใจว่าครั้งนี้ไม่ว่าตนจะหลบอย่างไรก็คงหลบไม่พ้นนางกำลังคิดว่าถึงจะหลบไม่พ้น ถ้าอย่างนั้นขอสู้ตายกับนักพรตจื่อหยางไปเลยดีกว่านางร่ายคาถาด้วยความรวดเร็ว เพียงแต่ยังไม่ทันได้ร่ายคาถาออกไป มือที่แข็งแกร่งข้างหนึ่งก็โอบรอบเอวนาง พานางกระโจนขึ้นท้องฟ้าดาบขนาดใหญ่เล่มนั้น พาดผ่านส้นรองเท้าของนางไปทันทีที่ซือเจ๋อเยว่หันหน้าไป ก็เห็นใบหน้าอันหล่อเหลาของเยียนเซียวหราน นัยน์ตาของเขาในเวลานี้เต็มไปด้วยความเคียดแค้นนางเกิดความประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้ามาได้อย่างไร?”เยียนเซียวหรานตอบ “ข้ามาตามหาท่าน”นักพรตจื่อหยางกล่าวอย่างประหลาดใจ “เดิมทีข้าไม่ได้ตั้งใจที่จากลากเจ้าเข้ามาเอี่ยวด้วย เจ้ากลับเข้ามารนหาที่ตายเอง จิ๊ๆ ช่างเป็นคนที่มีจิตใจเมตตาเสียจริง”นัยน์ตาของเยียนเซียวหรานเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็หยิบคันธนูที่บนหลังขึ้นมา ชักลูกธนูออกมา แล้วยิงธนูเข้าไปใส่จุดที่เขาพูดพวกเขาอยู่ในค่ายกลจึงมองไม่เห็นนักพรตจื่อหยาง ทำได้เ
ในชั่วพริบตา มันถูกเปลวเพลิงแผดเผาจนไม่เหลือแม้แต่เศษซาก เยียนเหนียนเหนียนชะงักไปเล็กน้อย พลางมองกระบี่ในมือของตน ก่อนจะนึกถึงยามออกจากบ้านในวันนี้ ซือเจ๋อเยว่เอาแผ่นยันต์มาติดไว้ที่กระบี่ของนาง แผ่นยันต์นั้นแตกต่างจากแผ่นยันต์ที่ซือเจ๋อเยว่เคยให้ก่อนหน้า เมื่อติดลงบนกระบี่แล้วก็เผาไหม้ไปเอง ยามนั้นนางยังสงสัยว่าซือเจ๋อเยว่ทำเช่นนั้นไปเพื่ออันใดจนกระทั่งยามนี้นางจึงเข้าใจ ว่ามันเป็นยันต์ที่แปะลงไปนั้นทรงพลังอย่างมาก ทำให้กระบี่สามารถจัดการกับสิ่งประหลาดเหล่านี้ได้ ซือเจ๋อเยว่ถูกนักพรตจื่อหยางลากเข้าไปในค่ายกลขนาดใหญ่ เมื่อนางเข้าไปก็พบว่าภายในนั้นเต็มไปด้วยหมอกดำหนาทึบ มองไม่เห็นสิ่งใด พลังชั่วร้ายอันแรงกล้าพุ่งมาจากทุกทิศทาง โอบล้อมร่างกายของนางจนหมดในสถานที่แห่งนี้ มองไม่เห็นดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ หรือดวงดาว ไม่อาจสัมผัสถึงผืนดินหรือสายน้ำ และไม่มีแม้กระทั่งสายลม สิ่งที่ประจักษ์แก่สายตามีเพียงความมืดดำยากหยั่งถึงในความมืดนั้น พลังชั่วร้ายที่เปี่ยมไปด้วยความอำมหิตพันเกี่ยวร่างกายของนางเอาไว้ ราวกับสามารถกลืนกินทุกอย่างได้ ซือเจ๋อเยว่หรี่ตาลงเล็กน้อย พลังเหล่านี้สามารถ
เขารู้ว่าสำนักเต๋ามีอาวุธเวทย์ที่ทรงพลัง สามารถเก็บวิญญาณไว้ในนั้นได้ ตัวเขาเองก็มีอยู่ชิ้นหนึ่ง แต่ครั้งหนึ่งเก็บได้เพียงหนึ่งดวงวิญญาณเท่านั้น แต่ก็เห็นได้ชัดว่ากระบี่ไม้ท้อพันปีที่ซือเจ๋อเยว่ถืออยู่นั้นช่างล้ำเลิศยิ่งนัก นางสามารถเก็บวิญญาณร้ายที่เขาปลุกปั่นขึ้นมาได้เป็นจำนวนมากในครั้งเดียว!อาวุธเวทย์เช่นนี้ เขาก็ต้องการ!เขานึกถึงกระบี่ไม้ท้อพันปีที่เคยเห็นจากซือเจ๋อเยว่ก่อนหน้านี้ และเกิดความสงสัยขึ้นในใจ ว่านางไปหาของล้ำค่ามากมายเช่นนี้มาจากที่ใด? ในแววตาของเขาปรากฏความคลุ้มคลั่งขึ้นเล็กน้อย เขาไม่สนใจว่าสิ่งของเหล่านั้นนางได้มาจากที่ใด ขอแค่วันนี้เขาฆ่านางได้ สมบัติทุกชิ้นก็จะเป็นของเขา! เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ถึงแม้ว่าเจ้าจะมีของล้ำค่าที่สามารถจัดการวิญญาณร้ายเหล่านั้นได้ แต่ก็ยังมีอีกมากมาย ข้าอยากรู้นักว่าเจ้าจะทำอย่างไร...” คำกล่าวของเขายังไม่ทันจบ ก็เห็นซือเจ๋อเยว่ก้าวเดินด้วยท่าราวกับดวงดาว พลางถือกระบี่ไม้ท้อในมือ ฟาดฟันใส่วิญญาณร้ายเหล่านั้น เพียงกระบี่เดียวก็สังหารได้ กระบี่ไม้ท้อของนางทรงพลังยิ่งนัก ฟันวิญญาณร้ายดวงใดก็ดับสูญสิ้น นักพรตจื่อหยาง: “...
อวิ๋นเยว่หยางคิดอยู่ชั่วครู่แล้วเอ่ยขึ้น “ฟังเจ้าเอ่ยแล้ว วันนี้เราฆ่าเยียนเซียวหรานเสียก็สิ้นเรื่อง” “ถึงอย่างไรพลังดวงชะตาของเขาข้าก็ดูดมาเกือบหมดแล้ว เก็บไว้ก็ไร้ประโยชน์” เมื่อนักพรตจื่อหยางได้ยินนามของเยียนเซียวหรานก็โกรธจัดจนสีหน้าเปลี่ยนไปทันที “เขากล้าทำให้ข้าบาดเจ็บหนักถึงเพียงนี้ สมควรตายตั้งนานแล้ว!” ในเรื่องการฆ่าเยียนเซียวหราน ทั้งสองเห็นพ้องต้องกัน ในขณะเดียวกันนั้น เยียนเซียวหรานกำลังถอนหญ้าที่ขึ้นอยู่หน้าหลุมศพของเยียนอ๋องแม้จะผ่านมาเพียงสามเดือนหลังการฝังศพ แต่หลุมศพก็เริ่มมีหญ้าขึ้นแล้ว เยียนเซียวหรานมองดูหญ้าพวกนั้น ในใจเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกเศร้าสลด แม้เยียนอ๋องจะเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ในยามมีชีวิต แต่หลังความตายก็ไม่อาจหลีกหนีพ้นการกลายเป็นธุลีดิน ซือเจ๋อเยว่เห็นเขาเศร้าหมอง จึงปลอบโยนเสียงเบา “ข้าเคยคำนวณชะตาให้เสด็จพ่อมาแล้ว” “ชาตินี้ท่านปกป้องบ้านเมือง สร้างคุณงามความดีมากมาย หลังความตายจะได้ไปเกิดในภพที่ดี” เยียนเซียวหรานรู้ว่าความเป็นและความตายนั้น ในสายตาของซือเจ๋อเยว่ย่อมแตกต่างจากผู้อื่น แต่เมื่อยามได้ฟังคำปลอบของนางแล้วในใจของเขากลับร
“แม้ซือเจ๋อเยว่จะมีศักดิ์เป็นถึงองค์หญิง แต่ก็ต้องแต่งงานกับเยียนอ๋องซื่อจื่อที่ตายในสมรภูมิรบ ช่างน่าเวทนาเสียจริง!”“อย่างนางนับเป็นองค์หญิงที่ใดกัน? นางก็แค่เด็กบ้านนอกที่เติบโตในสำนักเต๋า แถมยังเป็นดาวอัปมงคลอีกด้วย”“ข้ายังได้ยินมาว่า นางเป็นเหตุให้ฮ่องเต้องค์ก่อนสิ้นพระชนม์ด้วย”“ดาวอัปมงคลแต่งกับคนตาย ช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมนัก!”ซือเจ๋อเยว่นั่งอยู่ในเกี้ยวแต่งงานหน้าประตูวังหลวงด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ฟังเหล่าข้าราชบริพารรอบข้างวิพากษ์วิจารณ์กันไม่หยุด ริมฝีปากของนางเผยรอยยิ้มเย็นเยียบอดีตฮ่องเต้กับฮ่องเต้เจาหมิงเป็นพี่น้องร่วมสายโลหิตกัน เมื่อครั้งอดีตฮ่องเต้สวรรคตอย่างกะทันหัน มีพระธิดาเพียงองค์เดียวคือซือเจ๋อเยว่ บรรดาขุนนางจึงยกย่องให้ฮ่องเต้เจาหมิงขึ้นครองบัลลังก์เมื่อฮ่องเต้เจาหมิงขึ้นครองราชย์ พระองค์ประกาศว่าจะทรงเลี้ยงดูพระธิดาน้อยวัยสองขวบอย่างดี แต่ไม่นานนัก นางกลับล้มป่วยหนัก และใช้ข้ออ้างที่ว่าต้องพักฟื้นร่างกายเพื่อส่งนางไปยังสำนักเต๋าพวกเขาไม่รู้เลยว่าอาการเจ็บป่วยครานั้นได้คร่าชีวิตเด็กน้อยวัยสองขวบไปแล้ว ที่อยู่ในร่างนี้คือวิญญาณของผู้ใหญ่จากศตวรรษที่ยี...
Comments